Wednesday, 7 May 2025
TheStatesTimes

'น้าเดช' มองปรากฏการณ์ค่ายรถยนต์ทยอยปิดโรงงาน ผลกระทบจากแรงส่งเสริมการลงทุนที่ไม่สมดุล เริ่มออกฤทธิ์

ไม่นานมานี้ 'น้าเดช' นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ สื่อสารมวลชนด้านยานยนต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

สิ่งที่ผมจะแสดงความเห็นต่อไปนี้ ผมอยากให้คนที่เข้ามาอ่าน วางความรักความชังทางการเมืองออกไปก่อน อ่านแล้วค่อยๆ ทำความเข้าใจ ค่อยๆ คิด อย่าใช้อารมณ์มาต่อว่าด่าทอผม ยิ่งถ้าคุณรู้ว่าผมอยู่ฝ่ายไหน คุณยิ่งต้องคิดนานๆ ก่อนจะมาด่าผม

เรื่องบริษัทรถยนต์ทยอยปิดโรงงานนั้น ผมแสดงความเห็นมานานแล้วว่า 'รัฐบาล' ตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา คิดสั้น เชื่อมุมมองของข้าราชการที่คิดตามกระแสมากเกินไป คิดตามโลกแบบไฟไหม้ฟาง ผมไม่ได้บอกว่าคิดผิดนะครับ ผมแค่บอกว่าคิดตื้นเกินไปเท่านั้น

ผมเตือนหลายครั้งแล้วว่า การ 'ให้แต้มต่อ' กับผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้านั้น ให้คิดให้ดี ต้องสร้างสมดุลให้เท่าเทียมกัน เพราะโลกนี้ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นรถไฟฟ้า โลกนี้บอกเพียงแค่ว่าต้องลดมลพิษจากรถยนต์เท่านั้น หมายถึงลดมลพิษตั้งแต่เกิดจนตาย คือตั้งแต่เริ่มผลิตชิ้นส่วนแรก จนหมดสภาพไปจากโลกใบนี้

ผมบอกมาตลอดว่า การให้การสนับสนุน และส่งเสริมการลงทุนต้องมีขีดจำกัด จะเห็นได้ว่ามีเงินช่วยเหลือคันละเป็นแสนบาท แต่เขาสามารถลดราคาขายลงได้คันละกว่าสองแสนบาท แสดงว่าถ้าไม่ให้ส่วนลดตรงนี้ เขาก็ขายได้อยู่ดี

ผมบอกมาตลอดว่า การส่งเสริมการลงทุน ต้องคิดให้ดีว่าเท่าไหร่จึงจะพอ ไม่ใช่ถ่างขาอ้าซ่า ใครแข็งมาก็ถลกกางเกงเข้ามาเสียบจึกๆๆๆ แล้วก็ไป เพราะการส่งเสริมแบบ 'ไม่อั้น' เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ลองคิดดูนะครับว่าอีกห้าปีข้างหน้า แต่ละยี่ห้อจะตั้งโรงงานแล้วขายได้ยี่ห้อละเท่าไหร่ ถ้าลงทุนตั้งโรงงาน แล้วขายได้เท่าที่รถสันดาปที่ประกาศปิดตัวขายได้ ผู้ผลิตเหล่านั้นจะอยู่ได้ไหม และถ้าเขาม้วนเสื่อเก็บกระเป๋ากลับบ้าน จะมีปัญญาไปตามปรับเขาหรือไม่ คนที่อนุญาตจะรับผิดชอบอย่างไร

มันต้องมีการคำนวณว่า ส่งเสริมกี่โรงงาน จึงจะสมน้ำสมเนื้อกับตลาดบ้านเราและตลาดโลก ถ้ามาหลังจากจำนวนที่คิดเอาไว้ ก็ต้องลดการสนับสนุนลงไป 

แล้วเคยคิดกันบ้างไหมว่า บริษัทที่เข้ามานั้น เขามีลูกเล่นกันอย่างไร ในอดีตนั้นถ้าเข้ามาในนามบริษัทโตโฮมอเตอร์ จะผลิตรถยนต์รุ่นไหนก็ภายใต้โตโฮมอเตอร์ แต่ปัจจุบันนี้ บริษัทกำแพงใหญ่เข้ามาผลิตรถ เขาบอกว่า แมวน่ารัก เป็นยี่ห้อ ไม่ใช่เป็นรุ่นของยี่ห้อกำแพงใหญ่ ถัง ก็เป็นยี่ห้อ ไม่ใช่รุ่นของกำแพงใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลา เขาก็จะเลิกยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ ไม่ใช่เลิกทั้งยี่ห้อใหญ่ ทุกรายที่เข้ามาทีหลังก็เป็นอย่างนี้กันหมด

ที่สำคัญคือ พวกที่เข้ามาใหม่นั้น ขนเอาผู้ผลิตชิ้นส่วนของตัวติดมาด้วย ไม่ได้สร้างอะไรในประเทศไทยเลย

