Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

กระจ่าง!! 'คลิปตร.นั่งเชื่อมจิต' ว่อนเน็ต ถูกวิจารณ์ยับ ที่แท้แค่อยากทดลองเชื่อมจิต สุดท้ายก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

เมื่อวานนี้ วันที่ 4 มิถุนายน 2567 จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปจากเพจ อีซ้อขยี้ข่าว 3 โพสต์กลุ่มชายหัวเกรียนแต่งกายคล้ายตำรวจนั่งสมาธิ โดยมีเด็กชายหน้าตาคล้ายน้องไนซ์ เจ้าลัทธิเชื่อมจิต อายุ 8 ขวบใช้นิ้วสัมผัสไปที่หน้าผากคล้ายกำลังเชื่อมจิต พร้อมระบุข้อความว่า ‘อะไรว่ะเนี๊ยะ คุณตำรวจ!!’

คลิปทำเอาชาวเน็ตวิจารณ์จำนวนมาก และสงสัยว่าข้าราชการตำรวจเหล่านี้อยู่โรงพักไหน เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งเกิดเรื่องที่ สน.ทองหล่อ เมื่อกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต นำโดยนายพิชญะ น.ส.นัฐพร พ่อแม่น้องไนซ์ และนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความ รับทราบข้อกล่าวหาคดีที่ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการโหนกระแส ฟ้องข้อหาร่วมกันดูหมิ่นด้วยการโฆษณา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ที่ สน.ทองหล่อ แล้วเกิดการกระทบกระทั่งกับคู่กรณีบนโรงพัก

ล่าสุดทางด้านเพจบิ๊กเกรียน365 ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ตามคลิปภาพที่ปรากฏเป็น ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี พาลูกน้องที่เลื่อมใสศรัทธา มานั่งสมาธิเชื่อมจิต
ต่อมามีรายงานด้วยว่า ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง พ.ต.อ.อรุณพงษ์ ภารพบ ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์​ จ.สุ​ราษฎร์​ธานี ซึ่งเจ้าตัวได้ชี้แจงเบื้องต้นว่า เป็นภาพเก่า ตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว ได้เชิญเด็ก 8 ขวบมาที่ห้องทำงานจริง อ้างให้ลูกน้องไปทดลองว่าเชื่อมจิตได้จริงหรือไม่ สุดท้ายก็เชื่อมจิตไม่ได้ ไม่เกิดอะไรขึ้น

ขณะที่ทางด้านนางสาวชลดา ชนะศรีรัตนกุล ผู้อำนวยการ พมจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่าจากที่มีข่าวว่าทางแม่เด็กเชื่อมจิตจะแจ้งความเจ้าหน้าที่บางคนนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร หากเขาอยากจะแจ้งอะไรก็แจ้งได้ เพราะทางเจ้าหน้าที่มั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มีแต่จะหาวิธีป้องกันคุ้มครองเด็ก เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง

'นักวิชาการส้ม' ชี้!! ไทยสอนประวัติศาสตร์ให้ท่องจำ เน้นปลูกฝังคนให้เชื่องและภักดีภายใต้ความกลัว

(5 มิ.ย. 67) ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา เจ้าของนามปากกานักปรัชญาชายขอบ โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า สอนประวัติศาสตร์ท่องจำที่เน้นปลูกฝังความจงรักภักดีอย่างปราศจากการวิพากษ์ ก็คือการปลูกฝังความจงรักภักดีภายใต้ความกลัว ที่สร้างพลเมืองเชื่องเชื่อฟังอำนาจผูกขาด และพลเมืองกระตือรือร้นเป็นคนดีล่าแม่มดคนคิดต่าง

ที่มา : Thaipost

'อ.เจษฎา' อธิบายชัด!! ปมเปิดแอร์ 27 พร้อมพัดลม แต่ค่าไฟพุ่งขึ้น ชี้!! เป็นวิธีทดลองที่ไม่น่าเชื่อถือ เผย!! บางส่วนทำแล้ว ได้ผลดีเกินคาด

จากกรณีมีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งโพสต์วิดีโอคลิปแสดงบิลค่าไฟของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระบุว่า ทฤษฎีเปิดแอร์ 27 องศาฯ แล้วเปิดพัดลม อ้างว่าประหยัดไฟได้ครึ่งหนึ่ง เดือนที่แล้วค่าไฟ 5,100 บาท ปกติเปิด 25 องศาฯ แต่พอใช้เทคนิคนี้ปรากฏว่าค่าไฟ 6,100 บาท เพิ่มมา 1,000 บาท เดือนที่แล้ว 1,000 หน่วย เดือนนี้ 1,200 หน่วย ถามกลับว่าสูตรใครวะ โดนติ๊กต็อกหลอกอีกแล้ว ทฤษฎีนี้บอกเลยอย่าหาทำ ไม่เวิร์ก ค่าไฟเพิ่มตั้งพันหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย. 67) เฟซบุ๊ก ‘Jessada Denduangboripant’ ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความอธิบายทฤษฎีดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า

“คลิปติ๊กต็อก ‘เปิดแอร์ 27 องศา + เปิดพัดลม แล้วค่าไฟขึ้น’ ... เอามาอ้างอิงได้ จริงหรือ ? ผมว่าไม่นะครับ

