Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

ดี้ นิติพงษ์’ สุดเคือง!! ถูกผู้ประกาศช่องดังโพสต์แขวะ เตือน!! ระวังได้รับตราครุฑจากศาล ระงับความคึกคะนอง

วันที่ (29 พ.ค. 66) จากกรณีที่ รายการเล่าข่าวข้น ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ ดำเนินรายการโดย นายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ได้นำเสนอข้อความจากเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Piyanee Thiam-amporn’ ของ น.ส. ปิยณี เทียมอัมพร ผู้ประกาศข่าวในพระราชสำนัก สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 แคปภาพหน้าจอข้อความระบุว่า

“มีสองอย่างที่ไม่ควรปล่อยให้เสรี 1.) กัญชา 2.) ท็อปนิวส์” เจ้าตัวระบุว่า “คอมเมนต์นี้ดีนะคะ ฝากรัฐบาลใหม่นำไปพิจารณาเพิ่มเติมด้วยค่ะ ล่าสุดข่าวปั่นเรื่องอเมริกา (อเมริกา) ที่เราว่าติงต๊องๆ กันนะ มีคนเอาจริงเอาจังอยู่นะคะ ดูอย่างพี่นักแต่งเพลงท่านนั้นสิ แม่ประไพ”

ซึ่งกล่าวพาดพิงถึงนายนิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงที่มักจะใช้คำว่า “แม่ประไพ” ในเฟซบุ๊กบ่อยครั้ง

ล่าสุด นายนิติพงษ์ ห่อนาค หรือ ‘ดี้’ นักแต่งเพลงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘Nitipong Honark’ ระบุว่า…

“เสียดาย และเศร้าใจ นี่ก็น้องๆ ทั้งนั้นที่ฉันชื่นชม ความจริงก็ไม่ได้เห็น แต่ก็มีผู้หวังดีส่งมาให้ซ้ำกันมากมาย ก็รู้จักกันทั้งนั้น พี่น้องกัน เรื่องท็อปนิวส์ ก็ว่าของเขาไป จะฟ้องจะอะไรก็ตาม แต่น้องมาแขวะอะไรฉันเนี่ย ที่เคืองที่สุดคือ แม่ประไพของฉันมีเป็นแสนคน คะนองอะไรนักหนาหรืออีหนู?

ได้ข่าวว่าท็อปนิวส์เขาจะฟ้องร้อง…ก็ว่าไปฉันไม่ถือสาแล้ว…แต่ก็อยากให้ได้รับบทเรียนที่เป็นยาระงับความคะนองอันไร้ประโยชน์กับทุกฝ่าย อย่าบูลลี่ คะนองอะไรอีกเลย กับคนไทยด้วยกัน สงสารตำรวจ อัยการ ศาลเถิด…ตอนนี้คดีหมิ่นฯ ทางคอมพ์ฯ มันเกิดขึ้นง่าย ชนิดที่ว่า อยากโพสต์ก็พิมพ์เดี๋ยวนี้ อีกสามนาทีก็ด่าได้อีก อีกสิบนาทีก็ด่าได้อีก เหมือนกับว่า ผู้คนสมัยนี้อยากด่าทุกอย่างในโลก โดยไม่เสพสุนทรีย์อย่างอื่น นอกจากการด่าๆๆๆ โทษทุกอย่าง โดยที่ไม่มีความผิดของตัวเอง

ด้วยเครื่องมืออันง่ายดายและไร้ความรับผิดชอบ คือ โซเชียลมีเดีย แต่พอมีผู้เสียหายเกิดขึ้น โดยสามัญสำนึกวิญญูชน ก็ต้องฟ้องตำรวจ รอตำรวจส่งสำนวนอัยการ อัยการพิจารณาว่าจะส่งฟ้องศาลไหม ? ศาลรับมาแล้วจะตัดสินว่าควรส่งหมายให้มาขึ้นศาลไหม ?

ในโซเชียลมีเดีย พิมพ์ด่าได้ทุกวินาที และวินาทีละหลายคน แชร์ได้อีกทีละหลายพันหลายหมื่น แต่กระบวนยุติธรรมของเรา ต้องพิจารณาทีละคดี คดีนึงกว่าจะผ่านตำรวจ ซึ่งก็มีคดีท่วมหัว คดีสำคัญมีเป็นร้อยเป็นพัน แล้วมามีคดีคนด่ากัน นึกถึงใจตำรวจนะ เขาก็ไม่ไหว หรือถึงไหว ก็ส่งอัยการ อัยการก็กลับมาตอแย ขอน้ำหนักสำนวนให้ดีกว่านี้ กูจะได้ส่งให้ศาลท่านประทับรับฟ้องได้…

กว่าจะมีครุฑจากศาลไปถึงจำเลยได้ จากวันแรกที่เกิดเหตุ มาถึงวันที่ไอ้ปากมอมกลายเป็นจำเลย ใช้เวลาประมาณ 2-5 ปี มันด่าคน แค่สองนาที ก็ได้สองเคส ด่าไอ้โน่น ได้อีกสองเคส แต่แต่ละเคส กว่าจะตัดสินได้ก็ประมาณ 2 ปี

