Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

พม. จับมือเพจ Because We Care ผนึกกำลังสถานศึกษา หนุน “รัก…ในวัยเรียน” รณรงค์ยุติความรุนแรงทุกมิติ ไม่บูลลี่ (Bully)

วันนี้ (26 พ.ค. 66) เวลา 13.00 น. นายธนสุนทร  สว่างสาลี รองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการ “รัก...ในวัยเรียน” จัดโดย เพจ Because We Care ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวง พม. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสร้างความตระหนักถึงการยุติการกระทำความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมถึงการบูลลี่ (Bully) ให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชน อันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นสร้างการมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อการสร้างสรรค์สังคมน่าอยู่และมีความสุขสำหรับทุกคน โดยมี พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า พยาบาล (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาปลัด พม. กล่าวแนะนำกิจกรรมโครงการ “รัก...ในวัยเรียน” โดยมี นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ว่าที่ร้อยตรี สุริยัน จันทรา ผู้อำนวยการโรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ  คุณชลทิชา สัตยมานะ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) และศูนย์เยี่ยมบ้านโรงพยาบาลตำรวจ เข้าร่วม ทั้งนี้ มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ได้แก่ กิจกรรม “เสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมาย (Cyber Bullying)” กิจกรรม “เพศกับวัยรุ่น” กิจกรรมร้องเพลง “อยากจะฟัง” และกิจกรรมสันทนาการสานสัมพันธ์ อีกทั้งการจัดนิทรรศการโครงการ “รัก...ในวัยเรียน” การเฝ้าระวังปัญหาสังคม และการแจ้งเหตุให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมทุกรูปแบบ โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. ณ โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ กรุงเทพฯ

นายธนสุนทร กล่าวว่า สืบเนื่องจากกระแสสังคมไทยในปัจจุบัน มีการเกิดเหตุการกระทำความรุนแรง ซึ่งเป็นการทำร้ายทั้งทางร่างกายและทางจิตใจต่อผู้อื่น โดยผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน อันเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ รวมถึงกลุ่มสตรีและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งการกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นทั้งที่เป็นการจงใจใช้กำลังหรืออำนาจทางกาย ข่มขู่ คุกคาม ทำร้ายผู้อื่น ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตเท่านั้น ในขณะที่การใช้คำพูดที่เป็นการล้อเลียน ดูหมิ่น และเหยียดหยามผู้อื่น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการกระทำที่ทำร้ายสภาพจิตใจของผู้อื่น หรือที่เรียกว่า "การบูลลี่ (Bully)" ทั้งนี้ เพจ Because We Care ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งมีความมุ่งมั่นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการยุติและรณรงค์ในการลดปัญหาความรุนแรงในทุกรูปแบบต่อเด็กและเยาวชน รวมถึงกลุ่มสตรีและกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม 

นายธนสุนทร กล่าวเพิ่มเติมว่า เราในฐานะอนาคตของชาติ ต้องรวมพลังกันยุติการกระทำความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งการบูลลี่(Bully) โดยลำดับแรก เราควรต้องเริ่มต้นจากตัวเราก่อน ต้องรู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่นและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เพราะทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเข้มแข็งหรืออ่อนแอกว่าใคร และความรักไม่จำเป็นต้องทำร้ายผู้อื่น เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรง เด็กและเยาวชนอยู่ในสภาวะความเสี่ยงที่จะถูกกระทำความรุนแรง เราไม่ควรเพิกเฉย หรือมองว่าเป็นเรื่องของคนอื่น  ควรเข้าไปช่วยเหลือหรือแจ้งตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที โดยเฉพาะ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ฯ 2) สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง  และ 3) ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม "ESS Help Me" ปักหมุด หยุดเหตุ ใน LINE OA บนมือถือ

พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า เพจ Because We Care ได้ตระหนักถึงปัญหาการกระทำความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมถึงการบูลลี่ (Bully) ที่ส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน จากการนำเสนอข่าวผ่านสื่อต่างๆ  โดยกลุ่มเด็กและเยาวชน นับเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือในการทำงานร่วมกันของหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมทั้งประชาชน ทั้งนี้ จึงมีการประสานความร่วมมือเป็น "พลังทางสังคม" ด้วยการดำเนินโครงการ "รัก...ในวัยเรียน" เพื่อปลูกจิตสำนึกและลดการกระทำความรุนแรงทุกมิติในวัยเรียน และเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและการรับรู้ในการป้องกันและยุติการกระทำความรุนแรงอย่างเข้มแข็งต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งวันนี้ นับเป็นการจัดกิจกรรมโครงการ "รัก...ในวัยเรียน" ครั้งที่ 2 และครั้งต่อไป จะมีการจัดกิจกรรมฯ ในวันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2566 ณ โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระราชูปถัมภ์ฯ กรุงเทพฯ


#ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม

เหตุใดถนนสายบันเทิง อย่าง ‘RCA’ ถึงเป็นทางโค้ง? พร้อมเตรียมประมูลใหม่ เพื่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีส้มในอนาคต

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของ ‘โค้ง RCA’ ที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยทราบมาเล่าให้ฟังกัน

เคยสงสัยกันหรือไม่? ว่าเพราะเหตุใด ‘ถนน RCA’ ถึงเป็นโค้งเชื่อมไปที่ทางรถไฟสายตะวันออก ที่สถานีรถไฟคลองตัน

แล้วทราบหรือไม่? ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เคยมีโครงการรถไฟเลี่ยงกรุงเทพชั้นใน (บางซื่อ-คลองตัน) เพื่อรับและเชื่อมโยงรถไฟสายตะวันออก กับ เหนือ-ใต้ โดยไม่ผ่านสามเหลี่ยมจิตรลดา ซึ่งพื้นที่ RCA ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนั้น แต่ยิ่งกว่านั้น ถนนรัชดาภิเษก ช่วง ต่างระดับรัชวิภา-ศูนย์วัฒนธรรม และ ถนนศูนย์วัฒนธรรม ก็เป็นเขตพื้นที่ทางรถไฟ คลายข้อสงสัยกับหลายๆ คนว่าทำไม การรถไฟฯ ถึงมีที่ดินให้เช่าอยู่บนถนนรัชดา-RCA

