Monday, 5 May 2025
TheStatesTimes

‘ญี่ปุ่น’ พบ ‘5 ค่ายรถชื่อดัง’ บิดเบือนผลทดสอบความปลอดภัย ลั่น!! การกระทำนี้เป็นบ่อนทำลายความไว้วางใจผู้ใช้บริการ

(4 มิ.ย. 67) กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า ผู้ผลิตรถยนต์ 4 ราย และผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ 1 ราย ของญี่ปุ่นยอมรับมีความผิดปกติในการทดสอบความปลอดภัย ส่งผลให้โตโยต้า มอเตอร์, มาสด้า มอเตอร์ และยามาฮ่า มอเตอร์ ต้องระงับชั่วคราวในการจัดส่งรถยนต์ทั้งหมด 6 รุ่น โดยระบุว่าอีก 2 บริษัทที่รายงานว่ามีปัญหาในเรื่องนี้ ได้แก่ ฮอนด้า มอเตอร์ และซูซูกิ มอเตอร์

เพื่อตอบสนองต่อปัญหาก่อนหน้านี้ที่ Daihatsu Motor และ Toyota Industries กระทรวงฯ ได้สั่งให้บริษัท 85 แห่งในอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์และอุปกรณ์ ตรวจสอบว่ามีความผิดปกติใด ๆ ในการสมัครขอใบรับรองรุ่นของตนหรือไม่ ในแถลงการณ์ กระทรวงเรียกความผิดปกติดังกล่าวว่า “การกระทำที่บ่อนทำลายความไว้วางใจของผู้ใช้ และสั่นคลอนรากฐานของระบบการรับรองยานยนต์ ระดับชาติ

กระทรวงจะดำเนินการตรวจสอบสถานที่ของโตโยต้าในวันอังคาร การตรวจสอบของบริษัทอื่น ๆ อีก 4 แห่งจะตามมา

ตามรายงานของกระทรวงฯ โตโยต้า มาสด้า และยามาฮ่า ยืนยันว่า การบิดเบือนการทดสอบได้เกิดขึ้นในการผลิตรถยนต์ที่ยังคงดำเนินการอยู่ กระทรวงสั่งให้บริษัทเหล่านี้ระงับการจัดส่งรุ่นเฉพาะจนกว่าจะยืนยันว่าเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพ

โตโยต้าประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า ได้หยุดการจัดส่งและจำหน่ายในประเทศของโคโรลล่า ฟิลเดอร์, โคโรลลา แอ็กซิโอ และยาริส ครอส โดยกล่าวว่าการสมัครขอใบรับรองรุ่นเหล่านี้มี ‘ข้อมูลไม่เพียงพอในการทดสอบการป้องกันคนเดินเท้าและผู้โดยสาร’

อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงรุ่นอื่น ๆ อีก 4 รุ่นที่ไม่ได้ผลิตอีกต่อไปในประกาศของ Toyota ได้แก่ Crown, Isis, Sienta และ RX ซึ่งพบ ‘ข้อผิดพลาดในการทดสอบการชนและวิธีการทดสอบอื่น ๆ’

คำแถลงดังกล่าวต่อไปว่า “เรารับประกันได้ว่าไม่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพที่ขัดต่อกฎหมายและข้อบังคับ” โตโยต้ากล่าวว่าได้ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นการภายในแล้ว และ “ไม่จำเป็นต้องหยุดใช้ยานพาหนะที่ได้รับผลกระทบ”

“ผมอยากจะขอโทษอย่างจริงใจต่อลูกค้า ผู้ชื่นชอบรถยนต์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย” อากิโอะ โตโยดะ ประธานบริษัทโตโยต้า กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์

ตามที่บริษัทระบุ บริษัทใช้ข้อมูลที่รวบรวมในกระบวนการพัฒนา ซึ่งบริษัทกล่าวว่าอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวดกว่าข้อกำหนดของกระทรวง และเป็นผลให้ไม่ตรงกับข้อกำหนดอย่างถูกต้อง มีแผนที่จะส่งรายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อกระทรวงภายในสิ้นเดือนนี้

ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกลุ่มบริษัท Hino Motors, Daihatsu Motor และ Toyota Industries รายงานปัญหาที่คล้ายกัน

“ผมมีความรู้สึกที่โชคร้ายมาก” ประธานกล่าว “โตโยต้า ไม่ใช่บริษัทที่สมบูรณ์แบบ เราทราบดีว่ายังมีช่องว่างให้ปรับปรุงอีกมาก” บริษัทกล่าวว่าได้เริ่มปรับปรุงกระบวนการทดสอบความปลอดภัยแล้ว

