Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

'สาวเจ้าของเก่า' ราดน้ำร้อนใส่ไซบีเรียน โพสต์เปิดใจ ยอมรับว่าผิด แต่ไม่ใช่เพราะขโมยขนม ยัน!! ไม่รู้หมาท้อง

(5 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีสุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ที่กำลังท้อง ถูกราดน้ำร้อนจัดใส่ โดยฝีมือเจ้าของหมา ซึ่งให้เหตุผลว่าแอบกินขนม ขณะที่มูลนิธิวอชด็อกไทยแลนด์ ได้เข้าไปช่วยดูแลและหาบ้านใหม่ให้ 

สะเทือนใจคนรักหมา ว่อนคลิปสาวราดน้ำร้อน ไซบีเรียนท้อง ‘ดิ้นร้องสุดทรมาน’ 

ล่าสุด เจ้าของเก่าของเจ้าไซบีเรียน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

เป็น บ..จริงๆ ค่ะ ก่อนอื่นต้องขอโทษสังคมก่อนที่ได้รับภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้น ความรู้สึกผิด หรือรู้สำนึกว่ามันไม่ดี มันเกิดขึ้นตั้งแต่อารมณ์ขาดสติหมดลงแล้วค่ะ

เหตุการณ์เดือนนึงแล้ว บ..ไม่ได้มีไทม์แมชชีนย้อนกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดทางอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ณ จุดฟีลขาด

บ..ขอพูดในมุมของ บ..ในพื้นที่ของ บ..ที่จะเปิดเป็นสาธารณะ เพราะวันนี้มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของสังคม ที่ได้รับภาพความรุนแรง

ก่อนหน้านี้ไม่ทราบมาก่อนค่ะ ว่าน้องหมาตั้งท้อง

หมวยเล็กเป็นหมาที่ บ..เลี้ยงมาเอง ตั้งแต่มัน 45 วัน

กัดข้าวของและก่อการร้ายในบ้านเรื่อยๆ ตามประสา

ถ้า บ..ตีเพราะพฤติกรรมแย่งขนม น้องคงไม่ได้เป็นที่รักของทุกคนในโซเชียลจากการเผยแพร่ของ บ..

บ..อยากใช้พื้นที่ส่วนตัวอธิบายให้สังคมรับรู้ว่าทุกๆ คน มีแรงกดดัน มีสภาพแวดล้อม มีวิธีจัดการกับอารมณ์เมื่อจนมุมต่างกัน และ บ..ผิดพลาดที่จัดการอารมณ์ไม่ดี

เรารับรู้และไม่เคยกดดูคลิปวิดีโอนั้น แม้แต่ 1 ครั้ง เพราะใช่ มันรุนแรง เรารู้สึกผิดตั้งแต่วันที่มันเกิดเหตุแล้ว ว่ามันเกินกว่าเหตุ

แต่เราไม่ได้มานั่งอธิบายแต่แรก เพราะเราคิดว่ามันไม่มีใครเข้าใจ pressure environment ของแต่ละคนในเหตุการณ์นั้นๆ ทุกคนเห็นและตัดสินจากการกระทำเลย

เราแมนพอรับว่าเราตั้งใจทำ เราทำจริง และเรารับทุกคำด่าได้เป็นผลจากการกระทำของเราเอง
ขอความอนุเคราะห์ด่าในพื้นที่

ที่วางขอบเขตไว้โดยไม่รบกวนต่อบุคคลที่ 3-4-5-6 หรือคนในครอบครัว ตลอดจนเพื่อนร่วมสถานะ friends ใน Facebook

ขอบคุณและขอโทษอีกครั้งค่ะ

ส่วนของการดำเนินคดีตามกฎหมาย ให้เป็นไปตามขั้นตอนได้เลยค่ะ

***ไม่มีใครราดน้ำร้อน เพราะหมาขโมยขนมหรอกค่ะ***

มันมีหลายปัจจัย ที่กดดันให้ทำเพื่อให้หมาไปหาบ้านใหม่ที่พร้อมดูแลค่ะ

‘ชาวเน็ต’ ข้องใจ!! ‘ซีรีส์เกาหลี’ ถ่ายที่ไทย มักย้อมภาพ ‘สีเหลือง’ แถมเป็นโทนสีที่เห็นได้บ่อย ในฉากที่สื่อถึงประเทศด้อยพัฒนา

(5 มิ.ย.67) ในเชิงจิตวิทยา ‘สี’ มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ โดยแต่ละโทนสี หรือกลุ่มสี สามารถสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าการถ่ายทำซีรีส์หรือภาพยนตร์ มักจะมีการย้อมสีของภาพ (Color grading) เพื่อช่วยปรับปรุง แก้ไข และเติมชีวิตชีวาให้กับเรื่องราวที่ต้องการถ่ายทอดให้ผู้ชมรับรู้

