Sunday, 11 May 2025
NewsFeed

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีอุปสมบทหมู่ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 

(2 เม.ย. 68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี วันที่ 2 เมษายน 2568 ทรงเจริญพระชนมายุ ครบ 70 พรรษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้โครงการอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล โดยวานนี้ เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. เป็นประธานในพิธีถวายราชสักการะ พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชนาค พิธีมอบบาตรและผ้าไตร และพิธีบรรพชาอุปสมบท ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดโครงการอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจเฉลิมพระเกียรติ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึงวันที่ 14 เมษายน 2568 รวมทั้งสิ้น 19 วัน โดยมีข้าราชการตำรวจเข้าร่วมโครงการ จำนวน 78 นาย ซึ่งหลังจากบรรพชาและอุปสมบทแล้ว วันที่ 3 – 13 เมษายน 2568 จะไปศึกษาพระปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม ณ ศาลาปฏิบัติธรรมเตชะอิทธิพร วัดโบสถ์ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี เมื่อครบกำหนดโครงการมีพิธีลาสิกขาและแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ในวันที่ 14 เมษายน 2568 ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสมหามงคลที่สำคัญอีกวาระหนึ่งที่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าจะได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดีและปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศล และสืบทอดพระพุทธศาสนารักษาขนบธรรมเนียมประเพณี อันดีงามของไทย 

สมุทรปราการ-“นายกแดง” อนุศักดิ์ นาคทิม แชมป์เก่า ลงสมัครเลือกตั้งชิงเก้าอี้นายกท้องถิ่นกำลังใจล้นหลาม

(3 เม.ย. 68) ที่อาคารสำนักงานเทศบาลตำบลบางเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ได้เปิดรับสมัครนายกเทศมนตรีตำบลบางเมืองเป็นวันแรก โดยผลการจับฉลากทางด้าน นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง แชมป์เก่า ขวัญใจพี่น้องประชาชน ได้เบอร์ 1 ในนามกลุ่มบางเมืองก้าวหน้า มีกองเชียร์มาให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมากทำให้บรรยากาศดูคึกคัก 

ขณะที่ผู้ท้าชิงคือ นายปาณวัฒน์ อุทัยเลิศ ได้เบอร์ 2 กลุ่มอาสาพัฒนาบางเมือง และ นายประสิทธิ์ เจตน์ทรงธรรม ได้เบอร์ 3 พรรคประชาชน หลังจากนี้ทั้ง 3 เบอร์เตรียมตัวลงพื้นที่หาเสียงไปพบประพูดคุยเพื่อขอคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน 

สืบเนื่องจาก นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง ได้หมดวาระลงและกำหนดให้มีการรับสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลบางเมือง รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น ในวันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งซึ่งการรับสมัครเลือกตั้งนั้น มีปลัดเทศบาลปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรี ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลตำบลบางเมืองและคณะเจ้าหน้าที่คอยอำนวยการดูแลความเรียบร้อย

นอกจากนี้ ยังมีกองเชียร์จำนวนมากมาให้กำลังใจพร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์ นาวาเอก อนุศักดิ์ นาคทิม (นายกแดง) อดีตนายกบางเมืองกันล้นหลามและขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สภาเมืองเบอร์มิงแฮม ประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังพนักงานเก็บขยะหยุดงานประท้วง ทำให้กองขยะพะเนิน 17,000 ตัน

(3 เม.ย. 68) สภาเมืองเบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากการประท้วงหยุดงานของพนักงานเก็บขยะที่ดำเนินต่อเนื่อง ส่งผลให้ขยะสะสมทั่วเมืองมากกว่า 17,000 ตัน และยังไม่มีแนวโน้มจะได้รับการแก้ไขในเร็วๆ นี้

ข้อพิพาทระหว่างเมืองและพนักงานเก็บขยะเริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 เมื่อกลุ่มการค้า Unite the Union ประกาศว่าพนักงานเก็บขยะจะหยุดงานในปี พ.ศ. 2568 เพื่อต่อต้านการลดค่าจ้างเกินความจำเป็น การห้ามทำงานล่วงเวลา และการที่สภายกเลิกบทบาทพนักงานเก็บขยะ