ไดฮัทสุ หน่วยรถยนต์ขนาดเล็กของโตโยต้า เปิดเผยการบิดเบือนผลการทดสอบผลิตภัณฑ์อย่างกว้างขวางในปี 2566 ส่งผลให้โรงงานทั้งหมดในญี่ปุ่นต้องปิดชั่วคราว Toyota Industries และ Hino ยังรายงานการประพฤติมิชอบเกี่ยวกับการรับรองเครื่องยนต์ในเดือนมกราคมและเดือนมีนาคม 2022 ตามลำดับ

ตามรายงานของกระทรวง มาสด้ารายงานความผิดปกติในรถยนต์ 5 รุ่น รวมถึง 2 รุ่นที่ยังคงอยู่ในการผลิต Yamaha Motor มีโมเดลสามรุ่นที่ค้นพบความผิดปกติ โดยรุ่นหนึ่งยังคงอยู่ในการผลิต

ฮอนด้ารายงาน 22 รุ่นและซูซูกิ 1 รุ่น ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ในการผลิตมาสด้ากล่าวว่าพบว่าการประมวลผลรถยนต์ทดสอบไม่สม่ำเสมอในการทดสอบการชนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ 3 รุ่นที่ไม่มีการผลิตอีกต่อไป บริษัทกล่าวว่าการตรวจสอบทางเทคนิคภายในและการทดสอบซ้ำ “ยืนยันว่าโมเดลเหล่านี้มีประสิทธิภาพที่ตรงตามมาตรฐานทางกฎหมายสำหรับประสิทธิภาพการปกป้องผู้โดยสารในกรณีที่เกิดการชนกันทางด้านหน้า”

ฮอนด้า ยามาฮ่า และซูซูกิยังได้ออกแถลงการณ์เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับขี่จะไม่มีปัญหากับสมรรถนะของรถ

เพจดังโพสต์คลิป 'อ.น้องไนซ์' ฝึกตำรวจเชื่อมจิต ด้านชาวเน็ตเอือม!! หมดกันที่พึ่งของประชาชน

(4 มิ.ย. 67) เพจ 'อีซ้อขยี้ข่าว3' ได้โพสต์คลิปวิดีโอ อาจารย์น้องไนซ์กำลังสอนกลุ่มชาย แต่งกายคล้ายตำรวจ นั่งสมาธิเชื่อมจิต พร้อมแคปชันที่มีข้อความระบุว่า "อะไรกันเนี๊ยะ คุณตำรวจ‼"

จากนั้นเพจ 'อีซ้อขยี้ข่าว3' ยังได้คอมเมนต์แจงใต้โพสต์ดังกล่าวอีกด้วยว่า "ไม่ใช่ วันนี้นะ โรงพักไหนไม่รู้, สำนักงานตำรวจน่าจะงานเข้าค่ะ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ยังไง ทำไมตำรวจถึงมีความเชื่อด้านพุทธศาสนาผิดๆ แบบนี้ได้"

ด้านชาวเน็ตส่วนใหญ่ที่ได้เห็นคลิปก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก เช่น ข้าราชการทำแบบนี้ได้หรอ / ถ้าเป็นกลุ่มโยงกัน คือ จะฮามาก รอดราม่า / กลัวที่สุด คือ เห็นญาติตัวเองในคลิป / นิพพานกันหรือยังคะ สน.นี้ / โอ้ยหมดกันที่พึ่งประชาชน / การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ นะครับ ที่พวกคุณเรียนมา / สน.เชื่อมจิต โดนเด็กปั่น /สน.ไหนเนี่ย / โอ้ยจะรั่ว / เป็นต้น

13 มิถุนายน พ.ศ. 2535 สิ้น 'พุ่มพวง ดวงจันทร์' นักร้องขวัญใจคนไทย เจ้าของฉายา ‘ราชินีลูกทุ่ง’ ในความทรงจำ

‘พุ่มพวง ดวงจันทร์’ มีชื่อจริงว่า ‘รำพึง จิตร์หาญ’ โดยมีชื่อเล่นว่า ‘ผึ้ง’ เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งชาวไทย ได้รับฉายาว่าเป็น ‘ราชินีลูกทุ่ง' โดยพุ่มพวงเกิดที่จังหวัดชัยนาท ต่อมาเติบโตที่ จังหวัดสุพรรณบุรี ครอบครัวเป็นชาวไร่ฐานะยากจน เมื่ออายุได้ 15 ปี บิดาฝากให้เป็นบุตรบุญธรรมของ ‘ไวพจน์ เพชรสุพรรณ’