โดยมีการย้อมภาพเป็น ‘สีเหลือง’ ซึ่งสีโทนเหลือง มักจะถูกใช้เพื่อบ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึก ‘คลั่ง-เจ็บป่วย-วังเวง’ และเป็นโทนสีที่มักจะเห็นในฉากที่สื่อถึงประเทศด้อยพัฒนา

อย่างไรก็ตาม ได้มีชาวเน็ตคนหนึ่งจุดประเด็นว่า… “ทุกเรื่องที่มาถ่ายที่ไทยเองติดเหลืองตลอดฟีลบ้านป่าเมืองเถื่อนสุด ๆ มีคิงเดอะแลนด์เรื่องเดียวที่มี กทท. สนับสนุนเลยออกมาดี ส่วนเรื่องอื่นถ้ามาถ่ายเองสีนี้หมดจะว่าเป็นโทนสีทั้งเรื่องก็ไม่ใช่ด้วยเพราะพอซีนถ่ายในประเทศตัวเองก็สีปกติ อิเกานี้มันจริง ๆ”

“แค่หงุดหงิดเพราะมันออกแนว Racist มากกว่า ปัญหาในสังคมไทยคิดว่าเนื้อเรื่องมันก็สามารถสื่อออกมาได้โดยไม่ต้องย้อมเหลืองได้

เราไม่มีความรู้เรื่องฟิล์มอะไรนะ แค่หงุดหงิดเพราะอุตสาหกรรมบันเทิงที่เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศมัน ตัวจุดกระแสกับตลาดแรกก็ SEA เงินก็จะเอาเหยียดก็จะเหยียด”

ทั้งนี้ ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วยและไม่คิดว่าโดนเหยียดออกมาโต้ว่า ก็เป็นแค่การแต่งสีภาพเมืองร้อน ทุกประเทศก็มีทั้งด้านที่ดีและไม่ดี แค่ต้องยอมรับความจริง

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซีรีส์เกาหลีแทรกประเด็นเกี่ยวกับประเทศไทยในเชิงลบ ไม่นานมานี้ในซีรีส์เรื่อง Big Mouth มีฉากที่พูดว่า “พอคลอดไซโคพาธอย่างเอ็งแล้ว แม่เอ็งกินอะไร ต้มยำกุ้งเหรอหรือซุปเลือดวัว”

14 มิถุนายน พ.ศ. 2310 ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ สั่ง ‘ทุบหม้อข้าว’ บุกตีเมืองจันทบุรี ยุทธวิธีอันลือลั่นในปัจจุบัน ที่ปลุกขวัญกำลังใจทหารกล้าจนสำเร็จ

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2310 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ คือ ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ ได้ยกทัพบุกตีเมืองจันทบูร หรือเมืองจันทบุรี และได้ปลุกขวัญกำลังใจเหล่าทหารด้วยการ ‘ทุบหม้อข้าว’ หมายจะได้กินข้าวเช้าในเมืองจันทบุรี หากตีเอาเมืองไม่ได้ ก็ให้ตายด้วยกันเสียให้หมด ถือว่าเป็นกลศึกที่ปลุกขวัญกำลังใจแก่ทหารกล้าเป็นอย่างมาก และเป็นยุทธวิธีอันลือลั่นมาจนถึงทุกวันนี้

จากเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน สมเด็จพระเจ้าตากฯ เดินทัพจากระยองผ่านแกลงเข้าบางกระจะ มุ่งยึดจันทบุรี เจ้าเมืองจันทบุรีไม่ยอมสวามิภักดิ์ สมเด็จพระเจ้าตากฯ ต้องการยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นที่มั่นเพื่อรวบรวมกำลังมาตีพม่า จึงสั่งทหารทุกคนว่า

"เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเสร็จแล้ว ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ ก็จะให้ได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว"

ทั้งนี้ ในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2310 ครั้นถึงเวลา 19.00 น. สมเด็จพระเจ้าตากฯ จึงได้สั่งให้ทหารไทยและจีนลอบเข้าไปอยู่ตามสถานที่ที่ได้วางแผนไว้แล้ว ให้คอยฟังสัญญาณเข้าตีเมืองพร้อมกัน จึงให้โห่ขึ้นให้พวกอื่นรู้ เมื่อเวลา 03.00 น. สมเด็จพระเจ้าตากฯ ก็ขึ้นคอช้างพังคีรีบัญชร ให้ยิงปืนสัญญาณพร้อมกับบอกพวกทหารเข้าตีเมืองพร้อมกัน ส่วนสมเด็จพระเจ้าตากฯ ก็ไสช้างเข้าพังประตูเมืองจนทำให้บานประตูเมืองพังลง ทหารสมเด็จพระเจ้าตากฯ จึงกรูกันเข้าเมืองได้ พวกชาวเมืองต่างพากันละทิ้งหน้าที่หนีไป ส่วนพระยาจันทบุรีก็พาครอบครัวลงเรือหนีไปยังเมืองบันทายมาศ สมเด็จพระเจ้าตากฯ ตีเมืองจันทบุรีได้ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 7 แรม 3 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เพลา 3 ยามเศษ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 03.00 น. หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน

หลังจากนั้น สมเด็จพระเจ้าตากฯ ได้เคลื่อนทัพไปยังเมืองตราด พวกกรมการและราษฎรเกิดความเกรงกลัวต่างพากันมาอ่อนน้อมโดยดี ที่ปากน้ำเมืองตราดมีเรือสำเภาจีนมาทอดทุ่นอยู่หลายลำ สมเด็จพระเจ้าตากฯ จึงได้เรียกนายเรือมาพบ แต่พวกจีนนายเรือขัดขืนต่อสู้ สมเด็จพระเจ้าตากฯ จึงนำกองเรือไปล้อมสำเภาจีนเหล่านั้น ได้ทำการต่อสู้กันอยู่ประมาณครึ่งวันก็ยึดสำเภาจีนไว้ได้หมด ได้ทรัพย์สินสิ่งของมาเป็นจำนวนมาก

แผนการกอบกู้กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากฯ ได้เดินทางกลับจากตราดมาตั้งมั่นรวบรวมผู้คนอยู่ที่เมืองจันทบุรี เพื่อวางแผนปฏิบัติการรบเพื่อตีกรุงศรีอยุธยาคืนจากข้าศึก พร้อมกับสั่งให้ต่อเรือรบและรวบรวมเครื่องศาสตราวุธและยุทธภัณฑ์ภายในเวลา 3 เดือน พร้อมกับฝึกไพร่พลให้พร้อมที่จะปฏิบัติการ

เมื่อสิ้นฤดูมรสุมในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้าตากฯ ได้ยกกองทัพเรือจากจันทบุรีเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเข้าโจมตีข้าศึกที่เมืองธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากฯ ยึดเมืองธนบุรีและปราบนายทองอินได้แล้ว จึงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยาเข้า ยึดค่ายโพธิ์สามต้นปราบพม่าจนราบคาบ สามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมา เมื่อวันศุกร์ เดือน 12 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2310 เวลาประมาณ 13.00 น. ใช้เวลา 7 เดือนหลังจากคราวเสียกรุงศรีอยุธยา

'อาจารย์อุ๋ย-ปชป.' จี้!! ทบทวน ‘คาสิโนถูกกฎหมาย’ บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา-ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 67

(5 มิ.ย.67) จากกรณีล่าสุดที่โครงการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งจะมีการเปิดคาสิโน หรือบ่อนพนันถูกกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในอีกสองสัปดาห์นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า...

รัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 6 มาตรา 67 วรรค 2 กำหนดให้รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด

นอกจากนี้ ในสิงคาลกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง 11/182/140 ยังกำหนดโทษของการพนันไว้ 6 ประการว่า 'โทษในการประกอบเนือง ๆ ซึ่งการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ผู้ชนะย่อมก่อเวร 1 ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป 1 ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน 1 ถ้อยคำของคนเล่นการพนัน ซึ่งไปพูดในที่ประชุม ฟังไม่ขึ้น 1 ถูกมิตรอมาตย์หมิ่นประมาท 1 ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย 1' และการพนันยังเป็นหนึ่งในอบายมุข 6 ซึ่งหมายถึงวิถีชีวิต 6 อย่าง แห่งความโลภ และความหลงที่ทำให้เกิดความเสื่อม ความฉิบหายของชีวิต อันประกอบด้วย การดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูดการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการงาน 

ดังนั้น การที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้มีบ่อนการพนันถูกกฎหมาย อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนกระทำในสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอยลง แทนที่จะส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ จึงเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว 

นอกจากนี้หากจะอ้างเรื่องเศรษฐกิจเป็นเหตุผลในการทำคาสิโนถูกกฎหมายตามโมเดล มาเก๊า สิงคโปร์ หรือกัมพูชานั้น ผมมองว่า ฟังไม่ขึ้น เพราะมาเก๊าและ สิงคโปร์ก็เป็นเกาะเล็ก ๆ ไม่มีทรัพยากร ส่วนประเทศไทยมีของดีและสถานที่ดี ๆ มากมายที่หากมีการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบแล้วจะสามารถดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวได้อีกมาก โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งบ่อนการพนัน ส่วนกัมพูชาก็มีบ่อนปอยเปตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 แต่ก็ไม่ได้ทำให้ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

