Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

‘พงษ์ภาณุ’ อดีตปลัดคลังฯ ชี้ 1 มิถุนายนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่มีเงินจ่ายข้าราชการ ชำระหนี้ และดอกเบี้ย

(28 พ.ค. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00-08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 66 โดยระบุว่า ...

‘วิกฤตเพดานหนี้’ (Debt Ceiling) ของสหรัฐฯ เดินมาถึงฉากสุดท้ายยังหาข้อยุติไม่ได้ หากไม่จบ 1 มิถุนายนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่เงินสดเพียงพอที่จะจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญข้าราชการ รวมทั้งชำระหนี้และดอกเบี้ยเงินกู้ที่ครบกำหนดได้

การผิดนัดชำระหนี้ที่จะเกิดขึ้นหลังวันที่ 1 มิถุนายน ถือเป็นวิกฤตการเงินของโลกครั้งใหญ่ เพราะตลาด Treasury ถือเป็นตลาดสินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่ที่สุด นักลงทุนทั่วโลก ทั้งรัฐและเอกชน ลงทุนในพันธบัตรัฐบาลสหรัฐ โดยเชื่อว่าเป็นตราสารการเงินที่ไม่มีความเสี่ยง แต่ที่สำคัญวิกฤตเพดานหนี้สะท้อนภาพฐานะการคลังของรัฐบาลทั่วโลกที่อ่อนแอและน่าเป็นห่วง รวมทั้งฐานะการคลังของรัฐบาลไทย ปัญหาการคลังที่สะสมมาเป็นเวลานาน ยังไม่ได้รับการแก้ไข รายจ่ายมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากสังคมสูงอายุและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ขณะที่รายได้ภาษีอากรชะงักงัน ส่งผลให้ขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะสูงขึ้น ถือเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาดูแล การประชุมสุดยอด G7 ที่ Hiroshima ส่งสัญญาณเตือนจีนในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจฝ่ายประชาธิปไตย การย้ายฐาน Supply Chain การบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการคุ้มครองเทคโนโลยีสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรม Semiconductor ล้วนเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องสดับตรับฟัง เพราะมีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและนโยบายอุตสาหกรรมของรัฐบาลใหม่

ในด้านความมั่นคง การประชุมที่ Hiroshima ซึ่งเป็นเมืองแรกในโลกที่ถูกทำลายด้วยระเบิด Atomic Bomb ประกอบการมาร่วมของประธานาธิบดี Zelenskyy แห่ยูเครน ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงรัสเซียที่ได้ขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถึงภัยร้ายแรงของสงครามที่รัสเซียจะต้องรับผิดชอบในฐานะอาชญากรสงครามอีกด้วย

รมต.ดีอีเอส แต่งตั้ง ผบ.ตร.เป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

รมต.ดีอีเอส แต่งตั้ง ผบ.ตร.เป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดึงภาครัฐ และหน่วยงานส่วนเกี่ยวข้องบูรณการการ ทำงาน เดินหน้าปราบคดีออนไลน์ สร้างภูมิคุ้มกันวัคซีนไซเบอร์ให้ประชาชน หลังพอใจผลงาน สถิติคดีเริ่มลดลงต่อเนื่อง 

วันนี้ (27 พ.ค.66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ในฐานะประธานกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ลงนามคำสั่งคณะกรรมการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ 3/2566 ลง 17 พ.ค.66 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยแต่งตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เป็นประธานอนุกรรมการ มีปลัดกระทรวงดีอีเอส และ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร เป็นที่ปรึกษา มีส่วนราชการเกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ รวมทั้งผู้แทนสมาคมธนาคารเข้าร่วมในคณะทำงาน มีอำนาจหน้าที่สำคัญอาทิ เช่น หารือร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566  การเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล การแจ้งข้อมูลหลักฐาน การกำหนดเหตุอันควรสงสัย หรือการปฏิบัติอื่นใดตามกฎหมาย รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันให้หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน นำไปเผยแพร่ โดยจัดการประชุมร่วมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งมิติของการป้องกัน การปราบปรามและการประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบการบูรณาการร่วมกัน

ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตามนโยบายรัฐบาลมาต่อเนื่อง ทั้งมิติการปราบปราม ที่มีการจับกุมเครือข่ายผู้กระทำผิดจำนวนมาก รายล่าสุด จับกุมแก๊งมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นธนาคาร หน่วยงานต่างๆ ส่ง SMS ลิงก์ดูดเงิน พร้อมของกลางรถโมบายเคลื่อนที่ อุปกรณ์ส่งสัญญาณต่างๆ และในห้วงนี้ (15-31 พ.ค.66) มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้า ซิมม้า จับกุมกว่า 100 คดี

ด้านการป้องกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ดำเนินโครงการวัคซีนไซเบอร์ สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ร่วมกับภารรัฐ เอกชน และส่วนต่างๆ ผลิตสื่อให้ความรู้ทางออนไลน์ ส่งการเตือนภัยรูปแบบต่างๆ ให้ประชาชนมาต่อเนื่อง และผลิตครูไซเบอร์ ทั้ง ครู ก (ตำรวจ) 116 คน และ ครู ข (ตำรวจร่วมกับประชาชน) 8,132 คน ออกไปเผยแพร่ให้ความรู้กับประชาชนในสถานศึกษา และชุมชน 
และเป็นผู้ร่วมผลักดัน พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ออกมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ง่ายขึ้น ในการปราบปรามบัญชีม้า ซิมม้า  การอายัดบัญชีโดยทันทีของธนาคาร ทำให้ประชาชนเมื่อถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินจากบัญชี  สามารถโทรศัพท์เข้าสายด่วนของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารระงับธุรกรรมไว้ชั่วคราว  แล้วนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ ให้ธนาคารอื่นและผู้ประกอบธุรกิจผู้รับโอนทุกยอดทราบและระงับการทำธุรกรรมไว้ทันที จากนั้นให้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อมีคำสั่งเป็นหนังสือให้ระงับการทำธุรกรรมภายใน  7 วัน นับแต่วันที่มีการแจ้งความร้องทุกข์”

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ ผลการมุ่งมั่นทำงานของ ผบ.ตร. พร้อมข้าราชการตำรวจในสังกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการทุกมิติ ทั้งการปราบปราม การป้องกัน และการผลักดันกฎหมาย ทำให้ปัจจุบันสถิติคดีออนไลน์ลดลงจากเดิมเฉลี่ยรับแจ้งวันละ 790 เรื่อง ลดเหลือรับแจ้งวันละ 673 เรื่องต่อวัน สามารถอายัดบัญชีได้ทันทีจากเดิม 87 ล้านบาท เป็น 92 ล้านบาท แม้ว่ากฎหมายจะเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่เดือน 

อย่างไรก็ตาม คำสั่งแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่แต่งตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการ จะทำให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะมิติการบูรณาการทำงานร่วมกัน ที่จะมีการขับเคลื่อนประชุมร่วมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เชื่อว่าจะช่วยทำให้คดีอาชญากรรมออนไลน์ลดลงต่อเนื่อง ประชาชนถูกหลอกหลวงน้อยลง 

ผบ.ตร.ฝากเตือนประชาชนที่ยังหลงผิด เข้าร่วมกับมิจฉาชีพในการหลอกหลวง ขออย่าได้เห็นแก่รายได้ที่นำมาเสนอ หากถูกจับกุม ดำเนินคดี มีโทษสูง เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวมทั้งคนที่เปิดบัญชีม้า ซิมม้าต่างๆ ด้วย 

ส่วนพี่น้องประชาชนทั่วไปอย่าไปหลงเชื่อ อย่าไปรีบตัดสินใจ หากได้รับโทรศัพท์ SMS และอย่าไปโอนอะไรง่ายๆ หากสงสัยให้ติดต่อธนาคาร หน่วยงานราชการ หรือแจ้งหรือปรึกษาตำรวจได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์หมายเลข สายด่วน 1441 หรือ 081-8663000 ตลอด 24 ชม.