แต่ทางเมืองกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 มีนาคมว่า “คนงานทุกคนได้รับการเสนองานทางเลือกด้วยค่าจ้างเท่าเดิม การฝึกอบรมพนักงานขับรถ หรือการเลิกจ้างโดยสมัครใจ” และอ้างว่าบทบาทที่ถูกยกเลิกนั้นก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณของเมือง

“เรารู้สึกเสียใจที่เราต้องดำเนินการเช่นนี้ แต่เราไม่สามารถทนต่อสถานการณ์ที่กำลังก่อให้เกิดอันตรายและความทุกข์ใจแก่ชุมชนต่างๆ ทั่วเมืองเบอร์มิงแฮมได้” จอห์น คอตตอน หัวหน้าสภาเมืองเบอร์มิงแฮม กล่าวในแถลงการณ์

ทางสภาเมืองเปิดเผยว่า กลุ่มผู้ประท้วงได้ตั้งแนวรั้วปิดกั้นศูนย์จัดการขยะทุกวัน ทำให้รถเก็บขยะไม่สามารถเข้าถึงและจัดการขยะที่คั่งค้างได้ ขยะจำนวนมหาศาลที่กองอยู่บนถนนและพื้นที่สาธารณะเริ่มส่งผลกระทบต่อ สุขอนามัยของประชาชน และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมร้ายแรง

ผู้นำสภาเมืองเบอร์มิงแฮม แถลงว่า ขณะนี้กำลังพิจารณามาตรการเร่งด่วนเพื่อคลี่คลายวิกฤติ โดยอาจต้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐหรือหน่วยงานภายนอก พร้อมเรียกร้องให้พนักงานเก็บขยะและสหภาพแรงงานเปิดเจรจาเพื่อหาทางออกโดยเร็ว

“สภาเมืองเบอร์มิงแฮมสามารถแก้ไขข้อพิพาทนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่กลับดูเหมือนว่าจะมุ่งมั่นที่จะใช้แผนลดตำแหน่งและลดเงินเดือนโดยไม่คำนึงถึงต้นทุน” ชารอน เกรแฮม เลขาธิการสหภาพแรงงานแห่งเบอร์มิงแฮมกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ “หากต้องใช้จ่ายมากกว่าต้นทุนในการแก้ปัญหาการหยุดงานอย่างยุติธรรม พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่สนใจ”

ขณะเดียวกัน ประชาชนในเมืองแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก หลายพื้นที่ของเบอร์มิงแฮมเต็มไปด้วยกองขยะ ส่งกลิ่นเหม็นและดึงดูดสัตว์พาหะ เช่น หนู และแมลงวัน สร้างความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสุขอนามัยและความปลอดภัยของชุมชน

ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษตระหนักถึงการหยุดงานดังกล่าว จิม แม็กมาฮอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงชุมชน กล่าวในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ “มีการเตรียมการที่ชัดเจนสำหรับพื้นที่ต่างๆ ในท้องถิ่นเพื่อยกระดับปัญหาในพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ และรัฐบาลกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” 

“หากผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ในเมืองเบอร์มิงแฮมรู้สึกว่าการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เกินขอบเขตของทรัพยากรที่พวกเขามีอยู่ และพวกเขาร้องขอการสนับสนุนจากระดับชาติ เราก็พร้อมที่จะตอบสนองต่อคำขอใดๆ ก็ตาม” แม็กมาฮอนกล่าวตามรายงานของ PA Media สำนักข่าวของอังกฤษ

รมว.คลังสหรัฐฯ แนะประเทศทั่วโลก ‘อย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ และยอมรับมัน’ เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้ง หลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีใหม่

(3 เม.ย. 68) สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นในระหว่างการประชุมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่า ประเทศต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงการตอบโต้มาตรการภาษีที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทั่วโลก เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ

เบสเซนต์กล่าวว่า “คำแนะนำของผมสำหรับทุกประเทศในตอนนี้คืออย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ ยอมรับมัน แล้วมาดูกันว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าคุณตอบโต้ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง” โดยเบสเซนต์กล่าวในการสัมภาษณ์ในรายการ Special Report ไม่นานหลังจากการประกาศดังกล่าว 