แต่…แต่…ช้าแต่…อย่าได้ลำพองไป

คดีหมิ่นประมาท จากนี้ไป ผู้เสียหายจะไม่ผ่านกระบวนการราชการอีกแล้ว เขาจะมีทนาย ทั้งทนายแพง และทนายฟรีผู้ซึ่งรักความเป็นธรรม แบ่งเบางานตำรวจ อัยการ ไปถึงศาลด้วยตัวเองเลย

ซึ่งขั้นตอนจะไวมากขึ้น จาก 2 ปี อาจจะเหลือ 2 เดือน ที่จะเอาคุณจำเลยมารับรางวัลที่ควรจะได้รับ แต่จริงๆ นะ… ถ้าเราไม่เริ่มด้วยการด่ากันแบบคะนองเหมือนเด็กๆ จะเสนอความเห็นอะไร ก็เสนอ มันก็จะไม่เปลืองแรงงานปัญญาของตำรวจ อัยการ ศาล… เพราะยุคนี้ คดีบุลลี่ไร้สาระ มันเปลืองแรงงานเจ้าหน้าที่เหลือเกิน

‘จีซู BLACKPINK’

เตรียมขาดตลาด!! ‘ขนมมะเขือเทศ’ แบรนด์ FF ขนมอบกรอบสุดฮิตในตำนานของคนไทย อร่อยถูกใจ ‘จีซู BLACKPINK’ ถึงขั้นโพสต์ลง IG งานนี้มีแววขายหมดเกลี้ยง!! 🍅✨
 

ผบ.ตร. สั่งเพิ่ม มอบ จเรตำรวจ ประสานข้อมูลสอบสวนกลาง เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี “ส่วยทางหลวง”พร้อมรับข้อมูลจากเอกชนทุกช่องทาง กำชับดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากพบตำรวจเกี่ยวข้องให้ลงโทษเด็ดขาด

วันนี้ (29 พ.ค. 66 ) พล.ต.ท. อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า “กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการติดสติ๊กเกอร์ที่รถบรรทุก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ามีการจ่ายเงินเจ้าหน้าที่เพื่อให้รถบรรทุกสามารถบรรทุกน้ำหนักเกินได้ หรือเป็นลักษณะ “ส่วยรถบรรทุก” ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้จเรตำรวจ ลงตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยเร่งด่วน ว่ามีข้าราชการตำรวจหน่วยใด กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร

พร้อมให้รายงานกลับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็ว โดยให้ประสานข้อมูลกับทางตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบหน่วยงานในสังกัดอีกทางหนึ่ง พร้อมรับข้อมูลจากสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนทุกช่องทาง ผบ.ตร.ได้กำชับให้ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา หากพบว่ามีข้าราชการตำรวจหรือบุคคลใดทุจริตในเรื่องดังกล่าว หรือเข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำผิดกฎหมาย

หรือให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ปล่อยปละละเลย ให้สืบสวนรวบรวมหลักฐานตามอำนาจหน้าที่ แล้วรายงานข้อเท็จจริงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการต่อไป หากพบว่าเกี่ยวข้องกับผู้ใด จะดำเนินการตามกระบวนการ ทั้งทางวินัย อาญา และปกครอง อย่างเด็ดขาดตามนโยบายด้วย”

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  “ผบ.ตร. ได้กำชับการปฏิบัติของตำรวจที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ ให้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ บังคับใช้กฎหมายกับผู้ขับขี่รถบรรทุกที่กระทำผิดกฎหมาย  และได้สั่งการเพิ่มเติมว่า พร้อมที่จะรับฟังข้อมูล พยานหลักฐาน เอกสารการร้องเรียนจากทุกภาคส่วน เพื่อดำเนินการกับขบวนการส่วยรถบรรทุกอย่างเด็ดขาด

โดยสามารถแจ้งข้อมูลมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง หมายเลข 1599 หรือ จเรตำรวจ ผ่านระบบ JCOMS

หรือแจ้งร้องเรียนเพิ่มเติมตามช่องทาง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 43 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 17 ต.ค.65  ในการร้องเรียนข้าราชการตำรวจประพฤติมิชอบ หรือได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการกระทำของตำรวจ หรือเห็นว่าตำรวจประพฤติไม่เหมาะสม เสื่อมเสียเกียรติของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ สามารถทำหนังสือร้องเรียน แจ้งไปยังคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.)

ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้ 1)ผู้ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติร่วมกันคัดเลือกหนึ่งคน 2)ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือเทียบเท่าขึ้นไป และได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการข้าราชการตุลาการหนึ่งคน 3)ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งระดับอัยการพิเศษฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป และได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการอัยการหนึ่งคน 4)ผู้ซึ่งเคยรับราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าขึ้นไปจำนวน 3 คน ที่ผ่านการคัดเลือกของ ก.ตร. 5)ทนายความซึ่งประกอบวิชาชีพทนายความมาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งสภาทนายความคัดเลือกมาหนึ่งคน 6)ผู้แทนระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบลจำนวนสองคน

ซึ่งที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนฯคัดเลือก โดยให้อย่างน้อยหนึ่งคนเป็นสตรี  คณะกรรมการ ก.ร.ตร. จะมีจเรตำรวจแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขาฯ

โดยเมื่อได้รับเรื่องแล้ว ก.ร.ตร.จะพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริง หากพบเป็นความผิดวินัยจะส่งให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษโดยเร็ว โดยไม่ต้องสืบสวนสอบสวนอีก แต่หากพบว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่จะส่งให้ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. แล้วแต่กรณีดำเนินการต่อไป
การร้องเรียนผ่าน ก.ร.ตร.จะเกิดความเป็นธรรม โปร่งใสในการตรวจสอบ ให้กับประชาชนตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ตำรวจฉบับใหม่  

โดยสามารถร้องเรียนได้ 5 ช่องทางด้วยกัน
1) ผ่านระบบ JCOMS รับร้องเรียนจเรตำรวจทางออนไลน์  http://www.jcoms.police.go.th
2) สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร.1599
3) ร้องเรียนด้วยตนเองที่สำนักงานจเรตำรวจ ที่อยู่ 701/701 ถ.รามอินทรา แขวงท่าแร้ง บางเขน  กรุงเทพมหานคร 10220 โทร.025098798
4) ส่งหนังสือมาถึง “ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบังคับการอำนวยการ สำนักงานจเรตำรวจ เลขที่  701/701 ถ.รามอินทรา แขวงท่าแร้ง บางเขน  กรุงเทพมหานคร 10220”
5) ร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดหน่วยโดยตรง
ทั้งนี้จเรตำรวจในฐานะเลขา ก.ร.ตร.จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป”

การเมืองไทย’ น่าเป็นห่วง เมื่อคนรุ่นใหม่เชิดชูแนวคิดสุดโต่ง หลงตัวเองว่าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน สุดท้ายจะกลายเป็นคนที่ไร้ราก

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ‘ผักกาดหอม’ คอลัมนิสต์ ได้เขียนบทความ ‘สุดโต่ง-สุดตรีน’ ที่กล่าวถึงประเด็นที่กลุ่มคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าในปัจจุบัน มีแนวคิดที่สุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนดูเหมือนจะเป็นการฝืนธรรมชาติ โดยเนื้อหาบทความระบุว่า…

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง FC พรรคเพื่อไทย เดินทางไปรวมตัวที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวออกมาจากการร่วมรัฐบาล

ทำไมเป็นงั้นล่ะครับ?

มิตรรักแฟนเพลงทุกพรรค อยากให้พรรคที่ตัวเองเลือกเป็นรัฐบาลกันทั้งนั้น มันมีเหตุผลอะไรให้ FC พรรคเพื่อไทยกลุ่มนี้ อยากให้พรรคที่รักไปเป็นฝ่ายค้าน

ไปดูข้อเสนอ 5  ข้อกันครับ

1.) ให้ทบทวนถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้
2.) ให้เกียรติพรรคอันดับ 1 ได้รวบรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลตามมารยาททางการเมือง
3.) ให้โหวตสนับสนุนแคนดิแดตนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคที่ได้อันดับ 1
4.) ให้โหวตสนับสนุนกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน
5.) ถ้าพรรคอันดับ 1 ไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ให้พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิในการเป็นพรรคอันดับ 2 รวบรวมเสียงข้างมาก เพื่อจัดตั้งรัฐบาลและนำนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชน มาผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป หรือแล้วแต่พรรคจะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น

เป็น 5 ข้อเสนอที่ลึกซึ้งทีเดียวครับ

ไม่เชี่ยวชาญการเมืองจริง ไม่มีทางเขียนข้อเสนอที่ซับซ้อนในการแสดงท่าทีแบบนี้ได้ โดยเฉพาะข้อ 3 ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับข้อ 1

FC กลุ่มนี้เก่งครับ วางเพื่อไทยไว้เหนือทุกพรรคการเมือง สปิริตสูงครับ แต่หลังฉากเป็นคนละเรื่องครับ กะกินรวบ เป็นเรื่องยากมากครับ ที่ก้าวไกลจะล็อบบี้ ส.ว. กว่า 60 คน ให้ช่วยโหวต ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น การที่เพื่อไทยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ จะได้ใจสีส้มไปเต็มๆ แต่ผลลัพธ์ คือ สิ่งที่ต่างออกไป

เพื่อไทยรู้ดีอยู่แล้ว เสียงสนับสนุน ‘พิธา’ เป็นนายกฯนั้นไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา การวางหมากถอยออกมาจากก้าวไกล และเริ่มจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอับดับ 2 คือ แผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

