Tuesday, 6 May 2025
TheStatesTimes

ร่วมทัพ NAVY TIME เรื่องดีๆ ประเทศไทยยามเช้า เติมสุขทุกเช้าวันศุกร์ กับทุกข่าวบันเทิงสุดฮอต

(7 มิ.ย. 67) สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES คว้าตัวอดีตผู้ประกาศข่าวรายการเส้นทางบันเทิง 'น้อย-ศตกมล วรกุล' ร่วมดำเนินรายการข่าวบันเทิง ทางรายการ NAVY TIME เรื่องดีๆ ประเทศไทยยามเช้า ภายใต้ความร่วมมือกับกิจการเสียงจากทหารเรือ กองทัพเรือ ซึ่งออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน คลื่นความถี่ FM 93 MHz. โดยดำเนินรายการร่วมกับ ไอยรา อัลราวีย์ ในช่วงขยายเวลาเพิ่มเติม 08.00-08.30 น. 

สำหรับเช้าวันที่ 7 มิ.ย. เป็นวันแรกที่ได้ทำการเปิดตัว 'น้อย-ศตกมล วรกุล' ผ่านทุกช่องทางออนไลน์ของ THE STATES TIMES โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากเหล่าแฟนคลับรายการ และแฟนคลับส่วนตัว ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาอ่านข่าวบันเทิงอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากหน้าจอโทรทัศน์ และหน้าปัดวิทยุไปสักพัก โดยการกลับมาในครั้งนี้ 'น้อย-ศตกมล วรกุล' ได้เล่าถึงความรู้สึก หลังจบรายการว่า...

"สนุกมากและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กลับมาทำงานที่รักอีกครั้ง รวมถึงขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยว และเล็งเห็นถึงความสามารถ" 

ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันแรก แต่ 'น้อย-ศตกมล วรกุล' ก็แทบไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก เพราะทุกอย่างอยู่ในสายเลือดนักข่าวบันเทิง และผู้ประกาศข่าว ที่มีประสบการณ์ยาวนานหลาย 10 ปี 

ส่วนใครที่อยากรู้ว่า ข่าวบันเทิงรูปแบบออนไลน์ในแบบฉบับของเธอ จะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับฟัง รับชม ได้แบบสดๆ ทุกวันศุกร์ เวลา 08.00 - 08.30 น. ผ่านทุกช่องทางออนไลน์ ของ THE STATES TIMES 

นอกจากนี้ยังสามารถรับฟังสรุปข่าวบันเทิงรอบสัปดาห์ ผ่านทางสถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย FM 101 ได้ทุกวันศุกร์ ในข่าวต้นชั่วโมง เวลา 21.00 น. อีกด้วย

สิ้น ‘หลวงปู่ยิ้ม’ เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า ละสังขารด้วยรอยยิ้ม สิริอายุ 101 ปี

(7 มิ.ย. 67) เหตุละสังขารของเกจิดังสายปฏิบัติธรรมและพัฒนา เกิดขึ้นเมื่อผู้สื่อข่าวรับแจ้งจาก นายสาธร บัวจันทร์ และนายบุญธรรม ลำเจียกมงคล 2 นักธุรกิจซึ่งเป็นศิษย์เอกของ ‘พระมงคลวรสิทธิ์’ หรือ ‘หลวงปู่ยิ้ม’ เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า ต.บางแขม อ.เมืองนครปฐม ว่า หลวงปู่ยิ้ม ละสังขารลงแล้ว ที่โรงพยาบาลธนบุรี เมื่อเวลา 09.57 น.ของวันที่ 6 มิ.ย.67 และจะนำร่างเคลื่อนย้ายมาบำเพ็ญกุศลที่วัดลาดปลาเค้า ในเวลา 10.00 น. ของวันที่ 7 มิ.ย.67 หลังจากข่าวได้แพร่สะพัดออกไป ชาวบ้านตำบลบางแขม ต่างมาที่วัดและช่วยกันจัดสถานที่รองรับไว้ให้อย่างสวยงาม ประดับด้วยดอกไม้สีขาว โดยจะนำศพท่านขึ้นตั้งที่ศาลาใหญ่วัดลาดปลาเค้า

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 มิ.ย.67 บรรดาศิษยานุศิษย์ต่างเดินทางไปรับศพหลวงปู่ยิ้ม เดินทางมายังวัดลาดปลาเค้า เพื่อตั้งสวดพระอภิธรรม โดยมีรถทางหลวงนำมาที่วัด ท่ามกลางความโศกเศร้า จากนั้นนำร่างขึ้นไว้บนศาลาใหญ่ เพื่อประกอบพิธีรดน้ำศพ โดยเปิดให้ประชาชนรดน้ำในช่วง 11.00 น.เป็นต้นไป