แม้ตอนนี้อาจจะไม่ได้เห็นการพัฒนาทางรถไฟในเส้นทางนี้แล้ว แต่เส้นทางนี้ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่เพื่อการพัฒนา มาเป็นแหล่งรายได้ในการสนับสนุนการรถไฟฯ ในอนาคต ซึ่งที่ดินแปลง RCA นี้กำลังจะหมดสัญญา และจะถูกเปิดประมูลใหม่ ภายใต้การดูแลของ ‘SRTAsset’ (บริษัทบริหารสินทรัพย์ การรถไฟฯ) โดยจะมีการยกระดับการพัฒนาจากการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า สายสีส้ม ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งอยู่ต้นทาง RCA ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย

เรื่องราวที่ ‘Ferrari’ ไม่เคยได้รับการบอกเล่า  ช่างซ่อมรถชาวเม็กซิกันช่วยชีวิตบริษัทได้อย่างไร?


‘Carrera Panamericana’ เป็นงานแข่งรถแรลลี่ของรถสต็อก รถทัวร์ริ่ง และรถสปอร์ต บนถนนโล่ง ๆ ในเม็กซิโก ซึ่งคล้ายกับการแข่งขันรถสนาม Mille Miglia และสนาม Targa Florio ในอิตาลี ซึ่ง ‘Carrera Panamericana’ ซึ่งได้จัดการแข่งขันติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ถึง ค.ศ. 1954 เป็นแข่งขันรถแรลลี่ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวางว่า เป็นการแข่งขันที่อันตรายที่สุดในโลก เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ทดสอบความอดทนทั้งของรถและตัวนักแข่งที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นสนามแข่งที่ทดสอบรถยนต์ที่ดีที่สุดด้วยนักแข่งที่มีประสบการณ์และกล้าหาญที่สุดในยุคนั้น


โดยบริษัท Ferrari ได้ส่ง Umberto Maglioli ลงแข่งด้วยรถ Ferrari 375 Plus ของเขา ในยุคนั้นแม้ว่า Ferrari จะเป็นรถที่มีชื่อเสียงในยุโรป แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ และแบรนด์ Ferrari ในตอนนั้นยังห่างไกลจากการเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ Ferrari จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิสูจน์ให้คนอเมริกันเห็นว่า รถของพวกเขาเหนือกว่า รวดเร็วกว่า และเชื่อถือได้ การชนะการแข่งขัน Carrera Panamericana จะทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก และสร้างยอดขายในสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ Ferrari รอดพ้นจากการล้มละลาย


Umberto Maglioli เข้าร่วมการแข่งขันด้วยรถ Ferrari 375 Plus ในขณะเขาเป็นผู้นำใน Stage ที่ 4 และอยู่ระหว่างจากแข่งขันใน Stage ที่ 5 อันเป็น Stage สุดท้ายของการแข่งขัน ไม่นานก่อนจะจบ Stage ที่ 4 รถ Ferrari 375 Plus ของเขาเริ่มเสีย ด้วยอาการน้ำมันรั่วผ่านรูในคาร์บูเรเตอร์ ท่ามกลางความห่างไกลและไม่มีชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับส่วนสำคัญของรถ ความหวังที่จะจบการแข่งขันแทบจะเป็นศูนย์

และเมื่อรถ Ferrari 375 Plus ของเขาจวนจะหยุดทำงาน Umberto Maglioli ก็ได้หยุดรถกลางถนนเมื่อเขาเห็นอู่ซ่อมรถยนต์เล็ก ๆ ชื่อว่า ‘El Milagro’ ซึ่งมี Renato Martinez เป็นเจ้าของและช่างเครื่องเพียงคนเดียวของอู่ ที่อยู่ในที่สถานที่ห่างไกลและกันดารแห่งนี้ หลังจากตรวจดูอาการขอรถ Ferrari 375 Plus แล้ว Martinez ช่างและเจ้าของอู่ก็ยืนยันกับ Maglioli ว่า อาการแท้จริงแล้วเกิดจากน้ำมันรั่วในห้องข้อเหวี่ยง และเขามีวิธีแก้ไขที่ ‘สร้างสรรค์’ เพื่อซ่อมแซมโดยใช้เวลาไม่นาน อย่างน้อยก็จะสามารถทำให้ Maglioli เสร็จสิ้นการแข่งขันของเขาได้

ว่าแล้ว Martinez ก็เอาถังน้ำและสบู่ก้อนใหญ่ออกมา ก่อนที่จะเริ่มทำงาน เขายังได้หยิบน้ำอัดลมสามขวดเล็กส่งให้ Maglioli แล้วพูดว่า “ในขณะที่คุณดื่มน้ำอัดลมนี้ ผมก็จะซ่อมรถของคุณ” แม้ Maglioli จะไม่เชื่อว่า Martinez ทำได้ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ดื่มน้ำอัดลมและรอปาฏิหาริย์ ในขณะเดียวกัน Martinez ก็จัดการรื้อเครื่องยนต์ของรถ Ferrari 375 Plus แล้วใช้สบู่ค่อย ๆ ถูบริเวณที่ชำรุดเสียหายของเครื่องยนต์อย่างใจเย็น จากการถูเสียดสีสบู่ก็ค่อย ๆ ละลาย กลายเป็นแผ่นสบู่ที่สามารถปิดรูรั่ว โดยสบู่จะป้องกันน้ำมันรั่ว และเกาะติดกับโลหะในห้องข้อเหวี่ยง แล้วเมื่อแข็งตัวสบู่ก็จะแข็งเหมือนหิน