ผมจึงอยากฝากให้รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลคิดให้รอบด้าน นอกเหนือไปจากการกดเครื่องคิดเลขเพื่อหาตัวเลขทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว เพราะความสูญเสียทางสังคม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้ครัวเรือน ฯลฯ ที่อาจจะเกิดจากการมีบ่อนคาสิโน เป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินเป็นตัวเงินได้ และไม่สามารถเยียวยาแก้ไขให้กลับเป็นดังเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผู้ที่จะแบกรับปัญหาเหล่านี้ก็คือลูกหลานของเราและของท่านผู้อนุมัติโครงการนี้นั่นเอง ด้วยความปรารถนาดี

‘เจ้าอาวาส-ชาวบ้าน’ ช่วยสร้างบ้านให้ ‘หญิงพิการ-ลูกสาว’ ฟรี เปรย!! หากต้องการจะสร้างบุญสร้างกุศล ต้องทำในชาตินี้

(5 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางวรรณา รองพล อายุ 51 ปีพร้อมด้วย ด.ญ.กนกกาญจน์ รองพล อายุ 10 ขวบ สองแม่ลูกชาวตำบลทุ่งค่าย อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง เดินทางไปดูความคืบหน้าของการก่อสร้างบ้านหลังใหม่ แทนบ้านหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม เนื่องจากอยู่อาศัยกันมานานหลายสิบปีแล้ว ซึ่งนางวรรณา ผู้เป็นแม่ป่วยด้วยโรคโปลิโอมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้แขนขาลีบ ไม่สามารถเดินได้ จึงต้องนั่งรถวีลแชร์เพื่อออกไปหาผักหญ้าข้างทาง ขุดหน่อไม้มาทำอาหาร ประทังชีวิตมานานหลายปีแล้ว ซึ่งสามีเสียชีวิตลงตั้งแต่ลูกสาวยังอยู่ในท้อง ทำให้สองแม่ลูกได้รับความลำบากเป็นอย่างมาก เพราะมีรายได้จากเงินคนพิการเดือนละ 700 บาทเท่านั้น

ต่อมามีพระเคารพ ญาติโก เจ้าสำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ หรือเขาโหรง ต.น้ำผุด อ.เมืองตรัง ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ หลังเห็นภาพนางวรรณาฯ ลงจากรถแล้วคลานไปขุดหน่อไม้หลังบ้าน เพื่อเอามาทำกับข้าว จึงได้ระดมทุนทรัพย์มาได้ส่วนหนึ่ง พร้อมชาวบ้านที่มีจิตอาสาทั้งในและนอกหมู่บ้าน มาช่วยกันสร้างบ้านหลังใหม่ให้สองแม่ลูก ซึ่งพระเคารพ ได้แวะเวียนมาเกือบทุกวัน เพื่อช่วยก่ออิฐ ฉาบปูน ขนหินดินทราย ช่วยชาวบ้าน เพื่อให้สองแม่ลูกได้อยู่อาศัยโดยเร็วที่สุด โดยสองแม่ลูกต่างรู้สึกดีใจและมาดูการสร้างบ้านหลังใหม่ทุกวัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้เป็นแม่มีความฝันว่าอยากจะมีบ้านหลังใหม่สักหลัง เพราะลูกสาวกำลังโตขึ้น และใช้ชีวิตในบ้านหลังเก่าอย่างยากลำบาก แต่ความฝันยังริบหรี่เพราะมีฐานะยากจน

แต่วันนี้ความฝันกำลังจะกลายเป็นจริง ทำให้ผู้เป็นแม่ ตื่นเต้นมากถึงขั้นเข็นรถวีลแชร์ จากบ้านหลังเก่ามายังบ้านหลังใหม่ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 50 เมตรมาเฝ้าดูการก่อสร้างตั้งแต่เช้ายันเย็น ส่วนลูกสาวก็เดินมาดูบ้านหลังใหม่ พร้อมห้องนอนใหม่ที่กำลังก่อสร้างอย่างตื่นเต้นดีใจ และไปอวดเพื่อน ๆ ในโรงเรียนว่าจะได้อยู่บ้านหลังใหม่ในอีก 1 เดือนข้างหน้านี้
อย่างไรก็ตาม แม้การก่อสร้างจะแล้วเสร็จเร็วกว่ากำหนด แต่ก็ยังขาดงบประมาณอยู่นับแสนบาท เพราะต้องถมที่ดินให้สูงขึ้นเพื่อหนีน้ำท่วม และทำทางต่างระดับให้ผู้พิการสามารถเข็นรถขึ้น-ลงได้ อีกทั้งยังไม่มีการติดตั้งไฟฟ้าและน้ำประปา รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องครัว เครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็น รวมถึงทุนการศึกษาของ ด.ญ วัย 10 ขวบ ซึ่งเรียนดีแต่ขาดเรียนบ่อย เพราะต้องมาคอยดูแลแม่ที่พิการ กับนางนวน รองพล ผู้เป็นยายอายุ 73 ปีที่มีสภาพแขนขาอ่อนแรง และป่วยหลายโรครุมเร้าอีก 1 คน แถมบางวันก็ไม่มีเงินไปโรงเรียนด้วย โดยผู้มีจิตศรัทธา ที่อยากจะช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์พระเคารพ ญาติโก 083-2802764

