Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

ชุดปฏิบัติการสุดซอยลุยตรวจโรงงานผลิตเหล็ก ‘ซิน เคอ หยวน’ หวังไขปมเหล็กล็อตไหนถูกใช้สร้างอาคาร สตง. รอเฉลยภายใน 7 วัน

(2 เม.ย. 68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้เข้าตรวจสอบโรงงานผลิตเหล็ก บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง

โดยโรงงานผลิตเหล็ก บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ถูกสั่งให้ ปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 แต่ก็มีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า “ที่โรงงานยังมีคนเข้าออกอยู่เลย” ส่งผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องบุกไปดูโรงงานซินเคอหยวน ให้เห็นกับตา 

การตรวจสอบดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำตัวอย่างเหล็กจากอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มาตรวจสอบคุณภาพ และพบว่าเหล็กข้ออ้อยขนาด 20 มิลลิเมตร และ 32 มิลลิเมตร ไม่ได้มาตรฐาน จึงต้องเข้าตรวจสอบของกลางที่ถูกยึดอายัดไว้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม จำนวน 2,441 ตัน มูลค่าราว 50.1 ล้านบาท

จุดแรกที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ คือ บริเวณโกดังเก็บเหล็กเส้นของกลางที่ถูกอายัด เพื่อตรวจสอบว่ามีการนำเหล็กออกไปจากที่เก็บหรือไม่ จากนั้นจุดที่สองคือโรงงานผลิตเหล็ก เพื่อดูว่ามีการเปิดเตาหลอมเหล็กดำเนินกิจการต่อหรือไม่

ก่อนเข้าตรวจสอบภายในโรงงาน หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้พูดคุยกับตัวแทนบริษัท พร้อมทั้งตรวจสอบบิลค่าไฟของโรงงานในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยพบว่าก่อนถูกอายัด โรงงานแห่งนี้มีค่าไฟสูงถึง 130 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ในเดือนมกราคม ค่าไฟลดลงเหลือ 1.2 ล้านบาท และในเดือนกุมภาพันธ์ ค่าไฟลดลงเหลือ 6.4 แสนบาท

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ขอเอกสารบันทึกการขายเหล็ก เพื่อตรวจสอบว่าเหล็กล็อตใดถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างอาคาร สตง. ซึ่งตัวแทนบริษัทเปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้ขายเหล็กให้กับ สตง. โดยตรง แต่ขายผ่านบริษัทตัวกลางก่อนส่งต่อให้กับผู้รับเหมาที่ก่อสร้างอาคารดังกล่าวอีกทอดหนึ่ง

เบื้องต้น ตัวแทนบริษัทรับปากว่าจะจัดส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้กับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อตรวจสอบภายใน 7 วัน นับจากวันที่ 2 เมษายน 2568

สำหรับการเข้าตรวจสอบครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมมาตรฐานอุตสาหกรรมของภาครัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้เหล็กไม่ได้มาตรฐานถูกนำไปใช้ในงานก่อสร้างที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในอนาคต

จีน-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น จับมือร่วมต้านแรงกดดันภาษีทรัมป์ เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ไม่ยอมถูกบีบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จับมือกันในด้านเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการเก็บภาษีศุลกากรที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้เริ่มเจรจาเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า โดยมีเป้าหมายในการลดผลกระทบจากภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทั้งสามประเทศ

ทั้งสามประเทศประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า พวกเขาตกลงที่จะเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคีและเพิ่มความร่วมมือในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและการควบคุมการส่งออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผย

การเจรจาครั้งนี้คาดว่าจะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การพัฒนาความร่วมมือในเทคโนโลยีขั้นสูง การสร้างเครือข่ายการค้าทั่วภูมิภาค และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการเงินและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาการตลาดของสหรัฐฯ ที่มีความผันผวน

นโยบายการเก็บภาษีสินค้าส่งออกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้หลายประเทศในเอเชียตื่นตัว และเริ่มมองหากลยุทธ์ใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางการค้าและลดความเสี่ยงจากการขึ้นภาษี ซึ่งมีผลกระทบต่อการผลิตในหลายภาคส่วน

จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีศุลกากรและกำหนดข้อจำกัดทางการค้ากับสินค้าจีน ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็มีการส่งออกสินค้าหลายประเภทไปยังสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

การรวมตัวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับทั้งสามประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยเฉพาะในกรอบการค้าเอเชียแปซิฟิก โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจอาจช่วยให้สามประเทศนี้สามารถตอบโต้ผลกระทบจากนโยบายการค้าและเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ

ลู่ ฮ่าว นักวิจัยจากสถาบันญี่ปุ่นศึกษาแห่งสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่าความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นความจริงที่ชัดเจน ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะกดดันให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ “ลดความเสี่ยง” หรือแยกตัวจากจีนนั้นไม่น่าจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง

“นโยบายของทำเนียบขาวเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้พันธมิตรในเอเชียของวอชิงตัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เกิดความกังวลมากขึ้น” ลู่กล่าว และเสริมว่าทั้งสองประเทศควรกลับมาสู่เส้นทางของการเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคและปรับปรุงการมีส่วนร่วมกับจีน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ

สำหรับการเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยมีความคาดหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และขยายฐานเศรษฐกิจในภูมิภาคให้มีความหลากหลายและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงการปรับตัวของสามประเทศในเอเชียที่มีเศรษฐกิจใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อตอบโต้การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการค้าระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

มินนี่ (G)I-DLE บริจาค 2.3 ล้านบาท ช่วยฟื้นฟูแผ่นดินไหวในไทย-เมียนมา

สำนักข่าวเกาหลี Star News รายงานว่า มินนี่ (G)I-DLE หรือ มินนี่ ณิชา ยนตรรักษ์ ศิลปินไทยชื่อดัง ได้บริจาคเงินจำนวน 100 ล้านวอน (ราว 2.3 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือและฟื้นฟูความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใน เมียนมาและประเทศไทย

แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายพื้นที่ในเมียนมาและภาคเหนือของไทย มีประชาชนได้รับผลกระทบจำนวนมาก บ้านเรือนเสียหาย และความช่วยเหลือยังคงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน

การบริจาคของ มินนี่ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากแฟนๆ และประชาชนทั่วไป โดยเธอถือเป็นศิลปินที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดบิวต์ในวงการบันเทิงเกาหลี โดยก่อนหน้านี้เธอได้ บริจาคเงิน 100 ล้านวอน ให้กับสภากาชาดเกาหลีเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูจาก เหตุไฟป่าครั้งใหญ่ในเกาหลี และยังเคย บริจาคเงิน 20 ล้านวอน ให้กับการฟื้นฟูจาก เหตุการณ์แผ่นดินไหวในตุรกี-ซีเรีย เมื่อปี 2023 อีกด้วย

ด้านแฟนคลับของมินนี่ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ต่างร่วมกันแสดงความชื่นชมและขอบคุณในความมีน้ำใจของเธอ พร้อมติดแฮชแท็กสนับสนุนในโลกออนไลน์ #MINNIE #GIDLE #PrayForMyanmarAndThailand

‘ทรัมป์’ งัดมาตรการขั้นเด็ดขาด ประกาศภาษีนำเข้าใหม่ ไทยโดน 36% สูงสุดลำดับต้นๆ ของโลก กระทบหนักอุตสาหกรรมส่งออก

​(3 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการทางการค้าที่สำคัญ โดยกำหนดให้มีการเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (baseline tariff) ในอัตรา 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทุกประเทศ มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ของวันเสาร์ที่ 5 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ

“ในความเห็นของผม นี่เป็นหนึ่งในวันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา” ทรัมป์กล่าว เป็นเวลาหลายทศวรรษที่อเมริกาถูก “ปล้นสะดม ข่มขืน” โดยคู่ค้าทางการค้า “ในหลายๆ กรณี มิตรนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าศัตรู”

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมที่เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” (reciprocal tariffs) ต่อประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลทางการค้า โดยภาษีเหล่านี้จะมีอัตราที่สูงขึ้นและจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน เป็นต้นไป ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปจะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 20% ญี่ปุ่นที่ 24% และจีนที่ 34%

สำหรับประเทศไทย สินค้านำเข้าจะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 36% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่กำหนดในมาตรการนี้

ทรัมป์ระบุว่ามาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเตือนว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้นและอาจกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า