ในระหว่างการประชุม เบสเซนต์เน้นย้ำว่า การตอบโต้ภาษีของทรัมป์อาจไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง “ถ้าคุณไม่ตอบโต้ นี่คือจุดสูงสุด” 

ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการภาษีใหม่เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้หลายประเทศตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และบางประเทศได้แสดงท่าทีที่ต้องการตอบโต้

ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงยืนยันในความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว เบสเซนต์เตือนว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจยืดเยื้อและขยายวงกว้าง หากไม่มีการเจรจาและหาทางออกที่สมดุลและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย

นอกจากนี้ เบสเซนต์กล่าวกับเบร็ต ไบเออร์ หัวหน้าผู้ประกาศข่าวสายการเมืองของ Fox News ว่าเป้าหมายของการเก็บภาษีศุลกากรคือการสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว “เรากำลังกลับสู่วิถีทางที่ดี” เขากล่าว โดยโจมตีรัฐบาลของไบเดนเรื่องการใช้จ่ายรัฐบาลที่ “มหาศาล” 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเสริมว่า รัฐสภากำลังดำเนินการเพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายภาษี เนื่องจากฝ่ายบริหารกำลังพยายามทำให้ การลดหย่อนภาษีของทรัมป์ในปี 2017 เป็นแบบถาวร

“ยิ่งเราสามารถได้รับความแน่นอนเรื่องภาษีได้เร็วเท่าไหร่ เราก็สามารถเตรียมการสำหรับการกลับมาเติบโตได้เร็วเท่านั้น” เบสเซนต์กล่าว

อีลอน มัสก์ จ่อถอนตัวจากบทบาท ‘พนักงานรัฐบาลพิเศษ’ หลังพบแรงต้านในกลุ่มรัฐบาลสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการเมือง

(3 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แจ้งกับบุคคลใกล้ชิด รวมถึงสมาชิกคณะรัฐมนตรีว่า อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลาและเอ็กซ์ (X) เตรียมถอนตัวจากบทบาท “พนักงานรัฐบาลพิเศษ” ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มพันธมิตรของรัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่บางรายที่เริ่มมองว่ามัสก์เป็น “ภาระทางการเมือง” และเชื่อว่าการที่เขามีบทบาทในรัฐบาลสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับกลุ่มพันธมิตรและความเชื่อมั่นในรัฐบาล

มัสก์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่พนักงานรัฐบาลพิเศษ หรือบทบาทในกรมประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) เพื่อช่วยเสริมสร้างนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในสหรัฐฯ มีบทบาทที่สำคัญในหลายโครงการรัฐบาล แต่กระแสความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นจากบางส่วนในรัฐบาล ทำให้การตัดสินใจถอนตัวของมัสก์กลายเป็นเรื่องที่ได้รับการจับตามอง

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนหนึ่งกล่าวว่า มัสก์มีแนวโน้มที่จะยังคงมีบทบาทอย่างไม่เป็นทางการในฐานะที่ปรึกษา และยังคงเป็นบุคคลภายนอกที่ปรากฏตัวเป็นครั้งคราวในบริเวณทำเนียบขาว ส่วนอีกคนหนึ่งเตือนว่าใครก็ตามที่คิดว่ามัสก์จะหายไปจากวงโคจรของทรัมป์ เขาคนนั้นกำลังหลอกตัวเอง

แหล่งข่าวระบุว่า มัสก์จะถอนตัวจากบทบาทนี้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ยังไม่ได้มีการประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการในอนาคตของเขา โดยคาดว่าเขาจะมุ่งเน้นที่การพัฒนาธุรกิจส่วนตัวและการลงทุนในเทคโนโลยีต่อไป

“สักวันหนึ่ง อีลอนคงอยากจะกลับไปที่บริษัทของเขา เขาต้องการแบบนั้น ผมจะเก็บเขาไว้ตราบเท่าที่ผมยังเก็บเขาไว้ได้” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าว

เบร็ท แบเยอร์ จาก Fox News ถามมัสก์เมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาพร้อมที่จะลาออกหรือไม่เมื่อสถานะพนักงานพิเศษของรัฐบาลของเขาสิ้นสุดลง เขาก็ได้ประกาศว่าภารกิจของเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว โดยกล่าวว่า “ผมคิดว่าเราจะบรรลุภารกิจส่วนใหญ่ที่จำเป็นเพื่อลดการขาดดุลลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในกรอบเวลาดังกล่าว”

‘สรส.-สสรท.’ 2 สมาพันธ์แรงงาน เข้าพบ ‘รองนายกฯ พีระพันธุ์’ ยื่น ตรวจสอบคุณสมบัติบอร์ด ปตท. หวั่นเอื้อกลุ่มทุนพลังงาน

สรส.-สสรท. ยื่น ตรวจสอบคุณสมบัติบอร์ด ปตท. หวั่นเอื้อกลุ่มทุนพลังงาน ‘พีระพันธุ์’ ชี้ภาครัฐมีข้อจำกัดในการควบคุมแทรกแซงแม้เห็นความเคลื่อนไหวผิดปกติ แนะผลักดันกฎหมายเพิ่มอำนาจ สคร.ปกป้องประโยชน์ชาติและประชาชน

เมื่อวันที่ (3 เม.ย.68) ที่ผ่านมา นายมานพ เกื้อรัตน์ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เปิดเผยว่า สรส.ร่วมกับสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) ได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของคณะกรรมการบริษัทในกลุ่ม ปตท. โดยอ้างอิงจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าบุคคลบางรายที่ดำรงตำแหน่งกรรมการ อาจมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และบางรายมีประวัติเกี่ยวข้องกับบริษัทด้านพลังงาน ซึ่งอาจขัดกันแห่งผลประโยชน์

นายมานพระบุว่า ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) มีหน้าที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าการแต่งตั้งกรรมการเหล่านี้มีความโปร่งใสหรือไม่ พร้อมยืนยันว่า สรส.จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

ขณะที่นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน สสรท. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าพบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยตั้งคำถามถึงเหตุผลที่รัฐบาลไม่สามารถลดราคาไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซได้ ทั้งที่มีความพยายามจากกระทรวงพลังงานในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว

นายสาวิทย์เปิดเผยว่า จากการหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยอมรับถึงข้อจำกัดตามกฎหมายในปัจจุบัน ที่ทำให้รัฐไม่สามารถควบคุมหรือแทรกแซงการบริหารจัดการของบริษัทในเครือ ปตท. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะเห็นความเคลื่อนไหวด้านการโอนทรัพย์สินจากบริษัทแม่ไปยังบริษัทลูก แต่รัฐมนตรีก็ไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบโดยตรง

ด้วยเหตุนี้ นายพีระพันธุ์จึงแนะให้ทั้ง สรส. และ สสรท. ร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สามารถปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนได้อย่างแท้จริง

รัสเซียไม่อยู่ในรายชื่อขึ้นภาษีของทรัมป์ สื่อมอสโกเผย เพราะถูกคว่ำบาตรอยู่แล้ว

(4 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยรายชื่อประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ภายใต้แผนการใหม่เพื่อ 'ปกป้องเศรษฐกิจอเมริกัน' โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และส่งเสริมภาคการผลิตภายในประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์และผู้นำหลายชาติในโลกตะวันตก คือ “รัสเซียไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศเป้าหมาย” รวมถึงคิวบา เบลารุส และเกาหลีเหนือ ก็ไม่ได้รวมอยู่ในมาตรการดังกล่าวด้วยท่ามกลางความคาดหวังของหลายฝ่ายที่ต้องการเห็นสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการกดดันเพิ่มเติมต่อมอสโก ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่ยังคงดำเนินต่อไปในหลายประเด็น

เมื่อวันพฤหัสบดี สื่อรัสเซียยังโต้แย้งว่าประเทศของพวกเขาไม่อยู่ในรายชื่อภาษีศุลกากรครอบคลุมเนื่องจากมีการคว่ำบาตรที่มีอยู่แล้ว 

“รัสเซียไม่ได้ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรใดๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ เพียงแต่เป็นเพราะชาติตะวันตกได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศของเราแล้ว” สถานีโทรทัศน์ Rossiya 24 ของรัฐบาลกล่าว