ด้านพระเคารพ ญาติโก เจ้าสำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ เปิดเผยว่า ตนทำเป็นทุกอย่างตอนที่มาสร้างวัด ทั้งห้องน้ำ ห้องครัวหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะไม่มีเงินจ้างจึงต้องทำกันเอง โดยสร้างวัดมาแล้ว 6 วัด นึกว่าจะทำให้ทุกวัดทั้งจัดอิฐ ฉาบผิว ทำเป็นทุกอย่าง เป็นพระช่วยมาช่วยสร้างบ้านให้ ซึ่งไม่ใช่หลังนี้หลังเดียว หลังต่อ ๆ ไปจะก็สร้างให้ ซึ่งตนมาเจอว่ามีคนพิการเหลืออยู่ท่อนเดียว เมื่อถามว่าอยากจะได้อะไร ผู้พิการตอบว่า อยากจะมีบ้านสักหลัง ตนจึงจัดการให้ โดยบอกญาติโยมว่าหากต้องการจะสร้างบุญสร้างกุศล ต้องทำในชาตินี้ ซึ่งการสร้างบ้านหลังนี้ใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือนเพราะมีหลายคนช่วย ทำให้ประสบความสำเร็จประมาณ 90% แล้ว แต่ยังขาดปัจจัยอีกเยอะ โดยเฉพาะถ้วยชาม เตาแก๊ส และโทรทัศน์เพื่อให้สองแม่ลูกไว้ดู ส่วนลูกสาววัย 10 ขวบตนต้องการหาผู้ใจบุญสักคนรับอุปการะส่งให้เล่าเรียนให้ถึงที่สุด แต่จะไปได้สักแค่ไหนก็ค่อยว่ากัน จึงวอนญาติโยมช่วยอุปถัมภ์เด็กผู้หญิงคนนี้ด้วย เพราะลำพังแม่ไม่มีความสามารถจะส่งเสียลูกคนนี้ได้

ขณะที่ น.ส.วรรณา รองพล หญิงพิการโรคโปลิโอ กล่าวว่า ดีใจมาก ลูกสาวก็ดีใจเพราะจะได้เข้าไปอยู่บ้านใหม่เร็วๆ ซึ่งลูกถามแม่ทุกคนว่าจะเข้าอยู่ได้เมื่อไหร่ แม่ก็ตอบว่าน่าจะเป็นเดือน 9 ซึ่งดีใจมากที่ทุกคนช่วยอุ้มชูขึ้นมาให้อยู่สบายขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ตนได้แต่ตอนฝัน แต่ตอนนี้ฝันเป็นจริงแล้ว ทำให้มีกำลังใจขึ้น อุ่นใจขึ้นที่ช่วยให้มีบ้านในฝันเสียที

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำชับทุกหน่วยเดินหน้าการป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อาวุธปืน การรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ และยกพวกทะเลาะวิวาท

วันนี้ (5 มิถุนายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2567 โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จเรตำรวจแห่งชาติ และตำแหน่งเทียบเท่า , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองจเรตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งผู้บัญชาการหน่วยต่างๆ ร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ ที่ตั้ง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้สั่งการในที่ประชุมให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมด้านต่างๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ได้แก่

