Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

“ม.หัวเฉียวฯ” พลิกโฉม!! เปิด 19 ศูนย์บริการด้านสุขภาพและด้านจีนศึกษาแบบครบวงจร 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ หรือ ม.หัวเฉียวฯ ได้ประสานความร่วมมือกับทางศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจสุวรรณภูมิ จัดงานบริการด้านสุขภาพ พร้อมทั้ง ให้ความรู้ด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านจีนศึกษาแก่ประชาชน ภายใต้ชื่องาน "ม.หัวเฉียวฯ เป็นมากกว่ามหาวิทยาลัย

โดยเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่แค่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ได้พลิกโฉมนำประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความเข้มแข็งทางวิชาการผนวกกับอุดมการณ์ปณิธานรับใช้สังคม จัดตั้งเป็น ศูนย์บริการด้านสุขภาพและด้านจีนศึกษาครบวงจรออกให้บริการ
ในครั้งนี้ 

โดย ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์  อธิการบดี มฉก. พร้อมด้วย คุณวทัญญู วิสุทธิโกศล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) คุณปรีดา เทิดทินวิทิต ผู้จัดการ ศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ ตลอดจนรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานร่วมพิธีเปิดงาน 

เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566 ณ บริเวณลาน ชั้น 1 ศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจสุวรรณภูมิ โดย รศ.ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์  อธิการบดี มฉก. กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยได้รับความรู้ในการดูแลรักษาสุขภาพแบบ 4P คือ Health
Predictive, Health Promotion, Health Prevention และ Personalized Health Care เป็นการผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนปัจจุบัน 

ซึ่งจัดอยู่ในโซนสุขภาพ ประกอบด้วย คลินิกกายภาพบำบัดหน่วยฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คลินิกการแพทย์แผนจีน ศูนย์ดูแลสุขภาพบุรุษและสตรีด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน HCU Wellness Center ศูนย์สุขภาพ ศูนย์นวัตกรรมเครื่องสำอางและสมุนไพร ศูนย์ยา มฉก. คลินิกเทคนิคการแพทย์ หัวเฉียวสหคลินิก และเสริมทักษะเพิ่มพูนความรู้ในโซนภาษาและบริการ ได้แก่ สถาบันขงจื่อการแพทย์แผนจีน สถาบันภาษา ศูนย์แต้จิ๋ววิทยา ศูนย์ข้อมูลการลงทุนธุรกิจไทย-จีน ศูนย์ข้อมูลสมุนไพรไทย-จีน สถาบันวิทยาการผู้นำไทย-จีน ศูนย์บริการวิชาการ ศูนย์ให้คำแนะนำกฎหมายสำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการโรงแรมศรีวารี พาวิลเลียน รวมทั้งสิ้น 19 หน่วย 

รับบริการฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดการจัดงาน พร้อมลุ้นรับของรางวัล ซึ่งงานจัดขึ้นระหว่างวันศุกร์ที่ 26 - วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00-20.00 น. มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เรามีความตั้งใจช่วยดูแลด้านสุขภาพและให้ความรู้แก่ทุกท่านด้วยทีมอาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญยินดีให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตอบคำถาม และช่วยเหลือท่านสอบถามรายละเอียดได้ที่ แผนกสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ หมายเลขโทรศัพท์ 
02-713-8100 ต่อ 1138 และ 1140 -41 หรือแอดไลน์พูดคุยที่ @commuhcu

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย SMS ระบาดแอบอ้าง Kerry Express ส่งหม้อชาบูมาให้ที่บ้านจริงเพื่อให้เหยื่อตายใจ แนะนำอย่าหลงเชื่อหลอกทำภารกิจสูญเงิน

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอฝากเตือนภัยมิจฉาชีพ มิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) แอบอ้างบริษัท Kerry Express ส่งของขวัญมาให้ จากนั้นหลอกให้ทำภารกิจ หรือกิจกรรมต่างๆ สุดท้ายสูญเสียทรัพย์สิน ดังนี้

ได้รับรายงานว่าจากการตรวจสอบในระบบการรับแจ้งความออนไลน์พบว่า มีผู้เสียหายหลายรายได้รับข้อความสั้น (SMS) จากมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นบริษัท Kerry Express แจ้งว่า “คุณมีประวัติใช้งาน 5 ครั้ง บริษัทจึงขอมอบของขวัญหูเป็นฟังบลูทูธเพื่อเป็นการขอบคุณ” พร้อมแนบลิงก์ให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์ ซึ่งบัญชีไลน์ดังกล่าวได้อ้างตัวเป็นแอดมินจาก บริษัท TAIYANG MEDIA (ไท่หยาง มีเดีย) แจ้งผู้เสียหายว่าขณะนี้หูฟังบลูทูธหมด แต่จะส่งหม้อชาบูขนาดเล็กมาให้แทน โดยไม่มีการเรียกเก็บเงินปลายทาง และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อผู้เสียหายส่งชื่อที่อยู่ให้จากนั้นอีกไม่กี่วันผู้เสียหายก็ได้รับหม้อชาบูดังกล่าวจริง ต่อมาแอดมินให้แอดไลน์กับฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อรับเงินโบนัส 38 บาท และรับของขวัญเป็นโทรทัศน์ดิจิทัล ขนาด 32 นิ้ว เมื่อผู้เสียหายแอดไลน์ไปแอดมินได้ขอชื่อและที่อยู่ รวมถึงขอหมายเลขบัญชีธนาคารเพื่อโอนเงินโบนัสมาให้ ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับเงินโบนัสเล็กน้อยจริง จากนั้นผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้เข้ากลุ่ม Open Chat Line เพื่อทำภารกิจ หรือกิจกรรมต่อไป โดยการให้ไปกดติดตามบัญชีผู้ใช้ตามสั่งในแอปพลิเคชัน Tiktok การกดติดตาม 1 ครั้ง จะได้เงิน 20 – 50 บาท ผ่านการลงทะเบียนในเว็บไซต์ปลอมชื่อ ASIA MEDIA ที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมา ซึ่งผู้เสียหายก็ได้รับเงินจริงมาประมาณ 300 บาท ทำให้ผู้เสียหายยิ่งหลงเชื่อ ต่อมาแอดมินได้ให้แอดไลน์ไปยังบุคคลอ้างตัวว่าเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในการทำกิจกรรม กระทั่งได้ส่งใบรายการเพื่อส่งเสริมการโปรโมทเพื่อการตลาด ในระดับต่างๆ จำนวน 6 ระดับ เช่น 888 บาท จะได้เงินรวมกำไร 1,110 บาท 12,188 จะได้เงินรวมกำไร 16,453 บาท เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปแต่กลับไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ ถูกอ้างว่าทำกิจกรรมไม่ครบตามจำนวน หรือทำผิดกติกาต่างๆ เป็นต้น ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหาย จึงแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับมิจฉาชีพตามกฎหมายต่อไป

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบงานในด้านการป้องกันปราบปราม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงประชาชนให้ทำภารกิจ หรือทำงานออนไลน์เพื่อหารายได้เสริม โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง เพราะถือเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

