Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

นราธิวาส-ผู้ว่าฯ นราธิวาส ปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ ลงตรวจสอบแรงงานต่างด้าว ขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันแก้ไขปัญหาการลักลอบทำงานของคนต่างด้าว และการค้ามนุษย์

วันนี้ 5 มิ.ย.67 เวลา 08.00 น. ว่าที่ร้อยตรี  ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายและปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ด้านการตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าว ประจำปี 2567 โดยรับนโยบายจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ถ่ายทอดสดทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Facebook Live และดำเนินการตามนโยบาย ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ให้นายจ้าง สถานประกอบการ มีกำลังแรงงานในการขับเคลื่อนกิจการ ให้สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมป้องกัน แก้ไขปัญหาการลักลอบทำงานของคนต่างด้าว การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานทางความมั่นคงในพื้นที่ จ.นราธิวาส ร่วมบูรณาการความร่วมมือกันขับเคลื่อนนโยบายฯ โดยครั้งนี้มีหัวหน้าส่วนในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าว ร่วมในพิธีฯ

สำหรับในภาพรวมจังหวัดนราธิวาส มีคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานถูกต้องตามกฎหมาย จำนวนทั้งสิ้น 1,975 คน ซึ่งมีทั้งคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย (ชั่วคราว) และคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี (คนต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา) โดยจะเห็นได้ว่าผลการดำเนินการ
ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ดำเนินการไปแล้วคิดเป็นร้อยละ 87.13

ซึ่งจังหวัดนราธิวาส นับเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานในพื้นที่ จึงต้องบังคับใช้กฎหมายตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 จะต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบการทำงานของแรงงานต่างด้าว รวมทั้งปราบปราม จับกุม  และดำเนินคดีกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนสถานประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

‘รทสช.’ ย้ำจุดยืน ‘กม.นิรโทษกรรม’ ไม่นับรวม ม.112 พร้อมเสนอร่าง ‘พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข’ ฉบับของตัวเอง

(5 มิ.ย.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบ ‘แนวหน้าออนไลน์’ ในประเด็นร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ว่า จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือไม่เห็นด้วยกับการนับรวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และจริง ๆ พรรคก็ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข หรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับของรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งไม่มีทั้งคดี ม.112 คดีทุจริต และคดีอาญาร้ายแรง

ขณะที่ความเคลื่อนไหวร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทย การพิจารณาเรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องคุยกัน เพราะในกรรมาธิการก็มีตัวแทนอยู่ อย่างพรรคชาติไทยพัฒนาก็มีนายนิกร จำนง ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนายเจือ ราชสีห์ ซึ่งแสดงจุดยืนว่าต้องไม่มีเรื่องคดี ม.112 คดีทุจริต และคดีอาญาร้ายแรง เพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

“นิรโทษกรรมคดีการเมือง เราเข้าใจบรรยากาศสลาย ยุติธรรมขัดแย้ง เดินหน้าด้วยความสามัคคี พวกคดีการเมืองนิรโทษได้ก็นิรโทษกันไป แต่ต้องไม่แตะเรื่อง 112 เรื่องทุจริต เรื่องคดีอาญาร้ายแรง เพราะถ้าแตะเรื่องเหล่านี้ แทนที่มันจะนิรโทษเพื่อความปรองดอง ความรักความสามัคคี มันจะนิรโทษแล้วนำไปสู่ความแตกแยก แล้วปัญหาเดี๋ยวมันจะปะทุขึ้นอีก เราก็แสดงจุดยืนของเราชัดเจน” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าว ต่อไปว่า อย่าให้การนิรโทษกรรมครั้งนี้ย้อนกลับไปเกิดปัญหาแบบตอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ตนก็มีประสบการณ์ ในเวลานั้นเป็น สส. อยู่แล้วก็ออกไปชุมนุม เพราะการออกกฎหมายนิรโทษกรรมในเวลานั้นขัดกับหลักนิติรัฐ-นิติธรรม หากเป็นแบบนั้นประเทศก็เสียหายและสร้างความแตกแยก ในเมื่อมีบทเรียนแล้วก็ควรจะเรียนรู้ ซึ่งตนก็เชื่อว่าทุกฝ่ายวันนี้เรียนรู้กันเยอะแล้ว อย่างในฝั่งของตนหลายคนก็มีคดีติดตัว ถูกจำคุกอยู่ก็มี ดังนั้นเดินไปข้างหน้าดีกว่า อย่ากลับไปอยู่ในวังวนจุดเดิม