ระหว่างที่อยู่วงดนตรีของไวพจน์ พุ่มพวงทดลองร้องเพลงหน้าเวที ครั้งแรกในงานประจำปี ที่ตลาดลำนารายณ์ อำเภอไชยบาดาลจังหวัดลพบุรี ต่อมาไวพจน์แต่งเพลง 'แก้วรอพี่' ให้พุ่มพวงร้องบันทึกเสียงเป็นครั้งแรกโดยใช้ชื่อว่า ‘น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ’ และที่นี้อีกเช่นกันที่พุ่มพวงได้พบรักกับ ‘ธีระพล แสนสุข’ สามีคนแรกซึ่งเป็นนักดนตรีอยู่ในวง

ต่อมา ‘รุ่ง โพธาราม’ นักร้องรุ่นพี่ชักชวนให้แยกมาตั้งวงดนตรีเอง ด้วยการสนับสนุนของมนต์ เมืองเหนือ และมีการเปลี่ยนชื่อจาก ‘น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ’ เป็น 'พุ่มพวง ดวงจันทร์' แต่กิจการวงดนตรีไม่ประสบความสำเร็จและต้องเลิกไปในที่สุด แต่พุ่มพวงไม่ถอดใจ เธอตั้งวงดนตรีอีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็ขาดทุนจนเลิกกิจการไป พุ่มพวงจึงหันมาเป็นนักร้องประจำวงของ ศรเพชร ศรสุพรรณ และขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด

พุ่มพวง เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเมื่อไปทำงานกับบริษัท เสกสรรค์ จำกัด ของประจวบ จำปาทอง แต่ที่เรียกว่า 'โด่งดัง' คือ พ.ศ. 2525 เมื่อมาอยู่บริษัท อโซน่าโปรโมชั่น โดยมี ลพ บุรีรัตน์ (ชื่อจริง วิเชียร คำเจริญ) ครูเพลงชื่อดังแต่งเพลงให้, ประยงค์ ชื่นเย็น และอเนก รุ่งเรือง เรียบเรียงดนตรี ทำให้เพลง สาวนาสั่งแฟน, นัดพบหน้าอำเภอ, กระแซะเข้ามาซิ, อื้อหือ…หล่อจัง, ห่างหน่อยถอยนิด ฯลฯ ดังระเบิดไปทั่วประเทศ

กล่าวได้ว่า เพลงที่พุ่มพวงเป็นร้อง, ลพแต่ง, ประยงค์/อเนกเรียบ เพลงไหนเพลงนั้น 'ดัง' ติดหูคนฟังหมด ผลงานของทั้งสามคนจึงทยอยออกมาอีกมากมาย เช่น ตั๊กแตนผูกโบว์, เงินน่ะมีไหม, ขอให้รวย, หนูไม่รู้, คนดังลืมหลังควาย ฯลฯ

จังหวะนี้เองพุ่มพวง ตั้งวงดนตรีพุ่มพวง ดวงจันทร์ อีกครั้ง คราวนี้เธอประสบความสำเร็จทางธุรกิจเพลงและวงดนตรี ทุกอย่างไปด้วย ยกเว้นชีวิตครอบครัว ประมาณปี 2526 พุ่มพวงตัดสินใจแยกทางกับ ธีระพล แสนสุข ในปีเดียวกันนี้เองที่พุ่มพวงเริ่มอาชีพ ‘นักแสดง’ ผลงานเรื่องแรกของเธอคือ ‘สงครามเพลง’ ของฉลอง ภักดีวิจิตร มีเพลงประกอบชื่อ ‘ดาวเรืองราวโรย’ ที่ลพ บุรีรัตน์เป็นผู้แต่งให้พุ่มพวงร้องในเรื่อง

หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเรื่อง เช่น ผ่าโลกบันเทิง (พ.ศ. 2526), สาวนาสั่งแฟน (พ.ศ. 2527), มนต์รักนักเพลง (พ.ศ. 2528), อาจารย์เด๋อเจอพุ่มพวง (พ.ศ. 2528) ฯลฯ การเข้าวงการแสดงทำให้พุ่มพวงได้พบกับ ‘ไกรสร แสงอนันต์’ สามีคนที่ 2 (ที่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน คือ ชื่อ ‘น้องเพชร’) ซึ่งเข้ามาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ให้พุ่มพวง เขาได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับพุ่มพวง ด้วยการนำวงดนตรีของพุ่มพวง เปิดคอนเสิร์ตการกุศลหน้าพระพักตร์พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ (พระอิสริยยศขณะนั้น) ที่ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี เมื่อปี 2529 ซึ่งถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการลูกทุ่งไทย