ที่ผ่านมา บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบมาโดยตลอด มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า การหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวมีประชาชนได้รับเดือดร้อนสูงเป็นลำดับที่ 2 ของการหลอกลวงทั้งหมด รองจากการหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการ โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 – 14 พ.ค.66 มีผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์ จำนวน 35,377 เรื่อง หรือคิดเป็น 13.69% มีความเสียหายรวมกว่า 4,281 ล้านบาท สูงเป็นลำดับที่ 2 รองจากการหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้วการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ามีหลอกลวงในลักษณะอื่นๆ ที่คล้ายกันอีก เช่น การหลอกลวงให้กดไลก์ (Like) กดแชร์ (Share) ดูคลิปวิดีโอจากยูทูบ (YouTube) กดรับออร์เดอร์สินค้า รีวิวสินค้า พับถุงกระดาษ ร้อยลูกปัด หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ตามแต่ที่มิจฉาชีพออกอุบาย โดยการประกาศเชิญชวนโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือการส่งความสั้น (SMS) ไปยังเหยื่อโดยตรง ให้กดลิงก์เพิ่มเพื่อน แล้วเข้ากลุ่มทำงานที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมา โดยในช่วงแรกจะได้เงินคืนมาเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นมิจฉาชีพก็จะให้ทำภารกิจพิเศษ หลอกให้เหยื่อโอนเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับภารกิจ ทั้งนี้เหยื่อมักเสียดายเงินที่เคยโอนไปก่อนหน้านี้ อยากได้เงินทั้งหมดคืน ก็หลงเชื่อโอนเงินไปเพิ่มอีกหลายครั้ง มิจฉาชีพก็จะมีข้ออ้างต่างๆ รวมไปถึงการสร้างความน่าเชื่อถือโดยให้หน้าม้าในกลุ่มไลน์แสดงหลักฐานปลอมว่าได้รับเงินจริง กระทั่งเมื่อเหยื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงก็จะปิดการติดต่อหลบหนีไป เพราะฉะนั้นการทำกิจกรรม หรือธุรกรรมใดๆ บนโลกออนไลน์ต้องรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพและมีสติอยู่เสมอ

ฝากเตือนถึงแนวทางการป้องกันการถูกหลอกลวงหารายได้จากการทำกิจกรรมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ดังนี้
1.เมื่อพบคำเชิญชวนให้ทำงานออนไลน์ ผ่านทางข้อความสั้น (SMS) หรือประกาศ โฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Tiktok อย่าเข้าไปติดต่อสมัครทำงานเป็นอันขาด มักจะมีการแอบอ้างสัญลักษณ์ของหน่วยงาน หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องมาเพิ่มความน่าเชื่อถือ
2.หลีกเลี่ยงข้อเสนอที่ฟังดูดี หรือมีผลตอบแทนสูง ทำง่าย มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน
3.หากต้องการจะทำงานจริงๆ ให้ปรึกษาสายด่วนของตำรวจไซเบอร์ ที่หมายเลข 1441 หรือ 08-1866-3000 เพื่อปรึกษา สอบถามว่างานดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวงเป็นมิจฉาชีพหรือไม่
4.หากมีการให้โอนเงินมัดจำ หรือเงินลงทุน หรือสำรองเงินใดๆ ก่อน สันนิษฐานได้ทันทีว่ากำลังโดนมิจฉาชีพหลอกลวง อย่าโอนเงินไปเด็ดขาด
5.ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงินใดๆ มิจฉาชีพมักให้เหยื่อส่งหลักฐาน ข้อมูลส่วนบุคคล อ้างว่าใช้ในการสมัครงาน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
​6.ไม่หลงเชื่อเพียงเพราะว่ามีการส่งสิ่งของ หรือให้เงินให้ในจำนวนเล็กน้อยก่อนจริง
​7.ระมัดระวังการโอนผ่านบัญชีของบุคคลธรรมดา โดยควรตรวจสอบหมายเลขบัญชีธนาคาร หรือชื่อนามสกุลเจ้าของบัญชี ก่อนโอนเงินทุกครั้งว่ามีประวัติไม่ดีหรือไม่ ผ่าน https://www.blacklistseller.com หรือ https://www.chaladohn.com เป็นต้น

สวนนงนุชพัทยาจัดโปรเปิดเทอมเดือนมิถุนายน ซื้อ 10 ฟรี 2  

สวนนงนุชพัทยา ทำการต่อโปรโมชั่นสำหรับเดือนมิถุนายน 2566 ซื้อบัตรผ่านประตู 10ท่าน ฟรี 2ท่าน สำหรับท่านที่สนใจชมการแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ ซื้อบัตรเพิ่มได้ในราคาเพียง  200 บาทต่อท่าน มีวันละ 3 รอบ รอบเช้า 10.30 น. รอบบ่าย 13.30 น. และ 15.00 น.

สวนนงนุชจัดเป็นสวนพฤษศาสตร์แห่งการเรียนรู้ แห่งต้นๆของโลกที่สามารถเข้าชมเนิร์สเซอรี่ที่เก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆมากกว่า 18,000 ชนิด และมีสวนสวยมากกว่า 50 สวนและติดอันดับ 1ใน10 สวนสวยที่สุดในโลก มีรถชมวิวให้บริการนักท่องเที่ยว เพราะประหยัดเวลา สะดวกสบายไม่เหนื่อย ผู้สูงอายุและคนพิการก็สามารถขึ้นรถชมสวนได้ เพราะเรามีรถชมวิวที่ออกแบบมาไว้สำหรับรับรอง ทั้งผู้พิการและผู้สูงอายุ
         
ทั้งนี้ เพื่อการกระตุ้นการท่องเที่ยว แบบไทยเที่ยวไทย สำหรับเดือนมิถุนายน สวนนงนุชพัทยายังคงโปรโมชั่นเดิมสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 140 ซม. เข้าชมสวนฟรี และผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปชมสวนฟรี ทุกวันศุกร์ สวนงนุชพัทยาเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. - 18.00 น. ในส่วนของการแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nongnoochpattaya.com

คนไทยกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณีคนไทยกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 1,352 คน เป็นการสำรวจทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 24-26 พ.ค.66 พบว่า จากการเลือกตั้งใหญ่ 14 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนสนใจติดตามข่าวการเมืองมากขึ้น ร้อยละ 72.63 ณ วันนี้ ประชาชนรู้สึกเครียดกับเรื่องปากท้อง/ค่าใช้จ่ายมากที่สุด ร้อยละ 52.14 รองลงมาคือ การจัดตั้งรัฐบาล ร้อยละ 51.90 ทั้งนี้เมื่อมีความรู้สึกเครียดจะแก้ปัญหาด้วยการคุยกับเพื่อน คนรัก คนที่ไว้ใจได้ ร้อยละ 46.38

เมื่อสอบถามว่าประชาชนมีความกังวลกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หรือไม่ พบว่า กังวล ร้อยละ 67.83 เนื่องจากกลัวว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน พรรคที่ได้เสียงข้างมากอาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน มีการเล่นเกมการเมืองมากเกินไป และกังวลการโหวตของ ส.ส. และ ส.ว.

ส่วนความเชื่อมั่นว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นไปด้วยความราบรื่น พบว่าไม่เชื่อมั่น ร้อยละ 58.33 และเชื่อมั่น ร้อยละ 41.67 จากผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาทำให้คนไทยติดตามข่าวการเมืองมากขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง รวมไปถึงกังวลกับการเลือกนายกรัฐมนตรีว่าอาจจะไม่ได้ตาม ที่ต้องการเพราะกลไกของการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นมีเงื่อนไขของการโหวตจาก ส.ว. ร่วมด้วย กอปรกับภาพความขัดแย้งของพรรคฝั่งประชาธิปไตยที่มีข่าวให้เห็นรายวัน จึงทำให้ประชาชนยังไม่แน่ใจว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความราบรื่น

สานฝัน ปันรักเพื่อน้อง กิจกรรมดีดีที่เข้าถึงพื้นที่ห่างไกล ขับเคลื่อนให้สังคมไทยพัฒนา ด้วยการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พร้อมด้วยนางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายภาณุวัฒน์ สุขสบาย ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผนกองทุน พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงพื้นที่จัดกิจกรรม ‘สานฝันปันรักเพื่อน้อง ครั้งที่ 2’ ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอินทรีอาสา (บ้านปาเกอะญอ) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และรอยยิ้มให้กับน้อง ๆ รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ด้วยการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลแก่นักเรียนและชุมชนในพื้นที่ห่างไกลให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า “สดช. มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพราะเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประสิทธิภาพสูง รองรับรูปแบบและปริมาณการใช้งานในอนาคต และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ”

การจัดกิจกรรมสานฝัน ปันรักเพื่อน้อง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี 2566 ที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนเพื่อรับทราบความต้องการของนักเรียน โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอินทรีอาสา (บ้านปาเกอะญอ) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างแท้จริง โดยพบว่า เส้นทางการเดินทางมาโรงเรียนเป็นการเดินทางที่ยากลําบากและใช้ระยะเวลานาน รวมถึงการเข้าถึงสาธารณูปโภคยังมีความขาดแคลน เช่น มีข้อจํากัดเรื่องไฟฟ้า บางส่วนต้องใช้โซลาร์เซลล์เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้นักเรียนเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ยากกว่าปกติ ทําให้การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลต่อไป

ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการจัดตั้ง ‘ศูนย์ดิจิทัล ชุมชนอินทรีอาสา’ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อสังคมตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ สดช. เพื่อให้เกิดการรู้จัก เข้าใจ ใช้ได้ ใช้เป็น และมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

โดยนายภุชพงค์ กล่าวว่า “ในวันนี้ สดช. ได้นํากิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล มาสอนให้เด็กๆ ให้ทราบถึงประโยชน์ การใช้งานอย่างระมัดระวังที่เหมาะสมกับวัย รวมถึงให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วิธีการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ แท็บเล็ต เพื่อใช้ค้นคว้าหาความรู้ และเล่นเกมส่งเสริมทักษะต่างๆ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศที่มีสีสันและเห็นถึงความสุขของทุกคนที่ได้มาเข้าร่วมกิจกรรม”

ส่วนนางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “การจัดกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้นแล้ว ยังได้สร้างรอยยิ้มและขวัญกำลังใจ ด้วยการทำสาธารณะประโยชน์ เช่น ทาสีอาคารเรียน และมอบสิ่งของบริจาคที่จําเป็นแก่นักเรียนและชุมชนรอบข้าง ได้แก่ อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้านักเรียน ข้าวสารอาหารแห้ง และขนม เป็นต้น รวมไปถึงการสนับสนุนของใช้ที่จําเป็นแก่โรงเรียน ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องเขียน กระดาษสำหรับถ่ายเอกสาร อุปกรณ์ทำความสะอาดห้องน้ำห้องครัว และเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น เพื่อให้โรงเรียนนําไปต่อยอดบริหารจัดการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนต่อไป”

ทั้งนี้ กิจกรรมสานฝันปันรักเพื่อน้อง เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานเพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ของ สดช. และกองทุนดิจิทัลฯ โดยนายภุชพงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอขอบคุณผู้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทุกท่าน ที่ได้ร่วมบริจาคสิ่งของมากับ สดช. น้ำใจจากทุกท่านที่ได้รวบรวมมาในวันนี้ ได้ส่งต่อให้น้องๆ เยาวชน ได้มี อุปกรณ์การเรียน และสิ่งของจําเป็นต่างๆ ไว้ใช้ทํากิจกรรมที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มุ่งหวังให้เด็กนักเรียนและเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร เกิดการรับรู้ เข้าใจถึงบทบาทการดําเนินงานของ สดช. และขยายผลไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม พร้อมทั้งยังได้ร่วมสนับสนุนการศึกษาและสังคม โดยจะมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่อื่นต่อไป”

‘ดร.ปฐมพงษ์’ ชี้ การเมืองไทยจะเหลือแค่ ‘พรรคใหญ่’  หุ่นเชิดชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตก – พรรคที่มีอุดมการณ์ชาตินิยม

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2566 - ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เผยแพร่บทความผ่านเฟซบุ๊กมีเนื้อหาดังนี้ ขณะที่ประเทศอเมริกามี 2 พรรคใหญ่คือพรรครีพับลิกันและเดโมแครตซึ่งกลุ่มทุนยิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังทั้งคู่

ต่อไป พรรคการเมืองในประเทศไทยจะเหลือแค่ ๒ พรรคใหญ่ๆ เท่านั้นคือพรรคที่เป็นหุ่นเชิดชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกและพรรคที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมซึ่งต้องการให้ประเทศเป็นไทจากชาตินักล่าอาณานิคม

ในที่สุด พรรคที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมนี้ก็จะถูกบีบให้เลือกข้าง ไปเข้าข้างรัสเซียและจีนซึ่งมีอุดมการณ์อย่างเดียวกันจนได้ ถ้าพรรคที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมคัดเลือกแต่นักการเมืองน้ำดีซึ่งมีอุดมการณ์จริงๆ ประวัติไม่มีด่างพร้อยมาอยู่ พรรคจะเจริญก้าวหน้า มีคนศรัทธามากยิ่งขึ้นและเอาชนะคู่แข่งได้โดยลำดับ

แต่ถ้ารับคนจำพวกแสวงหาตำแหน่งการเมืองซึ่งมีให้เห็นตั้งแต่ชุมนุมพันธมิตรแล้ว พวกนี้อาศัยช่องทีวีพันธมิตรโผล่หน้าให้เห็นบ่อยๆ ซึ่งเป็นบันไดก้าวไปร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ๑ และประยุทธ์ ๒ จนถึงทุกวันนี้ พรรคก็จะไม่เป็นที่น่าศรัทธาเท่าไหร่

การเลือกตั้งใหญ่แต่ละครั้ง จะต้องเเตรียมให้พร้อมกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาเพราะเดิมพันสูง ต้องให้พรรคที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมชนะทุกครั้ง นั่นแปลว่าระหว่างบริหารบ้านเมือง จะต้องทำให้เศรษฐกิจดีทุกๆ ด้านเพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพึงพอใจ และเหนือกว่านั้นคือต้องเอาชนะ สงครามพันทาง จากอเมริกาให้ได้ไปด้วยเหมือนที่วลาดิเมียร์ ปูตินทำอยู่ในขณะนี้

เพราะถ้าพรรคหุ่นเชิดชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกอีกพรรคได้คะแนนเสียงข้างมากเมื่อไหร่ ก็จะจัดการปรับให้หน่วยงานด้านความมั่นคงอ่อนแอลงเพื่อให้ต่างชาติแทรกแซงได้ง่ายขึ้น ต่างชาติก็จะเข้ามาบงการนโยบายประเทศไทยได้และจะมีการแก้กฎหมายต่างๆ เอื้อประโยชน์ต่างชาติให้วุ่นวายไปหมด

คุณจารุณี สุขสวัสดิ์ คุณเจสัน ยังและคุณสินจัย เปล่งพาณิช เป็นตัวอย่างดาราที่มีอุดมการณ์หนักแน่น ไม่กลัวการถูกวิจารณ์เมื่อแสดงจุดยืน น่าสรรเสริญมากและน่าจะเป็นตัวแทนฝ่ายบรรเทิงที่จะเข้ามาอยู่ในพรรคที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมนี้ได้

หมายเหตุ: ชาตินิยมในที่นี้คือ nationalism หรือ patriotism ไม่ใช่เลยเถิดไปเป็น radical nationalism หรือ racism เหมือนในเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์

‘ดร.ธนวรรธน์’ ชี้ ความไม่ชัดเจน ทำให้ทิศทางคลุมเครือ ย้ำ  นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ควรนำมาหาเสียงอีกแล้ว เพราะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อธุรกิจ

หลังเลือกตั้ง ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร? คำตอบนี้คงเริ่มมีบรรดานักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ออกมาวิเคราะห์กันมากขึ้น เฉกเช่นเดียวกันกับ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งเป็นอีกท่านหนึ่งที่มีมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งที่น่าสนใจไม่น้อย โดยครั้งนี้ท่านได้เล่าฉากทัศน์ของเศรษฐกิจไทยให้เราได้เห็นภาพว่า...

ตอนนี้ถ้าพูดถึงบริบทของความชัดเจนในตอนนี้ มันคือ 'ความไม่ชัดเจน' ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้จะมีภายใต้ 3 เงื่อนไขทางการเมือง ที่แม้ว่าวันนี้เราจะทราบถึงว่าที่นายกรัฐมนตรี ว่าที่รัฐบาลกันแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอุปสรรคอีกหลายอย่างที่ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจคลุมเครือภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ เช่น...