มีนักข่าวสองสามช่องโทร.มาถามถึงกรณีที่มีคลิปติ๊กต็อกของหญิงสาวรายหนึ่ง ทำตามวิธีลดค่าไฟด้วยการ ‘เปิดแอร์ 27 องศา และเปิดพัดลม’ หวังลดค่าไฟ แต่ค่าไฟกลับสูงขึ้น โดยบิลค่าไฟเดือนนี้พุ่งไป 6,000 บาท ทำเอาชาวเน็ตสับสน เพราะมีบางส่วนทำแล้วได้ผลดีเกินคาด

โดยสรุป การทดลองในคลิปติ๊กต็อกที่แชร์กันนั้นยังไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ และผมยังเชื่อว่าการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมเป่าตัว ช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ มากกว่าการเปิดแอร์ 25 องศา (โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นแอร์ Inverter ยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก) ไม่น่าจะทำให้กินไฟขึ้นมากอย่างในคลิปดังกล่าวครับ

ตามรายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567 ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งแชร์คลิปลองทำตามวิธีลดค่าไฟตามที่แชร์กันในโลกโซเชียลโดยเปิดแอร์ที่ 27 องศา แล้วเปิดพัดลมควบคู่ กับห้อง 3 ห้องที่บ้าน

ในคลิปเธอบอกว่า ปกติแล้วเปิดแอร์ 25 องศา เพียงอย่างเดียว ใช้ไฟไปทั้งหมด 1,000 หน่วย ค่าไฟอยู่ 5,100 บาท แต่เมื่อได้รับบิลค่าไฟ กลับพบว่าใช้ไฟไป 1,200 หน่วย และค่าไฟพุ่งสูงขึ้น 6,100 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1,000 บาท เธอได้พูดแนวขบขันว่าน่าจะเป็นค่าพัดลม 3 ตัว พร้อมแนะชาวเน็ตอย่าหาทำ ไม่เวิร์ก โดนหลอก!?

ประเด็นสำคัญที่ต้องคิดคือ คลิปการทดลองดังกล่าวไม่มีรายละเอียดใดๆ เลยว่าที่ทำการทดลองไปหนึ่งเดือนนั้นได้ควบคุมปัจจัยอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะจากเครื่องแอร์ พัดลม รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ในบ้าน ให้เหมือนกันตลอดทั้งสองเดือนที่นำมาเทียบกัน

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเดือนแรกเปิดแอร์ 25 องศา แต่เปิดไม่เยอะ ไม่บ่อย / แล้วเดือนที่สอง เปิดแอร์ 27 องศาพร้อมเปิดพัดลม แล้วเปิดบ่อย เปิดเยอะ ค่าไฟฟ้า (ซึ่งคิดคำนวณตามจำนวนชั่วโมงที่ใช้ไฟ) ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ในขณะที่ถ้าเป็นการทดลองโดยอยู่ในสภาวะควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้คงที่ และเปิดแอร์เป็นเวลานานเท่ากัน การตั้งค่าอุณหภูมิเครื่องแอร์ที่สูงขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 10% (ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวง) ทำให้การตั้งค่าอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศที่ 27 องศาเซลเซียส จะประหยัดไฟฟ้ามากกว่าที่ 25 องศา

และการเปิดพัดลมช่วย ให้ลมปะทะร่างกาย ก็จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกเย็นสบายมากขึ้นกว่าเดิมได้ถึง 2 องศาเซลเซียส …จึงแนะนำให้เปิดแอร์ที่ 27 องศา+เปิดพัดลมเป่าตัว เพื่อให้ได้ ‘ความรู้สึก’ เย็นสบายเหมือนเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส ….พูดง่าย ๆ คือ ให้แอร์สร้างอากาศที่เย็น แล้วใช้พัดลมเป่าเข้ามาให้ร่างกายรับอากาศเย็นนั่นเอง

และการเปิดพัดลมนาน ๆ นั้นก็ไม่ได้จะส่งผลต่อค่าไฟฟ้าให้สูงขึ้น เพราะเมื่อเทียบกับแอร์แล้ว พัดลมใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ากันมาก ...โดยส่วนใหญ่แล้วพัดลมไฟฟ้าขนาดใบพัด 16 นิ้ว เปิดลมเบอร์ 1 จะกินไฟแค่ประมาณ 40 วัตต์เท่านั้น / หรือคิดง่าย ๆ ว่า ถ้าเปิดแอร์ขนาด 9000 BTU จะใช้ไฟฟ้าไป พอกับพัดลมขนาด 16 นิ้ว มากถึง 16 ตัว / หรือถ้าคิดแบบหยาบ ๆ เครื่องแอร์ 1 เครื่อง จะกินไฟตกชั่วโมงละประมาณ 1 หน่วย ขณะที่พัดลมใช้ไฟฟ้าแค่ 0.05 หน่วยต่อชั่วโมงเท่านั้น

ดังนั้น จริง ๆ แล้วถ้าจะทำการทดลองเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ ก็คงต้องทำกันโดยควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้คงที่ เช่น จำนวนชั่วโมงที่เปิดแอร์ในแต่ละวันต้องเท่ากัน ช่วงเวลาที่เปิดแอร์ก็ต้องเป็นช่วงเดียวกัน (กี่โมงถึงกี่โมง) เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็ต้องไม่เปิดเพิ่มให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าแปรปรวนไป