กาฬสินธุ์พร้อมจัดใหญ่เทศกาลวิสาขปุณณมีบูชา ชมทะเลธุงหนึ่งเดียวในโลก

จังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมใจจัดใหญ่งานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ชูวัฒนธรรมอีสาน ชมทะเลธุง และอุโมงค์ธุงแห่งแรกหนึ่งเดียวในโลก  3-7 มิถุนายน 2566 นี้ พร้อมเชิญชวนพุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับกิจกรรมที่รังสรรค์ด้วยความตั้งใจ ด้านผู้ว่าฯกาฬสินธุ์รับประกัน อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มบุญ และอิ่มท้องแน่นอน
ที่โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู  ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์  นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายก อบจ.กาฬสินธุ์ นายขัตติยา ชัยมณี วัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ นายสมบัติ ชัยรัตน์ ประชาสัมพันธ์ จ.กาฬสินธุ์  พ.ต.ท.นครินทร์ ศรีอัครวิเนต

รอง ผกก.สภ.กมลาไสย และนายเอนก บรรณสาร นายกเทศมนตรีตำบลหนองแปน พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวการจัดงานประเพณีเทศกาล "วิสาขปุณณมีปูชา" โดยมีส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และประชาชนเข้าร่วม

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การจัดงานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” กำหนดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 มิถุนายน 2566 ณ โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยจัดให้มีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางทะเลธุงที่สวยงาม หนึ่งเดียวในโลก ร่วมพิธีอัญเชิญน้ำสรงพระราชทานสรงน้ำพระธาตุยาคู การแสดงแสงสีเสียง ชุดฮอยเสมาพิมพาพิลาป ตื่นตากับการแสดงของหมอลำกาฬสินธุ์เฟสติวัล โดยจะรวบรวมศิลปินหมอลำชื่อดังจำนวนมากมาเปิดการแสดง นำโดยวีระพงษ์ วงศ์ศิลป์ ศิลปินภูไท  การแสดงโปงลางสังคีตอีสานจากโรงเรียนร่องคำ และการประกวดสาวงามภูษิตาฟ้าหยาด พร้อมจับจ่ายซื้อของในตลาดโบราณ เฮือนอีสาน

นายศุภศิษย์ กล่าวอีกว่า การจัดงานดังกล่าวยังเป็นไปตามหลักการทำงานของ จ.กาฬสินธุ์เป็นจังหวัด 3 รวย รวยวัฒนธรรม รวยน้ำใจ และรวยสุขภาพ  ซึ่งวัฒนธรรมด้านศาสนา มีความโดดเด่นมาก มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ในงานเทศกาลต่างๆ จะได้เห็นทะเลธุงที่สวยงาม งานปีนี้จะมีจุดเช็คอินเพิ่มขึ้น มีอุโมงค์ธุง นำมาผสมผสานวัฒนธรรม ความหลากหลายของแต่ละอำเภอ 

โดยการผลักดัน "Soft PoWer” อารยธรรมทวารวดี จ.กาฬสินธุ์ สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างคุณค่า และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำดี ทำงาน และทำเงิน สืบสานภูมิปัญญาพื้นถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และสร้างความร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระหว่าง จ.กาฬสินธุ์และจังหวัดใกล้เคียง ได้ร่วมอนุรักษ์ไว้เป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาสัมพันธ์พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั่วโลก ได้มาสัมผัสกับกิจกรรมที่ จ.กาฬสินธุ์ได้รังสรรค์ด้วยความตั้งใจ  ท่านจะได้อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มบุญ และอิ่มท้อง ในงานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” ครั้งนี้

‘ธนกร’ ยัน ‘รทสช.’ ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ พร้อมเป็นฝ่ายค้าน ลั่น!! จุดยืนพรรคฯ ไม่หนุน ว่าที่นายกฯ ‘พิธา’ ปมแก้ ม.112