ขณะเดียวกันยูเครนกำลังเผชิญกับภาษีนำเข้า 10 เปอร์เซ็นต์จากสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยูเลีย สวีรีเดนโก รองนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ กล่าวว่าภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่

ในปี 2024 ยูเครนส่งออกสินค้ามูลค่า 874 ล้านดอลลาร์ (ราว 31,901 ล้านบาท) ไปยังสหรัฐฯ และนำเข้า 3.4 พันล้านดอลลาร์จากสหรัฐฯ ตามที่รองนายกรัฐมนตรีกล่าว “ยูเครนมีสิ่งดีๆ มากมายที่จะมอบให้กับสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรและหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้” เธอกล่าวเสริม “ภาษีศุลกากรที่เป็นธรรมจะส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศ”

บรรดาชาติพันธมิตรในยุโรปแสดงความผิดหวังต่อท่าทีดังกล่าว โดยมองว่า เป็นสัญญาณที่สหรัฐฯ อาจลังเลในการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นมาตรการตอบโต้รัสเซีย ในขณะที่ชาติเหล่านั้นต่างกำลังแบกรับภาระจากการคว่ำบาตรที่ได้ประกาศใช้ไปก่อนหน้า

นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัสเซียไม่ถูกรวมอยู่ในรายชื่อ อาจสะท้อนถึงเจตนาทางการเมืองบางประการของทำเนียบขาว หรืออาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงโยงใยกันอยู่ในระดับลึก

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ สื่อหลายสำนักรายงานว่ามีแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อฝ่ายบริหารของทรัมป์ให้ทบทวนจุดยืน พร้อมเรียกร้องให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มีต่อรัสเซียในระยะยาว

แผนขึ้นภาษีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติในสภาคองเกรส โดยคาดว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในประเด็น “สองมาตรฐาน” ที่หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามต่อการดำเนินนโยบายในครั้งนี้

ชาติ CLMV และไทย เผชิญแรงกดดันหนักสุด ท่ามกลางเจตนารมณ์ซ่อนเร้นของมหาอำนาจ

(4 เมษายน 2568) รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ วิเคราะห์ถึงหลักการคำนวณและขึ้นภาษีตอบโต้ไทย ถึง 37% ของสหรัฐฯ 

รศ.ดร.สมภพ มองว่า 10% คือภาษีนำเข้าสินค้าที่ไทยเก็บกับสหรัฐฯ แต่อีก 62% คือ 'ดุลพินิจ' ล้วน ๆ จากปัจจัย Non-Tariff หรือมาตรการที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอากร  

“มันใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นตัวตั้งไม่น้อย มันนามธรรมสูงมาก จับต้องไม่ได้” แต่เขาก็ตั้งข้อสังเกตว่า ชาติ CLMV บวก ไทย โดนหนักสุด ทั้งที่ CLMV คือชาติยากจนอันดับต้น ๆ ของโลก คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา ยกเว้นเวียดนาม

“เพราะชาติเหล่านี้ใกล้ชิดกับจีนมาก นี่แหละเจตนารมย์ซ่อนเร้นจริง ๆ ที่เราต้องตีความให้ออก” รศ.ดร.สมภพ กล่าว

ท้ายสุด รศ.ดร.สมภพ ชี้ว่า ไทยมีเวลา 7 วันเพื่อเข้าเจรจาไกล่เกลี่ยกับสหรัฐฯ แต่คิดว่าไม่น่าจะพอ เนื่องจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่มีเจ้าหน้าที่เพียงหลักร้อย ไม่น่าจะรับมือนานาประเทศที่จะแห่กันเข้ามาขอเจรจา 

“แต่นี่แหละคือจุดเริ่มต้นการเจรจา” ที่ผู้เป่านกหวีดก็คือทรัมป์เอง

อินเดียรื้อสอบบริษัทโยง ‘จอร์จ โซรอส’ เอี่ยวรับทุนอเมริกา (USAID) กว่า 80 ล้านรูปี

(4 เม.ย. 68) คณะกรรมการบังคับใช้กฎหมายของอินเดีย (Enforcement Directorate – ED) อยู่ระหว่างการสอบสวนเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบริษัทแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับมหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังระดับโลก “จอร์จ โซรอส” หลังพบว่าบริษัทดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) เป็นจำนวนกว่า 80 ล้านรูปี หรือราว 32 ล้านบาทไทย ในช่วงปีงบประมาณ 2022-2023