ส่วนคนที่บอกว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภคนั้น ผมถามจริงๆ ว่า ท้ายที่สุดถ้าเขาประกาศเก็บกระเป๋าลงเรือกลับซัวเถา คนที่ซื้อรถของเขาใช้ จะตกอยู่ในสภาพอย่างไร เพราะทุกวันนี้ยังด่ากันระงมท้องทุ่ง

ผมยืนยันว่าการส่งเสริมการลงทุนยังจำเป็น แต่ต้องมีขีดจำกัดที่เหมาะสม ต้องสร้างสมดุลให้ดี เพราะทุกวันนี้แม้แต่ในประเทศจีนเอง ก็แทบจะไม่ได้เรียกว่ารถยนต์ไฟฟ้า EV แล้ว แต่เปลี่ยนมาเรียกเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ NEV New Energy Vehicle แทนที่แล้ว

ผมพูด ผมตะโกน ผมเรียกร้องมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว พูดตรงๆ คือรัฐบาลลุงตู่ ว่าให้ระวัง แต่กองเชียร์พากันบอกว่า โลกเปลี่ยนไปแล้ว หมดยุครถยนต์สันดาปแล้ว เราต้องเร่งเปลี่ยนเพื่อเป็น 'ฮับ' คือเป็นฮับสำหรับผู้ผลิตที่เจ๊งจากประเทศของตัวเองหรืออย่างไรก็ไม่รู้ กองเชียร์หันมาด่าผมกันขรม ว่าผมหาแดกกับรถยนต์ญี่ปุ่น หาแดกกับรถยนต์ใช้น้ำมัน ทั้งที่ผมพยายามเตือนรัฐบาลลุงตู่ของพวกเขาว่า อย่าไปหลงเชื่อที่ฝ่ายข้าราชการใต้กะลาชงมามากนัก แต่ผมกลับถูกด่า ผลจึงตามมาที่วันนี้ และยังจะมีตามมาวันหน้าอีก ไม่เว้นแม้แต่ผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับการสนับสนุน ภายใต้ข้อกำหนดว่า “พรุ่งนี้มึงต้องตั้งโรงงงานในประเทศไทยนะ” ผมเดาว่าจะมีม้วนเสื่อกลับไปโดยไม่ตั้งโรงงานอย่างน้อยสามยี่ห้อ ภายในปี พ.ศ.๒๕๗๐ ถ้าผมเดาผิด ถึงวันนั้นผมจะยอมเป็นคนแก่ครับ ๕๕๕๕๕๕๕

ส่วนที่บอกว่าวันนี้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายได้ ลองคิดดูว่าถ้าพรุ่งนี้ผู้จำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อที่คุณซื้อมาประกาศว่า “กูเลิก” ราคารถของคุณจะตกไปเท่าไหร่ และคุณจะหาศูนย์บริการและอะไหล่จากไหน คิดเล่นๆ ดูก็ได้ครับ #เพจนี้มีแต่เรื่องไร้สาระ #อ่านเอาเล่นอย่าอ่านเอาเรื่องนะจ๊ะ #ซื้อรถต้องมาไบเทค๓ถีง๗กรกฎาคมชมฟรีมีชิงโชคและแจกของรางวัล #งานขายรถใหม่ป้ายแดงรถมือสองมีรับประกัน #รถใหม่ป้ายแดงรถไฟฟ้ามีให้ลองรถมือสองมีรับประกัน #ฟาสท์ออโต้โชว์ครั้งที่๑๒ #รักดอกจึงบอกมาแต่ถ้าโกรธกันก็ไม่ว่านะจ๊ะ

ปล. ผมยังยืนยันความคิดผมว่า รถยนต์ไฟฟ้าควรได้รับการสนับสนุน 'ที่เหมาะสม' และอยู่ในระดับ 'จำกัดจำนวน' นะครับ ผมไม่ได้ค้านหัวชนฝานะครับ เข้าใจตรงกันนะครับ

‘ผู้บริหาร Huawei’ ออกมาประกาศความสำเร็จของชิพ AI รุ่นใหม่  ชี้!! มีศักยภาพเหนือกว่า ชิพประมวลผลรุ่นดังของค่ายยักษ์ใหญ่ Nvidia

(9 มิ.ย.67) หวัง เถา COO ของบริษัท Huawei Ascend ได้แสดงผลทดสอบของชิพรุ่น Ascend 910B ในงานประชุม Nanjing World Semiconductor Conference เมื่อวันพฤหัส (6 มิถุนายน 2024) ที่ผ่านมา พบว่าการประมวลผลของชิพรุ่นนี้มีศักยภาพแทบไม่ต่างจาก Nvidia A100 และในการใช้งานกับบางรูปแบบ ยังแสดงผลลัพธ์เหนือกว่าชิพตัวดังของ Nvidia ถึง 20% 