ที่มีข่าวว่าเริ่มได้กลิ่นตุตุ ก้าวไกล จะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน มันถูกกำหนดตั้งแต่หลังรู้ผลเลือกตั้งแล้ว

FC เพื่อไทยกลุ่มนี้มาช่วยโยนหินถามทางถึงหน้าพรรค ให้ทบทวน และถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ แต่ช่วยโหวตให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ เป็นทางออกที่ลงตัวที่สุด ถูกด่าน้อยที่สุด ใครจะบอกว่าทรยศหักหลังก็ไม่ได้ เพราะก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เอง

สอดคล้องกับการเดินสายพบปะผู้คนของว่าที่คณะรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ที่ไม่ได้รับเสียงตอบรับสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจที่มีคำถามว่า ‘พัฒนา’ หรือ ‘หายนะ’ ???

เช่น ‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงวิสัยทัศน์ตามตำราเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น แต่ประสบการณ์เชิงบริหารยังไม่มี วิสัยทัศน์จึงขาดๆ เกินๆ

ตัวดึงก้าวไกล อย่าง ‘อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ ก็สร้างปัญหาให้พรรคห่างจากการจัดตั้งรัฐบาลไปเรื่อยๆ

รู้อยู่แล้วว่า ม.112 คือ ‘จุดตาย’ ของก้าวไกล แต่กลับเอามาตอกย้ำให้เห็นถึงเป้าหมายที่แท้จริงของก้าวไกล ว่าไม่เคยลดราวาศอกแม้แต่นิดเดียว

‘อมรัตน์’ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กข้อความว่า

“ม.112 นี่ครอบคลุมถึงพระสยามเทวาธิราชด้วยรึเปล่า?”

คิดว่าคนโพสต์มีทัศนคติกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ม.112 อย่างไรครับ? ถึงได้เอาพระสยามเทวาธิราช มาล้อเล่นกับการเมือง พระสยามเทวาธิราชศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? ก็แล้วแต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ห้ามกันไม่ได้

แต่ ‘พระสยามเทวาธิราช’ มีที่มาที่ไป และผูกโยงกับความเป็นไทย

สยามตอนต้นรัตนโกสินทร์หวุดหวิดจะกลายเป็นอาณานิคมของฝรั่งตะวันตกอยู่หลายครั้ง แต่ก็รอดมาทุกครั้ง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยนี้มีเหตุการณ์หวิดๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญมีเหตุให้รอดพ้นภัยมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาไว้ จึงเห็นสมควรจะทำรูปเทพองค์นั้นขึ้นถวายสักการะบูชา

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ (พระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ 1) นายช่างสิบหมู่ ทรงปั้นรูปเทพองค์นั้นขึ้น แล้วหล่อด้วยทองทั้งองค์

ทรงถวายพระนามว่า ‘พระสยามเทวาธิราช’

คนไม่เชื่อก็มองว่าเป็นแค่ ‘ทองคำหล่อ’ มิได้มีความสำคัญต่อบ้านเมืองแต่อย่างใด

คนที่เชื่อ ก็รู้ครับว่าเป็น ‘ทองคำหล่อ’ แต่มีมูลค่าทางจิตใจเหลือคณานับ เป็นศูนย์รวมทางจิตใจยามที่ประเทศมีปัญหาไร้ซึ่งทางออก

จิตใจเป็นเรื่องสำคัญ หากประชาชนส่วนใหญ่มีจิตใจทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ปัญหาจะทุเลาเบาบางลง

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่สุด จะทำอะไรก็ได้ ไม่สนใจชาติ ศาสน์ กษัตริย์ การเสียสมดุลจะบังเกิด สุดท้ายจะกลายเป็นประชาชนที่ไร้ราก

ฉะนั้น ฝากไปถึงก้าวไกล ใช่ ส.ว.จะมองแค่เรื่องแก้หรือไม่แก้ ม.112 อย่างเดียว ท่าทีที่ไม่เป็นมิตร และก้าวร้าวต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทำกันมาต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ ส.ว.จะยกมือเลือกหรือไม่เลือก ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี

ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนักธุรกิจ นักลงทุน ที่เริ่มกลัวว่า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะก่อปัญหาเรื่องต้นทุนจนไม่อาจสู้ ประเทศเพื่อนบ้านได้

อ่านโพสต์ของ ‘นันทิวัฒน์ สามารถ’ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เรื่อง ‘Gang of 4’ แล้วอดคิดไม่ได้