อัตราภาษีนำเข้าตามประเทศ
-10%: สหราชอาณาจักร, บราซิล, สิงคโปร์, ชิลี, ออสเตรเลีย, ตุรกี, โคลัมเบีย, เปรู, คอสตาริกา, โดมินิกัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, นิวซีแลนด์, อาร์เจนตินา, เอกวาดอร์, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, อียิปต์, ซาอุดีอาระเบีย, เอลซัลวาดอร์, ตรินิแดดและโตเบโก, โมร็อกโก
- 15%: นอร์เวย์
- 17%: อิสราเอล, ฟิลิปปินส์
- 18%: นิการากัว
- 20%: สหภาพยุโรป, จอร์แดน
- 21%: โกตดิวัวร์
- 24%: ญี่ปุ่น, มาเลเซีย
- 25%: เกาหลีใต้
- 26%: อินเดีย
- 27%: คาซัคสถาน
- 28%: ตูนิเซีย
- 29%: ปากีสถาน
- 30%: แอฟริกาใต้
- 31%: สวิตเซอร์แลนด์
- 32%: ไต้หวัน, อินโดนีเซีย
- 34%: จีน
- 36%: ไทย
- 37%: บังกลาเทศ, เซอร์เบีย, บอตสวานา
- 44%: ศรีลังกา, เมียนมา
- 46%: เวียดนาม
- 47%: มาดากัสการ์
- 48%: ลาว
- 49%: กัมพูชา

ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่า นโยบายนี้มุ่งหวังให้ ธุรกิจสหรัฐฯ ได้เปรียบในการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคการผลิตภายในประเทศ แต่มีการคาดการณ์กันว่าหลายประเทศอาจหันไปทำข้อตกลงการค้าใหม่กับประเทศอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ นอกจากนี้ องค์การการค้าโลก (WTO) อาจเข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น

‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ สวนกลับ สก.พรรคเส้นด้าย ปมพูดแรงบอกคนในพื้นที่ตึกถล่ม “เสียชีวิตหมดแล้ว” ลั่นยังมีความหวังเสมอ

เมื่อวันที่ (2 เม.ย. 68) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง ได้มีการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สอง (ครั้งที่ 1) ประจำปี โดยมีวาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่กำลังทวีความรุนแรง

ระหว่างการประชุม นายพีรพล กนกวลัย สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตพญาไท พรรคเส้นด้าย ได้ตั้งกระทู้ถามสดถึงการเตรียมการรับมือของกรุงเทพมหานคร โดยระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 มีนาคม 2568 มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมกว่า 160,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง

“ทุกคนเป็นคนไทย ต้องดูแลทุกคนให้ได้รับวัคซีนครบถ้วน กลุ่มที่มีรายได้สามารถฉีดวัคซีนเองในราคา 600 – 1,200 บาท แต่ยังมีกลุ่มคนยากจนที่เสี่ยงสูงมาก จึงอยากทราบว่ากรุงเทพมหานครมีแผนช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร” นายพีรพล กล่าว

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้มอบหมายให้ น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโรค และแนวทางแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการอภิปราย นายพีรพลได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ท่านต้องดูแลประชาชนให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ตั้งศูนย์สาธารณสุขแล้วรอให้ประชาชนเดินทางไปหาเอง กลุ่มเสี่ยงเป็นคนไทย ต้องดูแลให้ได้รับวัคซีนก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต”

คำพูดดังกล่าวทำให้ นายชัชชาติ ลุกขึ้นตอบกลับว่า “ขอความกรุณาอย่าใช้คำว่า ‘เสียชีวิตหมดแล้ว’ เพราะยังมีความหวัง ขอให้เชื่อว่าเรายังมีโอกาสช่วยเหลือผู้ป่วยและป้องกันการสูญเสีย ขออย่าใช้คำที่ทำให้หมดกำลังใจ เพราะญาติของผู้ป่วยยังมีความหวัง”

จีนสั่งสอบเข้ม ‘ไชน่าเรลเวย์’ อาจเจอคดีหนัก หากพบความผิดพลาดโครงสร้าง สตง.