ส่วนการทดสอบด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ AI นั้นพบว่า ชิพ ของ Huawei แสดงประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิพของ Nvidia ตั้งแต่ 80% ถึงเหนือกว่าเล็กน้อย จึงสรุปได้ว่า Huawei Ascend 910B เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานชิพประมวลผลขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถทดแทนชิพของค่าย Nvidia ซึ่งมีราคาสูงกว่า แถมยังถูกปิดกั้นจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ

การประกาศความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ Huawei ถูกจับตามองอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และเทคโนโลยีของบริษัท Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลอเมริกัน 

ทาง Huawei ก็ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีในแนวทางพึ่งพาตัวเอง และได้เปิดตัวชิพ Ascend ของตัวเองครั้งแรกในปี 2019 ที่มากับความพยายามในยกระดับระบบนิเวศน์ทั้งซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์ของตนเอง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม AI ในประเทศที่ถูกปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงของชาติตะวันตก 

ดังนั้นการเปิดตัว Ascend 910B ของ Huawei ในครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนการขิงกลายๆว่า ชิพจีน ถึงจะพัฒนาช้าแต่ก็มานะ ทำถึง ทำทัน ชิพตัวดังของค่ายดังสหรัฐเหมือนกัน ต่อให้คว่ำบาตร Huawei หนักแค่ไหน ดอกไม้ 9 ชีวิตแดนมังกรตัวนี้ก็กลับมาได้ 
ถึงแม้ชิพ AI ของ Huawei จะไม่ได้กระทบยอดขายชิพของ Nvidia มากนัก ที่กินส่วนแบ่งชิพ AI ในตลาดจีนได้ถึง 90% อีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐยังเป็นตัวกดให้ชิพจีนขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ยาก 

แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของความทะเยอทะยานแบบสู้ขาดใจของ Huawei นั้นทำให้นักพัฒนาAI จีนได้ติดปีก ที่มีโอกาสสร้างผลงาน AI ของตนบนชิพที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิพตัวท็อปของสหรัฐได้เหมือนกัน

อาทิ iFlytek หนึ่งในบริษัทด้าน AI ของจีนได้ปล่อยแพลทฟอร์มคอมพิวเตอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Feixing One ที่พัฒนาบนชิพ Ascend ของ Huawei และจะนำเสนอรูปแบบการใช้งาน AI ที่คล้ายคลึงกับ ChatGPT ในเร็วๆนี้

ด้าน Nvidia เองก็ปรับกลยุทธ หลังรู้ข่าวการเปิดตัว Ascend 910B ของ Huawei ด้วยการเปิดตัว ชิพ AI รุ่นพิเศษอีก 3 รุ่น รวมถึงรุ่น H20 ที่ออกแบบมาเพื่อขายในตลาดจีนโดยเฉพาะ และพยายามไม่ติดเงื่อนไขการคว่ำบาตรของสหรัฐ แถมยังประกาศลดราคาชิพของตนในตลาดจีนลงอีกมากกว่า 10% เพื่อทำราคาให้ใกล้เคียงกับ Huawei และค่ายคู่แข่งจีน 

ซึ่งเป้าหมายการตลาดของ Nvidia ก็เบาๆ เราไม่ขออะไรมาก แค่ส่วนแบ่ง 100% ของตลาดชิพ AI ทั่วโลกเท่านั้นเอง  
แหล่งข่าวแวดวงเซมิคอนดัคเตอร์จีนยังบอกอีกว่า ค่ายยักษ์ใหญ่อีกค่ายอย่าง Tencent ก็เตรียมปล่อย ชิพ AI ของตนลงมาแข่งเพื่อขอแบ่งเค้กในตลาดจีนกับเขาด้วย

ไม่น่าเชื่อว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ จะเป็นตัวเร่งให้ตลาดชิพในจีนมีการแข่งขันกันสูงยิ่ง ทั้งในแง่การพัฒนา และ การตลาด กลายเป็นศึกชิงเจ้ายุทธจักร AI อันดุเดือดที่ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว 

'พรรครวมไทยสร้างชาติ' ยืนยัน!! ไม่นิรโทษ ม.112 และคดีทุจริต

(9 มิ.ย.67) นายเจือ ราชสีห์  ตำแหน่งกรรมาธิการและที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ในสัดส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ ชื่อสร้างเสริมสังคมสันติสุข โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้...