พุ่มพวง ยังเป็นนักร้องลุกทุ่งหญิงคนเดียว ที่เดินทางไปเปิดการแสดงที่สหรัฐอเมริกาตามคำเชิญของแฟนเพลงแดนไกลบ่อยที่สุด สถิติจากร้านจำหน่ายเพลงของคนไทยในลอสแอนเจลิส ปี 2533-34 แจ้งว่ามียอดจำหน่ายสูงสุดถึง 1 ล้านตลับ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่พุ่มพวงกำลังโด่งดังเรื่องการงาน สุขภาพเธอกลับย่ำแย่

ต่อมาเดือนมีนาคม พ.ศ. 2534 พุ่มพวงป่วยเป็นโรคไต อาการรุนแรงจนต้องส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ต่อมามีการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ตรวจพบว่า พุ่มพวงป่วยเป็นโรค 'เอสแอลดี' หรือโรคลูปัส

โรคเอสแอลอี เป็นโรคในกลุ่มข้ออักเสบและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทําให้ร่างกายสร้างสารโปรตีนชนิดหนึ่งต่อต้านเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายตนเองและเกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่เป็นพิษต่ออวัยวะขึ้น (แพ้ภูมิตนเอง) ทําให้มีอาการและอาการแสดงได้กับทุกระบบในร่างกาย

ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2535 พุ่มพวงที่มีอาการป่วยเรื้อรัง และญาติ ๆ เดินทางไปนมัสการพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีมหาธาตุ จ.พิษณุโลก พุ่มพวงเกิดหมดสติกะทันหันจนต้องนำส่งโรงพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น...สุดท้ายเธอก็เสียชีวิตลงในค่ำคืนนั้น

ทั้งนี้ งานศพของพุ่มพวง จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติที่วัดทับกระดาน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี มีแฟนเพลงนับแสนเดินทางจากทั่วประเทศมาอำลานักร้องในดวงใจของพวกเขา ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ คงเหลือแต่ผลงานเพลงของเธอที่ฝากไว้ให้แฟน ๆ ชาวไทยได้จดจำและหวนคิดถึงอยู่ร่ำไป

‘EA’ ผนึกกำลัง ‘สอศ.’ หนุนการศึกษารูปแบบทวิภาคี สร้างทักษะ-เสริมความรู้ผู้เรียนอาชีวะผ่านการปฏิบัติงานจริง

(4 มิ.ย. 67) นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมกับ นายสง่า แต่เชื้อสาย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทน นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ลงนามความร่วมมือ ขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เพิ่มทักษะด้านแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าขั้นสูง หนุนการเรียนรู้แบบทวิภาคี ส่งเสริมความสามารถผู้เรียนอาชีวศึกษาในทุกมิติ โดยมีนายจำรัส สว่างสมุทร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารสถานศึกษาร่วมพิธี ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี มาพัฒนาพลังงานสะอาด ทั้งด้านพลังงานทดเเทน พลังงานหมุนเวียน ด้านแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า มาอย่างต่อเนื่องกว่า 17 ปี โดย บริษัทฯ และ สอศ. มีเป้าหมายในการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะสูง พร้อมส่งเสริมการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เพื่อเสริมสร้างทักษะวิชาชีพผ่านการฝึกปฏิบัติจริง ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร สอศ. ที่สนับสนุนการจัดการศึกษาระบบทวิภาคี บริษัทฯ จึงมีความยินดีเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และฝึกอบรม ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสาขาที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ จึงมั่นใจว่าความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวแรกที่มั่นคงสู่การพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

ด้าน นายสง่า แต่เชื้อสาย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาทักษะสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามสาขาอาชีพ และสนับสนุนการจัดการอาชีวศึกษา โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างโอกาสของผู้เรียนอาชีวศึกษา และส่งเสริมพัฒนาการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการฝึกอาชีพสำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ในสาขางานด้านยานยนต์ไฟฟ้าและสาขาที่เกี่ยวข้องในสถานประกอบการ 

โดย ความร่วมมือกับ EA มีความสำคัญในการส่งเสริม พัฒนากระบวนการสร้างความรู้ ทักษะ เจตคติ ประสบการณ์ เป็นความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ ผู้เรียนจะได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติงานจริง และสอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ ทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพ มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาให้เกิดความเชื่อมั่นกับผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานมาเรียนสายวิชาชีพ และกับครู นักเรียน นักศึกษา เพื่อนำวิชาความรู้ไปประกอบอาชีพ โดย สอศ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ และขยายความร่วมมือและยกระดับให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาได้เข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ เพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมศักยภาพการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาต่อไป