จากนั้นในช่วง 16.00 น. สำนักพระราชวัง อัญเชิญน้ำหลวงอาบศพพระราชทานมาถวาย หลังจากเสร็จสิ้นพิธีในช่วง 19.00 น.ของทุกวัน จะมีพิธีสวดพระอภิธรรมศพ ทุกคืนเป็นเวลา 21 วัน ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ถึง 27 มิ.ย. จากนั้นจะเก็บร่างไว้ 100 วัน ก่อนที่จะประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ

นายสาธร บังจันทร์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 ต.บางแขม อ.เมืองนครปฐม ซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิด เผยว่า หลวงปู่ยิ้ม เป็นที่นับถือของชาวบางแขม และชาวนครปฐม มากเพราะท่านไม่เคยมีประวัติในเรื่องเสื่อมเสีย เป็นทั้งนักปฏิบัติธรรม และนักพัฒนา และยังเป็นเกจิอาจารย์ เป็นศิษย์เอกร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม สมัยที่หลวงพ่อเงินท่านยังมีชีวิตอยู่ อดีตเคยออกงานปลุกเสก แต่ระยะหลังท่านไม่ได้ออกเลยมา 20 ปี กลับมาพัฒนาวัดสอนปฎิบัติธรรม เพราะมีอายุมาก เลยทำให้ห่างเหินจากวงการ แต่บรรดาศิษยานุศิษย์ก็ยังไปมาหาสู่ท่านตลอด มาสนทนาธรรมกับท่านและชื่นชอบที่หน้าตาท่านยิ้มอยู่ตลอด สมกับนามของท่านหลวงปู่ยิ้ม

นายสาธร เผยอีกว่า สุขภาพของท่านก่อนเข้าโรงพยาบาลนั้นดีมาก ศิษย์พาไปตรวจบ่อย แพทย์ยังแปลกใจว่าท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงถึงแม้อายุท่านจะมากถึง 101 ปี ก็ตามท่านยังเดินตรวจตราวัด โดยมีไม้เท้าคู่ใจเดินไปไหนก็มีไม้เท้า ก่อนหน้าที่จะเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลธนบุรี เมื่อปีที่ผ่านมาอายุท่านครบ 100 ปี บรรดาผู้นำชุมชนและชาวบ้านต่างระดมทุนจัดงานวันเกิดให้ท่าน ว่าจ้างวงคาราบาว มาแสดงที่วัดฉลองวันเกิดให้ท่าน ท่านมาเริ่มป่วยเมื่อเดือนที่ผ่านมามีอาการมึนศีรษะด้วยวัยชรา พระผู้ดูแลท่านจึงแจ้งให้ทราบจึงนำท่านไปให้ตรวจที่ ร.พ.ธนบุรี

เบื้องต้นแพทย์ตรวจดูอาการก็ไม่พบว่าท่านเป็นโรคอะไร แพทย์แนะนำให้ท่านพักผ่อน เพราะท่านนอนไม่ค่อยหลับ ให้พักผ่อนมาก ๆ บรรดาศิษย์เลยให้ท่านพักรักษาตัวที่ ร.พ.ไปก่อน จนอาการท่านดีแล้วค่อยกลับวัดจนกระทั่งเมื่อตอนเช้า 09.57 น.ของวันที่ 6 มิ.ย.67 ท่านก็หลับไปเฉย ๆ โดยที่ใบหน้าท่านยังยิ้มหน้าใสเหมือนคนนอนหลับ แต่เมื่อแพทย์มาตรวจพบว่าท่านได้ละสังขารไปแล้ว จึงแจ้งมาที่วัดให้เตรียมงานศพให้ยิ่งใหญ่ และแพทย์ให้นำศพกลับวัดได้ในวันที่ 7 มิ.ย.67

สำหรับประวัติของหลวงปู่ยิ้ม มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะพระเกจิและพระนักพัฒนาระดับแนวหน้าเมืองนครปฐม อีกทั้งเป็นศิษย์สายตรงที่ได้รับเมตตาถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ วัดดอนยายหอม เกิดในสกุล ใจซื่อตรง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ต.ค.2466 ที่หมู่ที่ 7 ต.บางแขม อ.เมือง จ.นครปฐม บิดา-มารดาชื่อนายยาและนางมา ใจซื่อตรง