1.ให้ใช้บังคับเพื่อให้ผู้ที่ร่วมชุมนุมทางการเมืองและแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองทุกช่วงเหตุการณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 จนถึงปัจจุบัน

2.มิให้บังคับใช้กับผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และผู้กระทำผิดฐานทุจริตและประพฤติมิชอบ

3.ให้มีคณะกรรมการพิจารณาขึ้นมา 1 ชุด เพื่อการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดทางการเมือง เหตุผลที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยที่จะให้ รวมผู้กระทำความผิดในกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไปกับกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะมาตรา 112 คือ ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดทางการเมือง 

แต่ มาตรา 112 “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี" ซึ่งพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต้องรับโทษตามกฎหมายอาญา หรือผู้กระทำความผิดต้องยอมรับผิดและต้องขอพระราชทานอภัยโทษเท่านั้น

ดังนั้น การนิรโทษกรรมจะนำผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และผู้กระทำผิดฐานทุจริตและประพฤติมิชอบมารวมด้วยไม่ได้ 

‘สุวัจน์’ รุดพิสูจน์โครงกระดูกคนโบราณ  เพื่อชี้!! โคราชเป็นชุมชนนานถึง 2,000 ปี

(9 มิ.ย.67) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนา พร้อมด้วย นายแพทย์วรรณ ชาญนุกูล สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคชาติพัฒนา นายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศมนตรีนครราชสีมา รศ.ดร. อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ผศ. ดร.ประเทือง จินตสกุล ผู้อำนวยการอุทยานธรณีโคราช ได้เดินทางมาที่จุดบริเวณขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ อายุ 2,000 ปี ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่ปรับภูมิทัศน์ คูเมืองด้านตะวันออก ถ.อัษฎางค์ ตัด ถ.พลล้าน เขตเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา (เดิมเป็นอาคารสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 11 นครราชสีมา (สคพ.11 นม.)

นายสุวัจน์ กล่าวว่าสืบเนื่องจากทางท่านนายกเทศมนตรีนครราชสีมา อยู่ระหว่างการปรับปรุงภูมิทัศน์ของคูเมือง เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยว และเป็นแหล่งสันทนาการให้กับพี่น้องประชาชนชาวโคราช จึงได้ร่วมมือกับกรมศิลปากรในการเข้ามาบูรณะทางคูเมืองเก่าและกําแพงเมืองต่างๆ ก็ได้มีการขุดดินฐานราก ปรากฏว่ามาเจอโครงกระดูก พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่กับโครงกระดูก อาทิ เครื่องปั้นดินเผา เศษกระเบื้อง กระดูกสัตว์ หรือเครืองเหล็ก อะไรต่างๆ ซึ่งเนื้อของถ้วย ชาม ทางเจ้าหน้าที่กรมศิลปกร บอกว่าอายุประมาณ 2,000 ปี ถือเป็นถ้วย ชาม ยุคพิมายดำ และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ สามารถที่จะสะท้อนถึงความเก่าแก่ของชุมชน

ล่าสุดวันนี้ พบโครงกระดูกที่ 3 อยู่ใกล้กับโครงกระดูกที่ 1 ซึ่งเป็นเพศชาย สูง 173 ซม.โครงกระดูกที่ 3 เจ้าหน้าที่กรมศิลป์ วิเคราะห์ว่าเป็นเพศหญิง เพราะพบเครื่องประดับเป็นต่างหูทองคำ พบแหวนทองที่นิ้ว พบสร้อยหิน อายุประมาณ 2,000 ปี แต่เมืองโคราช 556 ปี แต่การที่มีการค้นพบทั้งโครงกระดูกทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่มากกว่านี้ ก็อาจจะต้องมีการศึกษาค้นคว้ามากกว่านี้ แสดงว่าที่นี้เดิมที่มีชุมชน มีประชาชนที่อยู่เป็นพื้นฐานของบริเวณเหล่านี้ ก่อนที่จะมาสร้างเมืองโคราช อาจจะอยู่กันมาเป็นพันปีแล้วก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่กรมศิลป์กับทางเทศบาลฯ และมหาลัยราชภัฏนครราชสีมา ซึ่งทําเรื่องฟอสซิล ทําเรื่องอุทยานธรณีโลก จะต้องช่วยกันมาวิเคราะห์ในเรื่องของรายละเอียดต่างๆ ประวัติศาสตร์ต่างๆ ว่าเจอแหล่งโบราณอย่างนี้ เจอกระดูกโบราณ เจออุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ สามารถที่จะพัฒนาอะไรที่เป็นสิ่งที่จะเรียนรู้ ถึงอดีตก่อนที่จะเกิดเมืองโคราชในบริเวณเหล่านี้ได้อย่างไร หรือ มีบางคนเสนอว่าควรจะมีเป็นมิวเซียมที่จะบ่งบอกถึงประวัติของชุมชนที่จะสืบสานถึงประวัติศาสตร์ของคนโคราช

เพราะฉะนั้น ท่านนายกเทศมนตรีฯ กรมศิลปากร และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยอาจารย์ประเทือง จะได้ร่วมกันในการที่จะมาศึกษาต่อถึงแนวทางการดําเนินการที่จะศึกษาและเป็นแนวทางในการพัฒนาต่อไป 

📌'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ราคาเชื้อเพลิงพลังงานของไทยต้องเป็นธรรม 'SPR' คือ คำตอบสุดท้ายของ 'พีระพันธุ์' คนไทยจะได้อะไร❓️