12 มิถุนายน ของทุกปี ‘ILO’ กำหนดเป็น ‘วันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก’ กระตุ้นสังคมตระหนักรู้และยุติบังคับใช้แรงงานเด็ก

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ได้กำหนดให้วันที่ 12 มิถุนายนของทุกปี เป็น ‘วันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก’ (World Day Against Child Labour) เพื่อให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนขึ้นของแรงงานเด็ก และช่วยกันยุติการกระทำเหล่านี้ โดยความร่วมมือกันของหน่วยงานรัฐบาล ลูกจ้าง องค์กรผู้ใช้แรงงาน และกลุ่มองค์กรที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เป็นล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกที่จะร่วมหารือถึงการช่วยเหลือเด็กเหล่านี้และทำให้แรงงานเด็กลดจำนวนลง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาแรงงานเด็กที่ทั่วโลกต้องรับรู้…หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นเวลาเกือบสองทศวรรษที่โลกมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการลดการใช้แรงงานเด็ก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้ง วิกฤตการณ์ และการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้ครอบครัวจำนวนมากต้องตกอยู่ในความยากจน และบังคับให้เด็กอีกนับล้านกลายเป็นแรงงานเด็ก

การเติบโตทางเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอหรือครอบคลุมเพียงพอเพื่อลดแรงกดดันที่ครอบครัวและชุมชนจำนวนมากรู้สึก และนั่นทำให้พวกเขาหันไปใช้แรงงานเด็ก ทุกวันนี้เด็กกว่า 160 ล้านคนยังคงใช้แรงงานเด็ก ซึ่งเท่ากับจำนวนเด็กเกือบ 1 ใน 10 ของเด็กทั่วโลก

ทวีปแอฟริกาอยู่ในอันดับสูงสุดในการใช้แรงงานเด็ก ทั้งในด้านเปอร์เซ็นต์ของเด็กที่ถูกใช้แรงงาน ซึ่งเป็น 1 ใน 5 และจำนวนเด็กทั้งหมดที่ใช้แรงงานเด็กเท่ากับ 72 ล้านคน เอเชียและแปซิฟิกอยู่ในอันดับ 2 สูงสุดในมาตรการทั้งสองนี้ โดยนับเป็น 7% ของเด็กทั้งหมด หรือ 62 ล้านคนที่อยู่ในการใช้แรงงานเด็กในภูมิภาคนี้

ภูมิภาคแอฟริกาและเอเชียและแปซิฟิกรวมกันมีเด็กเกือบ 9 ใน 10 คนที่ถูกใช้แรงงานทั่วโลก ประชากรแรงงานเด็กที่เหลืออยู่แบ่งเป็นทวีปอเมริกา (11 ล้านคน) ยุโรปและเอเชียกลาง (6 ล้านคน) และรัฐอาหรับ (1 ล้านคน) ในแง่ของอุบัติการณ์ เด็ก 5% ตกเป็นแรงงานเด็กในอเมริกา 4% ในยุโรปและเอเชียกลาง และ 3% ในประเทศอาหรับ

‘ครม.’ ไฟเขียว!! วีซ่าต่างชาติทักษะสูง ทำงานในไทย 5.6 หมื่นคน สะท้อนผลสำเร็จมาตรการกระตุ้น ศก. จูงใจต่างชาติทำงานในไทย

(4 มิ.ย. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยให้ก้าวสู่เศรษฐกิจใหม่ ดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราในประเภทต่าง ๆ ทำให้มีบุคลากรต่างชาติที่ได้รับการอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย ทั้งวีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่ทำงานภายใต้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน วีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Resident Visa: LTR Visa) และวีซ่าดึงดูดบุคลากรทักษะสูงและนักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (Smart Visa) ผ่านศูนย์ One Stop Service รวมทั้งสิ้นกว่า 56,000 คน 

นายชัย กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมมือกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงาน มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในการอำนวยความสะดวกให้แก่ชาวต่างชาติที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญพิเศษ (Talent) นักลงทุน และผู้ที่ต้องการเข้ามาทำงานและอาศัยในประเทศไทย ผ่านการจัดตั้งศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One Start One Stop Investment Center: OSOS) ณ ชั้น 18 ตึกจามจุรีสแควร์ ซึ่งเป็นการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (https://osos.boi.go.th/TH/home/) โดยไม่ต้องเดินทางไปติดต่อหลายหน่วยงาน และการบริการผ่านระบบออนไลน์ SINGLE WINDOW Visa and Work Permit System (https://swe-expert.boi.go.th/SW-WEB/main.php