เพราะหากย้อนไปมองในอดีต เวลานั้นมีเพียงเรื่องคดีทุจริต ยังไม่มีเรื่องคดี ม.112 ยังเป็นเรื่องแล้ว หากใส่คดี ม.112 เข้าไปอีกก็จะเป็นปัญหาขึ้นมาได้ ส่วนคำถามที่ว่า พรรคเพื่อไทยจะไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล เพื่อให้มีเสียงพอผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมความผิด ม.112 จะเป็นไปได้หรือไม่ เรื่องนี้แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีเพียง 36 เสียง แต่ก็ยิ่งต้องยึดหลักให้ดีและต้องสู้ ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรครวมไทยสร้างชาติก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลจะต้องไม่ไปเกี่ยวข้องกับการแก้ไขมาตรา 112

แต่หากเขาจับมือกันขึ้นมาแล้วจะให้ทำอย่างไรได้ เพราะตัวเลขในสภาเป็นคณิตศาสตร์ พรรคหนึ่งมีร้อยกว่า อีกพรรคหนึ่งก็มีร้อยกว่า บวกกันเกิน 250 เขาก็ตั้งรัฐบาลได้ แต่ตนก็คิดว่าที่มีการตกลงกันของฝั่งรัฐบาลแล้วประกาศต่อสาธารณะ เท่าที่ได้พูดคุยทุกฝ่ายก็ยังยืนยันข้อตกลงนั้นอยู่ ไม่มีใครคิดแตกแถวแม้แต่พรรคเพื่อไทย ยังไม่มีสัญญาณที่ชี้ว่าจะยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้ ดังนั้นก็ต้องรักษาบรรยากาศกันไปแบบนี้ก่อน

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยให้ข่าวว่าจะมีการพิจารณาว่าร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจะนับรวมความผิด ม.112 ด้วยหรือไม่ คือการส่งสัญญาณอะไร เรื่องนี้คงต้องไปถามพรรคเพื่อไทย แต่เราทำการเมืองจะไปคิดถึงเพื่อนมากไม่ได้ เราต้องทำตัวเราให้ชัดเจนจะดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันเราก็ยังยืนบนสัญญาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก็เดินไปแล้วหากมีปัญหาก็พูดคุยกัน เจรจากัน เตือนกันว่าอย่าไปทำแบบนั้นเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมีปัญหา ส่วนที่พูดกันว่าท่าทีล่าสุดของพรรคเพื่อไทย มาจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตนก็อยากให้เพลา ๆ การคาดการณ์หรือข่าวลือลงบ้าง

“ตราบใดที่ยังไม่เห็นท่าทีชัดเจน จะพรรคไหนก็แล้วแต่ เราจะไปบอกว่าเป็นท่าทีของเขาก็ไม่ได้ อันนี้แฟร์ ๆ นะ เพราะฉะนั้นวันนี้เมื่อยังไม่มีท่าทีในลักษณะนั้น เราก็ต้องยึดตามคำมั่นสัญญาเดิม มันเบสิกมาก มันแค่นั้นเอง ฉะนั้นสำหรับรวมไทยสร้างชาติเราก็เดินตามสัญญาเดิม ไม่มีสัญญาใหม่ ไม่มีสัญญาณใหม่ ฉะนั้นก็เดินไปตามนี้” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

‘รัฐบาล-Aerosoft’ มอบความสุขให้คอบอลชาวไทย  เตรียมแถลงถ่ายทอดสด ‘ยูโร 2024’ ให้ชมฟรี!!