ปัญหาเกี่ยวกับราคาพลังงานของบ้านเรานั้นมีมาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปีมาแล้ว ทั้งอย่างสร้างผลกระทบอย่างสำคัญต่อชาติโดยรวมอย่างกว้างขวางในทุก ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง จนกระทั่งเรื่องของความมั่นคง ฯลฯ และปัญหาราคาพลังงานยิ่งส่งผลกระทบมากยิ่งขี้นเมื่อภาครัฐต้องเริ่มวางมือจากรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ลดลงทุนสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แล้วให้เอกชนเข้ามาทำหน้าที่แทน เพื่อนำงบประมาณไปใช้จ่ายในด้านอื่น ๆ แทน 

ทั้งยังมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานซึ่งเป็นองค์กรอิสระมาทำหน้าที่กำกับดูแลแทน และด้วยความฉ้อฉลของฝ่ายการเมืองที่ทำให้ ‘การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย’ รัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซของชาติแปรรูปจนกลายเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ จึงทำให้ต้องสูญเสียจุดยืนในการเป็นหน่วยงานด้านพลังงานของรัฐ 

โดยแทนที่จะดำเนินกิจการเพื่อเป็นบริการในลักษณะที่ช่วยเหลือประชาชนได้ แปรเปลี่ยนเป็นบริษัทเอกชนที่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ขององค์กรอันได้แก่ผลกำไรเป็นตัวตั้งแรก ทำให้แนวคิดตลอดจนวิธีในการดำเนินการแปลกแยกไปจากวัตถุประสงค์แรกตั้งไปเป็นอย่างมาก

เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้รัฐค่อย ๆ หมดอำนาจและบทบาทในการควบคุมราคาพลังงานไปเรื่อย ๆ มิหนำซ้ำรัฐมนตรีที่ดูแลรับผิดชอบด้านพลังงานส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้บริหารของบริษัทพลัง ดังนั้นการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยเกิดความเป็นธรรมแก่พี่น้องประชาชนคนไทยได้นั้นจึงเป็นความยากยิ่งและถูกปล่อยปละละเลยมาโดยตลอด 

เมื่อ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ อดีตผู้พิพากษา อดีต สส. 7 สมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มากำกับดูแลกระทรวงพลังงาน ภารกิจในการ 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' เพื่อทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพลังงานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรมจึงได้กำเนิดเกิดขึ้นเป็นนโยบายและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน 

ด้วยมาตรการเข้ม 6 เดือนแรกเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย 

1) พลังงานไฟฟ้า ได้ผลักดันให้มีการลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนจนกระทั่งสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูงขึ้นตามที่มีการคาดการณ์เอาไว้ 

2) น้ำมันเชื้อเพลิง ได้ทำการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมันด้วยการใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง และเร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งข้อมูลต้นทุนน้ำมันทุก ๆ เดือนเพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร 

3) ก๊าซ มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลง และเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ เร่งรัดติดตามการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ NGV โดยเฉพาะกลุ่มรถแท็กซี่ กลุ่มรถโดยสาร และรถบรรทุก

นโยบายด้านพลังงานที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ ‘พีระพันธุ์’ นำมาใช้เพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยมีความถูกต้องและเป็นธรรมคือ 

(1) การประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ต้องรายงานข้อมูลรายละเอียดราคาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการนำเข้าและการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงต่ออธิบดีกรมธุรกิจพลังงานทราบภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการบันทึกบัญชีรายวัน ทำให้หน่วยงานภาครัฐสามารถรับรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำกับดูแลราคาน้ำเชื้อเพลิงในประเทศ และช่วยให้กรมสรรพกรสามารถคำนวณภาษีจากข้อมูลที่แท้จริงและมีความเป็นปัจจุบันได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน 

(2) การจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) นอกจากจะเกิดขึ้นเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานและสร้างเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิงแล้ว และหาก SPR เกิดขึ้นจริงในไทยเราได้จริง รัฐจะเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองซึ่งมีเพียงพอใช้ในประเทศได้ถึง 90 วันเลยทีเดียว 

ในขณะที่ปัจจุบันทุกวันนี้เอกชนผู้ค้าน้ำมันเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองในปริมาณที่สามารถรองรับการใช้งานได้เพียง 25-36 วันเท่านั้นเอง ซ้ำร้ายหากเกิดเหตุฉุกเฉินที่ภาครัฐต้องการเข้าควบคุมเพื่อจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองจะทำไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจเว้นแต่จะใช้กฎหมายพิเศษบังคับ อาทิ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก 

น้ำมันเชื้อเพลิงสำรองใน SPR นั้นไม่ใช่การถือครองโดยภาครัฐล้าเก็บสำรองเอาไว้อย่างเดียว เพราะจะต้องมีการหมุนเวียน เข้าและออก มีการจำหน่ายถ่ายโอนให้โรงกลั่นและบริษัทที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลาอีกด้วย 