Maglioli รู้สึกประหลาดใจ และขอบคุณ Renato พร้อมทั้งดึงกล้อง Rolleiflex ขนาดเล็กออกมาจากรถ Ferrari ซึ่งเขาใช้จับภาพช่วงเวลาอันน่าอัศจรรย์นั้น เป็นภาพถ่าย ณ อู่ ‘El Milagro’ โดย Renato Martinez ซึ่งยืนถัดจากรถ Ferrari 375 Plus ซึ่งอยู่ระหว่างการซ่อมแซม และต่อมารูปนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในรูปอมตะของบริษัท Ferrari


Umberto Maglioli ขับรถ Ferrari 375 Plus ของเขา จบการแข่งขันใน Stage ที่ 5 เป็นที่ 1 และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของบริษัท Ferrari ไปตลอดกาล หลังจากนั้นไม่นาน Renato Martinez ก็ได้รับรูปถ่ายที่ Maglioli ถ่ายในช่วงเวลานั้นทางไปรษณีย์ ภาพถ่ายได้รับมีข้อความว่า “ถึงเพื่อนของผม Renato M. จาก Umberto Maglioli” ภาพถ่ายนี้มาพร้อมกับจดหมายขอบคุณ Renato ซึ่งเขียนว่า “Renato, The Mexican Miracle ผู้ซึ่งได้ช่วยบริษัท Ferrari” เอาไว้ จดหมายนั้นลงนามโดย Enzo Ferrari

 

ตำรวจไซเบอร์ รวบสาวใหญ่เครือข่ายแก๊ง Hybrid Scams เอเยนต์จัดหาบัญชีม้ารายใหญ่ภาคใต้ ดีกรีความสามารถสื่อสาร 4 ภาษา หนีคดีกบดาน พื้นที่จังหวัดเชียงราย

จากกรณี กก.4 บก.สอท.4 ได้ทำการสืบสวนจับกุม แก๊งหลอกให้รักและชักชวนลงทุน (Hybrid Scams) ผ่านแอพพลิเคชั่น BITSTAMP  ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพ ได้สร้างแอพพลิเคชั่นเทรดเงินสกุลดิจิตอลหลอกเหยื่อให้ร่วมลงทุนโดยใช้รูปโปรไฟล์หล่อสวยชวนคุยจนสนิทใจ แล้วหลอกให้ร่วมลงทุนเทรดเหรียญสกุลดิจิตอล  จนเกิดความเสียหายกับเหยื่อเป็นวงกว้าง  มูลค่าความเสียหายกว่า 9 ล้านบาท ซึ่งได้รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้เสียหายเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2564 นั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่ กก.4 บก.สอท.4 ชุดจับกุม 
นำโดย พ.ต.ท.สายชล ผาแก้ว สว.กก.4 บก.สอท.4, พ.ต.ต.ณวดล ภาโส สว.กก.4 บก.สอท.4, พ.ต.ต.วิสุทธิ์ ครุฑจันทร์ สว.กก.4 บก.สอท.4 นำกำลังเข้าจับกุม นางสาวฉัตรดาว อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”  และ         นางบังอร อายุ 55 ปี  ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานความผิดเดียวกัน  โดยจับกุมได้ในพื้นที่ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

พฤติการณ์กระทำความผิดของ นางสาวฉัตรดาว ทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมบัญชีธนาคาร จ้างบุคคลอื่นให้เปิดบัญชีธนาคาร โดยเป็นผู้รับซื้อขายบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) รายใหญ่ในพื้นที่ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จากนั้นรวบรวมบัญชีธนาคารที่หามาได้ส่งให้กลุ่มแก๊งนายจ้าง เพื่อไว้ใช้ในการรับโอนเงินจากเหยื่อ ส่วนด้านนางบังอร นำบัญชีของตนเองให้ นางสาวฉัตรดาว เช่า นำไปใช้กระทำความผิดเพื่อรับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ต่อมาผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ทราบว่าตนมีหมายจับ จึงหลบหนีจากพื้นที่จังหวัดสงขลา มาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่คาดคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตามเจอ จนกระทั่งถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว 

พ.ต.อ.คมสัน มีภักดี ผกก.4 บก.สอท.4 เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาให้การว่า เนื่องจากตนเองมีความสามารถพูดได้หลายภาษา และเคยมีสามีเป็นคนจีน ถูกชักชวนไปทำงานต่างประเทศ จึงได้เดินทางไปทำงานเป็นลูกจ้างของกลุ่มแก๊งคนจีนในประเทศมาเลเซีย ในช่วงแรกทำงานดูแลเกี่ยวกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ และตนก็เริ่มจัดหาบัญชีธนาคารเพื่อนำเอาไปให้นายจ้างใช้ในกิจการต่างๆ  ต่อมานายจ้างได้เริ่มจ้างโปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมเกี่ยวกับการลงทุนเทรดเงินสกุลดิจิตอลขึ้นมา เพื่อหลอกลวงกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนไทย ให้ลงทุนเทรดเงินดิจิตอล ตนจึงรับหน้าที่เป็นผู้จัดหาบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) รวมถึงจัดหากระเป๋าเงินอิเลคทรอนิคซึ่งมีการลงทะเบียนยืนยันตัวบุคคลโดยบุคคลอื่น เพื่อนำมาใช้ในการหลอกลวงรับโอนเงินจากเหยื่อ ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นระบบ ในแบบองค์กรอาชญากรรม