ซึ่งข้อมูลของ BOI ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีบุคลากรต่างชาติที่ได้รับอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน รวมแล้วกว่า 56,000 คน ประกอบด้วยประเภทวีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่ทำงานภายใต้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน มีผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่เข้ามาทำงาน ภายใต้โครงการส่งเสริมการลงทุน จำนวนประมาณ 50,000 คน 

ประเภท LTR Visa รวมทั้งสิ้นกว่า 4,000 คน จากสหรัฐอเมริกา 791 คน รัสเซีย 479 คน สหราชอาณาจักร 332 คน จีน 277 คน เยอรมัน 236 คน ญี่ปุ่น 207 คน และฝรั่งเศส 198 คน 

ประเภท Smart Visa และกลุ่ม Startup รวมทั้งสิ้น 2,170 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเยอรมัน

สำหรับวีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Resident Visa: LTR Visa) เป็นมาตรการของรัฐบาล ที่มุ่งดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่มเข้าสู่ประเทศไทย ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ, ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย, ผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง และผู้เกษียณอายุ รวมถึงผู้ติดตาม สามารถพำนักในประเทศไทยได้ 10 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้งที่เดินทางเข้า/ออกประเทศ และได้รับอนุญาตให้ทำงาน โดยจะลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ เหลือร้อยละ 17 และยังได้รับการผ่อนปรนระยะเวลาการรายงานตัวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จากปกติทุก 90 วัน เปลี่ยนเป็นปีละ 1 ครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติวีซ่าดังกล่าวให้แก่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำระดับโลกที่มีการลงทุนหรือตั้งสำนักงานในประเทศไทยหลายแห่ง 

และครม.ได้เพิ่มการตรวจตราประเภทใหม่ หรือ Destination Thailand Visa (DTV) โดยเป็นมาตรการสำหรับชาวต่างชาติที่มีทักษะและทำงานทางไกลผ่านระบบดิจิทัล เช่น remote worker หรือ digital nomad ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทยเพื่อทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกัน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพให้เข้ามาทำงานในไทยได้มากขึ้น

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เพิ่มขีดตวามสามารถในการแข่งขันของไทย เชื่อมั่นว่า ผลจากการปรับปรุงและแก้ไขมาตรการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดชาวต่างชาติ ให้เข้ามาทำงานในระยะยาว ซึ่งกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมทันสมัย อุตสาหกรรมอนาคต อุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย” นายชัย กล่าว

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ถาม!! ทหารสอนเด็กรักชาติไทย ไม่ดียังไง? หลัง ‘เจี๊ยบ ก้าวไกล’ โพสต์แซะ!! “ไม่ใช่กิจของทหาร”

(4 มิ.ย. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า…

“ทหารสอนเด็กรักชาติไทย ไม่ดียังไง จะให้เด็กชังชาติเหมือนพวกเธอหรือ”

ทั้งนี้สืบเนื่องจากกรณี ‘นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ‘Amarat Chokepamitkul อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ ระบุว่า…

“ไม่ใช่กิจของทหารเที่ยวเดินสายไปอบรมครูอบรมเด็กให้รักชาติ ภารกิจหลักไม่มีทำก็รีบลดขนาดกองทัพอย่าฝืนโลก พร้อมติดแฮชแท็ก #ปฏิรูปกองทัพ”

‘X’ อนุญาตให้เผยแพร่คอนเทนต์ 18+ อย่างเป็นทางการ ภายใต้เงื่อนไขได้รับความยินยอม - มีเครื่องหมายถูกสีฟ้า

(4 มิ.ย.67) สำนักข่าวอัลจาซีรา รายงานว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเอ็กซ์ (X) ของอีลอน มัสก์ อัปเดตนโยบายใหม่เพื่ออนุญาตเผยแพร่เนื้อหาผู้ใหญ่ได้อย่างเป็นทางการ

โดยภายใต้นโยบายอัปเดตใหม่นี้ อดีตแพลตฟอร์ม X ที่เคยใช้ชื่อว่าทวิตเตอร์ จะอนุญาตให้ผู้ใช้งานเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศได้ ตราบใดที่เป็นเนื้อหาที่ได้รับการยินยอมและมี ‘เครื่องหมายถูกสีฟ้า’

นโยบายที่ได้รับการปรับปรุงและอัปเดตมามากกว่า 1 อาทิตย์นั้น ตอกย้ำว่า ผู้ใช้งานสามารถผลิต เผยแพร่ และบริโภคเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศได้ตราบใดที่เป็นเนื้อหาที่ผลิตและเผยแพร่ด้วยความยินยอม

"การแสดงออกทางเพศ ไม่ว่าด้วยภาพหรือการเขียนสามารถเป็นรูปแบบการแสดงออกที่ถูกกฎหมายได้” แพลตฟอร์ม ระบุ