แหล่งข่าวจาก ED เปิดเผยว่าบริษัทดังกล่าวอธิบายว่า มีการคืนเงิน 80 รูปี สำหรับบริการที่ให้แก่กลุ่มงานวิจัยในเดลีที่มีชื่อว่า Council on Energy Environment and Water (CEEW) อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ต่อ HT.com CEEW ปฏิเสธว่าไม่มีการเชื่อมโยงไปยัง George Soros หรือ Open Society Foundations

“CEEW ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจอร์จ โซรอส หรือมูลนิธิโอเพ่นโซไซตี้ ASAR Social Impact Advisors ได้รับการว่าจ้างจาก CEEW เพื่อให้บริการเฉพาะสำหรับโครงการ USAID ที่เกี่ยวข้องกับอากาศที่สะอาดขึ้น โครงการนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว CEEW ไม่มีความสัมพันธ์กับ ASAR ในขณะนี้ CEEW ไม่ได้รับคำถามใดๆ จากหน่วยงานรัฐบาลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ASAR เราไม่มีเหตุผลและไม่มีพื้นฐานใดๆ ที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการสืบสวนที่กำลังดำเนินอยู่” CEEW กล่าว

เจ้าหน้าที่ ED ระบุว่า การสอบสวนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบว่าเงินทุนดังกล่าวถูกนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้หรือไม่ และมีการละเมิดกฎหมายว่าด้วยเงินทุนต่างประเทศ (FCRA) หรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่อาจมีนัยทางการเมือง หรืออิทธิพลต่อความมั่นคงของประเทศ

สำหรับ จอร์จ โซรอส นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการี เป็นนักวิเคราะห์ค่าเงิน นักลงทุนหุ้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Institute ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมและการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั่วโลก เคยตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

แม้ในเบื้องต้นยังไม่มีข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการต่อบริษัทดังกล่าว แต่การสอบสวนของ ED ได้รับความสนใจจากสาธารณชนและสื่ออินเดียอย่างกว้างขวาง โดยมีการจับตาว่าเรื่องนี้อาจลุกลามไปสู่การทบทวนนโยบายเกี่ยวกับการรับเงินทุนจากต่างประเทศในวงกว้าง

โฆษกของ USAID ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ ขณะที่ตัวแทนของบริษัทที่อยู่ระหว่างการสอบสวนได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับทางการอินเดียอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าเงินทุนทั้งหมดถูกนำไปใช้เพื่อ “โครงการด้านการพัฒนาและสาธารณประโยชน์” อย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

ทั้งนี้ การสอบสวนยังคงดำเนินอยู่ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

‘ป่าฮาลาบาลา’ ผืนป่าแห่งความอุดมสมบูรณ์ ตำนานแห่งอาถรรพ์ลี้ลับปลายด้ามขวานไทย

ในเวลานี้ผืนป่าดงดิบที่โด่งดังขึ้นมาและอยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าผืนป่าดิบชื้นผืนสุดท้ายแห่งปลายด้ามขวาน “ฮาลาบาลา” อีกแล้ว

ป่าฮาลาบาลา เป็นผืนป่าฝนเขตร้อนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดผืนหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดนราธิวาสป่าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลาครอบคลุมพื้นที่อำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน  

ป่าฮาลาบาลามีความสำคัญต่อระบบนิเวศหลายด้านเช่น 
1 มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้หายากและสัตว์ป่ามากมาย จนได้รับอีกสมญานามหนึ่งว่า 'ป่าอเมซอนแห่งเอเชีย' 

2 มีนกเงือกอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ถึง 10สายพันธุ์จากทั้งหมด 13 สายพันธุ์ที่พบในประเทศไทย

3 เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น กระซู่ หรือแร่ดสุมาตราที่เคยมีรายงานการพบในอดีต สมเสร็จ เสือดำ เสือโคร่ง และเก้งหม้อ  