เมื่ออายุ 25 ปีเข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดลาดปลาเค้า จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.2491 พระครูอุตตร การบดี (หลวงพ่อสุข) วัดห้วยจระเข้เป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่จำพรรษาที่วัดลาดปลาเค้า มุ่งมั่นศึกษาพระธรรมวินัย-พระปริยัติธรรม จนสอบได้ นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ ในระหว่างศึกษายามว่างไปศึกษาด้านวิชาอาคมจากหลวงพ่อสุข วัดห้วยจระเข้ และหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จนท่านรับเป็นศิษย์ครอบครูประสิทธิ์ประสาทวิชาให้

ระหว่างการศึกษาสรรพวิชา ยังได้ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาแถบชายแดนประเทศกัมพูชา เผยแพร่พระพุทธศาสนาตั้งปณิธานจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างถึงที่สุด จากนั้นเมื่อกลับมาวัดลาดปลาเค้าก็เริ่มช่วยงานพัฒนากับอดีตเจ้าอาวาส จนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส จนในปี 2506 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ในปี 2517 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม พ.ศ.2549 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระมงคลวรสิทธิ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14 ชาวบ้านตำบลบางแขม ต่างยกย่องให้เป็นพระเกจิอาจารย์นักพัฒนามีผลงานการพัฒนาวัดและพัฒนาชุมชน ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุสามเณรและเยาวชน โดยเฉพาะโรงเรียนวัดลาดปลาเค้า ท่านสร้างอาคารเรียน สนามกีฬา เครื่องดนตรีอุปกรณ์การสอน ตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มอบทุนการศึกษา ให้ความร่วมมือกับราชการอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกปี

'ซูซูกิ มอเตอร์' ประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยสิ้นปี 2568 ปรับแผนนำเข้ารถจาก 'ญี่ปุ่น-อินเดีย-อินโดนีเซีย' มาจำหน่ายแทน

ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศยุติการผลิตรถยนต์ซูซูกิ ที่โรงงาน อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ช่วงปลายปี 2568 หันนำเข้ารถจากญี่ปุ่น อินเดีย และอินโดนีเซียแทน พร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ปี 2567 ย้ำไฮบริด EV มาแน่

(7 มิ.ย.67) ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ออกแถลงการณ์วันนี้ว่า ซูซูกิตัดสินใจยุติการผลิตที่โรงงานประเทศไทย คือ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (SMT) ภายในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนโครงสร้างการผลิตของซูซูกิทั่วโลก

ตามที่รัฐบาลไทยได้มีการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์อีโคคาร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ในเวลาดังกล่าวซูซูกิได้สมัครเข้าร่วมโครงการและก่อตั้ง SMT ขึ้น ในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจึงได้มีการเริ่มดำเนินการผลิตขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา

โดยสามารถผลิตและส่งออกได้มากถึง 60,000 คันต่อปี ทั้งนี้ด้วยการส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอนและการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของทั่วโลก ซูซูกิได้มีการพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระดับโลก จึงได้ตัดสินใจยุติการดำเนินการของโรงงาน SMT ภายในช่วงสิ้นปี พ.ศ. 2568 นี้

แม้จะมีการยุติการดำเนินการของโรงงานในประเทศไทย แต่ SMT จะยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในการจำหน่ายและให้บริการหลังการขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยต่อไป ซึ่งจะมีการปรับแผนธุรกิจเป็นการนำเข้ารถยนต์จากโรงงานในภูมิภาคแถบอาเซียน รวมถึงประเทศญี่ปุ่นและประเทศอินเดีย

นอกจากนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนและให้สอดคล้องในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนตามนโยบายของภาครัฐ บริษัทฯ จะมีการแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่าง ๆ รวมถึง HEVs เข้าสู่ตลาดในอนาคตด้วยเช่นกัน

สำหรับยอดขายรถยนต์ซูซูกิ 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.67) ทำได้ 2,587 คัน ลดลง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ส่วนข้อมูลงบทางการเงินพบว่า บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขาดทุนสุทธิ 2 ปีติดต่อกัน โดยปี 2565 ขาดทุนกว่า 80 ล้านบาท และปี 2566 ขาดทุนกว่า 264 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีรายงานจาก ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ว่า รถยนต์ที่ผลิตภายใต้โครงการอีโคคาร์ ที่โรงงานระยองยังคงจะผลิตและทำตลาดในประเทศจนถึงภายในปี 2568 (มิใช่หยุดในสิ้นปีนี้)

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนการรองรับดูแลช่วยเหลือพนักงานภายหลังยุติการผลิตที่โรงงานระยองอย่างเหมาะสม

