Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

9 ร้านอาหารไทย ติดโผ 50 ร้านยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ปี 2023 ผ่านการจัดอันดับโดย The World's 50 Best Restaurants

ประเทศไทยกวาด 9 ร้าน จาก 50 อันดับร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2023 ซึ่งประกาศโดยเว็บไซด์ The Worlds 50 Best Restaurants จะมีร้านอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!!

อันดับที่ 1 ของเอเชีย : Le Du
‘Le Du’ พยายามไต่อันดับสู่ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียมาตั้งแต่ปี 2560 จนมาถึงจุดสูงสุดในปี 2566 ด้วยฝีมือของเชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เชฟเจ้าของร้านอาหารนำเสนออาหารไทยสมัยใหม่ชั้นเลิศตามวัตถุดิบของประเทศ มรดกทางการเกษตรที่ไม่ธรรมดาและเทคนิคการทำอาหารที่มีอายุหลายศตวรรษ - และรูปแบบอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้นักวิจารณ์และนักชิมจากทั่วทั้งทวีปประทับใจ

พิกัด 399/3 Silom Soi 7, Bangrak, Bangkok 10500, Thailand
Contact : https://www.instagram.com/ledubkk/
โทร. +66 092 919 9969

อันดับที่ 3 ของเอเชีย : Nusara
‘นุสรา’ ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่เปิดตัวในปี 2563 โดยเสิร์ฟอาหารไทยต้นตำรับที่มีการพลิกโฉม ซึ่งสะท้อนถึงการปรับปรุงสูตรอาหารของครอบครัวและประเพณีการทำอาหารของเชฟให้ทันสมัย นุสรา ชิมอาหาร 12 คอร์สผ่านอาหารว่างที่สลับซับซ้อน เช่น ปลาแมคเคอเรลกับมะพร้าวและแตงกวา หอยเชลล์ฮอกไกโดกับข้าวโพดหวานและไข่แดง ซุปต้มยำกุ้ง รวมถึงแกงกะหรี่ปูอันเป็นเอกลักษณ์ที่นำเสนอบนใบพลูกรุบกรอบพร้อมไข่แมงดาทะเล จากนั้นมีคอร์สสไตล์ครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่ Bumbai Neua แก้มเนื้อนุ่มในแกงกะหรี่สไตล์บอมเบย์พร้อมแตงกวาดอง อาหารแต่ละจานมีสีสันสดใสพอ ๆ กับถ้วยชามที่สวยงามที่เสิร์ฟ

พิกัด 22 Maha Rat Road, Phra Borom Maha Ratchawang, Phra Nakhon, Bangkok 10200, Thailand
Contact : https://www.instagram.com/nusarabkk/?hl=en
โทร. +66 97 293 5549

อันดับที่ 5 ของเอเชีย : Gaggan Anand
‘Gaggan Anand’ เชฟผู้รักสังคมแบบกัลกัตตาปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ ของเขา ซึ่งได้รับการโหวตให้เป็นที่ 1 ใน 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียเป็นประวัติการณ์ถึง 4 สมัย ตั้งแต่ปี 2558-2561 ในเดือนสิงหาคม 2562 ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เขาได้เปิดร้านรูปแบบใหม่ของ ร้านอาหารที่มีชื่อแตกต่างกันเล็กน้อยในพื้นที่ใหม่ซึ่งปกคลุมด้วยใบไม้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพฯ หลังจากเปิดตัวในอันดับที่ 5 ในปี 2021 และได้รับรางวัล Highest New Entry Award ก็ผ่านช่วงเวลาของการปิดชั่วคราว แต่ก็กลับมาพร้อมกับการกลับมาติดอันดับ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2023

พิกัด 68 Sukhumvit 31, Khlong Tan Nuea, Watthana, Bangkok 10110, Thailand 
Contact : https://www.instagram.com/gaggan_anand/?hl=en
โทร. +66 98 883 1022

อันดับที่ 9 ของเอเชีย : Sorn
ไอซ์ ศุภักษร จงศิริ เชฟผู้มีอุปการะคุณของศรเติบโตมาคลุกคลีกับการทำอาหารปักษ์ใต้ของคุณยาย ไอซ์จึงไม่ได้แค่ทำอาหารปักษ์ใต้เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนรสชาติและความทรงจำที่เขาได้พบเจอกับวัฒนธรรมทางใต้ที่หลากหลายให้กลายเป็นอาหารแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใคร กระบวนการคิดของเขาช่างเหลือเชื่อและเครื่องปรุงของเขาก็ระเบิดออกมาโดยไม่ประนีประนอมกับความร้อนของพริกและเครื่องเทศ