(27 พ.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงการเดินหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติหลังการเลือกตั้ง ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยืนยันเดินหน้าสู่การเป็นสถาบันทางการเมือง และไม่ได้เป็นพรรคเฉพาะกิจ แม้จะเป็นพรรคใหม่ แต่จากผลการเลือกตั้งเราถือว่าเป็นความสำเร็จในการเริ่มต้นครั้งแรกของการเลือกตั้ง คะแนนเสียงที่ได้ เป็นสิ่งที่พรรคต้องนำความหวังของพี่น้องประชาชนมาเดินหน้าขับเคลื่อน แม้พรรคไม่ได้เป็นอันดับ 1 แต่ให้คำมั่นไม่ว่าจะบทบาทไหน พรรคจะขับเคลื่อนการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนให้ได้ ส่วนการทำงานในพรรคจะมีการปรับกลยุทธ์ โดยนำเสียงสะท้อนพี่น้องมาเป็นการบ้านทำให้พรรคเข้มแข็งต่อไป โดยดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนพรรค

นายธนกร กล่าวว่า ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังอยู่นำพรรคต่อไป บนอุดมการณ์จุดยืนแน่วแน่ที่ไม่มีเปลี่ยนแปลง ปกป้องสถาบันหลักของชาติ และในสิ่งที่หาเสียงไว้กับประชาชน รวมถึงสานต่อการทำงานรัฐบาล ตลอด 8 ปี ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล อย่างที่ตนบอกมาตลอด เป็นหน้าที่ของพรรคที่ได้คะแนนเสียงลำดับต้นๆ ที่เขาจะไปพูดกันเอง อย่างที่บอกเราให้เกียรติ สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมทุกอย่างจะเป็นอะไรก็ได้ เป็นฝ่ายค้านก็ได้ จะอยู่ฝั่งไหนพวกเราก็สามารถทำงานได้ เพราะเราเคารพกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตย หากมีพรรคอื่นมาชวนไปร่วมรัฐบาล ตนขอยืนยันว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เอาพรรคที่แก้มาตรา 112 หากพรรคที่มาชวนเราไปร่วมรัฐบาลมีเรื่องนี้ เรายอมไม่ได้ เพราะเรายึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และจะไม่ยกมือสนับสนุนนายกฯ ที่ชูแก้มาตรา 112

เรื่องเล่าจาก ‘เงินถุงแดง’ ย้อนไทม์ไลน์วิวัฒนาการของ ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ผ่านเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย

(27 พ.ค. 66) จากประเด็น ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ที่ได้เกิดขึ้นมาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลัง ‘กลุ่มราษฎร’ ได้ประกาศจุดยืนในการเปลี่ยนแปลงประเทศ จึงทำให้ทางรายการข่าววันศุกร์ ข่าวช่องวัน ได้ออกมานำเสนอข่าว ‘วิวัฒนาการของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

โดยได้สรปุอย่างคราวๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ไล่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 10 โดยระบุว่า…

วิวัฒนาการของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เริ่มต้นจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาล 1 ซึ่งนับเป็นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ทรัพย์ราชสำนัก กับรัฐบาลที่ทับซ้อนกัน พระมหากษัตริย์ทรงใช้จ่ายได้อย่างอิสระ เนื่องจากในยุคนั้น ยังมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้น รัฐบาลจึงหมายถึง ตัวขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นทั้งประมุขและผู้นำฝ่ายบริหาร ยังไม่มีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องของทรัพย์สินของรัฐฯ เพราะในยุคสมัยนั้น ยังไม่มีการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม ในการรับผิดชอบ ดูแลเรื่องต่างๆ ในประเทศ