‘สาธิต มศวฯ’ ผุดห้องเรียนปัญญาประดิษฐ์ หนุนให้เกิดการทำงาน สุดท้ายเด็กมีผลงาน สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตรงสายส่วนใหญ่

เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ธีรวัฒน์ ประกอบผล’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

‘การเปิดห้องเรียนพิเศษในโรงเรียน’

น่ายินดีกับความสำเร็จของโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) มาก ๆ เลยครับ

ห้องเรียนพิเศษ ห้องเรียนวิศวะ ห้องเรียนปัญญาประดิษฐ์ หลายโรงเรียนเปิดกันมากมาย ก็ต้องมาดูด้วยว่า เปิดแล้วโรงเรียนสนับสนุนให้สำเร็จได้หรือไม่ การเปิดนั้นไม่ยากนัก แต่การทำให้สำเร็จนั้นยาก

ยุคนี้มหาวิทยาลัยรับหลายรูปแบบ การยื่นผลงานเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นักเรียนสามารถโฟกัสได้ว่าจะเข้าสถาบันใด เมื่อมีการยื่นผลงานโรงเรียนก็ต้องสนับสนุนให้เกิดการทำงาน ให้เด็กทำโครงงานได้สำเร็จ ต้องสนับสนุนให้เต็มที่ ดังนั้นเมื่อโรงเรียนจะเปิดห้องเรียนพิเศษต่าง ๆ ก็ต้องเตรียมแผนสนับสนุนไว้ด้วยครับ

น่าดีใจกับความสำเร็จของโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ครับ เด็กห้องปัญญาประดิษฐ์สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นสาขากับวิชาที่เรียนเสียด้วย นี่ละครับคือตัวอย่างดี ๆ ที่น่าชื่นชม

‘จีน’ เผย ‘5G’ เชิงพาณิชย์ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ สร้างเม็ดเงินราว 28.12 ล้านล้านบาท ลุยเดินหน้าพัฒนาต่อ

(7 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จ้าวจื้อกั๋ว หัวหน้าวิศวกรประจำกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน อ้างอิงผลการวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศจีน ระบุว่า การใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ช่วยกระตุ้นผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยตรงราว 5.6 ล้านล้านหยวน (ราว 28.12 ล้านล้านบาท) ในจีนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

ระหว่างงานประชุมด้านโทรคมนาคมเคลื่อนที่ จ้าวจื้อกั๋ว ได้กล่าวว่า 5G ยังขับเคลื่อนผลผลิตทางเศรษฐกิจทางอ้อม 14 ล้านล้านหยวน (ราว 70.3 ล้านล้านบาท) ซึ่งสะท้อนว่าเทคโนโลยีใหม่นี้มีส่วนส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงของจีนอย่างมาก

จ้าวจื้อกั๋ว ระบุว่าจีนครองตำแหน่งผู้นำระดับโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G สร้างความก้าวหน้าในเทคโนโลยีหลักที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง และมีผลลัพธ์ที่โดดเด่นในการผสมผสานการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกับโลกจริงทางกายภาพ นับตั้งแต่มีการออกใบอนุญาตใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2019

จีนมีสถานีฐาน 5G เกือบ 3.75 ล้านแห่ง หรือคิดเป็นราว 26 แห่งต่อประชากร 10,000 คนเมื่อนับถึงสิ้นเดือนเมษายน โดยจีนยังได้ยื่นจดสิทธิบัตรสำคัญด้านมาตรฐาน 5G คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 42 ของสิทธิบัตรทั้งหมดทั่วโลก

อนึ่ง เทคโนโลยี 5G ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมหลัก อาทิ การทำเหมือง ไฟฟ้า และการดูแลสุขภาพ อีกทั้งยังค่อย ๆ กระจายไปสู่แวดวงที่สำคัญอย่างการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ และการผลิต

ทั้งนี้ จ้าวจื้อกั๋ว ยังระบุว่า ในขั้นต่อไป กระทรวงฯ จะเดินหน้าทำงานเพื่อขยายความครอบคลุมของเครือข่าย 5G เร่งขยายการประยุกต์ใช้ 5G และส่งเสริมการปรับปรุงอุตสาหกรรมข้อมูลและการสื่อสารให้ทันสมัย

‘อ.พงษ์ภาณุ’ วิเคราะห์!! เหตุผลที่รายได้รัฐพลาดเป้า โครงสร้างภาษี-การจัดเก็บล้าสมัย ไม่มีประสิทธิภาพ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'ทำไมรายได้รัฐพลาดเป้า?' เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การจัดเก็บภาษีอากรพลาดเป้าไป 40,000 ล้านบาทในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 เป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในภาวะที่รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายค่อนข้างสูง เพื่อดูแลสังคมและเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้ และการคลังยังขาดดุลและหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง

การที่รายได้รัฐต่ำกว่าประมาณการอาจมีสาเหตุหลายประการ…

- ประการแรก เป้าที่ตั้งไว้สูงเกินไปไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง 
- ประการที่สอง ภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ 
- และประการสุดท้าย โครงสร้างภาษีและการบริหารการจัดเก็บล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพ

การตั้งประมาณการรายได้ที่สูงเกินไปมีอันตรายเพราะจะทำให้รัฐบาลโน้มเอียงที่จะตั้งงบประมาณรายจ่ายสูงเกินตัว เมื่อเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าก็จะต้องกู้เงินในจำนวนที่มากกว่าที่วางแผนไว้ ส่วนภาวะเศรษฐกิจเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้อาจอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยตรง สำหรับสาเหตุสุดท้ายจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพราะโครงสร้างและการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรไม่ได้รับการปรับปรุงขั้นพื้นฐานมายาวนาน

เริ่มจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเริ่มนำมาใช้เมื่อมีการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ในปี 2535 ได้มีการออกแบบให้มีฐานกว้างและจัดเก็บที่อัตรา 10% แต่ปรากฏว่าฝ่ายการเมืองได้ประกาศลดอัตราลงเหลือ 7% มาตลอด 30 ปี และยังมีการกำหนดรายรับขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีไว้ที่ระดับสูง ทำให้ฐานภาษีแคบลง นอกจากนี้การซื้อขายสินค้าและบริการแบบออนไลน์ยังทำให้การจัดเก็บรั่วไหลอีกด้วย

ภาษีเงินได้นิติบุคคลยังคงจัดเก็บโดยยึดหลักสถานประกอบการถาวร (Permanent Establishment) ซึ่งเป็นหลักการที่ยึดถือมาเกือบ 100 ปีและอาจไม่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ซึ่งธุรกิจสามารถเลือกตั้งถิ่นฐานในประเทศที่มีภาษีต่ำหรือไม่มีภาษี (Tax Heaven) แล้วให้บริการข้ามพรมแดนแบบออนไลน์ โดยที่ประเทศต้นทางที่เป็นแหล่งกำเนิดของรายได้ไม่ได้อะไรเลย

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็มีฐานภาษีที่พรุนไปด้วยรายการยกเว้นลดหย่อนภาษีมากมาย ทำให้รายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เติบโตเร็วเท่าที่ควรจะเป็น ค่าลดหย่อนหลายรายการมีมากเกินความจำเป็นและไม่มีความคุ้มค่า สมควรทีจะมีการทบทวนและพิจารณายกเลิกเพื่ออุดรูรั่วของฐานภาษีและเพื่อสร้างความยุติธรรมระหว่างผู้เสียภาษี

ภาษีสรรพสามิต ซึ่งเริ่มที่จะมีการจัดเก็บตามหลักการภาษีคาร์บอนอยู่บ้างในกรณีสินค้ารถยนต์ แต่ก็มีใช้การลดภาษีสรรพสามิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว การอุดหนุนราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นพลังงาน Fossils นอกจากจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลแล้ว ยังเป็นการดำเนินการที่สวนทางกับประชาคมโลกที่พยายามเปลี่ยนผ่านสู่โลกคาร์บอนต่ำตามความตกลงปารีสอีกด้วย วันนี้ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องจริงจังกับภาษีคาร์บอนได้แล้ว

นับจากการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่เมื่อปี 2535 รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้ว่าการปฏิรูปประเทศจะเป็นเหตุผลหลักของการรัฐประหารเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ดังนั้น จึงขอฝากความหวังไว้กับรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ที่จะดำเนินการปฏิรูปภาษีอย่างจริงจังเสียทีเพื่อให้ประเทศไทยกลับเข้าสู่ความสมดุลทางการคลัง

ถึงเวลา 'คุณหญิงอ้อ' ลงบัญชาเกม ‘ปรับดีล’ ประคองทรง ‘เศรษฐา’ ปลดสลักให้ ‘โทนี่’

วันที่ 7 มิ.ย. 2567 นักข่าวจำนวนหนึ่งแอบไปสังเกตการณ์ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พบว่ามีรถตู้วิ่งเข้าออกจำนวนหนึ่ง ตอกย้ำให้ข่าวที่ว่า ‘คุณหญิงอ้อ’ คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ภริยา (หย่า) ของคุณทักษิณ  ชินวัตร ได้นัดหมายบุคคลในครอบครัวเพื่อพบปะพูดคุย...เป็นจริง

ยากที่จะหาข่าวอินไซด์จากวงพูดคุยได้...แต่พอที่จะไล่เรียงข่าว-ข้อมูลเบื้องต้นให้รับฟังได้ว่า...เบื้องหลังการเชิญ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในหนนี้ได้

ผู้ที่ทำให้ ดร.วิษณุ ปฏิเสธได้ยากที่สุดคือ ‘นายหญิง’ ท่านนี้...