4 เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและจุดชมวิวที่น่าสนใจ เช่นจุดชมวิวทะเลหมอกผาฆูมิงที่สามารถชมทะเลหมอกและวิวภูเขาสลับซับซ้อนอันสวยงาม, เขื่อนบางลาง สามารถล่องเรือชมธรรมชาติที่สวยงามของอ่างเก็บน้ำได้, น้ำตกสิรินธร เป็นน้ำตกที่สวยงามท่ามกลางป่าดิบ  

ป่าฮาลาบาลา ได้รับสมญานามว่า “แดนสวรรค์แห่งสุดท้ายของไทย” เนื่องจากมีธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์และเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและการผจญภัย  

ป่าฮาลาบาลาไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางธรรมชาติ แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อเกี่ยวกับ อาถรรพ์และ สิ่งลี้ลับมากมายที่ทำให้ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่ากลัวไปพร้อมกัน  

ตำนานลี้ลับแห่งป่าฮาลาบาลา

1 เมืองลับแลแห่งฮาลาบาลา
มีเรื่องเล่าว่า ลึกเข้าไปในป่าฮาลาบาลามีเมืองลับแลซ่อนอยู่ เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้คนโบราณที่ไม่ปรากฏในโลกภายนอก ว่ากันว่าผู้ที่เดินทางเข้าป่าโดยไม่เคารพสถานที่ หรือหลงเข้าไปในบางเส้นทาง อาจพบกับเมืองลับแลนี้โดยบังเอิญ แต่จะไม่มีทางกลับออกมาได้  นักเดินป่าหลายคนเล่าว่า บางครั้งพวกเขารู้สึกเหมือนมีคนมอง หรือได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ แต่เมื่อหันไปกลับไม่พบใคร ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นชาวเมืองลับแลกำลังเฝ้ามองอยู่  

2 ผีบังบดและภูตป่าฮาลาบาลา
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าฮาลาบาลาเชื่อว่าในป่ามี วิญญาณเฝ้าป่าหรือที่เรียกว่า ผีบังบดซึ่งเป็นดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในป่าหรือวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขา หากมีคนบุกรุกโดยไม่ขออนุญาต หรือทำลายธรรมชาติ ผีบังบดอาจแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็น เช่น ทำให้หลงป่า แม้จะเดินทางบนเส้นทางเดิมก็หาทางออกไม่เจอ  บางคนที่รอดกลับมาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาเห็นหมู่บ้านหรือบ้านเรือนกลางป่า แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับหายวับไปทันที เหมือนเป็น ภาพลวงตาของภูตผีในป่า

3 อาถรรพ์นกเงือก นกศักดิ์สิทธิ์แห่งฮาลาบาลา
นกเงือกถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของป่าฮาลาบาลา และมีความเชื่อกันว่า นกเงือกเป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยเฝ้าดูแลผืนป่า ชาวบ้านบางคนเชื่อว่าหากใครฆ่านกเงือก จะต้องเผชิญกับเคราะห์ร้าย หรือ อาจพบกับวิญญาณของนกเงือกที่จะมาเอาคืนในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ล้มป่วย หรือหลงป่าแบบไร้เหตุผล  

4 คำสาปแห่งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
มีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นในป่าฮาลาบาลาที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิต บางต้นมีผ้าสีผูกไว้เป็นการบูชา แต่ก็มีคนเล่าว่าหากมีใครไปลบหลู่ หรือพยายามตัดต้นไม้เหล่านี้ อาจพบกับเคราะห์กรรมหนัก เช่น ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือเกิดเรื่องลึกลับจนต้องรีบออกจากป่า หนึ่งในต้นไม้ที่มีเรื่องเล่าขานมากคือ “ต้นไม้ร้องไห้" ว่ากันว่าบางคืนต้นไม้บางต้นในป่าฮาลาบาลาจะส่งเสียงเหมือนเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ไม่มีใครรู้ว่าเสียงนั้นมาจากอะไร แต่บางคนเชื่อว่าเป็น เสียงของวิญญาณที่สิงอยู่ในต้นไม้