‘ติวเตอร์ภาษา’ ชี้!! ประเทศที่คนไทยควรกลัว ไม่ใช่ ‘อเมริกา’ แต่เป็น ‘จีน’ ที่กำลังบุกยึดพื้นที่ทำกิน แย่งงานคนไทยทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘krudewtoeic’ หรือ ‘ครูดิว’ ซึ่งเป็นติวเตอร์สอนภาษาชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์คลิป อธิบายเรื่องที่คนไทยกลัวประเทศสหรัฐอเมริกา จะเข้ามาตั้งฐานทัพและแทรกแซงประเทศไทย ซึ่งตอนนี้เป็นกระแสในโลกโซเชียลอย่างมาก โดยระบุว่า…

ประเทศที่คนไทยกลัว มีอยู่ 2 ประเทศ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน คนไทยกลัวว่า อเมริกาจะมาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องของอนาคต ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้

แต่สิ่งที่กำลังเกิดจริงในตอนนี้ คือ การที่ประเทศจีนได้ตั้งฐานทัพอยู่ทุกพื้นที่ในประเทศไทย จนเกิดการกระจายตัวของเหล่าคนจีน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตลอดจนถึงการที่คนจีนมาเปิดร้านอาหารแข่งกับคนไทย ในย่านการค้าที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับคนไทย อย่างย่านเยาวราช ห้วยขวาง และรัชดา รวมถึงในอีกหลายๆ พื้นที่ของประเทศ อีกทั้งยังอาจไม่ได้เสียภาษีให้กับประเทศไทยอีกด้วย

“คำถามคือ ระหว่างสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว คนไทยเราควรจะกลัวอะไรมากกว่ากัน คิดสิคะ คิด หากถามดิฉัน ดิฉันกลัวคนจีนค่ะ เพราะเขามาแล้ว แต่คนไทยยังเถียงกันเรื่องอเมริกากันอยู่เลย เพราะอะไร ดิฉันไม่เข้าใจ?” ครูดิว กล่าวทิ้งทาย

‘ก้าวไกล’ นโยบายเร่งด่วน 100 วัน เรื่องฝันๆ หรือทำได้จริง?

ยังมีปัญหาความวุ่นวายให้แก้ หลัง ‘นายพิธา  ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำ 8 พรรค 313 เสียง ลงนาม ‘เอ็มโอยู’ ประกาศแนวทางนโยบายร่วมกัน 23 ข้อ กับ อีก 5 แนวปฏิบัติของพรรคร่วมรัฐบาล

แต่เส้นทางการก้าวขึ้นสู่อำนาจ ของรัฐบาลก้าวไกลก็ยังไม่ราบรื่น นอกจากต้องหาเสียงสนับสนุนให้ถึง 276 เสียงเพื่อโหวตนายกฯ แล้ว ปัญหาการแช่งชิงตำแหน่ง ‘ประธานสภาฯ’ กับพรรคเพื่อไทยก็ยังตกลงกันไม่ได้

แต่หากพรรคก้าวไกล สามารถฝ่าด่านไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็น่าสนใจว่า ในช่วง 100 วันแรก  ซึ่งก่อนหน้านี้ ‘พิธา’ เคยออกมาแถลง ‘โร้ดแมป’ ที่จะเร่งทำให้ ‘การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต’ จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่  วันนี้ลองมาทวนดู ว่าสิ่งที่เคยให้คำมั่นไว้ มีอะไรบ้าง 

สำหรับ 100 วันแรก ที่ ‘ก้าวไกล’ ประกาศจะทำทันที เช่น การเสนอ ครม.ทำรัฐธรรมนูญใหม่ เปิดทางให้มี สสร. จากการเลือกตั้ง ให้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลงบประมาณ เอากฎหมายสมรสเท่าเทียม ที่พิจารณาค้างมาจากรัฐบาลที่แล้ว มาทำให้เสร็จ ยกเลิกบังคับใส่ชุดนักเรียน และทรงผม พร้อมกับแก้สูตรค่าไฟ เดินหน้าสุราก้าวหน้า ออกโฉนดนิคมสหกรณ์ และนิคมสร้างตนเอง และเปิดเสรีโซลาร์เซลล์

ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากออกหวยใบเสร็จแล้ว ที่ดูท้าทายมากที่สุดคือ ‘การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท’

หลังนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นำทีมไปที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อรับฟังข้อเสนอนโยบายสะท้อนปัญหา และข้อกังวลจากตัวแทนภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท ซึ่งก็พบว่า แม้ก้าวไกลจะตั้งเป้าทำทันที แต่นายพิธา ก็ย้ำว่า การขึ้นค่าแรงจะขึ้นตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะต้องคำนึงถึงความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝั่ง ทั้งนายจ้าง ที่จะสามารถควบคุมต้นทุนได้ ขณะที่ลูกจ้างก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานสามารถเกิดขึ้นได้จริง

‘ค่าแรง 450 บาท’ เป็นโจทย์ต้นๆ ที่พรรคก้าวไกล เลือกหยิบมาเดินหน้าทำ ซึ่งก็อาจเป็นกระจกสะท้อนให้เห็น ว่า นโยบาย 100 วัน ที่อยากเห็น กับความจริงที่เป็น อาจยังเป็นคนละภาพกัน ซึ่งแต่ละเรื่องไม่ง่าย เพราะมีรายละเอียด และความเห็นแตกต่างที่ต้องนำมาพิจารณาให้รอบด้าน ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อดำเนินการผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ ซึ่งท้ายที่สุดหากฝ่าด่านอุปสรรคนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็รอลุ้นว่าจะสามารถผลักดันตามที่ประกาศไว้ได้หรือไม่

‘บิ๊กตู่’  ปลื้ม!! อาหารไทย ติดอันดับ 4 อาหารต่างถิ่นยอดนิยม มั่นใจ!! เป็น soft power ชูเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยสู่สากล