ภารกิจของดร.วิษณุนาทีนี้คือแก้ไขคำชี้แจงข้อกล่าวหาถอดถอนนายเศรษฐา...ก่อนจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 10 มิ.ย. หรือหากจำเป็นก็สามารถขอขยายเวลาได้...

กรณีเศรษฐาคือความเป็นความตายของพรรคเพื่อไทย...ว่ากันว่า ‘นายหญิง’ ก็มีส่วนสำคัญขอให้นายเศรษฐารับตำแหน่งนายกฯ แทน ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งผู้เป็นแม่รู้ดีว่าลูกสาวยังไม่พร้อม ไม่อยากเป็นแม่รังแกลูก...ดังนั้นงานนี้ต้องใช้บริการเนติบริกรผู้มีอภินิหาริย์ทางกฎหมาย…มาช่วยประคับประคองเศรษฐา..

ไม่แต่เท่านั้น…กรณีทักษิณเผชิญหน้าคดีมาตรา 112 ต้องลุ้นกันทีละช็อต ทีละศาล...ก็เป็นวิบากกรรม เป็นงานหนัก…ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นต้องใช้บริการจาก ดร.วิษณุ เช่นกัน รวมทั้งงานยากสุดคือการกลับบ้านอย่างเท่ ๆ ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร   

วิบากกรรมของครอบครัวชินวัตรรอบนี้ใหญ่หลวงไม่ใช่น้อย คดีมาตรา 112 ของทักษิณแม้วันที่ 18 มิ.ย.แนวโน้มจะได้รับประกันตัวแต่ชีวิตก็เหมือนถูกล่ามโซ่...การจะใช้บริการนิรโทษกรรมสุดซอย รวมคดี 112 เข้าไปด้วย ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการล้มกระดานการเมือง...ห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยต้องยืดหยุ่น...และหนีไม่พ้น ‘คุณหญิงอ้อ’ ต้องเทคแอ็กชันในช็อตสำคัญ

สรุปทุบโต๊ะ…ตอนนี้มีเพียง ‘นายหญิง’ เท่านั้นที่ทรงอิทธิพลและน่าเชื่อถือมากที่สุด ที่จะช่วย ‘ปรับดีล’ การอยู่ร่วมกันกับอีกฝ่ายให้ราบรื่นได้...ภายใต้การปล่อยข่าวรัว ๆ จากมุมมืดว่า 18 มิ.ย. ทักษิณจะวืดประกันตัว, วันที่ 3 ก.ค. ดาบแรกศาลรธน. จะยุบพรรคก้าวไกล ดาบต่อไป 10 หรือ 17 ก.ค. จะลงดาบเศรษฐา...

ปล.หากย้อนอดีต…บารมีบวกกับความอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ ความเด็ดขาดและแน่นอนของ ‘นายหญิง’ เคยช่วยถอดสลักระเบิดเวลาให้ ‘นายใหญ่’ มาหลายต่อหลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือความขัดแย้งของนายใหญ่กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แห่งบ้านสี่เสาเทเวศร์ อดีตประธานองคมนตรีผู้ล่วงลับ..

อย่างไรก็ตาม...ทั้งหลายทั้งปวง การ ‘ปรับดีล’ ให้สมดุล ต้องอยู่ที่ความอดทนของ ‘นายใหญ่’ ที่ฝ่ายความมั่นคงของฝั่งอนุรักษ์นิยมยังไม่สบายใจกับคำพูดคำจา การแสดงออกต่าง ๆ เช่น ที่โคราชเมื่อ 25 พ.ค. หรือแม้แต่วันที่ 8 มิ.ย. ที่ปทุมธานีที่อาจจะไปร่วมงานด้วยตัวเองหรือวิดีโอคอล..ที่จะต้องตามไปดู…

ถ้านายใหญ่พูดการเมืองเพียงว่า “ผมไม่รู้จักคนชื่อ(บิ๊ก)แจ๊ส” เพราะต้องช่วยชาญ พวงเพ็ชร์ ให้ชนะนายกอบจ.ในนามพรรคเพื่อไทยก็ไม่น่าจะเป็นไร...แต่เขาเกรงกันว่าจะพูดเรื่องอื่นที่มันชวนเสียวน่ะสิ..!!