จนกระทั่ง ได้มีวิวัฒนาการก่อกำเนิดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงมีปรีชาสามารถในเรื่องเกี่ยวกับการค้าขาย ทรงออกทะเลไปทำการเจรจาทางการค้ากับต่างประเทศ เมื่อได้เงินกลับมาจากการค้า จึงได้นำมาใส่ไว้ใน ‘ถุงแดง’ พระองค์ได้ทำการเก็บสะสมเงินเหล่านี้ไว้ เมื่อมีมากขึ้นจึงต้องสร้างห้อง ซึ่งติดกับพระแทน หรือ พระที่ เพื่อเก็บเงินถุงแดงเอาไว้ จนเรียกกันติดปากว่า ‘เงินข้างที่’ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำว่า ‘พระคลังข้างที่’ นั่นเอง และเงินส่วนนี้ นับเป็นเงินส่วนพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ออกเรือไปทำการค้าขาย ยังไม่นับว่าเป็นเงินของประเทศไทย หรือ ‘สยาม’ ใน ณ ขณะนั้น

จนเมื่อถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เกิดเหตุการณ์ ‘รัตนโกสินทร์ศก’ หรือที่เรียกกันว่า ‘ร.ศ.112’ ที่เกิดการปะทะกันระหว่างประเทศไทยและจักรวรรดินิยมของโลกในขณะนั้น อย่างประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส โดยเฉพาะฝรั่งเศส ที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรง จนทำให้รัชกาลที่ 5 ต้องนำเงินถุงแดงมาจ่ายให้กับรัฐบาลฝรั่งเศส เพื่อเจรจาต่อรองให้กองทัพของฝรั่งเศส ถอดทัพออกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา และยังต้องยอมแลกแผ่นดินบางส่วนของประเทศให้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษาแผ่นดินผืนใหญ่ของชาติเอาไว้

หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้รัชกาลที่ 5 ท่านทรงเล็งเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการการปกครองต่างๆ ในประเทศมากขึ้น โดยได้เปลี่ยนจากรูปแบบเวียง วัง คลัง นา เป็นการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ขึ้นมาใหม่ และได้มีการตั้ง ‘กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ’ เพื่อจัดเก็บภาษี เป็นเงินแผ่นดิน นับเป็นการแยกทรัพย์สินของแผ่นดินสยาม และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ออกจากกันเป็นครั้งแรก ที่ได้มีการบันทึกไว้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้ง ‘กรมพระคลังข้างที่’ ขึ้น เพื่อคอยดูแลจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ และยังเริ่มทำการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ซึ่งทำให้รายได้หลักของกรมพระคลังข้างที่นั้น มาจากการปล่อยให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ และการก่อตั้งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SCG’ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเงินจากกรมพระคลังข้างที่ ถือการลงทุนมหาศาลจนกลายเป็นหน่วยงานที่มีการครอบครองที่ดินมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้งบประมาณจากการจัดเก็บภาษี ปีละ 15% จากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เข้ากรมพระคลังข้างที่

ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้กรมพระคลังข้างที่ ที่เคยมีบทบาทอย่างมากในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ถูกลดบทบาทลงมาจนกลายเป็น ‘สำนักงานพระคลังข้างที่’ ซึ่งขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเป็นรัชสมัยที่สำคัญที่ทำให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นั้นเกิดความสั่นคลอน โดยคณะ ‘อภิวัฒน์สยาม 2475’

ทำให้ในอีก 4 ปีต่อมา ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกันอย่างดุเดือด ระหว่างฝ่ายอํามาตย์ และคณะราษฎร ว่าใครจะเป็นผู้ได้ทรัพย์สินจากกรมพระคลังข้างที่ ใครจะได้ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์ และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด คือการออกฎกหมาย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และได้จัดตั้ง ‘สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ ซึ่งเป็นสำนักงานภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง โดยได้ทำการแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1.) ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ 
2.) ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือ ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ในฐานะบุคคลคนหนึ่ง
3.) ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสํานักงานพระราชวัง

จนกระทั่ง ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้มีการปรับเปลี่ยน และแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491 ในภายหลังจากที่กลุ่มคณะราษฎรนั้นได้เริ่มอ่อนกำลังลง จนกระทั่งสิ้นสุดอำนาจลง หลังจากการจากไปของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ถูกยกระดับ จากหน่วยงานราชการ ขึ้นเป็น ‘นิติบุคคล’ มีอิสระจากรัฐบาล โดยมีประธานกรรมการ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ‘ไม่ต้องเสียภาษี’ แต่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ‘ต้องเสียภาษี’ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขึ้นตรงกับสํานักงานพระราชวัง

ทำให้นับจากนั้นเป็นต้นมา จนถึงในรัชสมัยปัจจุบันของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณ์อดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้มีการเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 โดยไม่มีการแบ่งฝ่ายในการจัดการอีกต่อไป ได้มีการรวมเอาทรัพย์สินทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน และได้ให้มีการเสียภาษี

ทั้งหมดนี้ คือ วิวัฒนาการของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ใครจะมีความเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยอย่างไร หรือจะตีความอย่างไร กับสิ่งที่ได้นำเสนอมานั้น เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลที่ทุกท่านต้องใช้วิจารณญาณในการศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองกันต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งซับน้ำตา..มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิต และเงินปลอบขวัญแก่ผู้บาดเจ็บจากเหตุพายุถล่มอาคารโดมโรงเรียนวัดเนินปอ จังหวัดพิจิตร

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์พายุถล่มอาคารโดมโรงเรียนวัดเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย เมื่อวันที่  22 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยภายหลังเกิดเหตุ อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จุดจังหวัดพิจิตร ได้ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล และเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุ

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม  และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมเจ้าหน้าที่สาธารณภัยลงพื้นที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือสาธารณภัย วาตภัย อำเภอสามง่าม เพื่อเข้าพบพร้อมให้กำลังใจ และมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 7 รายๆ ละ 20,000 บาท  และมอบเงินปลอบขวัญแก่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 5 รายๆ ละ 5,000 บาท รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งสิ้น  165,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยมี นายสุภโชค ศิลปคุณ นายอำเภอสามง่าม ร่วมในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิพิจิตรสามัคคีการกุศลสงเคราะห์ จังหวัดพิจิตร เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณเทศบาลตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร   

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจ และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

‘เพื่อไทย’ ยัน ไม่สร้างเงื่อนไขให้การขับเคลื่อน รบ.ติดขัด ลั่น!! ไม่คิดใช้ตำแหน่งประธานสภาฯ ต่อรองเก้าอี้ รมว.มหาดไทย

 (27 พ.ค. 2566) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย (สร.) ออกมาระบุตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นเกมที่พรรคเพื่อไทยต้องการใช้ต่อรองเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ว่า ไม่เป็นความจริง พรรคเพื่อไทยไม่คิดเอาตำแหน่งประธานสภาฯ มาเป็นเงื่อนไขต่อรองเก้าอี้ รมว.มหาดไทย เพราะเป็นคนละส่วนกัน

นายประเสริฐ กล่าวว่า เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหารที่พรรคร่วมทั้ง 8 พรรคต้องมาหารือตกลงร่วมกัน โดยมีธรรมเนียมเรื่องการนำเก้าอี้ ส.ส. ที่แต่ละพรรคได้มาเกลี่ยกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมถึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของตัวบุคคลในภารกิจนั้นๆ ด้วย ไม่ใช่จะเอาแค่เก้าอี้มาเป็นตัวชี้วัดอย่างเดียว ซึ่งเรื่องนี้ทางพรรคร่วมคงต้องมีการหารือเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลเดินหน้าอย่างราบรื่น

“พรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์ ไม่คิดจะเอาตำแหน่งฝ่ายนิติบัญญัติมาเป็นเงื่อนไขในการต่อรอง จนกระทบการทำงานของฝ่ายบริหารแน่ เพราะบ้านเมืองประสบปัญหามานาน เราต้องได้รัฐบาลที่กลมเกลียวไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ยืนยันเราไม่คิดที่จะเป็นคนสร้างเงื่อนไขให้การขับเคลื่อนรัฐบาลติดขัดแน่นอน” นายประเสริฐ กล่าว