“เราเชื่อมั่นในความเป็นอิสระของผู้ใหญ่ ในการมีส่วนร่วมหรือสร้างเนื้อหาที่สะท้อนความเชื่อ, ความปรารถนา และประสบการณ์ของพวกเขา รวมถึงเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ”

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาเหล่านี้จะระงับไม่ให้เผยแพร่แก่ผู้ใช้งานที่เป็นเด็ก และผู้ใช้งานผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องการรับชม อีกทั้งผู้ใช้งานจะไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่เนื้อหาที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ได้รับการยินยอม เป็นที่คัดค้าน เนื้อหาทางเพศหรือเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อผู้เยาว์ และเนื้อหาที่แสดงพฤติกรรมลามกอนาจาร

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาแพลตฟอร์ม X แตกต่างจากอินสตาแกรม, เฟซบุ๊ก, ติ๊กต็อก และยูทูบ เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ระงับเนื้อหาที่มีภาพเปลือยหรือเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ และภายใต้การบริหารของมัสก์ ‘X’ ได้ปรับลดการกลั่นกรองเนื้อหา และคืนสถานะบัญชีที่เคยถูกระงับก่อนหน้านี้ รวมทั้งบัญชีของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ และอเล็กซ์ โจนส์ นักทฤษฎีสมคบคิด 

จากการดำเนินงานดังกล่าว มัสก์ โต้แย้งไว้ว่า เป็นการสนับสนุนเสรีภาพทางการพูด แต่นักวิจารณ์กล่าวโทษประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เทสลาว่า เป็นการส่งเสริมให้เกิดการพูดที่สร้างความเกลียดชัง และข้อมูลผิด ๆ

ควันหลง ‘Tout à fait Thaï 2024’ งานเทศกาลไทยสุดอลังในกรุงปารีส เชื่อมสัมพันธ์ 2 ชาติ ผ่านเอกลักษณ์ไทย โดนใจชาวฝรั่งเศสรุ่นเก่า-ใหม่

(4 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส และ นาย Alberto Rodriguez นายกเทศมนตรีเมือง Breux-Jouy ได้ร่วมกันทำพิธีเปิดงานเทศกาลไทยในกรุงปารีส ภายใต้ชื่อ Tout à fait Thaï Exhibition & Village: Heritage of the World ณ วัดพระเชตุพน กรุงปารีส เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม โดยมี ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน และ นาง Jocelyne Guidez วุฒิสมาชิกของเขต Essonne ประเทศฝรั่งเศสเข้าร่วมด้วย

โดยคำนึงว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสซึ่งดำเนินมากว่า 330 ปี นับตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นับเป็นรากฐานของความผูกพันและความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนสองฝ่าย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส จึงได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญร่วมกับทีมประเทศไทยประจำกรุงปารีส นำงาน Tout à fait Thaï ซึ่งจัดครั้งแรกเมื่อปี 2549 กลับมาอีกครั้ง เพื่อส่งเสริมมิตรภาพ ความเข้าใจอันดี และความไว้วางใจระหว่างประชาชน ในห้วงเวลาสำคัญซึ่งความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศขณะนี้ก้าวหน้าและขยายตัวโดยรอบด้าน จากการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำสองฝ่ายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

Tout à fait Thaï Exhibition & Village: Heritage of the World 2024 เน้นนำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านการแสดงทางวัฒนธรรม ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่จับต้องไม่ได้ อาทิ โขน แม่ไม้มวยไทย การนวดไทย โดยมี อเมนด้า ชาลิสา ออบดัม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 ได้มาร่วมสร้างสีสันและถ่ายทอดความเป็นไทย ผ่านการแต่งกายด้วยชุดไทย

ขณะเดียวกันยังมีคอนเสิร์ตของศิลปินไทยร่วมสมัยวง 4Mix และ แอลลี่ อชิรญา นิติพน เพื่อดึงดูดความสนใจของคนฝรั่งเศสรุ่นใหม่ให้เข้าถึงความเป็นไทยได้ง่ายยิ่งขึ้น

การจัดงานครั้งนี้ถือได้ว่าประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ถึงแม้ว่าวัดพระเชตุพน กรุงปารีส ตั้งอยู่ห่างไกลจากใจกลางกรุงปารีสถึง 40 กิโลเมตร ก็ยังมีผู้มาร่วมงานทั้งคนไทยและฝรั่งเศสจากหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศฝรั่งเศสกว่า 4,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขจากการประเมินของเทศบาลเมือง Breux-Jouy อันแสดงถึงความเข้มแข็งของประชาคมไทยในฝรั่งเศสอีกด้วย