>> 'เงื่อนไขที่หนึ่ง' 
แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยที่มีเสียง 313 เสียง จากพรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค โดยที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายก ซึ่งเป็นหลักที่น่าจะเกิดขึ้นตามกลไกของการเลือกตั้ง แต่ในเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญจะมี 2 ประเด็นที่เกิดขึ้นได้ตอนนี้ก็คือ หากนายพิธา ถือครองหุ้นสื่อ ก็จะมีความเป็นไปได้ว่าต้องหลุด ไม่มีผล หรือหลุดจากการเป็น ส.ส. เพราะว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งตรงนี้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ทำให้โอกาสที่นายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นยังมีความไม่ชัดเจน 

แต่ถ้าหลุดด่านนี้ไปได้นายพิธาจะต้องเจออีกประเด็นคือ การที่ ส.ว. จะต้องมาสนับสนุนรวมกับ ส.ส. ในสภาอย่างน้อยอีก 63 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราตีความถึงความน่าจะเป็นแล้ว โอกาสที่นายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลของพรรคก้าวไกล มีโอกาส 50 : 50 และน่าจะมีโอกาสที่ออกไปทางไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีค่อนข้างสูงด้วย

>> 'เงื่อนไขที่สอง'
แล้วใครจะเป็นรัฐบาล อันนี้ก็ต้องเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พรรคเพื่อไทยจะต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลต่อไป คำถามคือ พรรคเพื่อไทยจะรวมกับพรรคไหนบ้าง ซึ่งมีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแน่นอนว่าเงื่อนไขสองเงื่อนไขนี้ เงื่อนไขที่สอง มีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะถ้า ส.ว. สนับสนุนภายใต้การเลือกนายกรัฐมนตรีที่ ส.ว. ยอมรับโอกาสที่จะเป็นรัฐบาลก็มีมากขึ้น และเมื่อเรามาพิจารณานโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยแล้วนั้น แนวนโยบายทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 พรรค ไม่ต่างกัน เพราะแนวนโยบายเศรษฐกิจของทั้ง 2 พรรค จะเป็นลักษณะที่ใช้การลดค่าครองชีพ การเติมเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีทำให้เกิดความเติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 

>> 'เงื่อนไขที่สาม' 
หาพิจารณาดูแล้วเงื่อนไขที่สอง จะมีโอกาสทำให้ภาพของเศรษฐกิจฉายได้ชัดขึ้น เพียงแต่ยังมีเงื่อนไขซ้อนเงื่อนไขนี้อยู่คือ ใครเป็นนายก? จะเป็นนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ นายเศรษฐา ทวีสิน หรือจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น อย่างนายอนุทิน ชาญวีระกุล หรือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เงื่อนไขนี้ไม่มีผลต่อ ส.ว. จึงทำให้การเมืองในรัฐสภาสงบนิ่ง แต่การเมืองนอกสภานิ่งหรือไม่? ตรงนี้น่าจับตา เพราะถ้าการเมืองนอกสภาไม่นิ่ง ก็ต้องมาดูกันว่าจะมีการประท้วงมากน้อยแค่ไหนและรุนแรงหรือไม่ ซึ่งจะเห็นการเคลื่อนตัวของภาคีขององค์กรต่างๆ ที่ต้องการจะผลักดันให้ ส.ว. สนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี 

>> การเมืองมีเสถียรภาพ = ไปรอด!!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล แต่ถ้าสามารถประคองการเมืองให้มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโอกาสที่การเมืองจะมีเสถียรภาพแค่ไหนในตอนนี้นั้น รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า มีอยู่สูงมาก และต่อให้ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกลด้วย แต่ต้องทำให้ภาพการเมืองมีความชัดเจนให้ได้ แล้วโอกาสที่นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ จะสร้างความมั่นใจต่อสังคมไทย นักลงทุนไทย ผู้บริโภคไทย นักลงทุนชาวต่างประเทศ บรรยากาศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว การบริโภคดีขึ้น ทุกอย่างจะดีขึ้นหมด และอาจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในกรอบ 3–5% ได้เลยทีเดียว

แต่ถ้าการเมืองขาดเสถียรภาพ สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ การจะมีเสถียรภาพจะกลับมาเร็วหรือไม่ ถ้ายังพอได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่อาจจะมีปัญหาสั่นคลอนไปบ้าง เศรษฐกิจไทยก็ยังคงน่าจะโตได้ในกรอบ 3–5% เช่นเดิม แต่ถ้ามีการเมืองในท้องถนนมากขึ้น จนทำให้ประชาชนกังวล ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 3%

>> ต่อข้อคำถามเกี่ยวกับการที่ตลาดหุ้นร่วงหลังจากเลือกตั้ง รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า เพราะนักลงทุนคาดการณ์จากที่นักวิเคราะห์มองว่า...

...ปัจจัยที่หนึ่ง : การไม่มั่นใจว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยแกนนำของพรรคก้าวไกล จึงทำให้การเมืองมีความสับสนไม่ชัดเจนทำให้ภาพเศรษฐกิจไม่ชัด 

...ปัจจัยที่สอง : เพราะพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลใช้คำว่า 'ทุนผูกขาด' นั่นหมายความว่า จะมีการปรับกฎหมาย ปรับวิธีการทำการทั้งหมด เพื่อทำให้กลุ่มทุนอาจจะมีกำไรน้อยลงหรืออาจจะได้สัมปทานของรัฐน้อยลงในอนาคต หรืออาจจะมีการแก้ไขสัญญา ซึ่งทำให้นักลงทุน นักวิเคราะห์ไม่มั่นใจว่า การเข้ามาของรัฐบาลใหม่จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผิดไปจากที่คาดไว้เดิมหรือไม่ 

...ปัจจัยที่สาม : ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเพิ่มขยายเพดานหนี้สาธารณะได้ จึงทำให้สหรัฐฯ อาจจะมีความสูญเสียต่อการที่จะผิดนัดชำระหนี้ เพราะฉะนั้นสามปัจจัยนี้จึงทำให้หุ้นไทยมีสัญญาณปรับตัวลดลงตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง แต่ถ้ามองในภาพรวมหุ้นทั่วโลกไม่ได้ดิ่งลง มีแค่หุ้นสหรัฐฯ ที่ Sideway Down (ขึ้น-ลงในทิศทางที่ร่วง) เพราะปัญหาเพดานหนี้บวกกับปัญหาของจีนที่ผูกพันกับสหรัฐฯ ในเรื่องการส่งออกค่อนข้างเยอะและตลาดหุ้นไทย

ทว่าเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่ปัจจัยหลักมาจากการเมือง ดังนั้นถ้าการเมืองของเราไม่นิ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจ พอเศรษฐกิจไม่นิ่งก็จะสะท้อนไปที่ตลาดหุ้น ตลาดหุ้นจะมีผลชี้นำต่อเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ จึงสรุปได้ว่าถ้าการเมืองไม่ชัดเจนจะทำให้เศรษฐกิจเห็นภาพไม่ชัดเช่นเดียวกัน 

>> เกี่ยวกับการลงทุนของจีนกับการลงทุนของซาอุดีอาระเบียที่คืบรุกมาอย่างก้าวหน้าในช่วงที่ผ่านมา หลายคนวิตกกังวล เป็นห่วง ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบเนื่องจากทุกประเทศทราบอยู่แล้วว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง และทุกการเลือกตั้งก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในเชิงธุรกิจย่อมรับทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องนี้ เว้นเสียแต่พรรคก้าวไกลจะมีการเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ เป็นพิเศษ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สมมติฐานหรือข้อกล่าวหาของบางกลุ่มเท่านั้น และผมเชื่อว่า พรรคก้าวไกลคงจะคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีกับประเทศต่าง ๆ และรัฐบาลที่ชาญฉลาดคงไม่เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้ว่าประเทศต่างๆ ต้องการให้ประเทศไทยเลือกข้างก็ตาม

>> เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวเสริมว่า โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยและทรุดตัวลงอย่างรุนแรงยังมีความเป็นไปได้อยู่ แต่น้อยกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว เพราะสหรัฐฯ ประหยุดการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ยังต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อเริ่มปักหัวลง ขณะที่เศรษฐกิจเยอรมนีค่อยๆ ฟื้นตัว ดังนั้นในจังหวะทึ่โอกาสเศรษฐกิจของโลกค่อย ๆ ฟื้นตัว รัฐบาลใหม่ของไทยไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็จะได้อานิสงค์ในเชิงบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวด้วยเช่นกัน

"ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราเจอทั้ง Trade War ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์โควิด19 ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกสะบักสะบอมไปตามๆ กัน ทุกประเทศมีคนตกงาน ทุกประเทศเดือดร้อน เพราะโควิด19 ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินอย่างน้อย 20–30% ของจีดีพี ซึ่งก็เป็นที่มาให้เศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ มีปัญหาอยู่ถึงขณะนี้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจึงเผชิญกับเศรษฐกิจที่โจทย์ยากมาก และใครมาเป็นรัฐบาลถูกตำหนิทั่วโลก 

"ดังนั้นช่วงนี้ จึงเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงของการเตรียมเสวยสุขจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องทำคือ ต้องฟื้นเศรษฐกิจให้ได้เร็ว ต้องทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าเร็ว และต้องทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพต่ำลงให้ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ประชาชนเลือกพรรคการเมือง ที่พร้อมแก้ไขปัญหาเหล่านี้"

>> เกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรต้องทำทันที รศ.ดร.ธนวรรธน์ ขยายความให้ฟังว่า ยิ่งปัจจุบัน ค่าน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งเกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนส่งผลกระทบชิ่งไปสู่ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ลามไปค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อการจับจ่ายใช้สอยซึมลงทั้งโลก สิ่งที่รัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วต้องทำทันที จึงเป็นการลดค่าครองชีพ ลดราคาสาธารณูปโภคให้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งตอนนี้ค่าไฟฟ้าจะถูกลงแน่ๆ เพราะราคาน้ำมันลดลง ดูแลค่าครองชีพให้ประชาชนมีเงินเพียงพอในการใช้ดำรงชีวิต นี่คือข้อแรก อย่างน้อยจิตวิทยาในเชิงบวกจะเกิดขึ้นถ้ารัฐบาลใหม่สามารถดูแลค่าพลังงาน, ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำมัน และก๊าซหุงต้ม 

ข้อที่สองคือ การเติมเงินให้ประชาชน ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้เงิน นั่นก็คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว เอื้ออำนวยให้การส่งออกโดดเด่นทั้งประเทศจะได้ประโยชน์ 

และข้อสุดท้ายคือ เติมเงินเป็นจุด ๆ เช่น การเติมเงินให้กับหมู่บ้าน การเพิ่มค่าแรงงาน หรือเงินโอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินดิจิทัล เบี้ยผู้สูงอายุ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และควรส่งเสริมการลงทุน ตรงนี้จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นได้ใน 'ระยะสั้น' ส่วนการฟื้นเศรษฐกิจใน 'ระยะกลาง' คือ การส่งเสริมการแข่งขัน ด้วยการแก้กฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากต่างประเทศและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนชาวไทยไปแข่งขันกับต่างประเทศ ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย ปรับปรุงเรื่องการศึกษาให้คนไทยมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ดี 

ขณะที่ 'ระยะยาว' ต้องสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนชั้นกลางมีมากขึ้น ทำให้คนจนหมดไป และสิ่งที่สำคัญก็คือส่งเสริมธุรกิจที่อยู่ในบริบท BCG ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม

>> เกี่ยวกับเรื่องของข้อควรระวังในการบริหารด้านเศรษฐกิจไทย รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า ต้องระวังการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยไทยต้องมีเงินเพียงพอในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาคือ การไม่ก่อหนี้ แม้ตอนนี้หนี้สาธารณะของไทยจะอยู่ที่ 61% ของจีดีพีนั้น แต่ก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่มอีกโดยไม่จำเป็น เพราะถ้าเกิดเศรษฐกิจโลกพลิกผันถดถอยอย่างรุนแรงประเทศไทยจะได้มีโอกาสกู้เงินเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในได้ เพราะเงินกู้เท่านั้นจะทำให้เราอยู่รอดได้ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง 

นอกจากนี้ ก็ต้องใช้ศาสตร์พระราชา หลักเศรษฐกิจพอเพียง ใช้เงินภายในช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ นี่คือการเฝ้าระวังสูงสุด แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่มีความเสี่ยง เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้น สิ่งที่จะต้องทำคือ ต้องเป็นเจ้าภาพในการท่องเที่ยวที่ดี, ดูแลนักท่องเที่ยวให้ปลอดภัย, ดูแลเรื่องของระบบโลจิสติกส์, ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว, ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว ที่สำคัญต้องเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว, ต่อวีซ่าสะดวกขึ้นง่ายขึ้น, ส่งเสริมการส่งออกด้วยการทำค่าเงินบาทให้อ่อนอยู่ระหว่าง 34–36 บาท ส่งออกจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งพยายามลดต้นทุนของผู้ประกอบการให้ได้มากที่สุด ไม่นานเศรษฐกิจประเทศไทยก็ฟื้น และสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการดูแลเศรษฐกิจระยะยาว คือ ส่งเสริมให้ชาวต่างชาติมาทำงานที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของอุตสาหกรรมใหญ่ ตอนนี้กำลังฟื้นตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า, อสังหาริมทรัพย์, อุตสาหกรรมเกษตร ถ้าเราแปรรูปอุตสาหกรรมเกษตรให้ดีเน้นทางด้าน BCG ประเทศไทยน่าจะประคองเศรษฐกิจไปได้

ขณะเดียวกันสิ่งที่โดดเด่นมากๆ ของประเทศไทย คือการเป็นเมืองบริการเรื่องการดูแลสุขภาพ ความสวยความงาม การท่องเที่ยว และ HUB การขนส่งในเขตเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในการลงทุน ตรงนี้ต้องคงไว้

ก่อนจบบทสนทนา รศ.ดร.ธนวรรธน์ ได้เตือนถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (450 บาท) ตามที่พรรคการเมืองได้ประกาศหาเสียงไว้ ว่าจะเป็นดาบ 2 คม ที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงภาคธุรกิจหลายรายย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

"เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและต้องการให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องพิจารณาให้จงหนัก เนื่องจากภาคเอกชนมีไตรภาคี เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงควรไปคุยในไตรภาคีและขอให้เป็นไปตามกลไกราคา จึงฝากเตือนไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ควรนำมาหาเสียงอีกแล้ว เพราะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อธุรกิจได้ง่าย แต่ถ้าจะขึ้นค่าแรงต้องหาทางแก้ไขให้ครอบคลุมทุกมิติ จะให้ภาคเอกชนมาแบกรับภาระนี้คงจะหนักเกินไป อาจจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตตามมา"

CEO กลุ่มธุรกิจ TCP หวังการเมืองไทย มีเสถียรภาพ  มองการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ธุรกิจรายใหญ่สามารถปรับตัวได้

เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 66 ในงาน THAIFEX - ANUGA ASIA 2023 นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงภาพรวมธุรกิจภายหลังการเลือกตั้งไว้ว่า...