“... สภาพการณ์การเมืองไทยตอนนี้ ยังอยู่ในขั้นยัน เป็นช่วงของการต่อรองเพื่อผลประโยชน์และความได้เปรียบทางการเมืองของนักการเมือง จะจบยังไงปล่อยวางไว้ก่อน น่าเป็นห่วงต่อแนวความคิดของกลุ่มวัยรุ่น ที่ถูกอ้างว่าเป็น ‘มวลชน’ ของคนก้าวหน้าที่นิยมความรุนแรง ชอบการข่มขู่ ขยันลงถนน แถมชื่นชมแนวคิดพ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงลูก ไม่ถือเป็นบุญคุณที่จะต้องตอบแทน ไม่ต้องนับถือผู้อาวุโสกว่าด้วยการเรียกขาน ‘ลุง ป้า น้า อา’ ให้ใช้สรรพนาม ‘คุณ ผม’ แทน

ประการสำคัญ ปลุกระดมต่อต้านให้ยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ที่ใช้ปกป้องสถาบันฯ อยากสะท้อนพัฒนาทางการเมืองของไทยในเวลานี้ คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในจีน ในยุคของการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน มีกลุ่มบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่พยายามที่จะยึดอำนาจการนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพยายามทำลายล้างคู่แข่งทางการเมือง กลุ่มนึ้ประกอบด้วย เจียงชิง เมียของประธานเหมาเจ๋อตุง จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวน และหวังหงเหวิน และถูกเรียกว่า ‘Gang of Four’ หนึ่งหญิงสามชาย เหมือนหรือคล้ายกับเมืองไทยหรือไม่?

ในช่วงปี 1966 – 1976 แก๊ง 4 คนของจีน ได้ตั้งกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด ที่มุ่งมั่นทำลายระบบความเชื่อเดิมๆ ของจีน ทำลายแนวคิดทุนนิยม รื้อเลิกระบบครอบครัว ให้เยาวชนเรดการ์ดตรวจสอบพ่อแม่ ลากพ่อแม่เอาแห่ประจานกลางเมืองในข้อหาเป็นนายทุนจักรวรรดินิยม รวมทั้ง เติ้งเสี่ยวผิง ที่ถือว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เป็นตัวแทนของการพัฒนาจีนให้ทันสมัย

แต่สุดท้ายแก๊งออฟโฟร์ถูกกำจัดและติดคุก ผู้นำแนวความคิดทุนนิยม คือ ‘เติ้งเสี่ยวผิง’ ได้กลับเข้ามามีอำนาจและพัฒนาประเทศจีนด้วยนโยบายสี่ทันสมัย ฟื้นฟูจีนกลับสู่วัฒนธรรมดั้งเดิม

อะไรที่มันสุดโต่ง ไปไม่รอดหรอก ฝืนธรรมชาติ…”

วันนี้เราเผชิญกับนักการเมืองสุดโต่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่สุดท้ายแล้ว พระสยามเทวาธิราช ยังคงคุ้มครองให้ประเทศไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ครับ

‘สฤณี’ นักวิชาการอิสระ ถูก ‘กัลฟ์’ ยื่นฟ้อง 100 ล้านบาท ปมหมิ่นประมาท ศาลนัดสืบพยาน 24 ก.ค. นี้

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนและนักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ ได้โพสต์ภาพหมายเรียกคดีแพ่งสามัญพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Sarinee Achavanuntakul – สฤณี อาชวานันทกุล’ ระบุว่า…

“เมื่อเช้านี้เจอหมายมาส่งหน้าบ้าน บริษัท Gulf Energy Development ฟ้องคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท จากเจ้าของเพจแล้วค่ะ

เท่าที่เข้าใจ อาจเป็นคนที่ไม่ใช่นักการเมืองคนแรกๆ ที่โดนบริษัทฟ้อง หลังจากที่บริษัทนี้ฟ้อง ส.ส. รังสิมันต์ โรม, ส.ส. เบญจา และหมอวรงค์ไปแล้วก่อนหน้านี้

ไว้มีรายละเอียดในทางคดีที่เล่าได้ จะมาเล่าความคืบหน้านะคะ”

สำหรับหมายเรียกดังกล่าวจากศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 โจทก์คือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดย เนติพงศ์ โฆมานะสิน ผู้รับมอบอำนาจ และมีฝ่ายจำเลยคือ สฤณี อาชวานันทกุล

ศาลได้กำหนดทำคำให้การแก้คดียื่นต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหมาย และนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 เวลา 13.30 น.

พร้อมกันนี้ สฤณีได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมกรณีการฟ้องจากโจทก์เดียวกันว่า มีการฟ้อง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ใน 2 คดี เมื่อปี 2564 ประเด็นดาวเทียม กับปี 2565 ประเด็นกล่าวหาว่าเขาจะผูกขาด

 

‘บิ๊กตู่’ ปัดรอ ‘ส้มหล่น’ จัดตั้ง รบ. ชี้!! ต้องเคารพกติกา ดักคอสื่อ อย่าตั้งคำถามเรื่องอนาคตทางการเมือง

(29 พ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองว่า หลายๆ อย่างก็ขอร้องให้ช่วยกัน อย่ามัวแต่ฟังเรื่องวุ่นๆภายในประเทศเราในขณะนี้ ฟังต่างประเทศเขาบ้างจะได้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน และต้องแก้กันอย่างไร