‘ศร’ ถูกกล่าวหาว่า เป็นร้านอาหารที่จองยากที่สุดในประเทศไทย และหนึ่งในเหตุผลที่ดีว่าทำไมร้านถึงให้บริการไร้ที่ติ ทีมงานหน้าร้านได้รับการฝึกฝนให้สื่อสารเรื่องราวและความทรงจำที่เชฟใส่ลงไปในอาหารทุกจานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะได้รับแรงบันดาลใจจากความรักและความหลงใหลในภาคใต้ของไอซ์

พิกัด 56, Sukhumvit 26, Bangkok 10110, Thailand 
Contact : https://www.instagram.com/sornfinesouthern/
โทร. +66 099 081 1119

อันดับที่ 22 ของเอเชีย : Sühring 
‘Sühring’ ได้รับการออกแบบให้ดูเหมือนบ้าน ร้านอาหารตั้งอยู่ในย่านที่เงียบสงบใจกลางกรุงเทพฯ มีพื้นที่รับประทานอาหาร 4 แบบ ได้แก่ เรือนกระจกที่มองเห็นสวนเขียวขจี และครัวแบบเปิดที่ผู้รับประทานอาหารสามารถชมเชฟทำอาหารได้ ในช่วงที่เกิดโรคระบาด ทีมงานได้ปรับปรุงพื้นที่ด้วยผ้าปูที่นอนและจานชามใหม่ และสร้างระยะห่างระหว่างห้องรับประทานอาหารหลักสองห้องมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะสำหรับแขก

พิกัด No. 10, Yenakat Soi 3, Yannawa, Chongnonsi, 10120 Bangkok, Thailand 
Contact : https://www.instagram.com/restaurant_suhring/
โทร. +66 0 2107 2777

อันดับที่ 33 ของเอเชีย : Ms. Maria & Mr. Singh 
‘Ms. Maria & Mr Singh’ เปิดตัวใน 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียในปี 2566 หลังจากเปิดตัวในปี 2563 Ms. Maria & Mr Singh เป็นร้านอาหารอินเดียผสมเม็กซิกันบรรยากาศสบายๆ จาก Gaggan Anand เชฟและเจ้าของร้านแห่งเดียวที่ครองตำแหน่งผู้นำ รายการตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2018 ร้านอาหารได้ย้ายไปยังตำแหน่งใหม่ในเดือนมีนาคม 2023 โดยมีพื้นที่โต๊ะสำหรับเชฟและครัวแบบเปิดที่คึกคักซึ่งดำเนินการโดยมือขวาของ Anand เชฟ Rydo Anton
.
พิกัด 2nd Floor of Gaggan Anand Restaurant, 68 Sukhumvit 31, Sukhumvit Road, Klongton-Neu, Wattana, Bangkok 10110, Thailand 
Contact : https://www.instagram.com/mariaandsingh/?hl=en
โทร. +66 91 698 6688

อันดับที่ 35 ของเอเชีย : Potong
‘โปตง’ ได้รับรางวัลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดในปี 2564 เป็นร้านอาหารชั้นเลิศในอาคารหลายชั้นแคบๆ จากเชฟพิชญา 'แพม' อุทานธรรม เสิร์ฟเมนูอาหารไทย-จีนนวัตกรรมใหม่ 20 คอร์สใจกลางไชน่าทาวน์ของกรุงเทพฯ

อาหารที่ Potong ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบทั้ง 5 ได้แก่ เกลือ กรด เครื่องเทศ เนื้อสัมผัส และ Maillard ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางเคมีของน้ำตาลรีดิวซ์ที่ก่อให้เกิดรสชาติที่โดดเด่น ความเอร็ดอร่อยเริ่มต้นด้วยเนื้อสัตว์ที่ทำเองและส้มแมนดารินที่เป็นสัญลักษณ์ ก่อนจะผ่านหอยนางรมกับปลาหมึกดำและไข่มุกดำ และขาเป็ดไทย-จีนกับพริกไทยเสฉวน การชิมจะนำผู้รับประทานอาหารผ่านความทรงจำและอารมณ์ในการทำอาหารของเชฟแพม