(27 พ.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับอาหารไทย ได้รับการชื่นชมว่าเป็นผู้นำด้านอาหารในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับ 4 ของอาหารต่างถิ่นยอดนิยมของชาวจีน รองจากอาหารตะวันตก อาหารญี่ปุ่น และอาหารเกาหลี จากรายงานการจัดอันดับร้านอาหารห้ามพลาดประจำปี 2565 ของเว็บไซต์ ‘เตี่ยนผิง’ (dianping) ซึ่งเป็นเว็บไซต์นำเสนอไลฟ์สไตล์คนเมืองในจีน สะท้อนความสำเร็จของเอกลักษณ์วัฒนธรรมอาหารไทย ที่ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสอดรับกับการขับเคลื่อนนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อมูลระบุว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนร้านอาหารไทยในปักกิ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า มีขนาดทั้งเล็กและใหญ่กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง และเสิร์ฟอาหารไทยสารพัดเมนู ตั้งแต่ตำรับชาววังจนถึงสตรีทฟู้ด โดยเฉพาะเมนูต้มยำกุ้ง ซึ่งสำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของคุณสุขุมาล ตู้ คนไทยที่ได้เปิดธุรกิจร้านอาหารไทยในเขตทงโจว กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมากว่า 20 ปี ทั้งร้านในชื่อ ‘ครัวคุณแม่’ และ ‘สองพี่น้อง’ รวมถึงล่าสุด ‘นกเอี้ยงและควาย’ (Bird & Buffalo) ซึ่งได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปลายปี 2022 เพื่อยืนยันว่า การประกอบอาหาร วัตถุดิบ และรสชาติของร้านนี้มีความ ‘ไทยแท้’ โดยคุณสุขุมาล กล่าวว่า มีลูกค้าแวะเวียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยบางวันมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านมากกว่า 50 โต๊ะ แม้ที่ตั้งร้านจะไกลจากใจกลางเมืองปักกิ่ง อีกทั้งยังเคยมีลูกค้าขับรถมาไกลกว่า 60 กิโลเมตร เนื่องจากอยากรับประทานต้มยำกุ้ง รวมทั้งยังซื้อน้ำซุปต้มยำกลับบ้านอีก 5 กิโลกรัมด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า การค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างไทยและจีนยังมีพัฒนาการต่อเนื่อง ด้วยอานิสงส์จากแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) โดยชาวจีนสนใจอาหารไทยเพิ่มขึ้น ไปจนถึงการแวะเช็กอินร้านอาหารไทยและซื้อวัตถุดิบกลับไปทำกับข้าวด้วยตนเองที่บ้าน เนื่องจากปัจจุบันสามารถหาวัตถุดิบอาหารไทยในจีนได้สะดวก ทำให้สามารถฝึกทำอาหารไทยที่บ้านได้ ประกอบกับความเชื่อมั่นจากการให้ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากหน่วยงานไทย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคตามคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ว่า ร้านอาหารดังกล่าว จะต้องใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ร้านมีความสะอาด ถูกสุขอนามัย บรรยากาศภายในร้านสะท้อนความเป็นไทย รวมถึงเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยเพื่อยกระดับคุณภาพร้านอาหารให้มีมาตรฐาน สร้างโอกาสทางการตลาดให้เป็นที่รับรู้ในหมู่ผู้บริโภคอีกด้วย

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าอาหารไทยจะเป็นอีก Soft power สำคัญในการเผยแพร่ความนิยมของเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยผ่านมิติด้านอาหาร โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญโดยไทยมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตและส่งออกวัตถุดิบต่าง ๆ สอดรับกับนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกของไทยซึ่งรัฐบาลผลักดันมาโดยตลอด เป็นการขยายโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งการสนับสนุนธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ตลอดจนการผลิตและส่งออกวัตถุดิบของไทยให้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละประเทศมากขึ้น” นายอนุชา กล่าว

“อลงกรณ์” ฝากรัฐบาลใหม่ สานต่อ 12 ก้าวใหม่ปฏิรูปภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขียนเฟสบุ๊ควันนี้(27พ.ค.)เรื่อง “ วิสัยทัศน์และภารกิจ( Vision & Mission) ก้าวใหม่ปฏิรูปภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงคืออนาคตที่ต้องรีบสร้างเป็นโอกาสในวิกฤติของไทย “โดยฝากรัฐบาลใหม่สานต่อไว้อย่างน่าสนใจว่า
ท่ามกลางวิกฤติโควิด19และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบกว้างไกลทำให้เศรษฐกิจประเทศต่างๆชะลอตัว ราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ยและอาหารสัตว์แพงขึ้น กระทบต่อราคาและระบบผลิตอาหารทั่วโลก เกิดภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

นับเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่ยาวนานมากว่า3ปีที่ยังไม่มีใครคาดเดาว่าจบลงเมื่อใด แต่ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)วิเคราะห์ว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารที่รุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่ขาดความมั่นคงทางอาหาร และ
นี่คือโอกาสของไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับต้นของโลกที่จะปฏิรูปตัวเองสร้างความเข้มแข้งและขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทย

ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ. ผมจะเล่าเรื่อง “12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน
มิติใหม่ภาคเกษตรของไทย”เป็นแพลตฟอร์มการปฏิรูปสร้างจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อตอบโจทย์โอกาสของวันนี้และอนาคตที่กำลังจะมาถึง เป็นการบริหารจากวิสัยทัศน์สู่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายปฏิรูปภาคเกษตรด้วยนวัตกรรมการบริหารแบบบูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนเป็นคานงัดสร้างจุดเปลี่ยนให้กับอนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน

ก้าวที่ 1>> ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม

เราจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(Agritech and Innovation Center)เรียกสั้นๆว่า ศูนย์AIC 77 จังหวัดเป็นฐานการพัฒนาเชิงพื้นที่(Area based Development)ของเทคโนโลยีในทุกจังหวัดและจัดตั้งศูนย์AICประเภทศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะด้าน(Center of Excellence:COE)อีก 23 ศูนย์ โดยศูนย์AICทำหน้าที่เป็นศูนย์การวิจัยและพัฒนา(R&D)และเป็นศูนย์วิจัยพัฒนาและเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกรผู้ประกอบการและถ่ายทอดนวัตกรรมเน้นเมดอินไทยแลนด์(Made In Thailand)เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของเราเองโดยคิกออฟพร้อมกันทุกศูนย์ทุกจังหวัดทั่วประเทศเมื่อ1มิถุนายน2563 วันนี้เรามีเทคโนโลยีเกษตรกว่า 800 นวัตกรรม
ที่ถ่ายทอดต่อยอดสู่แปลงนาแปลงสวนแปลงไร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า10,000รายแล้ว

ก้าวที่ 2>>ระบบบิ๊กดาต้าเกษตร

เราจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ(National Agriculture Big Data Center:NABC)ภายใต้แพลตฟอร์มดิจิตอลใหม่ๆตั้งอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)เริ่มดำเนินการตั้งแต่มีนาคม2563 ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีข้อมูล(Information Technology)คือเครื่องมือเอนกประสงค์ของทุกภารกิจและทุกหน่วยงานโดยกำลังเชื่อมต่อกับBig Dataของหน่วยงานรัฐ เอกชน สถาบันเกษตรกรและศูนย์AICทุกจังหวัดโดยจะให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ข้อมูลเกษตรในมิติต่างๆบนมือถือและคอมพิวเตอร์

ก้าวที่ 3>> ดิจิตอล ทรานสฟอร์เมชั่น(Digital Transformation)

เรากำลังปฏิรูป 22หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ.ให้เป็นกระทรวงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี(TechMinistry)ภายใต้โครงการGovTech อย่างคืบหน้า
ด้วยแพลตฟอร์มดิจิตอล ทรานสฟอร์เมชั่น(Digital Transformation)เพื่อ เปลี่ยนการบริหารและการบริการแบบอนาล็อคเป็นดิจิตอล เปลี่ยนการลงนามอนุมัติด้วยมือเป็นลายเซ็นดิจิตอล(Digital Signature) และเร่งรัดพัฒนาการโครงการNational Single Windowสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯเป็นการปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ใหม่ในการทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ก้าวที่ 4>>เกษตรอัจฉริยะ

เราขับเคลื่อนฟาร์มอัจฉริยะ(smart farming)ตามแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆของไทยเช่น ระบบสมาร์ทฟาร์ม ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดดินน้ำอากาศและการอารักขาพืช การพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร การปรับระดับพื้นแปลงเกษตร(Land Leveling) ระบบเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์(Sead Technology) ระบบตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) ระบบชลประทานอัจฉริยะรวมทั้งการใช้โดรนการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแพลตฟอร์มเกษตรดิจิตอล(Agrimap platform)โดยมีโครงการเกษตรแม่นยำ(Precision Agriculture)5ล้านไร่เป็นโครงการเรือธงโดยร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC : Agritech and Innovation Center) รวมทั้งการส่งเสริมการตลาดแบบออนไลน์(Digital Marketing)โดยการสนับสนุนแพลตฟอร์มร้านค้าอีคอมเมิร์ซ และโครงการพัฒนาเกษตรกรเป็นนักการค้าออนไลน์ทุกจังหวัดเช่นโครงการLocal Hero เป็นต้น โดยมีทีมเกษตรอัจฉริยะ ทีมอีคอมเมิร์ซ(E-Commerce) ทีมBig DataและGovTech ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0รับผิดชอบ

ก้าวที่ 5>>เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง-ชนบท

เราริเริ่มโครงการใหม่ๆเช่นการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Sustainable Urban Agriculture Development )อย่างเป็นระบบมีโครงสร้างครอบคลุมทั่วประเทศเป็นครั้งแรกตอบโจทย์การขยายตัวของเมือง(Urbanization)ที่ขาดความมั่นคงทางอาหารและระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ(ประชากรไทยในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี2562) ตลอดจนการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์โดยจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์PGSแห่งประเทศไทยได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และการขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์1.3ล้านไร่ การพัฒนาสวนยางยั่งยืนรวมทั้งการพัฒนาแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่บนฐานศาสตร์พระราชา4,009ตำบล และโครงการข้าวอินทรีย์1ล้านไร่ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล ฯลฯ.

นับเป็นการวางหมุดหมายใหม่ของระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ประกอบด้วย เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตรและเกษตรธรรมชาติทั้งในเมืองและในชนบทครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ

ก้าวที่ 6>>เกษตรแห่งอนาคต อาหารแห่งอนาคต

เราขับเคลื่อนนโยบายอาหารแห่งอนาคต พืชแห่งอนาคต(Future Food Future Crop)เพื่อสร้างเกษตรทางเลือกใหม่แปรรูปเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ เวชสำอางค์ เวชกรรม น้ำมันชีวภาพเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ใหม่ๆให้เกษตรกรของเราและเป็นสินค้าส่งออกตัวใหม่สร้างรายได้ให้ประเทศเป็นการตอบโจทย์เทรนด์ของโลกยุคNext Normalที่สนใจสุขภาพมากขึ้นหลังจากเกิดโควิดแพร่ระบาดไปทั่วโลก(Covid Pandemic)ได้แก่ การสนับสนุนโปรตีนทางเลือกจากแมลง(Edible Inseat base Protein)ตามนโยบายฮับแมลงโลก ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 1 แสนรายทำฟาร์มแมลงเช่น ดักแด้ไหม ดักแด้อีรี่ จิ้งหรีด แมลงวันลาย(bsf) หนอนนกฯลฯ

สอดรับกับนโยบายขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)ที่ประกาศว่าแมลงกินได้Edible Insectคืออนาคตใหม่ของโปรตีนโลกและทศวรรษแห่งโภชนาการ รวมไปถึงการส่งเสริมโปรตีนทางเลือกจากพืช(Plant base Protein)เช่น สาหร่าย ผำ เห็ด  แหนแดง ฯลฯมีบริษัทstartupใหม่ๆเกิดขึ้นหลายบริษัท 

ตลอดจนการเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวทางใหม่โดยโฟกัสการผลิตและการตลาดใหม่แบบคลัสเตอร์เช่น คลัสเตอร์อาหารเจ(vegetarian)อาหารVeganและอาหารFleximiliam อาหารใหม่(Novel food) และคลัสเตอร์อาหารฮาลาลซึ่งมีลูกค้ากลุ่มประชากรมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมกว่า2พันล้านคน มูลค่าตลาดกว่า 30พันล้านบาท

ก้าวที่ 7>>โลจิสติกส์เกษตร เชื่อมไทย-เชื่อมโลก

เราได้วางโรดแม็ปเส้นทางโลจิสติกส์เกษตรเชื่อมไทยเชื่อมโลกในระบบการขนส่งหลายรูปแบบ(Multimodal Transportation)ทั้งทางรถทางรางทางน้ำและทางอากาศ(Low Cost Air Cargo)เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงตลาดทั่วโลกและตลาดเป้าหมายใหม่เช่นโครงการดูไบคอริดอร์-ไทยแลนด์ คอริดอร์ (Dubai Coridor- Thailand Corridor),เส้นทางรถไฟอีต้าอีลู่(BRI)เชื่อมไทย-ลาว-จีน-เอเซียใต้-เอเซียตะวันออก-เอเซียกลาง-ตะวันออกกลาง-รัสเซียและยุโรป และกำลังเปิดประตูใหม่จากอีสานสู่แปซิฟิกไปทวีปอเมริกาเหนืออเมริกาใต้และเปิดประตูตะวันตกประตูใต้สู่ทะเลอันดามัน-อ่าวเบงกอลและมหาสมุทรอินเดียสู่เอเซียใต้ อัฟริกา ตะวันออกกลางและยุโรป

ก้าวที่ 8>>เกษตรแปลงใหญ่ สตาร์ทอัพเกษตร
เรากำลังปรับเปลี่ยนเกษตรแปลงย่อยเป็นเกษตรแปลงใหญ่(Big Farm)ซึ่งขณะนี้ขยายเพิ่มเป็น
กว่า9,800แปลงโดยมีการสนับสนุนเครื่องจักรกลเกษตรและระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปีนี้จะเริ่มโปรแกรมอัพเกรดวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ เกษครแปลงใหญ่และสถาบันเกษตรเป็นสตาร์ทอัพเกษตร(startupเกษตร)และเอสเอ็มอี.เกษตร(SME เกษตร)

ก้าวที่ 9>> ยกระดับเกษตรกรก้าวใหม่
เราพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่เป็นyoung smart farmerได้กว่า 20,000คนและส่งเสริมพัฒนาศูนย์ศพก.เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับอำเภอโดยสมาร์ทฟาร์มเมอร์(smart farmer) ปราชญ์เกษตรและอาสาสมัครเกษตร(อกษ.)เป็นทีมงานแนวหน้าทุกหมู่บ้านชุมชนพร้อมกับยกระดับเกษตรกรที่มีประสบการณ์สู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพโดยร่วมมือกับภาคเอกชน ศูนย์AIC สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพซึ่งเป็นองค์การมหาชนในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอว.และกระทรวงพาณิชย์

ก้าวที่ 10>> เกษตรสร้างสรรค์สู่The Brand Project 

เรากำลังนำระบบทรัพย์สินทางปัญญา(Intellectual property)มาใช้ในการเดินหน้าสู่เกษตรสร้างสรรค์เกษตรมูลค่าสูงด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์(Branding)ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตเกษตร พืช ประมงและปศุสัตว์เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศภายใต้โครงการ เดอะ แบรนด์ โปรเจ็ค(The Brand Project)

ก้าวที่ 11>>การพัฒนาเชิงพื้นที่(Area base)ไม่มีเหลื่อมล้ำ
เราบริหารการพัฒนาเชิงพื้นที่(Area base)ควบคู่กับการบริหารการพัฒนาเชิงคลัสเตอร์เช่น โครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งหมด18กลุ่มจังหวัดครอบคลุม77จังหวัดเป็นศูนย์กลางการแปรรูปผลผลิตเกษตรตามศักยภาพของแต่ละกลุ่มจังหวัดเพื่อกระจายโอกาสการพัฒนาทุกภาคทุกจังหวัดไม่ให้เจริญแบบกระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมาซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาโดยปลายปี2564รัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรทุกอำเภอทุกจังหวัดและปีนี้กำลังจัดตั้งคณะทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล7,435ตำบลให้แล้วเสร็จเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนระดับพื้นที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

เรายังริเริ่มและเดินหน้าอีกหลายโครงการเช่นการจัดตั้งองค์กรชุมขนประมงท้องถิ่นเกือบ3,000 องค์กร
การดำเนินการโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank)ตอบโจทย์Climate Changeโดยเพิ่มต้นไม้ลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งโครงการพัฒนาระบบความเย็น(Cold Chain)ตลอดห่วงโซ่อุปทานครอบคลุมทั่วประเทศและระบบแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลว(N2)แบบNitrogen Freezer เป็นต้น

ก้าวที่ 12 >>เปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน(Partnership platform)
ความก้าวหน้าของงานแต่ละด้านเกิดจากการบริหารแบบเปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน(Partnership platform)ในการทำงานกับทุกภาคีภาคส่วนเช่นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมต่างๆ สถาบันอาหาร มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย สถาบันเกษตรกร
 สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย เครือข่ายองค์กรเอกชน ทุกกระทรวงและทุกพรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลโดยยึดประโยชน์บ้านเมืองมาก่อนประโยชน์ทางการเมืองได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจนำมาซึ่งความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจ ประการสำคัญคือการทำงานอย่างทุ่มเทของคนกระทรวงเกษตรฯ.