ขณะที่มีคนไทยทั้งที่มาร่วมงานและร่วมออกร้านขายอาหารและสินค้าไทยกว่า 30 ร้าน การเปิด Thai Massage Pavilion คลินิกมวยไทย และการสอนภาษาไทยเบื้องต้นโดยนักศึกษาภาควิชาภาษาไทย ของสถาบันภาษาและอารยธรรมแห่งชาติอินัลโก้

ท่านทูตศรัญย์กล่าวว่า โดยที่ไทยและฝรั่งเศสมีความเป็นหุ้นส่วนแห่งความร่วมมือที่แน่นแฟ้น ประกอบกับที่ทั้งสองฝ่ายจะฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 340 ปีของการติดต่อครั้งแรกในปี 2568 และ 170 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2569 เอกอัครราชทูตเชื่อมั่นว่า ทั้งสองประเทศจะก้าวสู่ความร่วมมือในมิติต่างๆ ที่ยั่งยืนต่อไปจากรากฐานความสัมพันธ์ที่มั่นคงในปัจจุบัน และหวังว่า สถานเอกอัครราชทูตจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาสำหรับการจัดงาน Tout à fait Thaï ครั้งต่อๆ ไป

หากเปรียบเทียบ Tout à fait Thaï เป็นแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากคนฝรั่งเศสมายาวนาน ความสำเร็จอย่างสูงของการจัดงานครั้งนี้นับเป็นเครื่องยืนยันถึงโอกาสที่ฝ่ายไทยสามารถใช้ประโยชน์อย่างจริงจังจากความนิยมไทยอย่างสูงในหมู่ชาวฝรั่งเศสในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรม อาหาร การท่องเที่ยวและมวยไทยในฐานะซอฟต์พาวเวอร์ซึ่งช่วยสร้างความยั่งยืนด้านความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ตลอดจนรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ ของไทยในฝรั่งเศส

ทั้งนี้ งาน Tout à fait Thaï ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการ Tout à fait Thaï the series ได้แก่ การแสดงพิเศษ ‘ชุดเกร็ดโขน’ ซึ่งอำนวยการสร้างโดยท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน และการจัดงานวันแห่งภาพยนตร์ไทยในกรุงปารีสโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และการออกแบบและจัดสวนวิถีไทย ตามรูปแบบภูมิปัญญาไทยในงานจัดสวนประจำปีของฝรั่งเศสชื่อ Jardins, jardin อีกด้วย

‘ครม.’ เคาะ!! มาตรการหนุนท่องเที่ยวเมืองรอง ใช้จ่ายไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท ก็เอาไปหักภาษีได้

(4 มิ.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว หรือ Low Season คาดว่าการดำเนินมาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท แต่น่าจะทำให้การใช้จ่ายในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวรองมีมากกว่ารายได้ที่สูญเสียไปทั้งหมด

ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ได้หารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยอยากให้มีการจัดงานเทศกาลต่าง ๆ ในเมืองรอง โดยเฉพาะในช่วงเดือนที่เป็น Low Season

“ได้ขอให้รัฐมนตรีที่เข้าประชุมครม.วันนี้ หลายคนเป็น สส.ในพื้นที่ก็คงมีข้อมูลว่าเขตพื้นที่นั้น มีเรื่องอะไรดี ๆ มาก็ให้ประสานไปที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อจะช่วยสนับสนุน และโปรโมตล่วงหน้าต่อไป” นายกฯ ระบุ

>> มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง (สำหรับบุคคลธรรมดา) 

บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทยหรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน ‘จังหวัดท่องเที่ยวรอง’ ได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท หักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (Low Season)

>> มาตรการภาษีกระตุ้นสัมมนาในประเทศ (สำหรับนิติบุคคล)

นิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือค่าบริการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวเพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 30 พฤศจิกายน 2567 หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้

1.หักรายจ่ายได้ 2 เท่า สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดใน ‘จังหวัดท่องเที่ยวรอง’ หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด

2.หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในท้องที่อื่นนอกจากท้องที่ตามข้อ 1 

3.ในกรณีที่การสัมมนาเกิดขึ้นในท้องที่ตามข้อ 1 และข้อ 2 ต่อเนื่องกัน ให้หักรายจ่ายที่สามารถแยกได้ว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดตามข้อ 1 หรือข้อ 2 และถ้าแยกไม่ได้ให้หัก 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง

รมช.คลัง กล่าวว่า ทั้ง 2 มาตรการ ต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top