(5 มิ.ย.67) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 มิถุนายน เวลา 11.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 (UEFA EURO 2024) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นางสาวจิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด (Aerosoft) ในฐานะผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด และนายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารมว.คมนาคม บุตรชายนายโกมล ตัวแทน ปตท.พร้อมกลุ่มสปอนเซอร์ ร่วมแถลงข่าวดังกล่าว

แหล่งข่าวยังได้เปิดเผยอีกว่า การถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร จะถ่ายทอดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล คาดว่าเป็นสถานีโทรทัศน์ NBT ซึ่งถือเป็นสื่อกลางในการรับลิขสิทธิ์การแข่งขันให้ประชาชนคนไทยได้รับชม ตามที่นายเศรษฐา เคยมีดำริที่ต้องการส่งมอบความสุขให้คนไทย

ย้อนกลับไปก่อนวันที่ 11 มิ.ย.64 มีคำถามกันหนาหูในหมู่คนไทยว่า จะมี 'ยูโร 2020' มาให้รับชมทางฟรีทีวีหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีการประกาศอย่างชัดเจนจากหน่วยงานใดๆ ว่าจะมีการนำลิขสิทธิ์สัญญาณการถ่ายทอดสด 'ฟุตบอลยูโร 2020' มาเผยแพร่ในช่วงนั้น

เหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้ดูนิ่งๆ ไป เพราะต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในตอนนั้น ทางภาครัฐบาลไม่สามารถนำงบภาษีที่เก็บจากประชาชนมาคืนความสุข ด้วยการไปร่วมประมูลซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ (ทีวีพูล) หรือผ่านช่องทางอื่นได้ ต้องเป็นช่องทีวีเอกชนเท่านั้น ถึงจะสามารถประมูลฟุตบอลยูโร มาถ่ายทอดสดให้คนไทยได้ดูกัน เพียงแต่ในช่วงที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเอกชนรายใดขอซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาถ่ายทอด จนคนไทยส่วนใหญ่น่าจะไปหวังพึ่งลิงก์เถื่อนที่ดูไปสะดุดไป อย่างไร้อรรถรส

อย่างไรก็ตาม ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2020 ตลอด 51 นัด ก็เกิดขึ้นได้ จากผู้สนับสนุนหลักอย่าง บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย รองเท้ายี่ห้อ 'แอโร่ซอฟ' ภายใต้ ‘นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานกรรมการ ผู้ที่ตั้งใจจะมอบความสุขให้แก่คนไทยในยามโรคระบาดยังไม่จางหาย ได้รับชมกันเต็มอิ่มทุกนัดแบบไม่สะดุด

โดยในส่วนของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในครั้งนั้น ทางแอโร่ซอฟ เป็นภาคเอกชนรายเดียวในการทุ่มงบ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซื้อสิทธิ์การถ่ายทอดสดจากทางสหพันธ์ฟุตบอลยุโรปหรือ 'ยูฟ่า' เพื่อให้คนไทยได้รับชมการถ่ายทอดสดฟรีทุกนัดตลอด 1 เดือน (11 มิ.ย. - 11 ก.ค.64) ทางช่อง NBT2HD SPORT

ยิ่งไปกว่านั้น 'เวลาแอร์ไทม์' หรือช่วงเวลาที่สามารถนำไปสร้างรายได้จากโฆษณาตลอดช่วงถ่ายทอดสดทั้งหมดนั้น ทาง 'แอโร่ซอฟ' ของ คุณโกมล ก็ไม่ได้นำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ใดๆ หากแต่นำเวลาเหล่านั้นมาช่วยผู้ประกอบการรายย่อยคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 ด้วยการเปิดโอกาสให้โปรโมทสินค้าและธุรกิจแบบฟรีๆ ตลอดซีซั่นบอลยูโร 2020 อีกด้วย