การป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืน แม้มีการจับกุมผู้ค้าและลักลอบขนยาเสพติดรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงพบผู้เสพและคนคลุ้มคลั่งจากการเสพยาเสพติดปรากฏอยู่โดยตลอด จึงให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มงวดกวดขันจับกุมยาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ค้ารายย่อยในชุมชน ตำบล หมู่บ้าน และให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 คัดเลือกสถานีตำรวจต้นแบบที่ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่จนไม่มีผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ได้สำเร็จ เสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติผ่านสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ เพื่อพิจารณามอบรางวัลต่อไป และให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จัดทำข้อมูลเป้าหมายผู้กระทำความผิด ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืน เพื่อกำหนดแผนระดมกวาดล้าง อาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ทุกหน่วยจัดทำเป็นฐานข้อมูล OPEN DATA ที่สามารถแลกเปลี่ยนและเรียกใช้งานได้ รวมทั้งให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 กำหนดเป้าหมายในแผนการตั้งจุดตรวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ มุ่งเน้นการกวดขันจับกุมในความผิดยาเสพติดและอาวุธปืน และให้สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจรวบรวมผลการปฏิบัติในห้วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอในที่ประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งต่อไป

การป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการรวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ และยกพวกทะเลาะวิวาท ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 จัดทำข้อมูลกลุ่มแก๊งเด็กวัยรุ่นในพื้นที่ที่มีพฤติการณ์รวมกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์ กลุ่มยกพวกตีกัน และให้แต่ละหน่วยจัดทำฐานข้อมูล OPEN DATA เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึง รับรู้ และเป็นหูเป็นตา ช่วยเหลือการทำงานของเจ้าหน้าที่ และให้สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ รวบรวมช่องทางเข้าถึงฐานข้อมูลดังกล่าว

นอกจากนี้ กรณีพนักงานสอบสวนไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีตำรวจจนเกิดปัญหาการร้องเรียนผ่าน                         สื่อออนไลน์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ มอบหมายให้จเรตำรวจประชาสัมพันธ์ให้ร้องเรียนผ่านระบบทางเว็บไซต์ http://www.jcoms.police.go.th/ และสรุปผลการร้องเรียนและการดำเนินการให้ทราบ

รวมทั้งกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดีจัดทำข้อมูล Infographic และสื่อวิดีโอ วิธีปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ และให้สำนักงานงบประมาณและการเงินซักซ้อมทำความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยง

‘วิทยาลัยฯ โปลิเทคนิคลานนาฯ’ จัดกิจกรรมรับน้อง ใช้เวลาแค่ 30 วินาที อาจารย์ให้โอวาทกระชับ รุ่นพี่ปรบมือต้อนรับ น้องๆ ยกมือไหว้อบอุ่น

(5 มิ.ย. 67) อาจารย์ฉลวย พันธ์ทอง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนาเชียงใหม่ กล่าวให้การต้อนรับและให้โอวาทกับนักศึกษาใหม่ ทั้งระดับ ปวช.และปวส. จำนวน 1,700 คน ที่เข้ามาเรียนในวิทยาลัยเป็นปีการศึกษาแรก

ก่อนมีกิจกรรมรับน้องที่เรียกว่า ใช้เวลาสั้นที่สุดในสถาบันการศึกษาของไทย โดยนักศึกษารุ่นพี่ทั้งหมดรวมกว่า 2,400 คน ปรบมือต้อนรับ นักศึกษารุ่นน้องทั้งหมดที่ยืนเข้าแถว ก่อนจะยกมือไหว้กล่าวสวัสดีรุ่นพี่ เป็นอันจบพิธี

นายประสิทธิ์ ชูดวง รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษา ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนาเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กิจกรรมต้อนรับน้องใหม่ที่วิทยาลัยได้จัดขึ้นเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานกว่า 30 ปี รูปแบบการรับน้องใหม่จะแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นโดยนักศึกษาทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องกว่า 4,100 คน จะรวมตัวกันที่สนามฟุตบอล เพื่อรับฟังโอวาทจากคณาจารย์

หลังจากนั้นจะเป็นกิจกรรมการต้อนรับน้องใหม่ โดยรุ่นพี่จะปรบมือต้อนรับ ส่วนรุ่นน้องจะยกมือไหว้พร้อมกล่าวคำขอบคุณ ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดใช้เวลาเพียง 30 วินาที

ทั้งนี้ กิจกรรมรับน้องใหม่ของวิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนาเชียงใหม่จัดขึ้น เพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ซึ่งทางคณาจารย์ได้ปลูกฝังให้นักศึกษาทุกคนมีความรัก ความสามัคคี ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวนี้ยังเป็นการป้องกันไม่ให้นักศึกษารุ่นพี่นำรุ่นนักศึกษาใหม่ไปรับน้องนอกสถาบัน ซึ่งถือว่าผิดระเบียบของวิทยาลัยและอาจจะเกิดความสูญเสียได้ในที่สุด

สตม. รวบหนุ่มใหญ่ออสซี่ โยงคดีเก่ามาเฟียในภูเก็ต หนีกบดานหมู่บ้านหรูกลางเมืองพัทยา พบประวัติอาชญากรรมเพียบในออสเตรเลีย