"หากพูดถึงกลุ่มธุรกิจ TCP ก็ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ หลังจากการเลือกตั้ง เนื่องจากธุรกิจในกลุ่ม TCP ไม่ได้ทำธุรกิจหรือสัมปทานกับภาครัฐ ถ้าจะห่วงก็คงเป็นสถานการณ์ในต่างประเทศมากกว่า เพราะธุรกิจส่วนใหญ่ของกลุ่ม TCP มีฐานลูกค้าอยู่ที่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากประเมินแล้วมีความเสี่ยงสูง ก็จะชะลอการดำเนินงานไปก่อน อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่อาจต้องจับตาในไทย คงเป็นเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่า เพราะถ้าการเมืองมีเสถียรภาพ ธุรกิจต่าง ๆ ก็จะเดินหน้าไปได้ ฉะนั้นถ้าการเมืองตอนนี้เป็นไปตามกระบวนการ ก็ไม่น่ามีอะไรให้ต้องกังวล"

เมื่อถามถึงประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของพรรคก้าวไกล นายสราวุฒิ กล่าวว่า "นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทนั้น จะกระทบหรือไม่ ต้องไปดูตามตัวบทกฎหมาย อีกทั้งทางภาคธุรกิจยังมีคณะไตรภาคีที่จะพิจารณาเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่โดยส่วนตัว ผมมองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากธุรกิจของ TCP ใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้าเป็นส่วนใหญ่จำนวนแรงงานที่ใช้จึงไม่ได้เยอะ แต่ปัญหาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะไปเป็นภาระหนักของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางมากกว่า ส่วนธุรกิจรายใหญ่สามารถปรับตัวได้หมดเนื่องจากสามารถลงทุนด้านเครื่องจักรได้"

เมื่อถามถึงภาพรวมความสัมพันธ์กับต่างประเทศ หลังพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จะมีผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกับประเทศจีนหรือไม่ นายสราวุฒิ มองว่า "ในแง่ของภาคเอกชนที่ได้ดำเนินธุรกิจในต่างแดน ย่อมต้องสร้างสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องกับประเทศต่าง ๆ ตลอดอยู่แล้ว กลับกันในส่วนของภาครัฐนั้นจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่า แต่ก็แน่นอนว่า ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดี ภาคเอกชนก็จะสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น"

เมื่อถามถึงเรื่องเร่งด่วนที่อยากฝากถึงรัฐบาลให้ดำเนินการ นายสราวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ผมอยากให้ช่วยเข้าไปพัฒนาในเรื่องของระบบการศึกษาให้ดีขึ้นกว่านี้ ทำให้เยาวชนไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ ไม่ใช่แค่กระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิธีการเรียนรู้ของเยาวชนไทย เพราะภาคธุรกิจจะเดินหน้าไม่ได้ หากไม่มีทรัพยากรมนุษย์ที่เก่งและเชี่ยวชาญมารองรับธุรกิจต่าง ๆ ตนไม่อยากเห็นภาพที่คนต่างชาติเข้ามาทำงานในเมืองไทยมากกว่าที่จะเป็นคนไทยทำงานในเมืองไทยกันเอง"

‘รศ.หริรักษ์’โพสต์ข้อความ ชวนให้คิด พรรคก้าวไกล มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr

เกี่ยวกับประเด็นที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่าประเทศสหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยด้วยการให้การสนับสนุนพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล โดยมีใจความว่า ...

5 ปีที่แล้วหากบอกว่า สหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยด้วยการให้การสนับสนุนพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล จะไม่มีใครเชื่อ นอกจากไม่เชื่อแล้วยังมองว่าคนที่พูดบ้าไปแล้ว ดูหนังมากไปหรือไม่ แต่วันนี้ มีคนที่เชื่อเรื่องนี้มากขึ้นทุกวัน มากจนกระทั่งคุณรังสิมันต์ โรม มีความวิตก ออกมาชี้แจงและปฏิเสธว่า เป็น fake news เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลพรรคก้าวไกลจะยอมให้ต่างชาติมาตั้งฐานทัพในประเทศไทย คุณวิโรจน์ ลักณาอดิศรก็ตอบโต้ว่า เป็นนิทานหลอกเด็ก เป็นอุปทานหมู่

ระยะนี้ จึงมีคนถามกันมากว่า การแทรกแซงประเทศไทยโดยชาติมหาอำนาจด้วยการให้การสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งก็หมายถึงพรรคก้าวไกลให้ชนะการเลือกตั้งเพื่อได้เป็นรัฐบาล เป็นความจริงหรือไม่ มีหลักฐานหรือไม่

คำตอบคือ ไม่มีใครที่เป็นคนนอกบอกได้ 100% หลักฐานมีหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าหลักฐานแบบจับให้มั่นคั้นให้ตายคงไม่มี แต่มีเหตุการณ์ และข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นเ จนทำให้มีความน่าเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่นี้จึงจะลองรวบรวมเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆเท่าที่ทำได้ โดยจะเลือกเฉพาะที่เป็นจริงเท่านั้นมาให้ลองพิจารณากัน

1. คุณธนาธรได้ว่าจ้าง APCO Worldwide ซึ่งเป็นบริษัทลอบบี้ยิสต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กค ถึง 31 ธค 2562 เป็นเงินประมาณ 1.8 ล้านบาท โดยบอกว่าใช้เงินส่วนตัว เพื่อช่วยให้ข้อมูลแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและให้บริการด้านกลยุทธ์การสื่อสารในประเทศสหรัฐอเมริกาให้กับผู้ว่าจ้าง เพื่อให้ผู้คนในสหรัฐฯได้ตระหนักเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในประเทศไทยดียิ่งขึ้น และให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และให้บริการด้านการสื่อสารในฐานะตัวแทนของผู้ว่าจ้าง ประสานงานกับสื่อมวลชนและองค์กรในสหรัฐฯเพื่อสร้างความตระหนักมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในประเทศไทย

คุณธนาธร เมื่อไปสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สำนักข่าว NBC ยกย่องสหรัฐอเมริกาและแสดง ความต้องการให้สหรัฐอเมริกาช่วยสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้น และเมื่อก่อนการเลือกตั้ง 2562 คุณธนาธรเสนอความคิดเรื่องการใช้ hyperloop แทนรถไฟความเร็วสูงซึ่งขณะนั้นรัฐบาลกำลังเจรจากับจีน คุณธนาธรให้ข่าวว่าจะออกเงินเองเพื่อศึกษาความเป็นไปได้(feasibility study)ของ hyperloop แต่ไม่มีใครเคยได้เห็นรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ฉบับนั้นแต่อย่างใด เมื่อมีการจัดแถลงข่าวเรื่อง hyperloop คุณธนาธรตอบคำถามนักข่าวต่างชาติว่า รัฐบาลไทยเอนเอียงไปทางจีนมากเกินไป จึงต้องการให้มีการปรับความสัมพันธ์กับต่างประเทศใหม่ ใช้คำว่า "realign"โดยให้หันไปทางประเทศอื่นเช่น สหรัฐอมเริกาและญี่ปุ่นให้มากขึ้น

2. เมื่อคุณธนาธรต้องไปรับทราบข้อกล่าวหากรณียุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ที่สน.ปทุมวัน มีเจ้าหน้าที่สถานทูตจากประเทศตะวันตกหลายประเทศ ต่างไปร่วมสังเกตการณ์กันอย่างเนืองแน่น ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต

3. นาย Robert F. Godec ก่อนเดินทางมารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐก่อนเดินทางมารับตำแหน่งว่า จะช่วยให้ประเทศไทยปรับปรุงในเรื่องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และจะให้ไทยร่วมกดดันเมียนมาร์ด้วย เมื่อมีวุฒิสมาชิกตั้งกระทู้ถามเรื่องมาตรา 112 ที่ส่งผลถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และมีผู้ถูกจับกุมคุมขังมากมาย นาย Godec กล่าวว่า

"สหรัฐให้ความเคารพต่อราชวงศ์ไทย และเข้าใจในความจงรักภักดีของคนไทยต่อราชวงศ์ แต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเขาเคยเน้นย้ำต่อสาธารณะและโดยส่วนตัวว่า ที่ประชาชนจะแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องกลัวการถูกจับกุม และจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" และยังกล่าวต่อไปว่า

" ผมขอย้ำว่า คนที่ถูกจับกุมจะต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ในระหว่างการดำเนินคดี"

นอกจากนี้นาย Godec ยังกล่าวว่า จะกดดันให้ไทยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและน้ำม้นจากพม่า และจะพยายามให้ไทยเพิ่มแรงกดดันต่อพม่า เพื่อหยุดการกระทำอันเหี้ยมโหดของรัฐบาลเมียนมาร์ อีกด้วย

4. คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีช่วงท้ายที่ว่า นายกรัฐมนตรีทำลายศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศเพราะไม่เข้าไปกดดันรัฐบาลเมียนมาร์ และทำลายศักยภาพของประชาชน เนื่องจากใช้มาตรา 112 ดำเนินการจับกุมคุมขังผู้ที่แสดงออกทางความคิด อันเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีของประชาชนเหล่านั้น เนื้อหาในการอภิปราย 2 ข้อนี้ตรงกับที่ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยแสดงความคิดเห็นก่อนเดินทางมารับตำแหน่งอย่างไม่ผิดเพี้ยน