ศักยภาพใหม่สู่เกษตรมูลค่าสูงงานหนักและอุปสรรครออยู่ข้างหน้าอีกมาก แต่ด้วยก้าวใหม่ๆตามโรดแม็ปที่วางไว้ เราเดินเข้าใกล้เป้าหมายในทุกก้าวที่กล้าเดินเพื่อปรับรากฐานเดิมสร้างกลไกใหม่สำหรับยกระดับอัพเกรดภาคเกษตรกรรมของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงภายใต้5ยุทธศาสตร์ของ รัฐมนตรี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน

การปฏิรูปรากฐานใหม่ของภาคเกษตรกรรมด้วยความมุ่งมั่นเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ให้กับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความพร้อมของประเทศในการเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆของวันนี้และวันหน้าเป็นอนาคตที่ต้องรีบสร้าง จึงขอฝากรัฐบาลใหม่สานต่อด้วยครับ

‘แอมมี่ บอตทอมบลูส์’ ทวิตแรง “ไอติมรสส้ม เหมือนอมแมลงสาบ” พร้อมติดแฮชแท็กเลือกตั้ง 66 ก่อนลบทิ้ง แต่มีมือดีแคปทัน!!

(27 พ.ค. 66) นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์’ นักร้องชื่อดังและยังเคยเป็นแกนนำในการออกมาเรียกร้อง พร้อมแสดงจุดยืนทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตย แต่ล่าสุดมีมือดีแคปภาพข้อความเด็ดผ่านทวิตเตอร์ของเจ้าตัว ที่ได้ทวิตข้อความสุดแซ่บแอบฟาดในใจความที่ว่า “ไอติมรสส้ม เหมือนอมแมลงสาบ” จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกชาวเน็ตบนโลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก

โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา นักร้องนักดนตรีชื่อดังอย่าง แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ได้ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวไว้ว่า “ไอติมรสส้ม ทำไมทานแล้วขม? เหมือนอม ‘แมลงสาบ’” พร้อมติดแฮชแท็กเลือกตั้ง 66 (หัวใจสีส้ม) และจากข้อความในข้างต้นนี้ ทำเอาเหล่าบรรดาชาวเน็ตต่างตั้งคำถามว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘พรรคก้าวไกล’ หรือไม่ เนื่องจากสัญลักษณ์ประจำพรรคคือ ‘สีส้ม’ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ‘ส้ม’ นั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม ด้านเจ้าก็ได้มีการลบทวิตข้อความดังกล่าวไปแล้ว เพราะมีแฟนคลับของพรรคก้าวไกล ได้เข้าไปเมนชันในโพสต์ดังกล่าวจำนวนมาก จนต่อมาเจ้าตัวต้องลบทิ้งไปนั่นเอง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พ.ค. มีผู้สามารถบันทึกภาพไว้ได้ทัน และนำมาโพสต์ใหม่โดยระบุว่า “พนักงานกะดึกไม่ทำให้ผิดหวัง เก็บดิจิทัลฟุตบาทครบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอมแมลงสาบ หรือใครที่หางโผล่ อยากบอกว่าลบไม่ได้ช่วยให้ลืม เพราะแคปไว้แล้ว” จึงทำให้ชาวเน็ตต่างเข้ามาคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าว เช่น “จริงปะเนี่ย แอมมี่เป็นไร ใครรู้บอกที”, “อดีตลบได้แต่แคปทัน”

รวบ "ป้าทองยุพิน" หลอกเหยื่อร่วมลงทุนโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ก่อนเชิดหนีกว่า 6 ปี จนมุมสืบนครบาลที่เมืองนนท์จนได้

วันที่ 27 พฤษภาคม 66 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. แถลงผลการปฏิบัติหน้าที่ นำทีมโดย พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ ,พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.ฯ พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.ฯ พร้อมกำลังร่วมจับกุมตัว นางอระอินทร์ หรือยุพิน อายุ  55 ปี  อยู่ที่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 2 ตำบลหนองบัวใต้ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ตามหมายจับศาลจังหวัดตาก ที่ จ.9/2560 ลงวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2560 โดยกล่าวหา “ฉ้อโกง” จับกุมตัวได้ที่หน้าอาคาร T2 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี  

ชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การปฏิเสธโดยอ้างว่า มิได้มีเจตนาก่อเหตุ ที่ไม่สามารถนำสลากกินแบ่งรัฐบาลมาส่งมอบให้กับกลุ่มผู้เสียหายได้ตามกำหนด เนื่องจากวันที่ไปรับสลากกินแบ่งรัฐบาล ตนถูกคนร้ายทำร้ายและชิงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไป ทำให้ไม่สามารถส่งมอบให้กลุ่มผู้เสียหายได้ตามสัญญา ส่วนสาเหตุที่ตนหลบหนีหายออกจากพื้นที่จังหวัดตาก ไปกว่า 6 ปีเนื่องจากเกรงว่าจะถูกทำร้ายจากกลุ่มคนที่เคยติดตาม ข่มขู่ตน ทั้งนี้ คนเคยคิดที่จะกลับไปมอบตัว แต่เนื่องจากเกรงอันตรายจึงหลบหนีมาหางานรับจ้างทำในพื้นที่กรุงเทพฯ และนนทบุรี ตำรวจจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองตาก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  
            
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพ มีเล่เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกง เนื่องจากมิจฉาชีพมักใช้ความโลภ ความเห็นแก่ผลกำไร มาเป็นจุดล่อใจให้ประชาชนหลงกล ควรมีสติวิเคราะห์ถึงพฤติกรรม กลโกง หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ เสนอขาย หรือชักชวนลงทุนในด้านต่างๆ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ “สืบสวนนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top