เมื่อถามว่า แต่สถานการณ์การเมืองที่วุ่นๆ ในขณะนี้ พัวพันมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีความพยายามที่จะโยงว่ารอส้มหล่นอยู่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “ส้มหล่น ส้มที่ไหนหล่น หล่นเรื่องอะไรล่ะ”

เมื่อถามย้ำว่า เป็นส้มหล่นทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับร้องเสียงดังว่า “ฮู้!! อย่ามาพูดการเมืองกับผม ผมไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร ผมก็อยู่ของผมอย่างนี้ ผมก็ทำหน้าที่ของผมให้เรียบร้อยแค่นั้น ก็เมื่อเขาส่งมอบให้ใครเป็น ก็เป็นไปสิ ไอ้ที่ว่าผมจะเป็น ผมจะเลิกอะไรต่างๆ ผมไม่ตอบอะไรสักนิด ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามกฎกติกา ตามกฎเกณฑ์ของเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ ก็ว่ากันไป”

เมื่อถามย้ำว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจริงๆ และตั้งรัฐบาลไม่ได้จริงๆ ท่านพร้อมหรือไม่? พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่ต้องมาถ้า อย่ามาถ้าผม ถ้าไม่ได้หรอก ไม่มีถ้า ก็เป็นเรื่องของอนาคตใช่หรือไม่ เพราะถ้าทางโน้น ก็ต้องมีถ้าตรงนี้ ถ้า 1 ถ้า 2 ถ้า 3 ถ้า 4 ฉันจะไปตอบเธอได้อย่างไรเล่า ใช่ไหม พอแล้ว โอเค”

เมื่อถามว่า มีโอกาสที่จะไปต่อหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์เดินออกจากโพเดียม พร้อมกล่าวว่า “ถ้า”

จับตา!! บรรดา ‘งูเห่า-อนาคอนดา’ ส่อแว้งฉก ‘เพื่อไทย’ อาจพลิกเกมหนุน ‘ลุงตู่’ คนเดิม หากผลประโยชน์ไม่ลงตัว

ผ่านมาได้ 20 วัน กระบวนท่าและขบวนทัพการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ ของ 8 พรรค 312 เสียง ยังดำเนินไป ซึ่งในวันที่ 30 พ.ค.นี้ จะมีการนัดเจรจาหารือกันที่พรรค 9 เสียง คือ ‘พรรคประชาชาติ’ ด้วยความเชื่อกันว่าบรรยากาศต่างๆ จะดีขึ้น หลังจาก ‘ประดาบ’ กันมา 2 สัปดาห์…

ถึงวันนี้จับความได้ว่า… สองพรรคใหญ่คือ ก้าวไกลกับเพื่อไทยยังตกลงปลงใจกันไม่ได้ว่า ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นของใคร… ขณะที่ข่าวการจัดตั้งรัฐบาลสูตร 14+1 ที่หมายถึง ก้าวไกลเอาไป 14 รัฐมนตรีกับ 1 นายกรัฐมนตรี เพื่อไทยเอาไป 14 รัฐมนตรีกับ 1 ประธานสภานั้น เชื่อกันว่า น่าจะถูกโยนออกมาจากฝั่งพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่จากฝั่งพรรคก้าวไกลอย่างแน่นอน เพราะวันนี้ ‘ด้อมส้ม’ ยังยืนกรานให้ก้าวไกลยึดเก้าอี้ประธานสภาไว้ให้มั่น…

อย่างไรก็ตาม ‘เล็ก เลียบด่วน’ ยังขอแทงหวยเหมือนเดิมว่า ประธานสภาจะเป็นของพรรคเพื่อไทย โดยมี ชลน่าน ศรีแก้ว คือ เต็งหนึ่ง, สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ คือ เต็งสอง, สุชาติ ตันเจริญ คือเต็งสาม…

แต่ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ยอม แล้วเกมไถลไปถึงขั้นฟรีโหวต รับรองพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้กิน โอกาสยังเป็นของพรรคเพื่อไทยอยู่ดี และดีไม่ดี เกมอาจพลิกไถลไปเป็นของอีกฝั่ง ดังนั้น ในที่สุดพรรคก้าวไกลก็คงต้องยอมพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยเองก็จะโอบอุ้มนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปถึงที่ประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตชิงนายกฯ ซึ่ง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้ฟันธงไปแล้วว่าเสียงโหวตพิธาจะไม่ถึง 376 เสียง… สอบไม่ผ่าน…