สำหรับ ‘นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ’ ประธานกรรมการ บริษัท ซัมมิทฟุตแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย รองเท้ายี่ห้อ 'แอโร่ซอฟ' ถือเป็นอีกผู้ใหญ่ใจดีของสังคมไทย และเป็นบุคคลที่มักเข้ามาช่วยเหลือเรื่องใหญ่ๆ ในสังคมไทยแบบไม่ออกหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ได้บริจาคเงิน จำนวน 100 ล้านบาท พร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ประกอบด้วย อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าและตา (Face Shield) จำนวน 3,000 ชิ้น และเครื่องช่วยหายใจไฮโฟลว์ (Airvo 2) จำนวน 10 ชิ้น ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ในการรักษา

‘ชาวต่างชาติ’ แชร์คลิป ‘คนไทย’ ลุกทำงานรดน้ำต้นไม้กลางถนน ตอนตี 4 ลั่น!! ดูแลดีกว่าอังกฤษ เพราะปล่อยให้แห้งตาย แนะ ทุกคนควรมาเห็น

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘BKKWheels’ ได้แชร์คลิปวิดีโอติ๊กต็อกของชาวต่างชาติรายหนึ่ง ขณะเดินอยู่ริมถนนประเทศไทย และระหว่างนั้นได้มีรถรดน้ำต้นไม้กำลังทำงานอยู่กับพนักงาน ตอนตี 4 พร้อมบอกชาวโลกที่บอกประเทศไทยเป็นโลกที่สามควรมาเห็นสิ่งนี้ โดยระบุว่า…

“ตอนนี้เป็นเวลาตี 4 คนเหล่านี้ (พนักงานรดน้ำต้นไม้) กำลังขับรถรดน้ำทั้งหมด คุณสามารถเห็นพุ่มไม้ตรงกลางถนนนั้น…”

“อังกฤษไม่เป็นแบบนี้ ที่อังกฤษจะปล่อยให้แห้งตายหมด คนที่บอกว่าไทยเป็นประเทศโลกที่สาม พวกเขาดูแลประเทศของเขาได้ดีกว่าอังกฤษดูแล…คนที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศโลกที่สาม คุณควรมาที่นี่ มาเยี่ยมชม และเห็นสิ่งที่เป็นแบบนี้”

พร้อมบอกทิ้งท้ายฝากให้ทุกคนลองคิดทบทวนในการตัดสินใจอีกครั้ง

‘อย.’ พบ ‘ไซบูทรามีน’ ในอาหารเสริมยี่ห้อดัง ดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์ ชี้!! มีฤทธิ์ต่อจิต-ประสาท ส่งผลร้ายแรงต่อระบบหัวใจ-หลอดเลือด

(5 มิ.ย. 67) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผ่านช่องทางออนไลน์จากเฟซบุ๊กเพจชื่อร้าน ‘ITCHA XS by เบนซ์ พรชิตา - เพจหลัก’ ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยฉลากระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนี้ 

“ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อิชช่า เอ็กซ์เอส (ตรา อิชช่า) อย.10-1-03464-5-0018 ผลิตโดย : บริษัท คาร์บีบ๊อค แลบบอราทอรี่ส์ จำกัด เลขที่ 41/160-161 ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางแค เขตบางแค จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10160 จัดจำหน่ายโดย : บริษัท ไบโอ จีโนมิคส์ จำกัด 30 ซอยสุขุมวิท 61 (เศรษฐบุตร) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10110 น้ำหนักสุทธิ : 10 แคปซูล (6.26 กรัม)…วันที่ผลิต MFG : 10/01/2024 วันหมดอายุ EXP : 09/01/2026”

ผลการตรวจวิเคราะห์พบ ‘ไซบูทรามีน’ (Sibutramine) ซึ่งมีรายงานถึงผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 1 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นอาหารที่น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรืออนามัยของประชาชน และเพื่อป้องกันผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประชาชน

จึงประกาศเตือนให้ประชาชนระมัดระวังในการซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าว ทั้งนี้ อย. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด

หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : [email protected] ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

'สุริยะ' โต้ปม 'ฐากร' อ้าง!! 'ขรก.คมนาคม' เรียกรับส่วย 'ผู้รับเหมา-ข้าราชการ' ยัน!! 'ข้อมูลไม่ชัดเจน-ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง' แต่ถ้าพบผิดจริง ฟันไม่เลี้ยง

(5 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย ได้กล่าวอ้างถึงมีข้าราชการระดับสูง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมฯ หนึ่ง ในสังกัดกระทรวงคมนาคม เรียกรับผลประโยชน์จากผู้รับเหมาที่ชนะประมูลในอัตราร้อยละ 12 จากมูลค่างานทั้งหมด พร้อมทั้งสั่งการให้ผู้อำนวยการระดับสำนักแต่ละพื้นที่เป็นผู้ดำเนินการ โดยแต่ละพื้นที่จะต้องส่งผลประโยชน์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2567 อย่างน้อยมูลค่า 20 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเรียกรับผลประโยชน์รวม 1,000 ล้านบาท นั้น 

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดรับฟังทุกปัญหาและข้อร้องเรียน หรือเบาะแสต่างๆ เพื่อนำมาพิจารณาและค้นหาข้อเท็จจริง ส่วนจากการกล่าวอ้างดังกล่าว ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่ในฐานะที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต้องขอขอบคุณสำหรับข้อมูล ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้รับมานั้น ไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้นโยบายสำคัญไว้ต่อรัฐมนตรีและข้าราชการทุกคนทุกหน่วยงานว่า ต้องไม่มีการทุจริต และต้องดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยยึดประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่นายฐากร กล่าวอ้างมานั้น มีหลายประเด็นที่ยังเป็นข้อสังเกต คือ นายฐากร เคยทำหน้าที่อยู่ในสำนักงบประมาณกว่า 17 - 18 ปี และยังเคยดำเนินงานในกระทรวงคมนาคมในยุคนั้นด้วย และจากที่ระบุว่า ในสมัยนั้น มีการเรียกเก็บส่วยอย่างที่กล่าวว่า คือ ข้าราชการร้อยละ 6 นักการเมืองร้อยละ 6 แต่ทำไมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น และเหตุใดจึงไม่ออกมาเผยความจริงต่อสาธารณชน 

นอกจากนี้ ในประเด็นที่นายฐากร ระบุว่า ผู้อำนวยการสำนักทางหลวง และผู้อำนวยการเขตทางหลวง รวม 2 คน ซึ่งนายฐากร เคยดำเนินงานในกระทรวงคมนาคม ควรรู้ว่า ทั้ง 2 ตำแหน่งดังกล่าว เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงมองว่าหลายสิ่งที่ระบุและกล่าวอ้างมานั้น ยังไม่ตรงข้อเท็จจริง ขณะเดียวกัน กรณีที่มีผู้อำนวยการสำนักทางหลวงไปร้องเรียนที่พรรคไทยสร้างไทยนั้น โดยตนต้องการให้ผู้อำนวยการสำนักทางหลวงท่านดังกล่าว มาชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงว่า มีการเรียกรับผลประโยชน์อย่างไร และหากเป็นความจริง ตนจะสั่งปลดอธิบดีกรมทางหลวงในทันที

“เมื่อนายกรัฐมนตรีให้นโยบายมา ก็ได้กำชับไปตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวงคมนาคม ยันอธิบดี ซึ่งท่านปลัดกระทรวงก็ช่วยสอดส่องเรื่องนี้ด้วย เรื่องของพฤติกรรมทุจริตที่รัฐบาลนี้รับไม่ได้ พร้อมระบุว่าบุคคลในหน่วยงานภายใต้สังกัดที่ผมดูแลอยู่ คงจะคุมทุกคนไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีพฤติกรรมที่ส่งมาและมีข้อมูลชัดเจน ผมก็คงไม่ปล่อยไว้ ต้องมีการดำเนินการ ขณะเดียวกันก็อยากให้คนที่กล่าวหา คิดถึงขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ที่เขาทำงานก็จะเสียกำลังใจ ถ้าไปกล่าวหาแล้วไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน” นายสุริยะ กล่าว