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2567 : ทำไม? ต้องปลงหรือปล่อยวาง

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องปลงหรือปล่อยวาง’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

🎤: ปลงหรือปล่อยวางมีความหมายที่แท้จริงว่าอะไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร?

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ‘ปลง’ เป็นภาษาไทยที่สื่อว่าตรงข้ามกับ ‘ยึดมั่นถือมั่น’ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ‘ยอมรับความจริง’ 

‘ปล่อยวาง’ ก็คือไม่ยึดถือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ตรงหลักคําสอนพระพุทธเจ้าโดยตรง ฉะนั้นคําว่าปลง คําว่าปล่อยวาง คือให้อยู่กับความจริง ถ้าชีวิตจะมีความสุข ต้องอยู่กับความเป็นจริง มองทุกสิ่งเป็นบวก หูหนวกบางโอกาส ฉลาดคัดสรร แบ่งปันสังคม อันนี้คืออยู่กับความเป็นจริง เราต้องอยู่กับความเป็นจริงว่าความเป็นจริงนั้น มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย นี่คือความจริง เราต้องไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ เราต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้

🎤: บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าเศร้า แล้วก็จมดิ่งกับความเศร้า?

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ก็ไม่แปลก เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว ถ้าหากเห็นของเศร้าแล้วใจเบิกบาน แฮปปี้ อันนี้ผิดปกติ แต่เมื่อเห็นแล้ว ก็สามารถใช้คำว่าปลงได้ ต้องคิดไว้เลยว่า สักวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นกับเรา กับครอบครัวเรา หรือกับญาติพี่น้องของเรา หรือเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เคยดีมาแล้ว สักพักมันก็ไม่ดี ก็ต้องคิดได้ว่ามันเป็นความไม่แน่นอน มันคือความจริง ต้องยอมรับความจริง นี่คือกิริยาของการปลง

อย่าไปยึด ต้องหัดวางบ้าง หัดวางทีละนิด ๆ แม้แต่ของรักขนาดไหน เราไม่พลาดจากสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็จะพลาดจากเราไปเอง เป็นธรรมดา

'นักวิชาการทีดีอาร์ไอ' ตั้งคำถาม? ทางออกใดเหมาะสม หากต้องแก้ปัญหาวัย 'ทำงานไทยหด-แก่เพิ่ม-เกิดลด'

เมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.67) ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ประเทศไทยแก่ตัวเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในโลก เด็กเกิดน้อยลงอย่างรวดเร็ว

ถ้าต้องแก้ปัญหา 'มีคนทำงานน้อยลง' ท่านจะเลือกทางใด?

ก. นำเข้าแรงงาน (ทั้งมีฝีมือและค่าแรงถูก) มากขึ้น

ข. แปลงแรงงานต่างด้าวในไทยให้เป็นสัญชาติไทย โดยเฉพาะเด็กต่างด้าวที่เกิดในไทย หรือมาอยู่ไทยแต่เล็กจนเห็นตัวเองเป็นคนไทยมากกว่า

ค. ทำให้คนแก่ทำงานได้นานขึ้น (อย่างมีฝีมือจริง ๆ).. ซึ่งหมายถึงต้องมีชีวิตนานขึ้นด้วยสุขภาพที่ดีพอควรด้วย

ง. ทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อเร่งพัฒนา Robotics & AI จนไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก เพื่อใช้ประโยชน์ทั้งในประเทศและส่งออก

จ. ส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น (ทำไงหว่า?)

ฉ. อื่น ๆ (จงอภิปรายว่าแก้ปัญหาได้ไง)

3 นักการเมืองหญิง 'รวมไทยสร้างชาติ' ร่วมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบาย 'สตรี-เด็ก-คนพิการ' ขยายสิทธิลาคลอด จัดเงินอุดหนุนเด็กเล็ก

(8 มิ.ย.67) พรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้ความยึดมั่นในหลักการ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ได้มอบหมายตัวแทนพรรคที่เป็นผู้ดูแลเรื่องสิทธิสตรีและเยาวชน ประกอบด้วย...