พิกัด 422 Vanich Road, Bangkok, 10100, Thailand 
Contact : https://www.instagram.com/restaurant.potong/?hl=en
โทร. +66 82 979 3950

อันดับที่ 38 ของเอเชีย : Raan Jay Fai
ในเมนูคุณจะพบกับอาหารไทยริมทางที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน พลาดไม่ได้กับผัดขี้เมาทะเล – ซีฟู้ดผัดขี้เมาทะเลที่ผัดแบบแห้งกรอบเป็นพิเศษ – หรือที่ทุกคนต้องลองอย่าง ไข่เจียวปู้ ไข่เจียวปูสูตรดังของเจ๊ฝ้ายที่มีไข่ปูขนาดใหญ่ถึง 600 กรัม เนื้อปูขาวสดคุณภาพดีที่สุด แม้ว่าราคาอาจสูงกว่าพ่อค้าเร่รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่วัตถุดิบสุดหรูของร้านร้านเจ๊ไฟรับประกันประสบการณ์การทำอาหารที่น่าจดจำบนถนนในกรุงเทพฯ

พิกัด 327 Maha Chai Rd, Samran Rat, Phra Nakhon, Bangkok 10200, Thailand 
Contact : https://www.instagram.com/jayfaibangkok/?hl=en
โทร. +66 2 223 9384

อันดับที่ 46 ของเอเชีย : Baan Tepa
ได้รับอิทธิพลมาจากช่วงเวลาของเธอที่บลูฮิลล์ที่สโตนบาร์นส์ เชฟและเจ้าของร้านตามชุดารี เทพคำ ได้สร้างประสบการณ์ร้านอาหารและสวนในกรุงเทพฯ ที่สนับสนุนผลผลิตในท้องถิ่นและความหลากหลายทางชีวภาพของไทย Baan Tepa เปิดให้บริการในปี 2563 มีห้องรับประทานอาหารแบบครัวเปิด โต๊ะสำหรับเชฟ และสวนอาหารออร์แกนิกที่ผู้เข้าพักสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและเครื่องเทศในท้องถิ่นก่อนนั่งรับประทานอาหาร

เมนูชวนชิม 9 คอร์สของบ้านเทพาจะพานักชิมเดินทางไปทั่วประเทศ เริ่มจากอาหารว่างจากภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง เข้าคอร์สอย่างหมึกดำผัดตะไคร้ ปูนิ่มไข่ปลา แกงแกะเครื่องดอง

พิกัด 2369 Ramkhamhaeng Rd, Hua Mak, Bang Kapi District, Bangkok 10240, Thailand 
Contact : https://www.instagram.com/baantepabkk/?hl=en
โทร. +66 98 696 9074

‘นนอ.กฤตวัฒน์ สุอุทัย’ นร.ทุนกองทัพอากาศ จบการศึกษาจากสหรัฐฯ ได้รับเลือกเป็นนายทหารเกียรติศักดิ์ และหัวหน้ากองพันที่ 1 แห่ง ‘USAFA’

(3 มิ.ย. 66) รายงานข่าว จากกองทัพอากาศเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.66 ที่ผ่านมา โรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐอเมริกา (United States Air Force Academy : USAFA) จัดพิธีจบการศึกษาของนักเรียนนายเรืออากาศสหรัฐอเมริกา รุ่นที่ 2023 โดยในปีนี้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา เดินทางมาเป็นประธานในพิธีและร่วมแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษาด้วยตนเอง สำหรับการเดินทางมาเป็นประธานในพิธีจบการศึกษาของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นการหมุนเวียนกันในแต่ละปีระหว่างโรงเรียนนายร้อยทหารบกสหรัฐฯ (The United States Military Academy หรือ Westpoint) โรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ (United States Naval Acdemy) และโรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐฯ (United States Air Force Academy)

ซึ่งในปีนี้ เป็นวงรอบการเป็นประธานในพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนนายเรืออากาศฯ นอกจากประธานาธิบดี โจ ไบเดนแล้ว มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ มาร่วมเป็นเกียรติในการแสดงความยินดีกับผู้จบการศึกษาซึ่งประกอบด้วย นายแฟรง แคนดอล Secretary of the Air Force, พล.อ.อ.ชาร์ล บราวน์ จูเนียร์ Chief of Staff of the Air Force, พล.อ.อ.แชนซ์ ซอลท์แมน Chief of Space Force ถือว่าเป็นพิธีจบการศึกษาที่ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูง

สำหรับผู้จบการศึกษาของโรงเรียนนายเรืออากาศสหรัฐฯ ในปีนี้มีจำนวนทั้งหมด 921 คน ประกอบด้วยนักเรียนต่างชาติ 12 คน และหนึ่งในนั้นคือ นักเรียนนายเรืออากาศ กฤตวัฒน์ สุอุทัย ซึ่งเป็นนักเรียนทุนของกองทัพอากาศ

นักเรียนนายเรืออากาศ กฤตวัฒน์ สุอุทัย เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 58 และเป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นที่ 65 เกิดเมื่อ 10 พ.ค. 2542 อายุ 24 ปี นนอ.กฤตวัฒน์ฯ เข้ารับการศึกษาระดับปริญญาตรี ณ United States Air Force Academy ในสาขา Computer Science and Cyber Science โดยมีเกียรติประวัติระหว่างการศึกษา นนอ.กฤตวัฒน์ฯ มีความสนใจในการบินและได้เข้าร่วมชมรมนักบินเครื่องร่อนของโรงเรียน จนมีความชำนาญและได้เป็นครูสอนการบินเครื่องร่อนให้กับนีกเรียนรุ่นต่อมา โดยทำการสอนศิษย์การบินเครื่องร่อนรวมทั้งสิ้น 117 เที่ยวบิน นอกจากนี้ นนอ.กฤตวัฒน์ฯ ยังได้รับเลือกเป็นนายทหารเกียรติศักดิ์ (Honor Officer) และหัวหน้ากองพันที่ 1 (Squadron 1 Commander) ขณะศึกษาในชั้นปีที่ 4 ถือเป็นเกียรติประวัติอันสำคัญยิ่งของนักเรียนทุนจากกองทัพอากาศ

‘United States Air Force Academy’ ถือเป็นสถานบันผลิตนายทหารหลักของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นสถาบันที่ผลิตผู้นำชั้นแนวหน้าอย่างเช่น พล.อ.อ.ชาร์ล บราวน์ จูเนียร์, Chief of Staff of the Air Force ผู้ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้ดำรงตำแหน่ง ‘Chairman of the Joint Chiefs’ คนต่อไป ซึ่งนับเป็นตำแหน่งสูงสุดทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ ทั้งนี้กองทัพอากาศไทยได้คัดเลือกนักเรียนนายเรืออากาศเข้ารับการศึกษาในสถาบันแห่งนี้ทุกปี โดยสหรัฐฯ เสนอที่นั่งให้กับนักเรียนนายเรืออากาศของไทยปีละ 1 ที่นั่ง ซึ่งนักเรียนนายเรืออากาศที่ได้รับการคัดเลือกจากกองทัพอากาศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างชื่อเสียงและแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ ทั้งด้านการศึกษาและความเป็นทหารได้อย่างดีเยี่ยม ได้รับความไว้วางใจจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในการให้ที่นั่งศึกษาในทุกๆ ปี

‘เสธหิ’ เตือน!! ‘ก้าวไกล’ อย่าใช้กระแสโซเชียลบริหารประเทศ แนะ ว่าที่นายกฯ ต้องรู้จักวางตัว เพราะสถานการณ์เปลี่ยนได้ตลอด

(3 มิ.ย. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร.หิมาลัย’ ถึงรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ว่ามีมุมมองความคิดเห็นอย่างไร โดย ดร.หิมาลัย ได้กล่าวแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล ที่ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และได้กล่าวว่า รูปแบบในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ มีความแตกต่างจากที่ผ่านๆ มา เนื่องจากที่ผ่านมา พรรคแกนนำจะต้องทำการติดต่อประสานไปหาพรรคร่วมรัฐบาล และมีส่งผู้ใหญ่ของพรรคแกนนำไปเชิญพรรคร่วมมาเจรจาพูดคุยกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเป็นการให้เกียรติพรรคร่วม และในระหว่างการเจรจาพูดคุยกัน ก็จะไม่มีการออกสื่อ ส่วนมากการดำเนินการค่อนข้างที่จะเป็นความลับ เพราะว่าจะต้องมีการพูดคุย การต่อรองกันในการจัดสรรดูแลกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบประชาธิไตย คือ เน้นความชำนาญ ใครเก่งด้านไหน ก็ให้ดูแลกระทรวงนั้นๆ ตามความเชี่ยวชาญกันไป ซึ่งวิธีการดำเนินการจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย และไม่ก่อให้เกิดความกดดัน