กก.สส.บก.ตม.3 ควบคุมตัว Mr.Grey (นามสมมติ) อายุ 52 ปี สัญชาติออสเตรเลีย ซึ่งถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นผู้มีพฤติการณ์เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมชาวต่างชาติ ในพื้นที่ จว.ภูเก็ต สร้างความเดือดร้อนให้กับคนในพื้นที่ และเป็นผู้มีประวัติอาชญากรรมเคยก่อเหตุมีโทษจำคุกที่ออสเตรเลียในคดียาเสพติดและความผิดอื่นๆ ที่เป็นภัยต่อสังคม รวมทั้งมีหมายจับในข้อหาลักลอบค้าสารเสพติดและมีสารเสพติด ไว้ในครอบครอง นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย 

สืบเนื่องจาก สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ได้ทำการจับกุมตัวชายชาวอังกฤษพกพาอาวุธปืนเข้าผับ ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลพบว่า Mr.Grey มีพฤติการณ์เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมชาวต่างชาติกลุ่มดังกล่าวในพื้นที่ จว.ภูเก็ต ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวต่างชาติในพื้นที่ จึงได้ร่วมกับ ตม.จว.ภูเก็ต สืบสวนจนปรากฏข้อมูลเพิ่มเติมว่า Mr.Grey เป็นบุคคลผู้มีประวัติอาชญากรรม และมีโทษจำคุกที่ออสเตรเลียหลายคดี ทั้งคดียาเสพติดและความผิดอื่นๆ ที่เป็นภัยต่อสังคม รวมทั้งมีหมายจับที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในประเทศออสเตรเลียในข้อหาลักลอบค้าสารเสพติดและมีสารเสพติดไว้ในครอบครอง จึงได้รายงานพฤติการณ์ดังกล่าวของ Mr.Grey ไปยังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ บก.ตม.6 เพื่อพิจารณาดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522

ต่อมาจากการพิจารณาของ บก.ตม.6 เห็นว่า Mr.Grey มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน หรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือเป็นบุคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ Mr.Grey ต่อมา Mr.Grey ได้ไหวตัวและหลบหนีออกจากพื้นที่ จว.ภูเก็ต ภายหลัง กก.สส.ตม.3 ได้สืบสวนจนกระทั่งทราบว่าได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จว.ชลบุรี จึงใช้เทคนิคทางการสืบสวนจนพบว่า Mr.Grey หลบมาพักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จึงได้เข้าแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร (ตม.83) และควบคุมตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม.เพื่อดำเนินการตามกระบวนการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรและขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 'ศาลโลก' ตัดสิน 'ปราสาทเขาพระวิหาร' เป็นของกัมพูชา ส่งผลให้ไทยสูญเสียดินแดนบริเวณปราสาท 150 ไร่

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลโลก หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ พิพากษาชี้ขาดคดี ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศกัมพูชา

ทั้งนี้ ปราสาทหินแห่งนี้เป็นศิลปะขอม สร้างขึ้นเพื่อถวายพระศิวะ ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ราวปี 1545-1593 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ของขอม ภาษาเขมรเรียกว่า ‘เปรี๊ยะ วิเฮียร์’ (Phrea vihear) ตัวปราสาทสูง 657 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่บนทิวเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นระหว่างประเทศกัมพูชากับไทย ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศเหนือ ด้านหน้าและทางขึ้นอยู่ในเขตประเทศไทย แต่ตัวปราสาทส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกัมพูชา

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ค้นพบปราสาทแห่งนี้เมื่อปี 2442 แล้วทรงจารึกพระนามของพระองค์และปีที่ค้นพบไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า ‘118 สรรพสิทธิ์’ เนื่องจากเขาพระวิหารตั้งอยู่ตรงรอยต่อของไทยกับกัมพูชา ซึ่งผลัดกันยึดครองดินแดนแถบนี้

จนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยได้ส่งทหารเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร เจ้านโรดม สีหนุ จึงยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 การไต่สวนพิจารณาคดีเป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ปี มีการนัดพิจารณาสืบพยานทั้งหมด 73 ครั้ง จนในที่สุด ศาลโลกก็ตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะคดีด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง ส่งผลให้ประเทศไทยต้องยินยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้ง 2 ข้อของกัมพูชา นับเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดของประเทศไทยในยุครัตนโกสินทร์ เสียพื้นที่ไปทั้งหมดประมาณ 150 ไร่