ดังนั้น SPR ซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองในการดูแลของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจะทำให้ภาครัฐมีอำนาจในการต่อรองและเพิ่มการถ่วงดุลให้กับระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอีกด้วย อันจะทำให้ภาครัฐสามารถรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในประเทศได้ตลอดเวลา จึงสามารถกำกับดูแลราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศที่สะท้อนต้นทุน ณ เวลาที่ซื้อมาหรือจำหน่ายออกไปได้อย่างแท้จริง และจะเป็นประโยชน์อย่างมากมายต่อพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นที่สุด

‘สหรัฐ’ เร่งจัดซื้อ ‘น้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์’ หลังราคาลดลง หลังจากที่รัฐบาล ขายน้ำมันดิบออกจากคลัง ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์

(9 มิ.ย.67) รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (7 มิ.ย.) ว่า ได้เพิ่มการจัดซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรองน้ำมันปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ หลังจากที่รัฐบาลขายน้ำมันดิบออกจากคลังเมื่อปี 2565 ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์

เมื่อวันศุกร์ กระทรวงพลังงานสหรัฐได้ประกาศแผนการที่จะซื้อน้ำมันดิบรวม 6 ล้านบาร์เรลสำหรับส่งมอบให้กับไซต์ Bayou Choctaw ในรัฐลุยเซียนาในช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า หากแผนการต่าง ๆ ดังกล่าวเป็นไปตามที่มีการประกาศไว้ อัตราการซื้อน้ำมันดิบของกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4.5 ล้านบาร์เรลต่อเดือนในเดือนก.ย., ต.ค. และพ.ย. จากประมาณ 3 ล้านบาร์เรลในปัจจุบัน

'จีน' ปูพรมแดง หนุน!! เด็ก ม.ปลาย 13.42 ล้านคน สอบ 'เกาเข่า' อย่างราบรื่น สะท้อนการสร้างชาติให้เข้มแข็งด้วยระบบการศึกษาที่เข้มข้น-แข็งแรง

(9 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'เกาเข่า' ระบุว่า...

เมื่อวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมา แทบทุกอย่างในเมืองจีนหยุดสนิท เพื่อให้นักเรียนมัธยมปลาย 13.42 ล้านคนได้สอบเกาเข่าอย่างราบรื่น ปราศจากอุปสรรค เพื่อนำผลไปสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่สามารถรับนักศึกษาปีหนึ่งได้ประมาณ 10 ล้านคน 

ปีนี้มีจำนวนนักเรียนเข้าสอบสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ มากกว่าปีที่แล้วกว่า 500,000 คน ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และความทะเยอทะยานมากขึ้นที่จะมีชีวิตที่ดีผ่านการศึกษาที่สูงขึ้น

การสอบเกาเข่า นักเรียนทุกคนทั้งประเทศจะต้องสอบวิชาหลัก 3 วิชาเหมือนกัน คือ ภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ ส่วนวิชาเลือกก็ขึ้นกับว่าต้องการเรียนต่อสาขาอะไรในระดับมหาวิทยาลัย

จีนสร้างชาติให้เข้มแข็งด้วยระบบการศึกษาที่เข้มข้น แข็งแรง

ส่วนบางประเทศที่ทำลายระบบการศึกษาด้วยการกระทำที่โง่บัดซบสารพัด เช่น ห้ามลงโทษนักเรียนที่ทำผิด/ทุจริต ห้ามไม่ให้นักเรียนที่สอบไม่ผ่านต้องเรียนซํ้าชั้น ยกเลิกระเบียบวินัยเช่นเครื่องแบบ ทรงผม ปล่อยให้ ... เข้าโรงเรียนไปหลอกเด็กนักเรียน ฯลฯ เราคงคาดเดาอนาคตได้ไม่ยากอะไร

‘รมว.ปุ้ย’ เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หนุนเอสเอ็มอีทั่วไทย บุกตลาดออนไลน์  กดไลค์!! SME D Bank ผนึก TikTok ลุยสอนไลฟ์ขายสินค้า ติดปีกธุรกิจโตก้าวกระโดด

(9 มิ.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน ‘Live commerce กับ TikToker ของแทร่’ Get Started With TikTok จัดโดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กับ TikTok Thailand  ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า  หนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ หมายถึง รื้อ ลด ปลด สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการให้มากที่สุด และ ‘สร้าง’ สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ   ซึ่งการเติมความรู้ด้านทำตลาดที่ทันสมัยผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะใช้การไลฟ์ขายสินค้า หรือ Live commerce ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง    ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ของการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายย่อยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ให้สามารถคว้าโอกาส ผลักดันธุรกิจให้เติบโตก้าวกระโดด จากกำลังซื้อมหาศาลของลูกค้าทั่วโลก ทั้งในและต่างประเทศ นำไปสู่การต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน  ขณะเดียวกัน ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยจากฐานราก 