หรืออย่างน้อย ถ้าดูจากคลิปวิดีโอยูทูบที่มีคนเคยทดลองเอาไว้ แบบควบคุมปัจจัย (ช่อง Clear Energy ตอน ‘เปิดแอร์ 25 องศา กับ 27 องศาและเปิดพัดลม ค่าไฟต่างกันแค่ไหน?’ (https://youtu.be/eEtjqLjh7sA?si=kmmGrn3UdXWMDzHt ) ซึ่งทดลองกับเครื่องแอร์แบบ Inverter และเมื่อวัดกระแสไฟฟ้า ระหว่างเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส พบว่าอยู่ที่ 8.58 แอมป์ ขณะที่วัดกระแสไฟฟ้าระหว่างเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมพัดลม จะอยู่ที่ 4.36 แอมป์ / ถ้าเปิดแอร์วันละ 9 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 8 โมงเช้า-5 โมงเย็น ได้ผลว่าค่าไฟจะลดลงถึงประมาณ 50% เลยทีเดียว

ส่วนแอร์แบบรุ่นเก่าทั่วไป ที่ส่วนเครื่องคอมเพรสเซอร์ทำงานแบบ fixed speed ที่ความเร็วรอบคงที่ ไม่ได้ปรับให้เร็วช้าได้แบบแอร์ Inverter และไม่ได้ประหยัดไฟเท่าแบบ Inverter อยู่แล้วนั้น ผลที่ได้จากการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียสแล้วเปิดพัดลม ก็ไม่น่าจะประหยัดไฟฟ้าไปได้ถึง 50% ดังว่า แต่ก็น่าจะประหยัดไฟขึ้นแน่ ๆ (ถ้าอ้างอิงข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวง ก็น่าจะได้ประมาณ 20%)

เมื่อย้อนกลับมาดูที่คลิปติ๊กต็อก ที่บอกว่าการเปิดแอร์แล้วใช้พัดลมช่วยทำให้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 200 หน่วย ซึ่งขึ้นสูงกว่าเดิมมากถึง 20% จากเดิม …ก็น่าสงสัยมาก ว่าจริง ๆ แล้วได้มีการใช้งานแอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ หนักขึ้นกว่าเดิมด้วยหรือเปล่า ถึงได้มีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นขนาดนั้นครับ

#โดยสรุป การทดลองในคลิปติ๊กต็อกที่แชร์กันนั้นยังไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องการควบคุมตัวแปรต่างๆ และผมยังเชื่อว่าการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมเป่าตัว ช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าการเปิดแอร์ 25 องศา (โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นแอร์ Inverter ยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก) ไม่น่าจะทำให้กินไฟขึ้นมาก อย่างในคลิปดังกล่าวครับ”

‘การรถไฟฯ’ เปิดใช้รถไฟทางคู่สายใต้เพิ่มอีก 72.6 กม. ช่วง ‘นครปฐม-ชุมพร’ วิ่งฉิวระยะทางรวม 420 กม.

เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย. 67) นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากที่การรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ โดยปัจจุบันสามารถเปิดใช้งานทางคู่ในเส้นทางสายต่าง ๆ แล้วจำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ โครงการช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย ระยะทาง 106 กิโลเมตร โครงการช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ระยะทาง 187 กิโลเมตร ขณะที่เส้นทางรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร เปิดให้บริการระหว่างสถานีบ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จังหวัดชุมพร ระยะทาง 347.4 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา

ล่าสุดการรถไฟฯ ได้พิจารณาความพร้อมของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ และกำหนดเปิดใช้งานเพิ่มอีก 72.6 กิโลเมตร ระหว่างสถานีนครปฐม-บ้านคูบัว ระยะทาง 57 กิโลเมตร และสถานีสะพลี-ชุมพร ระยะทาง 15.6 กิโลเมตร ทำให้สามารถเปิดใช้ทางคู่ในเส้นทางสายใต้ ช่วงนครปฐม-ชุมพร ได้ตลอดเส้นทาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 420 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

โดยใช้ระบบทางสะดวกอิเล็กทรอนิกส์ (E-token) ในการเดินรถระหว่างที่มีการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณที่มีความคืบหน้าแล้ว 59.762% คาดว่าจะสามารถใช้งานได้เต็มระบบภายในปี 2568 ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาเดินทางแก่ประชาชน อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมต่อระบบการขนส่งเส้นทางท่องเที่ยวของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และธุรกิจด้านการขนส่งสินค้าอื่น ๆ อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเปิดให้บริการรถไฟทางคู่สายตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ในระยะแรก ช่วงสถานีมาบกะเบา-มวกเหล็กใหม่ จังหวัดสระบุรี ระยะทาง 13.20 กิโลเมตร และช่วงสถานีบันไดม้า-คลองขนานจิตร จังหวัดนครราชสีมา ระยะทาง 29.70 กิโลเมตร รวมระยะทาง 42.90 กิโลเมตร ภายในปี 2567 ส่วนการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายอื่น และรถไฟทางสายใหม่ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการนั้น การรถไฟฯ ได้เร่งดำเนินการ เพื่อให้เสร็จตามแผนที่กำหนดโดยเร็วเช่นกัน

ตามที่รัฐบาล และกระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งของประเทศ และมอบนโยบายให้การรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ และรถไฟสายใหม่ทั่วประเทศให้แล้วเสร็จตามแผนงานตามนโยบายของนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางราง ให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ที่มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สามารถอำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน การขนส่งสินค้าเชื่อมโยงทุกภูมิภาค มีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ

หากโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทางดำเนินการอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะช่วยยกระดับการให้บริการการเดินทางที่ดีแก่พี่น้องประชาชน รวมถึงการขนส่งสินค้า สามารถถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเดินรถ ทำให้การรถไฟฯ สามารถรองรับขบวนรถได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง ลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม 

อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางเสมอระดับรถไฟ-รถยนต์ ที่สำคัญ รถไฟทางคู่ยังช่วยกระจายโอกาสทางสังคมการเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่ชนบท เมือง และประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการพลิกโฉมการคมนาคมขนส่งระบบรางของประเทศ ให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคตอันใกล้

ชาวสมุยโอด!! ‘ปัญหาขยะล้นเกาะ’ วนมาอีกครั้ง ทำลายภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวระดับโลก

“ถุงขยะเกลื่อนเกาะสมุย แม้นายกฯ รับปากจะจัดการโดยเร็ว แถมยังเกิดไฟไหม้ซ้ำอีก ศาลปกครองก็สั่งให้เทศบาลเร่งแก้ แต่ปัญหายังเหมือนเดิม”

นายหัวไทรได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านบนเกาะสมุยว่า เวลานี้มีขยะล้นเกาะแล้ว ชาวบ้านไม่รู้จะเอาไปทิ้งไหนก็นำมาใส่ถุงดำวางไว้บนถนน

“ชาวบ้านจำเป็นต้องนำถึงขยะมาวางกองไว้บนถนน โดยเฉพาะถนนเส้นหลักสายโรงพยาบาลไปสนามบิน เต็มไปด้วยถุงขยะ รถเก็บขยะของเทศบาลนครสมุย ก็ไม่มาเก็บไปกำจัด ไม่รู้ว่าเกิดจากปัญหาอะไร โทรไปแจ้งผู้รับผิดชอบของเทศบาลก็ไม่รู้อยู่ไหน”

ปัญหาขยะเกาะสมุยเป็นปัญหาที่มีมายาวนาน จนเคยมีปัญหาบ่อกำจัดขยะเต็มมาแล้ว

“เทศบาลแก้ปัญหาด้วยการใช้เรือขนไปกำจัดฝั่งเมืองสุราษฎร์ธานี แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ ยังมีขยะตกค้างอีกนับแสนตัน

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2567 นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เดินทางไปเกาะสมุย ได้ไปดูเตาเผาขยะเกาะสมุย และได้แสดงความเป็นห่วงการท่องเที่ยวเจริญขึ้น ทำขยะล้น และรับปากว่าจะดูแลปัญหา สนับสนุนงบฯในการเร่งแก้ ทำคู่ขนานมาตรการระยะสั้น-ระยะยาว

ครั้งนั้นชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตรวจติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหาขยะในอำเภอเกาะสมุย โดยนายกฯ รับฟังการบริหารจัดการขยะเกาะสมุยที่ยังตกค้างอยู่จำนวนประมาณ 150,000 ตัน จากนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย โดยขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในการกำจัดขยะดังกล่าว ทั้งนี้ ในระยะสั้นที่ต้องมีการขนขยะออกไป และต้องใช้งบประมาณ 237 ล้านบาทนั้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่า ซึ่งต้องขอดูก่อน แต่สำคัญที่สุดคือขยะที่ตกค้างจะต้องถูกกำจัดโดยเร็ว โดยการแก้ปัญหาระยะสั้นรัฐบาลรับจะดูแลให้ว่าวิธีการใดจะดีที่สุด

ส่วนระยะยาวต้องพัฒนาศักยภาพเตาเผาให้มีประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยจะทำควบคู่กันไป เพื่อรองรับขยะที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นได้ ทั้งจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ พร้อมขอบคุณชาวสมุยที่ช่วยกันแยกขยะ ซึ่งส่วนนี้ก็ช่วยการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วย

ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 28 พฤษภาคม ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้กองขยะ 1.5 แสนตัน ชาวบ้านอยากให้หาแนวทางบริหารจัดการในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้ให้ดีกว่านี้ เพราะห่วงเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากบริเวณรอบข้างมีบ่อขยะเก่าจำนวนหลายบ่อ หากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาอีกก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

กองขยะที่ถูกเพลิงไหม้ อยู่ภายในโรงเก็บขยะ สถานที่เตาเผาขยะเทศบาลนครเกาะสมุย หมู่ที่ 5 ตำบลมะเร็ต อ.เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี เหตุเกิดเมื่อช่วงเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 โดยเพลิงได้โหมลุกไหม้อย่างรุนแรง เนื่องจากต้นจุดเกิดเหตุเป็นกองขยะเก่าจำพวกพลาสติกที่แห้งและติดไฟง่าย โดยเจ้าหน้าที่ได้ระดมรถดับเพลิง รถน้ำ จากเทศบาลนครเกาะสมุย รถดับเพลิงจากสนามบินสมุย รถน้ำของเอกชน มาช่วยดับไฟ 

ต่อมาเวลาประมาณ 03.00 น. สถานการณ์คลี่คลายเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้

จากการสังเกตโรงเก็บขยะ พบว่าเป็นโครงสร้างที่ทำจากเหล็ก ตัวเสาและโครงตรัสตรงจุดที่เกิดไฟไหม้ บางชิ้นมีลักษณะบิดงอ หลังคาและผนังที่ใช้แผ่นเมทัลชีทได้รับความเสียหาย ในเบื้องต้นทางเทศบาลนครเกาะสมุย ยังไม่สรุปสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ และจะให้วิศวกรกองช่างเข้ามาตรวจสอบโครงสร้างอาคารดังกล่าวว่ามีความปลอดภัยหรือไม่