เมื่อพิธาสอบไม่ผ่าน ไปไม่ถึงดวงดาว โอกาสก็เป็นของพรรคเพื่อไทยที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุด สูตรหลักก็คือ จับมือข้ามขั้วกับภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา… ยอมถูกด่าว่าผสมพันธุ์กับพรรคลุง… มุ่งหน้าทำงานสร้างผลงานทดแทนเสียงด่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตาเป็นพิเศษในพรรคเพื่อไทยยามนี้ ก็คือทิศทางความเป็นไปของพรรค หลังจากพรรคพ่ายแพ้หมดรูปเหลือ 141 เสียง แยกเป็น ส.ส.เขต 112 บัญชีรายชื่อ 29 สายข่าว รายงานว่า แนวคิดของปีกคนรุ่นใหม่ที่นำโดย ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั้น ต้องการให้ยกเครื่องพรรคครั้งใหญ่ ซึ่งตามแนวทางจะกระเทือนกับบรรดาผู้เฒ่าชแรแก่ชราในพรรคกันโดยทั่วถ้วน

ดังนั้น วาระนี้บรรดาซุ้มบ้านใหญ่ ส.ส.ผู้เฒ่าทั้งหลายโดยเฉพาะ 70 กว่าคนจากภาคอีสาน คงจะสำแดงเดช ต่อรองผลประโยชน์กันเต็มแม็กซ์… และหากพรรคไม่ตอบสนอง โอกาสที่จะเกิดการรวมตัวรวมมุ้ง พลิกเกมไปหนุนขั้วรัฐบาลเดิม ก็อาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

ดูเหมือนว่า ‘เดอะเต้น’ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงกิตติมศักดิ์ของพรรคเพื่อไทยจะจับสัญญาณและส่งสัญญาณได้ชัดกว่าใครเพื่อน ว่าขณะที่ฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค ต้องการอีก 65 เสียงเพื่อให้ผ่าน 376 เสียง ฝ่ายอนุรักษ์หรือขั้วรัฐบาลเดิม 118 เสียง ต้องการอีกเพียง 62 เสียง เพื่อให้ครบ 250 เสียงเพื่อพลิกเกมจัดตั้งรัฐบาล ได้ 250 เสียง ส.ส.เมื่อไหร่ บรรดา ส.ว.250 คนก็พร้อมจะโหวตหนุนให้เป็นนายกฯ และตั้งรัฐบาล… ดีไม่ดี นายกฯ คนนั้นอาจจะชื่อ “ประยุทธ์” ณ รวมไทยสร้างชาติ คนเดิม....

ตามไทม์ไลน์ที่ ดร.วิษณุ เครืองาม กางเอาไว้นั้น คือ วันที่ 25 ก.ค. จึงจะถึงวันเลือกประธานสภา เดือนหน้า มิ.ย.และต้นเดือน ก.ค. ก็ทยอยรับรองผลเลือกตั้งไปเรื่อยๆ วันไหนที่มีการรับรองผลและไปรายงานตัวเรียบร้อย วันนั้นแหละ บรรดา ส.ส.ของแต่ละพรรคจะสำแดงฤทธิ์เดช… โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของพรรคเพื่อไทย หากจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว ดังกล่าวมา อะไรก็เกิดขึ้นได้..ปรากฎการณ์งูเห่าอาจจะน้อยไป อาจจะถึงขั้นอนาคอนดากันเลยทีเดียว.. หมอมิ้งค์,หมอชลน่าน,บิ๊กอ้วน,คุณอุ๊งอิ๊ง… โปรดอย่ามองข้ามความปลอดภัยเป็นอันขาด สิบอกให้!!

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

‘WHAUP’ ดีล ‘ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์’ เซ็นติดตั้ง ‘โซลาร์รูฟท็อป’ เฟส 2 เร่งเพิ่มกำลังผลิต ตอกย้ำศักยภาพการเป็นผู้นำโซลาร์บนหลังคา

(29 พ.ค. 66) บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘WHAUP’ เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) เฟสที่ 2 ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 4.80 เมกะวัตต์ รวมเป็น 24.24 เมกะวัตต์ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 3 บนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ด้าน นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ในโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) เฟสที่ 2 ที่มีขนาดการผลิตไฟฟ้า 4.80 เมกะวัตต์ ต่อกับ ปริ๊นซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2567 โดยเฟสที่ 2 มีการติดตั้ง Solar Rooftop บนพื้นที่หลังคาโรงงานขนาด 40,000 ตารางเมตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อ WHAUP นับตั้งแต่ที่ได้ย้ายฐานการผลิตมาตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 3 บนพื้นที่ 285 ไร่ เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา และยังเป็นพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้ดำเนินการโครงการโซลาร์บนหลังคาขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 24.24 เมกะวัตต์ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการให้บริการติดตั้ง Solar rooftop แบบครบวงจรของ WHAUP โดยโครงการทั้ง 2 เฟสนี้สามารถช่วยให้ลูกค้าลดการปล่อย CO2Offset ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 445,251 ตัน ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี

"เชียงราย" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ประสานความร่วมมือรัฐฉานประเทศเมียนมา รุดช่วยเหลือหญิงไทยถูกล่อลวงไปทำงานท่าขี้เหล็ก"