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย มีความมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านกระบวนการด้าน ‘การเงิน’ ควบคู่กับด้าน ‘การพัฒนา’  ซึ่งการจัดงาน  “Live commerce กับ TikToker ของแทร่” สร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีศักยภาพสามารถจะขยายช่องทางการขายได้อย่างไร้พรมแดนและมีโอกาสสร้างรายได้มหาศาล ซึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดออนไลน์กว่า 700,000 ล้านบาท และมีเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ขณะที่ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก

ที่ผ่านมา SME D Bank และ TikTok Thailand จับมือจัดกิจกรรมเติมความรู้ การทำตลาดออนไลน์ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาอย่างต่อเนื่อง กระจายในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ  สำหรับการจัดงาน ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ที่รวบรวมคนดังบนโลกออนไลน์ในแพลตฟอร์ม TikTok  หรือ ‘TikToker’ ที่เป็นคนในพื้นที่ กว่า 15 ราย มียอดวิวรวมกันกว่า 10 ล้านวิว เช่น  ฟ้ารุ่ง ยุติธรรม (Miss Thailand Universe 2007) ,  คิตตี้นาตาชา (ทองเพชรเอวSศัลย์), ช่างเถอะ พี่ปี้ เป็นต้น มาถ่ายทอดประสบการณ์ “Live สด ขายสินค้า” อีกทั้ง มีกิจกรรม Workshop แนะนำเทคนิคสร้างคอนเทนต์ให้โดนใจ ช่วยยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เข้าสู่การตลาดยุคดิจิทัล รวมทั้ง มีการออกบูธจำหน่ายสินค้าของดีประจำท้องถิ่นกว่า 30 ราย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ ควบคู่กับมีบริการพาเข้าถึงแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมกิจกรรมเสริมศักยภาพธุรกิจจาก SME D Bank ได้ฟรี  รวมถึง ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

'ไทยแลนด์เกตเวย์' เมื่อเมียนมาสงสัยไทย เป็นช่องทางผ่านของทหารต่างชาติในเมียนมา

ไม่นานมานี้สำนักข่าว Aljazzera ได้เผยแพร่บทความที่ระบุว่ามีทหารต่างชาติในกองทัพชาติพันธุ์ โดยในเนื้อหาระบุว่ามีกองทัพตะวันตกจำนวนหนึ่งเดินทางไปทั่วทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของเมียนมาโดยอ้างว่าเข้าช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อปลดแอกจากกองทัพเมียนมา

เรื่องนี้เป็นคำถามทันทีว่าทหารเหล่านี้เข้ามาในเมียนมาทางไหนทั้งๆที่เมื่อเริ่มปฏิวัติก็ไม่เคยมีรายงานถึงกองกำลังเหล่านี้ยกเว้นแต่กลุ่ม Free Burma Ranger ของนายเดวิด อูแบงก์ที่ข้ามแดนไปมาระหว่างไทย-เมียนมาคอยสนับสนุนการฝึกและส่งอาวุธให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง

หากพิจารณาพรมแดนของเมียนมาพบว่าฝั่งตะวันตกที่ติดกับอินเดียบริเวณมิโซรัมนั้นอาจจะเป็นจุดหนึ่งที่เดินทางเข้ามาได้ แต่ก็ไม่ได้ง่าย เพราะทางอินเดียยอมลงทุนถึง 3.7 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเพื่อทำรั้วกั้นชายแดนระหว่างเมียนมาและอินเดียที่ยาวถึง 1,610 กิโลเมตร ทำให้ไทยจึงเป็นหมุดหมายของคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่นายอูแบงก์ใช้เดินทางเข้าออกจากไทยไปที่กองกำลังกะเหรี่ยงที่เขาพำนักอยู่

ดังนั้นเมียนมาจึงค่อนข้างที่จะใส่ใจกับชายแดนฝั่งไทยมาก แม้ในสมัยของพลเอกประยุทธ์ฝ่ายกองทัพของทั้งสองประเทศจะแน่นแฟ้น แต่เมื่อเปลี่ยนมาในยุคนายกเศษฐาจะเห็นว่ากองกำลังสหรัฐยกพลมาที่ไทยบ่อยครั้งรวมถึงล่าสุดที่ผู้บัญชาการรบภูมิภาคแปซิฟิคเข้าพบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยก็เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะดึงไทยให้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ

ไทยมีท่าทีเป็นกลางและไม่เป็นคู่ขัดแย้งของมหาอำนาจใดๆ มาตลอด รวมถึงพยายามเป็นเพื่อนบ้านที่ดีในการรักษาความสัมพันธ์ของทุกประเทศให้สมดุล