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2566 ศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำพิพากษาให้เทศบาลนครเกาะสมุย โดยนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการเก็บ ขน และกำจัดมูลฝอย รวมทั้งมูลฝอยติดเชื้อ ในบ่อขยะ ในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือมาตรฐานที่กฎหมายหรือกฎที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ และให้ขจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ และบำบัดแหล่งน้ำสาธารณะบริเวณที่พิพาทให้กลับคืนสู่สภาพเดิม และให้เทศบาลนครเกาะสมุย รายงานผลการดำเนินการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและศาลทราบทุก 30 วัน จนกว่าปัญหามลพิษดังกล่าวจะหมดสิ้นไป แต่ไม่เกิน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด

เกาะสมุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่ใครก็ใฝ่ฝันอยากจะไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ไปชมทัศนียภาพ ธรรมชาติอันสวยงามโดดเด่นของเกาะสมุย แต่การบริหารจัดการเกาะสมุยยังไม่พร้อมจะรองรับการทะลักเข้ามาของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะปัญหาการจัดการขยะ ปล่อยให้ชาวบ้านนำขยะในถุงกองไว้บนถนนให้อุจาดตาประจานการทำงานของเทศบาลเกาะสมุยได้อย่างไร สนามบินก็เป็นของเอกชน ที่จำเป็นต้องลงทุนขนานรันเวย์ให้ยาวกว่านี้ เพื่อรองรับเครื่องบินลำใหญ่ขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

'คลัง' กระตุ้นเที่ยวเมืองรองช่วง Low Season สัมมนาเมืองรองหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ค่าไกด์-โรงแรม หักได้ 15,000

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังออกมาตรการทางภาษีกระตุ้นการสร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว ในเมืองรองช่วง Low Season 2 มาตรการ ดังนี้ 

1. มาตรการภาษีกระตุ้นสัมมนาในประเทศ (สำหรับนิติบุคคล)
นิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือค่าบริการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวเพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 30 พฤศจิกายน 2567 หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้

1.1 หักรายจ่ายได้ 2 เท่า สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดใน “จังหวัดท่องเที่ยวรอง” หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
1.2 หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในท้องที่อื่นนอกจากท้องที่ตามข้อ 1.1 
1.3 ในกรณีที่การสัมมนาเกิดขึ้นในท้องที่ตามข้อ 1.1 และข้อ 1.2 ต่อเนื่องกัน ให้หักรายจ่ายที่สามารถแยกได้ว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดตามข้อ 1.1 หรือข้อ 1.2 และถ้าแยกไม่ได้ให้หัก 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง

2. มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง (สำหรับบุคคลธรรมดา) 
บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทยหรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน “จังหวัดท่องเที่ยวรอง” ได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท หักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (Low Season)

ทั้ง 2 มาตรการ ต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ทั้ง 2 มาตรการนี้จะตอบโจทย์ 2 อย่างพร้อมๆกัน นั่นคือ กระตุ้นการเที่ยวเมืองรอง และกระตุ้นการเที่ยวช่วง Low Season

“ดีอี” เปิดผลงานปราบ “โจรออนไลน์” เฟส 2 ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์- หลอกลวงข้ามชาติ-เครือข่ายพนันออนไลน์ อื้อ พร้อมเดินหน้าปราบซิมม้า-บัญชีม้า เด็ดขาด  

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยี ที่มี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวง ดีอี เป็นรองประธานกรรมการ นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวง ดีอี เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ และผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมหารือกัน เพื่อดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ใน ระยะที่ 2 

สำหรับมาตรการและผลการดำเนินงาน ระยะที่ 2  ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา มี  8 เรื่องที่สำคัญ ประกอบด้วย 

1.การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือนพฤษภาคม (ข้อมูล ตร.)

- การจับกุมคดีออนไลน์รวมทุกประเภท เดือนพฤษภาคม 2567 มีจำนวน 2,295 ราย ลดลง ร้อยละ 8 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 2,495 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 

- การจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ เดือนพฤษภาคม 2567มีจำนวน 991 ราย ลดลง ร้อยละ 7 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 1,064 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 

- การจับกุมคดีซิมม้า บัญชีม้า มีจำนวน 199 ราย ลดลง ร้อยละ 17 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 240 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 

ทั้งนี้ตำรวจมีการจับกุมครั้งสำคัญ ในเดือนพฤษภาคม 2567 อาทิ 

1) จับกุมคดีพนันออนไลน์ เว็บไซต์ .บ้านหวย.com   โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 9 ราย เงินหมุนเวียนประมาณ 80 ล้านบาทต่อเดือน โดยสามารถยึดทรัพย์เพื่อตรวจสอบมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท 

2) ปฏิบัติการ HANG UP บุกทลายเว็บพนันใหญ่ ‘หวานเจี๊ยบ’ มีเงินหมุนเวียนหนึ่งพันล้านบาทต่อเดือน 

3) ปฏิบัติการ แก๊ง Call Center หลอกลวงข้ามชาติ เมืองโอเสม็ด กัมพูชา โดยได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว 12 ราย โดยมีการกำหนดเป้าหมายว่าในรอบ 1 สัปดาห์ ต้องหลอกผู้เสียหายให้ได้ขั้นต่ำ 20 ล้านบาท รายได้หมุนเวียนต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท 

และ 4) การจับกุมและขยายผลกระบวนการหลอกลงทุนคริปโต 530 ล้านบาท ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับการพนันออนไลน์จำนวน 2 เครือข่าย โดยมียอดเงินหมุนเวียนกว่า 13,000 ล้านบาท จับกุม 25 ราย โดยยึดทรัพย์สินกว่า 125 ล้าน