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า จากกรณีที่นายฐากรกล่าวหามานั้น จะไปดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริง และพร้อมชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรี เนื่องจากปฏิบัติตามนโยบายนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากกรณีดังกล่าว ถูกหยิบยกมาในการอภิปรายพิจารณางบประมาณฯ นั้น ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา และเชื่อว่า สามารถชี้แจงได้ อีกทั้ง ตนยังได้สั่งการตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวง ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ทุกคนว่า ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้

‘รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง’ ชี้!! สอนประวัติศาสตร์ต้องไม่บิดเบือนหรือสร้างนิทานหลอกเด็กให้รังเกียจชังชาติบ้านเกิด

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย. 67) รองศาสตราจารย์ อัศวิณีย์ หวานจริง อดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“การสอนประวัติศาสตร์…ผู้เรียนมาย่อมสอนได้…ไม่มีข้อห้าม เพียงต้องสอนตามความจริงที่เกิด ไม่บิดเบือนเรื่องราวประวัติศาสตร์ เปิดกว้างการตั้งคำถาม แล้ววิเคราะห์ด้วยเหตุและผล ไม่พยายามสร้างเรื่องใหม่ เป็นนิทานหลอกเด็ก สร้างความก้าวร้าว ให้เยาวชนรังเกียจชาติบ้านเกิด 

ตรงกันข้าม หากมองกลับกัน สังคมปัจจุบันเกิดปัญหามากมาย จากใคร? ที่พยายามสอนบิดเบือนความจริง ยุยงเยาวชนให้เกิดความก้าวร้าวจนเอาไม่อยู่ สอนไม่ได้

ใครอันตรายมากกว่ากัน ระหว่างการสอนจาก…ผู้ที่เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมประเทศชาติ กับผู้ที่บ่อนทำลายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ที่พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติให้เยาวชนเข้าใจผิด”

'นายกฯ' ส่งไม้ต่อ 'สุริยะ' เตรียมพร้อมรับท่องเที่ยว ช่วงไตรมาส 4 ผุดเส้นทางรถไฟเที่ยวพิเศษ เจาะกลุ่มมุ่ง 'วัฒนธรรม-ธรรมชาติ'

(5 มิ.ย.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง หารือร่วมกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า หลังจากออกมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวแล้ว ได้เตรียมพร้อมเรื่องการเดินทางต่อ โดยบ่ายวันเดียวกันนี้ มีการหารือหลายเรื่อง โดยเรื่องแรกหารือกับทั้งกระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานไทย (AOT), การบินไทย, เวียตเจ็ทแอร์ไลน์ และการรถไฟฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาส 4 ที่เป็นช่วง Low Season เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องบริหารทั้งจำนวนเครื่องบิน และเที่ยวบินให้เพียงพอ รวมไปถึงให้ทาง AOT เตรียมพร้อมรองรับสายการบิน ตลอดจนนักท่องเที่ยว นักเดินทางที่เพิ่มขึ้นด้วย

"ผมได้สั่งการให้การรถไฟฯ เพิ่มเส้นทางการเดินรถไฟใหม่ ๆ ตลอดจนจัดรถไฟเที่ยวพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางสายวัฒนธรรมของไทย หรือการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เสน่ห์ของการเดินทางโดยรถไฟน่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกเยอะเลยครับ" นายกฯ กล่าว

'วีระศักดิ์' มั่นใจ!! พ.ร.บ.อากาศสะอาด แก้ปัญหา PM 2.5 อยู่หมัด คาด!! มีผลบังคับใช้ 'วันอากาศสะอาดสากล' 7 ก.ย.นี้