แต่สหรัฐฯ ก็พยายามอย่างมากในการมุ่งมั่นจะสร้างขุมกำลังในอาเซียนแห่งนี้ เมื่อหลังจากผิดหวังการที่จะได้ตั้งกองทัพบนเกาะโคโค่ก็เหมือนเป็นชนวนที่ให้ทางสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาทำลายเสถียรภาพของกองทัพเมียนมาผ่าน NGO ต่างๆ ที่แทรกซึมทั่วในเมียนมาจนทำให้ทางการเมียนมาต้องขับไล่ NGO นอกรีตเหล่านี้ออกนอกประเทศ

ทางการเมียนมาค่อนข้างแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจกับท่าทีของกองทัพไทยหลังเหล่าผู้บังคับบัญชาอันดับสูงมีท่าทีไปซบอกฝ่ายสหรัฐฯ มากขึ้น

แต่ต้องห้ามลืมว่าความสามัคคีในภูมิภาคจะเป็นตัวผลักดันให้รอดพ้นสงครามตัวแทนครั้งนี้และจุดหมายของสงครามตัวแทนระลอกใหม่ที่จะเกิดขึ้นอาจจะเป็นแผ่นดินเมียนมานั่นเอง

สงครามที่กำลังจะมาถึงอาจดึงไทยเข้าสู่สงคราม แล้วถามว่า ประเทศไทยพร้อมจะอยู่ในสงครามนี้หรือยัง สงครามที่เราไม่ได้ก่อ บรรดาผู้นำเหล่าทัพจะตอบกับประชาชนและบรรพชนไทยอย่างไร หากพาประเทศเข้าสู่สงครามของคนอื่น

'3 ฟันเฟือง' เดินเครื่องเศรษฐกิจไทยสะดุดหนัก โจทย์ใหญ่ที่รัฐต้องรีบแก้ไข ก่อนจะถึงทางตัน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนพฤษภาคม ทั้งในปัจจุบัน และอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงจากเดือนก่อน จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และมีพฤติกรรมระมัดระวังการใช้จ่าย 

ความกังวลของผู้บริโภค ต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ต้องมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย เลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็น และคุ้มค่ามากขึ้น ประครองเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ภาพอนาคตทางเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน ดัชนีความเชื่อมั่นของฝั่งผู้ประกอบการร้านค้าปลีก ก็ลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้

เครื่องจักรหลัก ที่จะช่วยเดินเครื่องเศรษฐกิจ ก็ติดขัด เครื่องจักรตัวแรก 'การส่งออก-นำเข้า' คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ปรับลดตัวเลขประมาณการการขยายตัว เหลือเพียง 0.5-1.5% ลดลงจากที่เคยตั้งเป้าไว้ 3.7% จากช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการค้ากับประเทศจีน เราเสียเปรียบดุลการค้ามาก ในปี 2565-2566 ติดลบถึงปีละ 1.29 ล้านล้านบาท 

สินค้าจีนทะลักเข้ามาขายในประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา ธปท. ประมาณการว่า 41% ของธุรกิจค้าปลีก ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ส่งผลให้ต้องมีการปรับลดราคา เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้

เครื่องจักรตัวที่สอง 'การใช้จ่ายภาครัฐ' การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีของภาครัฐ ยังคงล่าช้า และใช้อย่างจำกัด เนื่องด้วยการต้องรอจัดสรรงบประมาณ ให้กับ ‘โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ส่วนที่สามารถเบิกจ่ายได้ก็เหลือเพียงเล็กน้อย ต่อให้สามารถเข็นโครงการแจกเงินดิจิทัลออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เพราะเม็ดเงินในโครงการ ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินงบประมาณภาครัฐประจำปี 2567 และ 2568 ซึ่งเป็นเม็ดเงินตัวเดียวกันที่เตรียมจะมีการเบิกใช้จ่ายอยู่แล้ว

เครื่องจักรตัวที่สาม 'การลงทุนของภาคเอกชน' ข่าวการประกาศปิดตัวโรงงานผลิตรถยนต์ ของ 2 ค่ายญี่ปุ่น รวมทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดเผยตัวเลข ไตรมาสแรก ปี 2567 มีโรงงานปิดกิจการสูงถึง 367 แห่ง เป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา (ไตรมาสแรก 2564-2567) พนักงานถูกเลิกจ้างมากถึง 10,066 คน ซึ่งกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนค่อนข้างมาก ต่างประเทศที่จะมาลงทุนโรงงานใหม่ๆ ยังมีไม่มากนัก 

เมื่อ 3 เครื่องจักรหลักที่ใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นอันสะดุด ราคาน้ำมันเริ่มคุมไม่ไหว ดีเซล พุ่งทะยานเกินระดับ 33 บาทต่อลิตร ย่อมกระทบต่อภาคธุรกิจขนส่ง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ก็ยังอยู่ในภาวะราคาแพง ทีมเศรษฐกิจรัฐบาล การบ้าน เล่มหนามากแล้ว คงต้องเริ่มทยอยส่งการบ้าน ก่อนที่วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ จะ ‘เอาไม่อยู่’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top