(3 เม.ย 68) เหตุการณ์อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม กลายเป็นประเด็นร้อนระดับนานาชาติ หลังจาก นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ออกมาโพสต์แสดงความเสียใจ พร้อมให้คำมั่นว่า รัฐบาลจีนจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการตรวจสอบ

ล่าสุด ทางการจีน สั่งสอบสวนด่วน บริษัทก่อสร้างจีนที่รับผิดชอบโครงการนี้ โดยเฉพาะ บริษัท ไชน่าเรลเวย์นัมเบอร์ 10 ซึ่งเป็นซับคอนแทรคเตอร์ของโครงการ และอยู่ภายใต้การกำกับของ บริษัทแม่ ไชน่าเรลเวย์

โดยมีการรายงานว่า รัฐบาลจีนเรียกตัวผู้บริหารระดับสูงของไชน่าเรลเวย์ ทั้งหมดเข้ารับการสอบสวน และยืนยันว่า หากพบหลักฐานว่ามีความผิดพลาดในการออกแบบ การก่อสร้าง หรือการตรวจสอบโครงสร้าง บริษัทจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนออกคำสั่งด่วนถึงทุกบริษัทจีนที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานของประเทศเจ้าบ้านอย่างเคร่งครัด โดยระบุชัดว่า หากพบการละเมิดกฎระเบียบหรือมาตรฐานความปลอดภัย อาจต้องเผชิญบทลงโทษจากทั้งรัฐบาลจีนและรัฐบาลของประเทศที่ดำเนินธุรกิจ

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีนสะท้อนถึงความโปร่งใสและมาตรการที่เข้มงวด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบุคคลสำคัญในประเทศไทย ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการก่อสร้างดังกล่าว ขณะเดียวกัน สังคมยังจับตาว่า รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้ และจะมีมาตรการใดในการดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องในประเทศต่อไป

สำหรับ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (China Railway No. 10 Engineering Group) ได้ร่วมเป็นกิจการร่วมค้าและชนะการประมูลโครงการภาครัฐในประเทศไทยอย่างน้อย 13 โครงการ ระหว่างปี พ.ศ. 2562 ถึง พ.ศ. 2565 รวมมูลค่ากว่า 7,232 ล้านบาท โครงการที่สำคัญ ได้แก่

1. ท่าอากาศยานนราธิวาส อาคารที่พักผู้โดยสารและสิ่งก่อสร้างประกอบ มูลค่า 639 ล้านบาท
2. เคหะชุมชนภูเก็ต เป็นทาวน์โฮมจำนวน 354 หน่วย มูลค่า 343 ล้านบาท
3. อาคารคลังสินค้าที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ มูลค่า 146 ล้านบาท
4. หอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มูลค่า 132 ล้านบาท
5. ศูนย์ฝึกอบรมมวยสากลมาตรฐานนานาชาติ ที่สนามกีฬาหัวหมาก มูลค่า 608 ล้านบาท
6. อาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 9 มูลค่า 386 ล้านบาท
7. โครงการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างศูนย์บริการลูกค้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต มูลค่า 210 ล้านบาท
8. อาคารที่ทำการกองทัพเรือ มูลค่า 179 ล้านบาท
9. อาคารสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มูลค่า 716 ล้านบาท
10. สถาบันฝึกอบรมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นครชัยศรี มูลค่า 606 ล้านบาท
11. อาคารผู้ป่วยนอกและฉุกเฉิน โรงพยาบาลสงขลา มูลค่า 426 ล้านบาท
12. อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มูลค่า 2,136 ล้านบาท
13. อาคารเรียนและปฏิบัติการ โรงเรียนวัดอมรินทราราม มูลค่า 160 ล้านบาท

ทั้งนี้ การที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ได้รับงานก่อสร้างภาครัฐหลายโครงการในประเทศไทย แสดงถึงบทบาทที่สำคัญของบริษัทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่ม ความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มงวด

รัฐบาลทหารเมียนมา สั่งหยุดยิงทั่วประเทศ จนถึง 22 เม.ย. เปิดทางช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวรุนแรง

(3 เม.ย. 68) รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศหยุดยิงชั่วคราวทั่วประเทศจนถึงวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อเปิดทางให้หน่วยกู้ภัยสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุ แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.7 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ

แถลงการณ์จากกองทัพเมียนมาระบุว่า “รัฐบาลทหารตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน และต้องการให้การช่วยเหลือดำเนินไปอย่างเต็มที่” โดยในช่วงเวลาหยุดยิงนี้ หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรด้านมนุษยธรรมทั้งภายในและต่างประเทศจะสามารถเข้าถึงพื้นที่ภัยพิบัติได้ง่ายขึ้น