‘ตำรวจ’ เผย ชายก่อเหตุเปิดประตูฉุกเฉิน ‘เอเชียน่า แอร์ไลน์’ เจ้าตัวแจ้ง เครียด เหตุเพิ่งตกงาน อยากรีบออกจากเครื่องบิน

(27 พ.ค. 66) รอยเตอร์ และ เอเอฟพี รายงาน ชายผู้โดยสารที่ก่อเหตุระทึก เปิดประตูทางออกฉุกเฉินสายการเอเชียน่า แอร์ไลน์ของเกาหลีใต้ เส้นทางบินภายในประเทศ ขณะเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินแทกู ประเทศเกาหลีใต้ ที่กลายเป็นข่าวฮือฮาเมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา สารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเพิ่งตกงาน และเครียด ช่วงเวลาก่อเหตุรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก และต้องการรีบออกจากเครื่องบินเร็วๆ

เอเอฟพี ระบุช่วงเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญเครื่องบินแอร์บัส A321ที่มีผู้โดยสารอยู่เกือบ 200 ชีวิต กำลังบินอยู่สูงเหนือพื้นดินราว 200 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจแทกู บอกกับเอเอฟพีว่า ชายผู้โดยสารวัย 30 กว่าที่ก่อเหตุ สารภาพว่า “เขารู้สึกว่าเที่ยวบินนี้ใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่ควรจะเป็นและรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่ออยู่ในห้องผู้โดยสาร เขาจึงต้องการรีบลงจากเครื่องบินไวๆ”

กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า มีผู้โดยสารราว 10 กว่ารายถูกนำส่งโรงพยาบาล หลังจากมีอาการหายใจติดขัด แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือมีความเสียหายหนักแต่อย่างใด

ขณะที่รอยเตอร์ รายงานว่ามีผู้โดยสาร 9 รายถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยปัญหาเรื่องการหายใจ และทุกคนได้รับการปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลหลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง

ทั้งนี้ มีผู้โดยสารวัย 44 ปี เปิดเผยกับสำนักข่าวยอนฮับว่า “มันเกิดความชุลมุนจากการที่ผู้โดยสารที่นั่งใกล้ประตูทางออกฉุกเฉินเริ่มเป็นลมกันทีละคน และเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินประกาศว่ามีหมออยู่บนเครื่องบินนี้บ้างมั้ย ฉันยังคิดว่าเครื่องบินกำลังจะระเบิด และคิดว่าฉันกำลังจะตายแบบนี้หรือ”

‘สว.สมชาย’ คิดหนัก หลังเห็นรายชื่อว่าที่ประธานสภาฯ เย้ย ไร้ฝีมือ-ด้อยคุณภาพ ลั่น!! ไม่ขอเรียกท่านประธานที่เคารพ

(27 พ.ค. 66) จากกรณีกระแสข่าวการชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมนั้น ล่าสุด นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์รูปภาพและข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“555ว่าที่ท่านประธานสภาที่เคารพไม่ลง”

โดยภาพที่นายสมชายโพสต์ ระบุข้อความว่า “#คิดหนักมาก เปิดประชุมร่วมรัฐสภาฯ ดูหน้ารายชื่อว่าที่ประธานสภาที่พรรคกร้าวเสนอ ไร้ฝีมือ ด้อยคุณภาพ ไม่ขอเรียกท่านประธานสภาที่เคารพแน่นอน #กระดากปาก”

มนุษย์เรานี้ไม่มีใครในโลกนี้ ที่ไม่มีปัญหา

“มนุษย์เรานี้ไม่มีใครในโลกนี้ ที่ไม่มีปัญหา ทุกคนต่างมีมุมที่น่าอิจฉาและน่าสงสารแตกต่างกันไปกรรมทั้งหลาย ไม่ได้มาจากอื่นไกล มาจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเราเท่านี้”

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
พระเถระในสายพระป่า ผู้เปี่ยมล้นเมตตาธรรม
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top