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมาจากกรณีได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือติดตามบุคคลถูกหลอกลวงไปทำงานฝ้งประเทศเมียนมารายนางสาว วาสนา ศรีชุม ถูกกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อชักชวนให้ไปทำงานที่สถานบันเทิงKTVจังหวัดท่าขี้เหล็กฝั่งประเทศเมียนมาผ่านทางแอปพลิเคชั่นTIKTOKแต่เมื่อเดินทางไปถึงฝั่งจัวหวัดท่าขี้เหล็กประเทศเมียนมากลับถูกเอเจนซี่หลอกขายให้กับกลุ่มนายทุนจีนใน

เขตเศรษฐกิจพิเศษรัฐฉานประเทศเมียนมาหลักจากได้รับการประสานพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร.จึงได้มอบหมายให้พล.ต.ท.พนัญชัย ชื่นใจธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทางการเมียนมาเพื่อให้ความช่วยเหลือในการพาผู้ร้องขอความช่วยเหลือกลับมายังประเทศไทยเป็นการเร่งด่วนจากกรณีดังกล่าวพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวน ศพดส.ตร.ร่วมกับ ตม.จว.เชียงราย ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายและ

สภ.แม่สายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานกับทางการเมียนมาเพื่อขอความอนุเศราะห์ในการให้ความช่วยเหลือกับเหยื่อรายนี้เพื่อพากลับมายังประเทศไทยโดยปลอดภัยเมื่อวันที่26พฤษภาคม2566 ศพดส.ตร.ได้ทำการตรวจสอบพิสูจน์ทราบเป้าหมายสถานที่ที่นางสาววาสนา ศรีชุม ถูกกักตัวพบว่าพิกัดสถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองปางซางรัฐฉานประเทศเมียนมาเป็นพื้นที่อยู่นอกเหนือการดูแลของเจ้าหน้าที่เมียนมาแต่อยู่ในเขตของกองกำลังกลุ่มว้าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร.ได้ใช้กลไกความร่วมมือประสานไปยังกลุ่มดังกล่าวให้เข้าทำการช่วย

เหลือเป็นกรณีเร่งด่วนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ13.00นของวันที่27พฤษภาคม2566ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประสานรับตัวนางสาววาสนา หรือแพนเค้ก ศรีชุม กลับประเทศไทยผ่านทางช่องทางสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสายแห่งที่1อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายเป็นผลสำเร็จพล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่าการประสานงานให้ความช่วยเหลือคนไทยจากประเทศเมียนมาในครั้งนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างทางการไทยและทางการเมียนมาจนสามารถช่วย

เหลือหญิงไทยรายดังกล่าวกบับมาได้สำเร็จจากนี้ก็จะให้เข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อหากพบว่าไม่ได้เป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ก็จะให้มีการดำเนินคดีตามกฏหมายโดยเด็ดขาดต่อไปทั้งนี้ขอฝากความหว่งใยไปยังประชาชนที่กำลังหางานทำขอให้มีการพิจารณาผู้รับสมัครงานและรายละเอียดของงานให้ดีเพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อกลุ่มคนร้ายที่หลอกลวงคนไปทำงานผิดกฏหมายต่อไป 

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม ไทย สมายล์ กรุ๊ปพรัอมคณะมอบข้าวสาร และน้ำดื่ม จำนวน 100 ชุดให้แก่โรงเรียนวัดบางน้ำชน

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม ไทย สมายล์ กรุ๊ป และทีมงาน ผู้ให้บริการโครงข่ายขนส่งมวลชนสาธารณะพลังงานไฟฟ้า ด้วยรถเมล์โดยสารและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า (ไทย สมายล์ บัส และ ไทย สมายล์ โบ้ท) ได้มอบข้าวสาร และน้ำดื่ม จำนวน 100 ชุด ให้แก่ นายวชิ ณ สาเกตนคร ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบางน้ำชน ซึ่งเป็นตัวแทนนักเรียน ผู้ปกครองโรงเรียนวัดบางน้ำชน รวมถึงพี่น้องในชุมชนวัดบางน้ำชน ณ หอประชุมหลวงพ่อทอง โรงเรียนวัดบางน้ำชน ถนนเจริญนคร แขวงสำเหร่ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

บริษัทฯ มีนโยบายมุ่งเน้นการดำเนินงานด้านมวลชนสัมพันธ์ พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือในด้านการพัฒนาต่างๆของบริษัทฯ ระหว่างชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก กลุ่มบริษัท ไทย สมายล์ กรุ๊ป เชื่อว่า "การแบ่งปัน" จะช่วยให้ทุกการเดินทางมีแต่ "รอยยิ้ม" ตามคอนเซปต์ของบริษัทฯ นั่นเอง

ทั้งนี้ บริษัท ไทย สไมล์ บัส จำกัด ได้ดำเนินโครงการต่างๆเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อให้สังคม และประชาชน ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป ติดตามข่าวสาร บริการ และกิจกรรม ต่างๆได้ที่ https://thaismilebus.com หรือ Tel : 02-113-1019//


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top