ขณะที่ดีเอสไอ มีการจับกุมที่สำคัญในเดือนพฤษภาคม 2567 ได้แก่ คดีเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย (แม่มนต์)  เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยมีวงเงินหมุนเวียน ในบัญชีกว่า 150 ล้านบาท

2. การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน

- ปิดโซเชียลมีเดีย และเว็บผิดกฎหมายทุกประเภท เดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 15,758 รายการ เพิ่มขึ้น  9.3 เท่า จากเดือน จากเดือนพฤษภาคม 2566 ที่มีจำนวน 1,687 รายการ

- ปิดเว็บพนันเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 6,459 รายการ เพิ่มขึ้น 82.8 เท่า จาก เดือนพฤษภาคม 2566 ที่มีจำนวน 78 รายการ

3. การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน ผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 31 พฤษภาคม 2567 มีดังนี้
 
- ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 800,000 บัญชี แบ่งเป็น ปปง.ปิด 344,079 บัญชี ธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี และ AOC ระงับ 171,794 บัญชี 

- กำหนดมาตรการและเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการนำไปกระทำความผิด โดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชีใหม่ โดย ธปท. ได้ดำเนินการออกหนังสือเวียนแล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 

- กวาดล้างบัญชีม้าจากการใช้รายชื่อเจ้าของบัญชีม้า และรายชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทำการปิดบัญชีธนาคารทุกธนาคาร จากชื่อบุคคลดังกล่าว โดยตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน

4.การแก้ไขปัญหาซิมม้าและ ซิมที่ผูกกับ Mobile Banking มีผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 26 พฤษภาคม 2567 มีดังนี้
 
- การระงับหมายเลขโทรออกเกิน 100 ครั้ง/วัน แล้ว 42,298 หมายเลข มีผู้มายืนยันตัวตน 372 เลขหมาย ไม่มายืนยันตัวตน 41,926 เลขหมาย  

- การกวาดล้างซิมม้าและซิมต้องสงสัย โดย สำนักงาน กสทช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน และผลการดำเนินงาน มีดังนี้

 1)กลุ่มผู้ถือครองซิมการ์ดมากกว่า 100 ซิม โดยมีเลขหมายที่เข้าข่าย 5.0 ล้านเลขหมาย ซึ่งครบกำหนดการยืนยันตัวตนเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 มีผู้มายืนยันตัวตนแล้ว จำนวน 2.6 ล้านเลขหมาย และยังไม่มายืนยันตัวตน จำนวน 2.4 ล้านเลขหมาย โดยในกลุ่มที่ยังไม่มายืนยันตัวตน ถูกระงับซิมชั่วคราวไปแล้วทั้งสิ้น 2.3 ล้านเลขหมาย

 2)กลุ่มผู้ถือครองซิมการ์ดตั้งแต่ 6-100 เลขหมายต่อค่ายมือถือ จะต้องยืนยันตัวตนภายในวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ซึ่งมีเลขหมายที่เข้าข่าย 4.0 ล้านเลขหมาย มีผู้มายืนยันตัวตนแล้ว 1 ล้านเลขหมาย และยังไม่มายืนยันตัวตน จำนวน 3 ล้านเลขหมาย 
 
- การตรวจสอบซิมที่ใช้กับโมบายแบงกิ้ง โดยกระบวนการตรวจสอบดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จในระยะเวลา 120 วัน หรือประมาณเดือนตุลาคม 2567 ทั้งนี้ ในระหว่างดำเนินการ ประชาชนยังสามารถใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ ในส่วนของข้อยกเว้นต่างๆ ที่ปรากฏตามสื่อยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน และจะมีการแจ้งรายละเอียดให้ประชาชนทราบโดยเร็ว เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อย ภายใน 120 วัน

- การเข้มงวดในการเปิดใช้ ซิมใหม่ ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ การลงทะเบียนและยืนยันตัวตนของ กสทช. เพื่อป้องกัน การนำซิมไปใช้กระทำผิดกฎหมาย

5. การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน 

- สำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตรวจสอบการให้บริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยง และทำการรื้อถอน ปรับทิศทาง หรือลดกำลังส่งสายอากาศ เพื่อให้มีพื้นที่การให้บริการครอบคลุมเฉพาะภายในประเทศ ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก อ.แม่สาย อ.เชียงของ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี อ.เมือง จ.ระนอง โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 มิถุนายน 2567

6. การแก้กฎหมายเร่งด่วน

6.1 การแก้ไขกฎหมายพิเศษแบบเร่งด่วน ใน 3 ประเด็น คือ (1) เร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย (2) การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และ (3) การป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล

6.2 มาตรการปรับปรุงกฎระเบียบ/แนวปฏิบัติเพื่อการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้าย โดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ดังนี้ 
(1) ก.ล.ต. ร่วมกับ ปปง. ผลักดันให้มีการยกระดับหลักเกณฑ์ด้านการฟอกเงินของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการฟอกเงินของ Financial Action Task Force (FATF) 

(2) สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติงาน เรื่องการพิจารณาบัญชีต้องสงสัยว่าถูกใช้ในการกระทำผิด เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ (guideline) สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในการพิจารณาคัดกรองการเปิดบัญชีและการทำธุรกรรมที่ต้องสงสัยว่าถูกใช้ในการกระทำความผิด

6.3 การแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์แบบใช้บริการเก็บเงินปลายทาง (COD)  โดยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้จัดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ ให้ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. .... 