ข้อมูลล่าสุดจากทางการเมียนมาเผยว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 3,000 ราย บาดเจ็บกว่า 4,500 ราย และยังมีผู้สูญหายอีกหลายร้อยชีวิต ขณะที่อาคารบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงถนนและสะพานได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตตามซากอาคารที่พังถล่ม ท่ามกลางความท้าทายจาก ดินถล่ม ไฟฟ้าดับ และเส้นทางคมนาคมที่ถูกตัดขาด ในหลายพื้นที่ ซึ่งเมื่อวานนี้ (2 เม.ย.) ทีมข้อมูลสภาบริหารแห่งรัฐของเมียนมารายงานว่าพนักงานโรงแรม วัย 26 ปี ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากซากโรงแรมที่พังถล่มในกรุงเนปิดอว์ หลังติดอยู่ใต้ซากนาน 5 วัน

ด้านกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ซึ่งมีการปะทะกับรัฐบาลทหารในช่วงที่ผ่านมา แสดงท่าทีตอบรับคำสั่งหยุดยิง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยสามารถดำเนินไปได้โดยไม่มีอุปสรรค 

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า สถานการณ์ยังคงเปราะบาง และอาจเกิดการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงได้

ขณะเดียวกัน องค์การสหประชาชาติ (UN), สภากาชาด, อาเซียน และรัฐบาลหลายประเทศ กำลังเตรียมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา โดยเฉพาะ อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และที่พักชั่วคราว เพื่อรองรับผู้พลัดถิ่นหลายหมื่นคน

แม้ว่าการหยุดยิงครั้งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว แต่หลายฝ่ายกังวลว่า เมื่อหมดกำหนดในวันที่ 22 เมษายน ความขัดแย้งระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลังชาติพันธุ์อาจปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

ผู้ช่วย รมว. กระทรวง อว.ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน.และ ”Kick off “เพื่อขับเคลื่อน Soft Power ด้านมวยไทย” ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี

(3 เม.ย. 68) นวัตกรรม ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. และ ”Kick off “การส่งเสริมงานด้าน อววน. เพื่อขับเคลื่อน Soft Power ด้านมวยไทย” ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี  ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง เมืองราชบุรี 

นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า 
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มีแนวทางที่ดีในการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์ชุมชนและภาคอุตสาหกรรม ทำให้บัณฑิตสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวง อว. เองก็ได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันการศึกษา สร้างความร่วมมือกับสถานประกอบในการร่วมผลิตบัณฑิตที่ตอบโจทย์สถานประกอบการภายใต้โครงการสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน (Cooperative and Work Integrated Education หรือ CWIE) ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อเพิ่มโอกาสฝึกงานและสร้างเครือข่ายการจ้างงานที่กว้างขึ้น นอกจากนี้มหาวิทยาลัยได้บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานการศึกษาในจังหวัดได้เป็นอย่างดี เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีคุณภาพทั้งสติปัญญา กาย ใจ ด้วยการพัฒนาหลักสูตร สื่อ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม รวมถึงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้สัมมาชีพในชุมชน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านประสบการณ์การทำงาน
 
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มีโครงการที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจฐานรากและอุตสาหกรรมเกษตรถือเป็นจุดแข็งที่ช่วยยกระดับท้องถิ่นได้จริง และอยากให้มหาวิทยาลัยเร่งผลักดันงานวิจัยให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อเชื่อมโยงนักวิจัย ผู้ประกอบการ และนักลงทุน ซึ่งกระทรวง อว. มีผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายหลายหน่วยงานที่พร้อมและยินดีให้คำปรึกษา รวมทั้งงบประมาณการสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเต็มที่
 
ด้าน Soft Power มวยไทย การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้และฝึกอบรมด้านมวยไทยเป็นแนวคิดที่ดีที่ช่วยอนุรักษ์ สืบสานต่อยอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ และแปลงมาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ผ่านกิจกรรมทั้งการกีฬา และการท่องเที่ยว อยากให้มหาวิทยาลัยได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นศูนย์กลางในเรื่องนี้ ขยายผลไปยังสถาบันอื่นที่สนใจร่วมขับเคลื่อนให้กระจายทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงขยายกิจกรรมสู่ระดับนานาชาติ เช่น การจัดการแข่งขันหรือหลักสูตรแลกเปลี่ยนด้านมวยไทย เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
 