5. เป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อในประเทศไทยที่อยู่ข้างม็อบ 3 นิ้ว ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรจากต่างประเทศโดยเปิดเผย เช่น จาก NED หรือ National Endowment for Democracy, Open Society Foundation, USAID, Freedom House เป็นต้น องค์กรต่างๆเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น Open Society foundation มี George Soros เป็นผู้ก่อตั้ง NED เป็นองค์กรที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่เดิมการให้การสนับสนุนทั้งเงิน และการสนับสนุนแบบอื่นๆให้แก่กลุ่มต่างๆในต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ หรือ national interest ของสหรัฐอเมริกา จะกระทำอย่างลับๆโดย Central Intelligent Agency หรือ CIA แต่ในสมัยประธานาธิบดี Lyndon B Johnson ต้องการให้เป็นการสนับสนุนอย่างเปิดเผย จึงให้จัดตั้ง NED ขึ้นให้เป็นองค์กรเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและการเติบโตของสถาบันทางประชาธิปไตยทั่วโลก

6. คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับเชิญไปพูดในการประชุมที่เรียกว่า Oslo Freedom Forum ที่ไต้หวัน ซึ่งคุณธนาธรได้เลือกที่จะพูดในหัวข้อ

"Why we must defend democracy" หรือทำไมเราต้องปกป้องประชาธิปไตย

Oslo Freedom Forum คือที่ประชุมที่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2009 ที่ Oslo เพื่อเป็นที่รวมตัวกันของนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชน และนักประชาธิปไตย เพื่อต่อสู้กับเผด็จการ หลังจากนั้นก็ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่ไต้หวัน

ผู้จัดการประชุม Oslo Freedom Forum คือมูลนิธิสิทธิมนุษยชน( Human Rights Foundation) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ New York สหรัฐอเมริกา

แหล่งเงินทุนที่ให้การสนับสนุนมูลนิธิสิทธิมนุษยชน มาจากทั้งภาคเอกชน เช่น Twitter และ Amazon เป็นต้น และยังมาจากองค์กรที่เรียกว่า Freedom Fund ซึ่งหากค้นลึกลงไปก็จะพบว่าองค์กรแห่งนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลอังกฤษ นั่นเอง

Oslo Freedom Forum ไม่ใช่เพียงจัดประชุมปีละครั้ง แต่ยังจัดกิจกรรมต่างๆระหว่างปีด้วย หนึ่งในกิจกรรมก็คือ จัดอบรมวิธีการทำปฏิวัติ(ไม่ใช่รัฐประหาร) และการจัดการชุมนุม หรือจัดม็อบ การรับมือกับตำรวจควบคุมฝูงชนให้กับนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาลจากประเทศต่างๆ นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกงที่ชื่อนาย โจชัว หว่อง ก็เคยเข้ารับอบรมดังกล่าวนี้

การประชุมครั้งนี้ที่ไต้หวัน ยังได้มีการนำภาพของผู้นำของประเทศที่ถูกคนกลุ่มนี้ตราหน้าว่าเป็นเผด็จการมาติดผนังไว้ให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมเขียนอะไรก็ได้บนภาพของผู้นำเหล่านี้

7. เมื่อมีการชุมประท้วงรัฐบาลประเทศอิหร่าน คุณธนาธรออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนผู้ประท้วง จนสถานทูตอิหร่านต้องโพสต์ข้อความเตือนคุณธนาธร แต่คุณธนาธรไม่เคยออกมาแสดงความเห็นต่อต้านอิสราเอล กรณีปาเลสไตน์เลยสักครั้ง

8. ม็อบชานม ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของม็อบ 3 นิ้ว เชียร์ไต้หวัน ฮ่องกง และอุยกูร์ ชัดแจ้งว่าต่อต้านจีน แต่สนับสนุนสหรัฐอเมริกา

9. Dr. Agnes Callamard เลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากลหรือ Amnesty International ชาวฝรั่งเศสมาเมืองไทย ในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งทั่วไป และได้แสดงปาฐกถาเกี่ยวกับประเทศไทย เนื้อความที่สำคัญที่ Dr. Callamard กล่าวคือ

"ช่วงสำคัญของการมาเมืองไทยครั้งนี้ คือการพบกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วง พวกเขาต้องการสร้างประเทศที่แข็งแกร่งและเป็นธรรม แต่เมื่อได้ถามว่า พวกเขาได้มองอนาคตของตัวเองไว้อย่างไร เขาตอบว่า 'ไม่มีอนาคคสำหรับเราที่นี่' นั่นทำให้ดิฉันมีความกังวลอย่างมาก และคิดว่า ผู้นำประเทศควรมีความห่วงใยอย่างมาก เยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนมาก มีความรู้สึกว่า พวกเขาไม่มีอนาคตก็เพราะการถูกปราบปราม ความไม่เท่าเทียมกัน การทุจริตคอรัปชั่นและความไม่ยุติธรรม และสิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลง"

"เด็กๆและเยาวชนเป็นร้อยๆ รวมทั้งนักกิจกรรมทางการเมือง และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กำลังเผชิญกับการถูกดำเนินคดีทางอาญาในประเทศไทย เพียงเพราะการใช้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก และการประท้วงอย่างสันติ จำนวนมากถูกลลิดรอนสิทธิเสรีภาพและอาจต้องเผชิญกับการถูกบันทึกลงประวัติอาชญากร รวมถึงเด็กอายุ 15 ปี ที่ยังคงถูกคุมตัวอยู่ในสถานพินิจมาเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์แล้ว"

เนื้อความเหล่านี้ล้วนสอดคล้องและเป็นชุดความคิดเดียวกันกับม็อบ 3 นิ้ว และพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น

10. สว.สมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค ได้เชิญเอกอัครราชทูต สหรัฐอเมริการประจำประเทศไทย นาย Robert F. Godec และคณะเข้าหารือที่วุฒิสภา กรณีมีคนไทยกลุ่มหนึ่งส่งเอกสารถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิกกลุ่มหนึ่งเป็นผลให้วุฒิสมาชิกกลุ่มนี้เคลื่อนไหวเพื่อยื่นเรื่องให้วุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาออกมติที่ 114 ซึ่งมีเนื้อหาข่มขู่ กล่าวหา สถาบันพระมหากษัตริย์ว่า แทรกแซงการเลือกตั้งทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้ง ตลอดจนเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 หากไม่ทำตามก็จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา สว.สมชายพยายามชี้แจงให้ นาย Godec ว่าข้อมูลทั้งหมดที่คนไทยกลุ่มนั้นส่งไปไม่เป็นความจริง

กรณีนี้ ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่คนไทยกลุ่มหนึ่ง อยู่ดีๆก็ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้วุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิกกลุ่มนี้ก็รับลูกไปดำเนินการต่อ โดยไม่มีการนัดแนะประสานกันล่วงหน้ามาก่อน

11. คุณพรรณิการ์ วาณิช กล่าวถึงรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ว่า มีที่มาเป็นเผด็จการ ไม่สามารถเข้าคลับของประเทศตะวันตกได้ ได้แต่คบกับรัสเซีย จีน และซาอุดิอเรเบีย ที่มีที่มาคล้ายๆกัน รัฐบาลไทยจะต้องสร้างสมดุล โดยหันไปทางประเทศประชาธิปไตยให้มากขึ้น

12. นาย Robert F. Godec เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แสดงความสนใจ และความกระตือรือล้นต่อผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาอย่างออกนอกหน้า โดยไม่มีสถานทูตประเทศอื่นๆแม้แต่แห่งเดียวที่แสดงออกเช่นนาย Godec