7. การเพิ่มบทบาท ความรับผิดชอบให้ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และธนาคาร โดย กระทรวงดีอี ได้หารือแนวทางร่วมกันกับ บริษัท ไลน์ประเทศไทย แพลตฟอร์ม Meta และ X เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์เชิงรุก ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการปิดกั้น URL ที่ผิดกฎหมาย แบบเชิงรุก 

8. การบูรณาการข้อมูล โดยศูนย์ AOC 1441 โดยเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 กระทรวงดีอี โดยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ว่าด้วยการให้ความเห็นชอบระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC) ร่วมกับ  กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

นายประเสริฐ กล่าวว่า ในภาพรวมของการดำเนินงานอย่างบูรณาการ เร่งรัดจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้าและซิมม้า เร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ มีผลงานชัดเจน เป็นตัวเลขที่สูงขึ้นต่อเนื่องจากในเดือนเมษายน 2567 อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งการปราบปรามจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้า ซิมม้า ปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงต่อเนื่อง แก้ปัญหาหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ เพื่อให้จำนวนผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายจากคดีออนไลน์ลดลงโดยเร็ว ช่วยลดความเดือนร้อนของประชาชน

‘ธนกร’ ติง ‘ชัยธวัช’ ก้าวล่วงอำนาจศาล กังวลได้แต่อย่าใช้อารมณ์ หลังพาดพิงปัจจัยการเมือง เอี่ยวคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล

(5 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า กรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อถึงคำร้องยุบพรรคก้าวไกล หลังเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ.เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีการพูดพาดพิงว่ามีปัจจัยทางการเมืองเกือบทั้งหมด มาเกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยของศาลที่จะออกมา มองว่าการแสดงความเห็นของนายชัยธวัชในลักษณะนี้ ถือเป็นการกล่าวหาและก้าวล่วงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน ล้วนมีการพิจารณาวินิจฉัยแต่ละคดี ตามหลักข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคดีนี้จากที่มองพฤติกรรมก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน และสื่อมวลชนอยู่แล้วว่าพรรคก้าวไกลเป็นอย่างไร ตนมั่นใจ ว่าคำวินิจฉัยในแต่ละคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาตามนั้น เป็นไปตามข้อเท็จจริงและตามหลักกฎหมาย ไม่สามารถ ปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงเพื่อกลั่นแกล้งพรรคใดพรรคหนึ่งได้ หากไม่มีมูลความผิด

“เข้าใจว่านายชัยธวัช มีความกังวล จนพาลโทษคนอื่นไปทั่ว การกล่าวหาว่าปัจจัยการเมืองแทรกแซงคำวินิจฉัยนั้น ถือว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลหรือไม่และเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง ขอให้นายชัยธวัชยอมรับ หากสุดท้ายคำวินิจฉัยจะออกมาเป็นคุณ หรือ เป็นโทษก็ตาม ไม่ควรใช้อารมณ์ ความกังวล หรือความกลัวจะถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่ 2 มากล่าวหาแบบมีอคติ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง” นายธนกร ติง

‘กฟผ.’ เดินหน้าเพิ่มสัดส่วน ‘พลังงานสะอาด’ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง จับมือ ‘IHI Corporation’ แลกเปลี่ยนความรู้ รุกใช้เชื้อเพลิงชีวมวล-ถ่านหิน

เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.67) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท IHI Corporation ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีในการจัดตั้งโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง พร้อมทั้งประเมินองค์ประกอบและคุณสมบัติของ wood pellets เพื่อทดสอบการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล อัดแท่งร่วมกับถ่านหินที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง โดยมี นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และ Mr. Shinichi Kihara (ชินอิจิ คิฮารา), Director General of Agency for Natural Resources and Energy, Ministry of Economy, Trade and Industry of Japan (อธิบดีกรมทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น) เป็นสักขีพยาน ณ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ด้าน นายนรินทร์ เผ่าวณิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง กฟผ. กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า กฟผ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาดในทุกมิติ

โดยร่วมกับบริษัท IHI Corporation บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีประสบการณ์ด้านการเปลี่ยนผ่านเชื้อเพลิงจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งที่เหมาะสมกับโรงไฟฟ้า ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์การทำงาน องค์ความรู้ รวมทั้งศึกษาแนวทางด้านต่าง ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ในการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065

ทั้งนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้ประกอบด้วย การศึกษาความเหมาะสมทางด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีในการออกแบบโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (wood pellets) การประเมินและเลือกรูปแบบของโรงงานผลิตที่เหมาะสม การประเมินองค์ประกอบและคุณสมบัติของ wood pellets รวมถึงมีการทดสอบการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล อัดแท่งร่วมกับถ่านหินที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคการผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม และมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ของประเทศ

ทีมผู้สร้างโปรแกรม AI ของ Stanford ยอมรับผิด หลังลอกผลงานของทีมนักพัฒนา AI จากจีน

เรื่องอื้อฉาวของแวดวง AI วันนี้ ต้องยกให้กับข่าวการโพสต์ข้อความขอโทษอย่างเป็นทางการจาก 2 สมาชิกในทีมนักพัฒนาโปรแกรม AI จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สถาบันการศึกษาระดับโลกในรัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ถูกจับได้ว่าลอกงานเขียนโปรแกรมของทีมนักพัฒนา AI ของจีน