5 ทหารผีแห่งฮาลาบาลา
เนื่องจากในอดีต พื้นที่นี้เคยเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบและเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเกี่ยวกับกลุ่มกองกำลังบางกลุ่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หลายคนที่เข้าไปในป่าลึกในเวลากลางคืน เคยเห็นเงาลางๆ ของชายในชุดทหารเดินอยู่ตามเส้นทางหรือบางครั้งได้ยินเสียงปืนและเสียงฝีเท้า แต่เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่พบใคร  นักเดินป่าบางคนเล่าว่า มีทหารลึกลับโบกมือเรียกให้เดินไปตามเส้นทางบางสายและถ้าหลงเชื่อตามไป อาจพบว่าตัวเองหาทางกลับออกมาไม่ได้  

6 เรื่องเล่าของพรานป่าและการหายตัวไปอย่างลึกลับ
มีเรื่องเล่าว่าพรานป่าบางคนที่เข้าไปล่าสัตว์ในป่าฮาลาบาลา หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยบางครั้งพบอุปกรณ์ล่าสัตว์หรือแคมป์ที่ถูกทิ้งร้าง แต่ไม่พบร่างของพวกเขา บางคนเชื่อว่าพวกเขาถูก "เจ้าป่า" หรือ "ผีป่า" พาไป ไม่สามารถกลับออกมาได้  นักเดินป่าบางคนเคยพบ “รอยเท้าปริศนา” ที่มีเพียงรอยเข้าไป แต่ไม่มีรอยเดินกลับออกมา ทำให้เกิดความเชื่อว่าอาจมี "ประตูมิติ" หรือ "พลังลี้ลับ" ที่ซ่อนอยู่ในป่า  

อย่างไรก็ดี แม้ว่าป่าฮาลาบาลาจะเต็มไปด้วยเรื่องเล่าลึกลับมากมาย แต่หนึ่งในตำนานที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านและพรานป่าที่เคยเข้าไปลึกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ และยังคงเป็นปริศนาเกี่ยวกับสิ่งที่อาจซ่อนอยู่ในป่าอันกว้างใหญ่แห่งนี้  ก็คือตำนานมนุษย์กินคนในป่าฮาลาบาลา

มีเรื่องเล่าว่าลึกเข้าไปในป่าฮาลาบาลา อาจมี กลุ่มชนลึกลับที่แยกตัวจากโลกภายนอกพวกเขาอาศัยอยู่ในป่าลึก ไม่คบหากับคนนอก และมีกฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป  

บางเรื่องเล่ากล่าวว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่ตกทอดมาจากอดีต หรืออาจเป็นกลุ่มนักโทษหรือกบฏที่หนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าและอยู่รอดได้ด้วยการล่าสัตว์และการใช้ชีวิตแบบดึกดำบรรพ์ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกเล่าขานอย่างน่ากลัวก็คือ พฤติกรรมกินเนื้อมนุษย์ และนำเอามนุษย์ที่ล่าได้ไปบูชายันแก่ดวงวิญญาณหรือภูตผีปีศาจที่เป็นที่เคารพนับถือของชนเผ่า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับ นักเดินป่า พราน หรือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เข้าไปในป่าฮาลาบาลาแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางกรณีพบอุปกรณ์ของพวกเขาถูกทิ้งไว้ แต่ไม่มีร่างของพวกเขา บางคนที่โชคดีรอดออกมาได้ เล่าว่าพวกเขาเห็นเงาตะคุ่มของมนุษย์ที่ไม่ใช่คนทั่วไปซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้  พรานป่าบางคนเล่าว่า พวกเขาเคยเจอ ซากศพของคนที่หายไป แต่ร่างกายถูกกินไปบางส่วน ลักษณะของบาดแผลไม่ใช่การถูกสัตว์ป่าทำร้าย แต่เหมือนถูกตัดหรือกัดด้วยฟันของมนุษย์ นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ที่ทำให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับมนุษย์กินคนในป่าฮาลาบาลา  

แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะถูกเล่าต่อกันมาและไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่การหายตัวไปของผู้คนในป่าฮาลาบาลานั้นเป็นเรื่องที่ได้มีการบันทึกไว้จริง แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานบวกกับความทรงจำอันพร่าเลือนของผู้คน ทำให้ตำนานความลี้ลับและเรื่องเล่าแห่งอาถรรพ์ของป่าฮาลาบาลายังคงความขลังและขนหัวลุกแก่ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงและเหล่านักเดินป่ามาจนถึงในปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top