(5 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด วาระประเทศไทย..วาระโลก : แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ลดโลกเดือด’ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ร่วมชมบูธนิทรรศการของภาคีเครือข่ายด้านการรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด กล่าวว่า อากาศสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา รัฐบาลกำหนดให้การแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่อง ฝุ่น PM 2.5 ที่นับวันทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เศรษฐกิจและสังคมโดยรวมโดยตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืนหรือคณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติเป็นกลไกเร่งรัดการจัดทำแผนและการดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน PM 2.5 ทั้งระบบ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ถอดบทเรียนเพื่อหาทางป้องกันในฤดูฝุ่นที่จะมาถึงระหว่างที่กำลังรอ พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดซึ่งคณะกรรมาธิการกำลังเร่งพิจารณา

‘พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะกำหนดกลไกบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในทุกมิติ มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ บริหารจัดการเชิงพื้นที่กำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดครอบคลุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทุกรูปแบบ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคคมนาคมขนส่ง ภาคการเผาในที่โล่ง ภาคป่าไม้ และหมอกควันข้ามแดนมีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน เครื่องมือหรือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ รวมถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบทุกภาคส่วนขณะนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด อยู่ระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งกลับสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ ให้ทันบังคับใช้ ในไตรมาส 4 ปีนี้เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย’ นายจักรพล กล่าว

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่าจากข้อมูลล่าสุดของระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ หรือ Health Data Center (HDC) กระทรวงสาธารณสุขเก็บข้อมูลจากเขตสุขภาพทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ พบว่า เฉพาะปี2567 มีผู้ป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศ รวมกว่า 4,400,000 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ 8 จังหวัดภาคตะวันตก และ 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือโซนใต้ มีผู้ป่วยฯ มากกว่า 400,000 คน สะท้อนความรุนแรงของฝุ่นพิษPM2.5สสส. ตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพในทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ปฏิบัติงานกลางแจ้ง ผู้มีความเสี่ยงและป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคไม่ติดต่อ(NCDs) จึงยกระดับการดำเนินงานด้านปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เรื่อง ‘การลดผลกระทบต่อสุขภาพจากปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม’ เป็น 1 ใน 7 ยุทธศาสตร์หลัก 10 ปี (2565-2574)

‘สสส.มุ่งขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ด้วยการเสนอนโยบาย สร้างสรรค์งานวิชาการ เสริมหนุนประชาสังคม และสื่อสารสังคมมีผลงานที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศวอ.), เสริมหนุนเครือข่ายสภาลมหายใจ 15จังหวัดสานพลังภาครัฐ ท้องถิ่นเอกชน ประชาสังคม ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นระดับพื้นที่อย่างยั่งยืน, สร้างโมเดลต้นแบบ Low Emission Zoneใน 5 เขตของกรุงเทพฯ, จัดทำห้องเรียนสู้ฝุ่นที่ก้าวกระโดดไปมากกว่า 600 โรงเรียน,จัดทำต้นแบบห้องปลอดฝุ่น1,000 ห้องทั่วประเทศ, จัดเวทีวิชาการระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM 2.5 เพื่อระดมความคิดเห็นจากเครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศ สรุปข้อเสนอและนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และร่าง พ.ร.บ.กำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ 1 ใน 7 ร่างที่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการนับเป็นข่าวดีที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่างกฎหมายทั้ง 7 ฉบับ ที่มีสาระสำคัญในการกำหนดกลไกบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทุกมิติ’ นพ.พงศ์เทพ กล่าว