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ เนเน่ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยอดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกอบด้วย ดร.ณัฐวรินธร บวรภัควุฒิสิริ หรือ อิ๊กคิว และ ดร.กาญจนา ภวัครานนท์ หรือ ฟลุค เข้าร่วมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากตัวแทนคณะนักเคลื่อนไหวและนักวิจัย นำทัพโดย นางเรืองรวี พิชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา (Gender and Development Research Institue หรือ GDRI) ที่มาร่วมกับตัวแทนจาก มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย และ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก

ทั้งนี้ ผู้นำเสนอ ได้นำรายงานวิจัยและข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 ฉบับมายื่น ได้แก่ 1) รายงานวิจัยเศรษฐศาสตร์ของความเป็นมารดาในประเทศไทย  2) รายงานข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัวที่มีต่อผู้หญิงและเด็ก และ 3) รายงานผลการสำรวจสถานการณ์คนพิการที่ถูกกระทำความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งรายงาน 2 ฉบับแรกเป็นการทำวิจัยภายในโครงการ 'เสียงของผู้หญิงต่อการทำนโยบายทางสังคมต่อรัฐบาลและพรรคการเมือง' อีกด้วย 

นางรัดเกล้า กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายที่คณะที่มาเยือนได้นำเสนอนั้น มีข้อเสนอที่น่าสนใจอยู่ในหลายส่วน ซึ่งมีการคละระหว่างการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ทั้งนี้อยู่ภายใต้ประเด็นหลัก 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การเล็งเห็นว่าสตรีเป็นส่วนสำคัญในกลไกของเศรษฐศาสตร์ และความเป็นมารดาไม่ควรเป็นอุปสรรคในการทำงาน 2) การเปลี่ยนแปลงเชิงกฎหมายและโครงสร้าง เพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัวที่มีต่อผู้หญิงและเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) การขยายกรอบนโยบายเดิม เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับเด็กวัย 0-6 ขวบ

ในรายละเอียดของข้อเสนอแนะ ประกอบเนื้อหาบางส่วนดังนี้...

1. การรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิความเป็นมารดา รวมถึงกำหนดให้ผู้เป็นมารดามีสิทธิลาคลอด 180 วัน และให้ผู้เป็นบิดาสามารถลาเพื่อดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างตาม จ่ายจริง 100% รวมถึงการผลักดันนโยบายที่จะอำนวยให้มารดาสามารถทำงานควบคู่กับการเป็นแม่ได้ เช่น การมีมุมนมแม่ในที่ทำงาน และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐ ที่ครอบคลุมการรับเลี้ยงเด็ก 0-6 ปี มีเวลาเปิดปิดที่สอดคล้องกับเวลางานของบิดา-มารดา และมีการตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงที่ทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ

2. การรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงานโดยเฉพาะการเลิกจ้างหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงการแก้ไข พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ให้มีความเข้มแข็งมาขึ้น ให้ครอบคลุมว่าการล่วงละเมิดทางเพศให้เป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้

4. เพิ่มความเท่าเทียมและถ้วนหน้าให้กับเด็ก ด้วยนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปี อ้างอิงสถิติปี 2565 ที่มีเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพียงจำนวน 2.3 ล้านคน ในขณะที่ประชากรเด็กไทยมีอยู่ที่ 4.3 ล้านคน หากรับมอบเงินอุดหนุนถ้วนหน้า จะเป็นการเพิ่มงบประมาณอีกเพียง 14,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ความเท่าเทียมกับเด็กอีก 2 ล้านคนที่ปัจจุบันนี้ไม่ได้รับเงินสนับสนุน 

“การรับฟังผลวิจัย ข้อเสนอแนะ และมีโอกาสหารือร่วมกันในครั้งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้รับมาวันนี้ไม่ใช่การคิดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นแนวคิดที่กลั่นกรองมาจากสถิติและผลการวิจัย ด้วยเป้าประสงค์ที่อยากผลักดันให้เกิดประโยชน์ต่อสตรี เด็ก และคนพิการในประเทศไทย  ในฐานะตัวแทนพรรค พวกเรา 3 คน ขอสร้างความมั่นใจว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ ตรงกับนโยบายและความสนใจของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ยึดมั่นในหลักการ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' อยู่แล้ว นอกจากนี้ หนึ่งในปัญหาที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมาก คือเรื่องของสังคมสูงวัยและจำนวนประชากรที่ลดลงของประเทศไทย นโยบายที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถทำงานควบคู่กับการเป็นแม่ได้ และนโยบายที่ส่งเสริมการดึงศักยภาพด้วยการเลี้ยงดูเด็กอย่างมีคุณภาพ เหล่านี้เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องได้รับการผลักดันอย่างเร่งด่วน” นางรัดเกล้า กล่าวเสริม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top