หลังจากแพ้คดี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยินยอมให้นักศึกษาเดินขบวนประท้วงคำตัดสิน และปิดทางขึ้นปราสาทซึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย เป็นการตอบโต้กัมพูชา เหลือเพียงทางขึ้นเป็นช่องเขาแคบ ๆ สูงชันและอันตราย ในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของกัมพูชา เขาพระวิหารก็ถูกสั่งปิด-เปิดให้เข้าชมอยู่หลายครั้งตามสถานการณ์ภายในประเทศ ก่อนจะเกิดความร่วมมือกันอีกครั้งระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบันนี้ เขาพระวิหารนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของ จ. ศรีสะเกษ

'Time Out’ ยก 'กรุงเทพฯ' เมืองที่ดีที่สุดอันดับ 6 ของโลกในด้านอาหาร ปลื้ม!! ราคาเป็นมิตรต่อ นทท. พร้อมแนะนำ 'ส้มตำ' อาหารที่ต้องลอง

(5 มิ.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปลื้มข่าวดี 'Time Out' นิตยสารอันดับโลกด้านไลฟ์สไตล์ สถานที่ท่องเที่ยว และนำเสนอประสบการณ์ที่ดีที่สุดของเมืองในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับ วัฒนธรรม การเดินทาง อาหาร และความบันเทิง ประกาศว่า ไทยครองอันดับ 6 ของโลก ในหมวดหมู่ The world’s 20 best cities for food หรือ 20 เมืองที่ดีที่สุดในโลกในด้านอาหาร (https://www.timeout.com/travel/worlds-best-cities-for-food) โดยในการจัดลำดับทางนิตยสารสอบถามไปยังผู้คนท้องถิ่นเกี่ยวกับการรับประทานอาหารนอกบ้าน เพื่อจัดอันดับเมืองหลวงแห่งอาหารในปี 2024 นี้ 

นายชัยกล่าวว่า นิตยสาร Time Out ได้ระบุว่าการรับประทานอาหารเป็นส่วนหนึ่งของการทำความรู้จักแต่ละเมือง ส่วนที่ทำให้อาหารยอดเยี่ยม ไม่ใช่เพียงแค่คำชม และดาวมิชลิน (Michelin Star) แต่คือ ตัวเลือกของอาหาร คุณภาพ ราคา การสำรวจครั้งนี้จึงเป็นการสอบถามไปยังหลายพันคนเพื่อกล่าวถึงการรับประทานอาหารนอกบ้านในบ้านเกิดของตัวเอง ให้คะแนน ด้านคุณภาพ ราคา จากนั้น ทีมบรรณาธิการและนักเขียนทั่วโลกเป็นผู้สรุปผลการสำรวจ 

โดยกรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับให้ครองที่ 6 ของโลก The world’s 20 best cities for food โดยในนิตยสารได้ระบุว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของ Street Food และมีราคาย่อมเยาที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก มีความหลากหลาย ทั้งรับประทานจากจานร้อนริมถนน หรือเสิร์ฟในเรือบริเวณตลาดน้ำ อาหารที่ต้องลองคือ ส้มตำ นอกจากนี้ กรุงเทพฯ มีร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ ถึง 34 แห่ง และมีถึง 8 ร้านได้รับรางวัล Asia’s 50 Best Restaurants 2024 (https://www.timeout.com/bangkok/restaurants/asias-50-best-restaurants)

ในโอกาสนี้ นิตยสาร Time Out เชิญชวนให้ผู้อ่านเดินทางมารับประทานอาหารที่กรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านอาหารที่ดีที่สุดของโลก ในฐานะหัวใจของอาหาร Street Food ตอนนี้กรุงเทพฯ มีย่านใหม่ บรรทัดทอง แข่งขันกับย่านคลาสสิกที่ถนนเยาวราช รวมทั้งมีร้านอาหาร Fine Dining ซึ่งได้รับรางวัล Michelin stars และ Asia’s 50 Best Restaurants 2024 ข้างต้น

“นายกรัฐมนตรีภูมิใจในศักยภาพ มนต์เสน่ห์ ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย นักท่องเที่ยวที่ได้มาสัมผัสวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์ อาหาร ผลไม้ กรุงเทพฯ และประเทศไทยต่างมีความชื่นชม ไทยมีความหลากหลาย ตอบโจทย์กระแสการท่องเที่ยว และความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งอีกสิ่งที่น่าภูมิใจคือ ไทยมีศักยภาพในการเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมระดับโลก โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนให้ปีหน้า 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ของไทย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม ชิม ช้อป ซึ่งนอกจากเชื่อมั่นว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจแล้ว เชื่อว่าจะขยายกิจกรรมออกไปทั้งในเมืองหลัก และเมืองรอง สร้างอาชีพ พัฒนาวิถีชีวิตพี่น้องประชาชน” นายชัยกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top