2 สมาชิกคนดังกล่าวคือ Siddharth Sharma และ Aksh Garg หนึ่งในสมาชิกทีมพัฒนา Llama3-V ที่ใช้รูปแบบโมเดลภาษาของ Meta AI ซึ่ง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เคยกล่าวว่าเป็นรูปแบบภาษาที่มีความล้ำหน้า หลากหลาย ที่ใช้ไฟล์ขนาดเล็กกว่า GPT งานของ Open AI ค่ายคู่แข่งหลายเท่า 

ซึ่ง Llama3-V เพิ่งปล่อยออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 โดยทีม Stanford AI และได้เปิดหลักสูตรอบรม Llama3-V ตัวใหม่ ที่เคลมว่ามีศักยภาพเหนือกว่าโปรแกรมอื่น ๆ อย่าง GPT-4V Gemini Ultra และ Claude Opus ในราคาคอร์สละ 500 ดอลลาร์ 

แต่ต่อมา ผู้ที่เข้าร่วมคอร์ส Llama3-V ได้ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมโครงสร้างโปรแกรมของ Llama3-V หลายจุด เหมือนกับ โปรแกรม MiniCPM-Llama3-V 2.5 ผลงานของบริษัท ModelBest ที่ร่วมกับทีมนักพัฒนาจาก มหาวิทยาลัยชิงหวาของจีน ไม่มีผิดเพี้ยน และได้นำโค้ดของทั้ง 2 โปรแกรมมาเทียบให้ดู เพื่อให้ชาวเน็ตผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมมาพิสูจน์ความเหมือน

จนกระทั่งวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมาบริษัท ModelBest ออกมาพูดถึงกรณีนี้ว่า โปรแกรมที่พัฒนาโดยทีมจากสแตนฟอร์ดนั้น ใช้โค้ดเหมือนกับ MiniCPM ของจีนจริง และยังมีความสามารถที่เหมือนกันคือ สามารถแยกตัวอักษรจีนโบราณได้ และมีจุดบกพร่องในตำแหน่งเดียวกันอีกด้วย จึงยืนยันได้ว่าเป็นการลอกผลงานจริง 

หลี ต้าไห่ ประธานบริษัท ModelBest ยังกล่าวอีกว่า "การได้รับการยอมรับจากทีมพัฒนาระดับนานาชาตินั้นเป็นเรื่องดี และเราเชื่อมั่นในการสร้างสังคมที่เปิดใจกว้าง มีความร่วมมือ และไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเราก็อยากให้ผลงานของทีมเราได้ถูกค้นพบ และได้รับการยกย่องอย่างที่ควรจะเป็น แต่ไม่ใช่ในลักษณะนี้”

เมื่อหลักฐานชัดเจน 2 สมาชิกจากทีมผู้พัฒนา Llama3-V ก็ได้ออกมาโพสต์ยอมรับความผิด และขอโทษทีมผู้สร้าง MiniCPM ผ่าน X จากการทำงานที่ขาดความรอบคอบ จนสร้างปัญหาให้กับทีมงานทั้งหมดของโปรเจกต์ Llama3-V และกับทีม MiniCPM ของจีน รวมถึงผู้ที่ติดตามผลงานวิชาการของทีมนักศึกษาสแตนฟอร์ด และสถาบัน ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงในแวดวงนักพัฒนา AI เป็นวงกว้าง เริ่มจาก คริสโนเฟอร์ แมนนิ่ง ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ และ ภาษาศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พ่วงตำแหน่งผู้อำนวยการห้องวิจัยปัญญาประดิษฐ์ของมหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความประณามผ่าน X ถึงเรื่องอื้อฉาวนี้ว่า "ปลอมตั้งแต่ยังไม่สร้าง ก็เป็นได้แค่สินค้าไร้ราคาในซิลิคอน วัลเลย์" 

ด้าน ลูคัส เบเยอร์ นักวิจัยประจำห้องแล็บ AI DeepMind ของ Google แสดงความเห็นผ่านโซเชียลเช่นกันว่า จากข่าวนี้ทำให้คนในวงการได้รู้จัก MiniCPM-Llama3-V 2.5 ซึ่งถือว่าเป็นโมเดลที่ดีทีเดียว เพียงแค่คนไม่ค่อยสนใจเพราะมองว่าเป็นผลงานของนักพัฒนาจีน ไม่ใช่งานของเด็ก Ivy League เท่านั้นเอง  

หลิว จือหยวน หัวหน้าทีมวิจัยของ ModelBest และรองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยชิงหวา ได้โพสต์ข้อความผ่าน WeChat เช่นกันว่า ตอนที่เราเริ่มโครงการนี้ เรารู้ถึงช่องว่างที่ห่างมากระหว่างเทคโนโลยี AI ของจีนในตอนนั้น กับ งานพัฒนาชั้นนำของชาติตะวันตกอย่าง Sora และ GPT-4 แต่เราก็พัฒนาได้เร็วมาก จาก Nobody แห่งวงการเมื่อสิบปีก่อนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกุญแจขับเคลื่อนสำคัญของนวัตกรรมเทคโนโลยี AI ได้ในวันนี้

ในขณะที่ข่าวนี้ ทำให้ทีมหนึ่งดับ แต่อีกทีมหนึ่งกำลังจะดัง เป็นที่รู้จักในวงการมากขึ้นว่า 'AI ของทีมจีนนั้นดูแคลนไม่ได้' เพราะยิ่งเทคโนโลยีล้ำหน้ามากเท่าไหร่ ยิ่งพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top