จากการลงฟื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในวันนี้ ทางกระทรวงอว. ได้เห็นศักยภาพของมหาวิทยาลัยและจุดเด่นของมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะมวยไทยซึ่งเป็น Soft Power ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ผ่านอุตสาหกรรมกีฬา ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสื่อบันเทิงซึ่ง กระทรวง อว. เล็งเห็นว่าในอนาคตอาจร่วมกันพัฒนาบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับมวยไทย โดยนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา เช่น ฟิตเนสเพื่อสุขภาพ การพัฒนาอุปกรณ์กีฬา เทคโนโลยีการฝึกซ้อม หรือศาสตร์การแพทย์แผนไทย สื่อดิจิทัลเกี่ยวกับมวยไทยหรือการพัฒนาแพลตฟอร์มเรียนรู้มวยไทยออนไลน์ โดยเร่งประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและนักลงทุน เพื่อขยายโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยนำมวยไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศ 

แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และเป็นอีกหนึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ กระทรวง อว. จะเร่งผลักดันให้เกิดโครงการอบรมและรับรองมาตรฐานครูมวยไทยระดับสากล เพื่อส่งเสริมให้ครูมวยไทยสามารถไปทำงานในต่างประเทศได้สนับสนุนให้นักศึกษามีโอกาสฝึกงานกับค่ายมวย สถานที่ท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างทักษะการทำงานที่ตรงกับความต้องการของตลาด และส่งเสริมให้เยาวชนและนักศึกษาที่สนใจมวยไทยสามารถเข้าถึงแหล่งทุน ทุนการศึกษา หรือโครงการแลกเปลี่ยน เพื่อพัฒนาตนเองสู่ระดับสากลได้ต่อไป
 
กระทรวง อว. มุ่งมั่นสนับสนุนการนำวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมมาใช้พัฒนาพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน และยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เราเชื่อว่าการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ จะช่วยให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงในการเผยแพร่แนวทางเหล่านี้ และหวังว่าจะได้ร่วมมือกันต่อไปในการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม การศึกษา และเศรษฐกิจ รวมทั้งมวยไทยเพื่อสร้างโอกาสให้กับคนไทย และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เวทีโลก

นางสาวประภารัตน์ นาคผจญ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า  ในนามของจังหวัดราชบุรี รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับท่านและคณะ ในโอกาสที่ได้กรุณาเดินทางลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานด้านการขับเคลื่อน งานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาจังหวัดราชบุรี ตลอดจนการส่งเสริมอัตลักษณ์ การสืบสานภูมิปัญญา และมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ ผ่านแนวคิดซอฟต์พาวเวอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำศิลปะมวยไทยมาสร้างคุณค่าและเพิ่มพูนศักยภาพกำลังคน 

ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงได้มีบทบาทสำคัญในการสืบสาน ต่อยอด และเชื่อมโยงองค์ความรู้
สู่การพัฒนาเศรษฐกิจระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
จังหวัดราชบุรีให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืนข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ท่านและคณะคงได้เห็นถึงศักยภาพอันหลากหลายของจังหวัดราชบุรี ทั้งในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งล้วนเป็นฐานรากสำคัญที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ตามนโยบายของรัฐบาล

ในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ได้มีบทบาทสำคัญในการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมมาขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดราชบุรีอย่างเป็นรูปธรรม โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่ ผ่านการให้บริการวิชาการ งานวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม เพื่อยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรของจังหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 

โครงการที่เกี่ยวข้องกับ “มวยไทย” ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ทรงคุณค่าของประเทศไทย มหาวิทยาลัยฯ ได้สืบสานและต่อยอดองค์ความรู้ดังกล่าวสู่การพัฒนาในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านกีฬา    การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการศึกษาตลอดช่วงวัย ซึ่งล้วนเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มุ่งส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นศูนย์กลางการพัฒนาองค์ความรู้ และเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในระดับพื้นที่

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลงพื้นที่ของท่านในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวคิด และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับพื้นที่กับกระทรวง อว. เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนของจังหวัดราชบุรีต่อไป

นายทัศนา แช่มสะอาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเบิกไพร กล่าวว่า ขอขอบพระคุณ ที่ท่านได้ให้เกียรติมาเยี่ยมชมบูธนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการ "ต้นกล้ามวยไทยตำบลเบิกไพร"  เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการส่งเสริมและขับเคลื่อนศิลปะมวยไทยในระดับชุมชนศิลปะมวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ทั้งในด้านศิลปะการต่อสู้ การออกกำลังกาย และการส่งเสริมคุณธรรมวินัยแก่เยาวชน 

โครงการ  "ต้นกล้ามวยไทยตำบลเบิกไพร" จึงเกิดขึ้นเพื่อต่อยอดการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนชุมชนในท้องถิ่น เพื่อให้มวยไทยเป็นที่แพร่หลายและได้รับการอนุรักษ์สืบทอดอย่างยั่งยืนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะช่วยส่งเสริมและขยายโอกาสให้เยาวชนได้เข้าถึงการเรียนรู้ศิลปะมวยไทยอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

“พล.ต.อ.กรไชยฯ” ตรวจสอบอาคารที่ทำการ สตม. และ บช.สอท. รวมทั้ง อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สตม. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตำรวจและผู้ติดต่อราชการ

(1 เม.ย. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ ได้ร่วมสำรวจความเสียหายของอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ (อาคาร 30 ชั้น) ที่ทำการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี และอาคารที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจ จากกรณีเเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมี พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. , พล.ต.ต.สมิทธิ สุวรรณสุขโรจน์ ผู้บังคับการกอง
โยธาธิการ และคณะผู้เชี่ยวชาญ ร่วมตรวจสอบ

นอกจากนี้ วานนี้ (31 มีนาคม 2568) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กรไชยฯ พร้อมคณะ ได้ร่วมตรวจสอบอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และสวัสดิการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคาร 32 ชั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.ภาณุวัฒน์ ร่วมรักษ์ รองผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง , ผู้บังคับการกองโยธาธิการ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบ

พล.ต.อ.กรไชยฯ กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่สำรวจอาคารที่ทำการและที่พักอาศัย หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติงาน ผู้ที่พักอาศัยในอาคาร และประชาชนที่ติดต่อราชการต่อไป

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรม ในห้วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2568

(2 เม.ย. 68) ตำรวจภูธรภาค 5 ระดมกวาดล้างอาชญากรรม เป้าหมายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และสืบสวนจับกุมกุมบุคคลตามหมายจับในห้วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ.2568

วันอังคารที่ 1 เมษายน 2568 เวลา 13.00 น.พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรม เป้าหมายผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และสืบสวนจับกุมกุมบุคคลตามหมายจับ ในห้วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ.2568 (ห้วงวันที่ 21-30 มี.ค.68) ดังนี้

1. การสืบสวนขยายผลปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายผู้ค้าอาวุธปืนออนไลน์ของ ภ.5 จำนวน  4 เครือข่าย
2. ผลการสืบสวนขยายผลการจับกุมผู้ค้าอาวุธปืนออนไลน์ 4 เครือข่าย ในพื้นที่ ภ.5 จับกุมจำนวน 28 ราย 27 คนขยายผลในพื้นที่ ภ.2 จับกุมจำนวน 2  ราย 2 คน รวม 30  ราย 29 คน ของกลาง 21 รายการ
3.ผลระดมกวาดล้างอาวุธปืน On Ground ในพื้นที่ ภ.5 จับกุมจำนวน 356 ราย 334 คน ของกลาง 6 รายการ
4. สรุปผลระดมกวาดล้างอาวุธปืน Online และ On Ground ในพื้นที่ ภ.5 จับกุมจำนวน 61 คน
5. ผลการจับกุมบุคคลตามหมายจับ ทั้งหมด 1,409 หมาย แบ่งเป็นหมายจับ ตร. จำนวน 1,026 หมาย แยกเป็นหมายใน ภ.5 จำนวน 964 หมาย / นอก บช. 57 หมาย / หมายนอก 383 หมาย

โดยมี พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และ ผกก.สภ.พื้นที่ ร่วมแถลงผลการจับกุม ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ชั้น 2 อาคารตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top