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภาและประธานคณะทำงานพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด วุฒิสภากล่าวว่าเมื่อ พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่มีผลบังคับใช้ จะนำไปสู่การออกกฎหมายลูก ระเบียบ มาตรการต่างๆ ซึ่งจะเป็น 1 ในเครื่องมือสำคัญป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยปัจจุบันพื้นที่ที่มีการเผาใหญ่ที่สุด อยู่ในเขตป่า 64%โดยเฉพาะป่าอนุรักษ์ รองลงมาคือพื้นที่การเกษตร 26.8% โดยเฉพาะนาข้าว ที่มีการเผาฟางช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวทั้งที่สามารถใช้ปรุงดิน เลี้ยงสัตว์ แปลงเป็นชีวมวลได้จึงต้องส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าฟางข้าวทั้งระบบ ตั้งแต่การแปรรูป การขนส่ง และการตลาด ซึ่งจะช่วยลดการเผาได้

ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์กรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืนและผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าการแก้ปัญหาฝุ่นควันมีความซับซ้อนเกินกำลังกรมควบคุมมลพิษหน่วยงานเดียว ต้องอาศัยหลายหน่วยงาน หลายเครื่องมือ ไม่สามารถจัดการได้เฉพาะในช่วงฤดูฝุ่น 3 เดือนแต่ต้องดำเนินการต่อเนื่องทั้งปี ด้วยสูตร 8-3-1 คือ 8 เดือนช่วงดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขออกแบบกลไก วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง ลดการเผา 3 เดือนช่วงเผชิญเหตุ การเฝ้าระวังจุดความร้อน การบังคับใช้กฎหมาย และ 1 เดือนช่วงฟื้นฟู เยียวยา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เชื่อว่า พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด จะช่วยอุดช่องว่างการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะเรื่องกลไกการทำงาน ระบบงบประมาณ ลดปัญหาความล่าช้า โดยหวังว่าวันที่ 7 ก.ย. ‘วันอากาศสะอาดสากล’  พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้แล้ว

‘พิธา’ เชื่อมั่นศาลตัดสิน ‘เป็นธรรม’ ปมก้าวไกลกบฏ-ยุบพรรค ชี้!! คดีนี้ทำพรรคอ่อนแรงระยะสั้น แต่เป็นแต้มต่อระยะยาว

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567 หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกล ที่กำลังดำเนินอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ด้วยข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครอง จากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

นายพิธา กล่าวว่า ตนยังคงเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาและวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่า การกล่าวหาตนและพรรคก้าวไกล ว่าเป็นกบฏหรือผู้ทรยศที่มุ่งล้มล้างการปกครองนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาที่เกินจริง เพราะสิ่งที่ตนและพรรคก้าวไกลเสนอ คือความสมดุลทางกฎหมาย ระหว่างการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า คดียุบพรรค จะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการติดเทอร์โบ (turbocharge) ให้พรรคได้แต้มต่อในแนวคิดและนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว โดยยกตัวอย่างสถานการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2563 ซึ่งทำให้พลังของพรรคอ่อนแอลงชั่วคราว แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนแบบติดเทอร์โบได้ในการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่า แนวคิดแบบก้าวหน้า กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้ในสภา มาครองเพิ่มขึ้นเป็น 151 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ได้ 81 ที่นั่ง

“ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แนวคิดแบบก้าวหน้าคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อพรรคการเมือง หรือหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆ” นายพิธา กล่าว

นอกจากนี้ นายพิธายังกล่าวถึงสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รออาญา ขณะเดียวกันในช่วงกลางเดือนก่อน น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 28 ปี ก็เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วง ระหว่างการถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ก่อนการพิจารณาคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า หากพวกเราในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับอนุญาตให้อภิปรายเรื่องหลักความได้สัดส่วนของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างมีวุฒิภาวะ โปร่งใส และด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองก็จะคลี่คลายลงไปได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ผลักเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ให้จนมุม

“หากเรามีพื้นที่ในการพูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กันได้ในรัฐสภา ก็จะไม่เกิดการกดดันให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ เลือกวิธีการประท้วงที่ทำร้ายตัวเอง รวมถึงคนที่พวกเขารักด้วย” นายพิธา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top