13. ทันทีที่ทราบผลการเลือกตั้ง คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โพสต์ข้อความใน social media เรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกจากยูเครนโดยไม่มีเงื่อนไข และให้สัมภาษณ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ว่า ไม่มีจุดยืน เป็นไผ่ลู่ลม ทำให้ไม่มีที่ยืนในเวทีโลก หากก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศไทย และยืนยันว่าตนเองกดดันให้ประเทศเมียนม่าร์กลับมาเป็นประเทศประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาต้องการ ทั้งที่หลักการสำคัญของอาเซียนคือ การไม่แทรกแซงซึ่งกันและกัน

14. คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จบจาก John F. Kennedy School of Government มหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งสอนทางด้าน Public Policy, Public Administration เป็นสถาบันที่ปลูกฝังความเชื่ออย่างที่สหรัฐอเมริกาต้องการ ผู้ที่จบจากที่นี่ส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก และในระบอบทุนนิยม เสรีนิยม

โรงเรียนนี้มีความเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับ World Economic Forum ซึ่งเป็น elite group ก่อตั้งโดยนาย Klaus Schwab มีสมาชิกประกอบด้วย นักการเมือง กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จากประเทศต่างๆ ว่ากันว่าองค์กรนี้มีความพยายามที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของโลก คำว่า "New World Order" ก็เกิดขึ้นจากกล่ม elite กลุ่มนี้ และหลังจากสถานการณ์โควิดผ่อนคลาย ยังมีคำว่า " The Great Reset" ออกมาอีกซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะ reset อย่างไร

นาย Schwab ยังได้ก่อตั้งหลักสูตรอบรมที่เรียกว่า Young Global Leaders ผู้ที่ผ่านการอบรมจากหลักสูตรนี้จำนวนมาก ได้ไปมีบทบาทเป็นผู้นำรัฐบาลในประเทศต่างๆทั่วโลก นาย Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีของ Canada และอีกหลายคนในคณะรัฐมนตรี ก็ผ่านการอบรมจากหลักสูตรนี้ ผู้ที่ผ่านการอบรมจากหลักสูตรนี้ และจาก John F. Kennedy School of Government ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะดำเนินนโยบายเอนเอียงไปทางสหรัฐอเมริกาอย่างมาก

จะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งไม่กี่วัน พรรคก้าวไกลยังไม่ทันได้เป็นรัฐบาล World Economic Forum ก็ส่งคณะผู้แทนเข้าพบคุณพิธา และเป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อตะวันตก เช่น BBC Bloomberg Insider ต่างเผยแพร่ข่าวเชียร์คุณพิธาอย่างออกหน้าออกตา เห็นแล้วทำให้รู้สึกว่า ประเทศตะวันตกมึความพอใจที่จะได้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย มากกว่าคุณธนาธรเสียอีก ทำให้ขณะนี้คุณพิธามีความเจิดจรัสบดบังรัศมีของคุณธนาธร และอ.ปิยบุตรไปเกือบหมด

ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ และข้อเท็จจริงต่างที่พอรวบรวมได้ ที่ทำให้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่า ประเทศตะวันตก ไม่เพียงแต่สหรัฐอเมริกา กำลังแทรกแซงการเมืองไทย

เรื่องนี้หากไปถาม ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่คร่ำหวอด ติดตาม และทำข่าวต่างประเทศมาอย่าวยาวนาน เขาจะตอบว่า ไม่น่าแปลกใจ และมีความเป็นไปได้สูง เพราะเขาทราบดีว่า สหรัฐอเมริกาแทรกแซงประเทศต่างๆในโลกมาแล้วมากมาย เช่น นิคารากัว อิรัก อัฟกานิสถาน ลิเบีย ซีเรีย และอีกหลายประเทศในอาฟริกา

ข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ สหรัฐอเมริกาทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับประเทศจีนอย่างเปิดเผย และในทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างยิ่ง ทำให้สหรัฐอยากได้ไทยเป็นพวก ความจริงข้อนี้สามารถไปหาอ่านได้ในเอกสาร Indo-pacific Strategy ได้

การสร้างสถานกงสุลแห่งใหม่ที่ใช้เงินเกือบหมื่นล้านบาท มีชั้นที่อยู่ใต้ดินอีก 10 ชั้นต้องมีวัตถุประสงค์บางอย่างที่เกี่ยวกับเมียนม่าร์และจีนที่เปิดเผยไม่ได้อย่างแน่นอน

ที่เมียนม่าร์ มีข่าวและรูปถ่ายเล็ดรอดออกมาว่า สหรัฐส่งอาวุธและคนไปฝึกอาวุธให้ชนกลุ่มน้อยและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนม่าร์อย่างลับๆ เพื่อรบกับฝ่ายรัฐบาล เมื่อมีข่าวนี้ออกมา สหรัฐชี้แจงว่าผู้ที่ไปฝึกอาวุธเป็นอดีตนาวิกโยธิน จึงไม่เกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐแต่อย่างใด แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เราก็คงคาดเดาได้ ดังนั้นจึงเชื่อได้อย่างยิ่ง ที่สหรัฐจะมีความต้องการที่จะเข้ามาตั้งฐานทัพในไทยเช่นเดียวกับที่ประเทศ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์

คำถามคือ หากคุณพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอีก 2 เดือนข้างหน้า คุณพิธาจะทำตัวเป็นลูกรักของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ และจะยินยอมให้สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหรือไม่

เราต้องติดตามดูต่อไป

‘เต้ มงคลกิตติ์’ ชัดเจน ไม่เอา พิธา พรรคก้าวไกล  จากปมแก้ ม.112 เพื่อสงบสุขของบ้านเมือง

วันนี้ (28 พ.ค. 66) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ พี่เต้ อดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อได้โพสต์ข้อความ สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโซเชียล โดยมีใจความว่า ...

ถ้าให้ผมเลือก ระหว่าง พิธา แก้ ม.112 กับ ลุงตู่ ไม่แก้ ม.112 “ผมเลือกความสงบสุขของบ้านเมือง เลือก ลุงตู่ คับ”

หลังจากเผยแพร่ไปได้ข้อความดังกล่าวไปได้ไม่นาน ชาวเน็ตจำนวนมากต่างเข้าแสดงความคิดเห็นมากว่า 1 พันครั้ง ในช่วงพริบตา ซึ่งหากใครที่ติดตามข่าวสารการเมืองมาเป็นอย่างดี ช่วงที่ เต้ มงคลกิตติ์ ดำรงตำแหน่ง ส.ส. ก็มีท่าทีแสดงจุดยืนถึงการร่วมงานกับ ประยุทธ์ ที่ดูแล้วพี่เต้เองก็ไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไร อีกทั้งยังโหวตค้านเป็นประจำแต่กลับมาแสดงจุดยืนตอนนี้จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากจับตามอง

ซึ่งก่อนหน้านี้ เต้มงคลกิตติ์ หลังจากผลคะแนนการเลือกตั้ง 2566 ที่ผ่านมา ชี้ชัดแล้วว่า พรรคไทยศรีวิไลย์ ได้คะแนนน้อยกว่าที่คิด จนเต้เองถึงขั้นอยากเปลี่ยนอาชีพไปทำงานพิธีกรรายการดูบ้าง ซึ่งก็เคยได้เห็นการโชว์ฝีมือไปแล้วในรายการ ถกไม่เถียง ที่เป็นพิธีกรคู่กับ ป่อเปี๊ยะ โดยทางตัวเต้เองนั้นก็ทำผลงานออกมาได้ดีพอสมควร

ล่าสุด ก่อนที่เต้ มงคลกิตติ์ จะโพสต์เลือกข้างนี้ ก็เคยออกมาประกาศแล้วว่า ตนเองจะหยุดเรื่องการเมือง และขอลาออกจากหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ตั้งแต่ 26 พ.ค.2566 เวลา 14.39 น. แต่ในระยะเวลาหลังจากนั้น เต้ เองก็ยังมีการโพสต์เรื่องการเมืองอยู่เป็นระยะ จนทำให้ประชาชนที่เฝ้าติดตามมาเกิดความสงสัยว่า เหตุใดคนที่บอกจะพักกลับพูดถึงเรื่องการเมืองอยู่เป็นประจำ หนำซ้ำจู่ๆก็ออกมาโพสต์เลือกข้างว่าจะเลือก ลุงตู่ อีก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top