แต่การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนึ้ นับเป็นมิติใหม่ อาจจะด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ของพรรคแกนนำ ตนอาจจะเป็นคนรุ่นเก่า เพราะคนรุ่นเก่า เวลาจะทำอะไร จะค่อนข้างระมัดระวังในการให้ข่าว และให้เกียรติผู้ที่มาร่วมงานกับเราเสมอ

“ผู้ที่เป็นว่าที่นายกฯ ในอดีต หากสังเกตดู ทุกคนจะยังไม่ออกตัวว่าจะเป็นว่าที่นายกฯ ทุกคนจะบอกว่า ต้องรอดูความชัดเจนต่างๆ ก่อน เพราะ ณ ขณะนี้ ยังอยู่ในห้วงเวลาที่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ที่ผ่านมาจะไม่มีใครกล้าประกาศออกตัวอย่างชัดเจนว่าจะเป็นว่าที่นายกฯ แต่ครั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างที่ผมเห็นก็คือ การใช้โซเชียลในการดำเนินการต่างๆ ที่มีผลอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเชิญพรรคร่วม หรือการแถลงข่าวต่างๆ ผ่านสื่อ ผ่านโซเชียล ซึ่งผมมองว่าเป็นบริบทใหม่ของสังคมคนรุ่นใหม่ ที่มีต้องการแสดงความชัดเจนให้ประชาชนได้เห็น ในเรื่องการจัดสรรกระทรวง ทบวง กรม ว่าใครจะเป็นผู้ดูแลบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็น มองในแง่ดี ก็อาจจะเป็นความเหมาะสมในเรื่องของกาลเวลาที่มันเปลี่ยนไป ในอดีต วัฒนธรรมในเวลานั้น ความรู้สึกของผู้คนในสมัยนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมาะสม แต่ในวันนี้ ก้าวเข้าสู่ยุคของคนรุ่นใหม่ที่เป็นยุคของความทันสมัย และความรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้อาจจะเหมาะสมกับเขาในเวลานี้ก็ได้ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือ การประกาศออกสื่อในการเตรียมตัวจัดตั้งรัฐบาลในลักษณะอย่างนี้ มันเหมือนกับการไปบีบบังคับพรรคร่วม ให้ยอมรับในเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็อาจมองได้ 2 มุม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ได้ เพราะทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย” ดร.หิมาลัย กล่าว

เมื่อถามว่า คิดว่า ‘พิธา’ ออกตัวแรง แซงโค้งไปหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า ที่ผ่านมา คนที่จะเป็นว่าที่นายกฯ นั้น ค่อนข้างที่จะถนอมตัว แบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ได้เปิดตัวชัดเจนแบบนี้ รวมถึงพรรคอันดับ 2 ที่ได้คะแนนเสียงห่างกันไม่มาก ผมว่าประเทศในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก พรรคอันดับ 2 มักจะตั้งรัฐบาลแข่งกันทั้งนั้น

เมื่อถามว่า พรรคเสียงข้างน้อยในระบอบประชาธิปไตย ตั้งรัฐบาลได้หรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในระบอบรัฐสภา ประชาธิปไตย พรรคที่ได้เสียงข้างน้อย หากสามารถรวมเสียงได้มาก ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในประเทศไทยรวมถึงหลายประเทศทั่วโลกก็เคยมีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น หรืออังกฤษ ในประเทศไทยเอง สมัยก่อนก็เคยมีมาแล้ว อย่างเช่นในสมัยของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้คะแนนเสียงเพียง 18 เสียง แต่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิดในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อถามว่า การที่ก้าวไกล แสดงเจตนารมณ์อย่างนี้ เป็นการสร้างกระแสหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า…

“ผมมองว่า หากเราเริ่มต้นที่จะบริหาร และปกครองประเทศด้วยการใช้กระแสนำเมื่อไรก็ตาม ย่อมน่าเป็นห่วงในหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง เพราะในกระแสเหล่านั้น มีผู้คนที่รับสื่อ รับข่าวสารต่างๆ ไม่ครบถ้วน ในบางครั้งอาจอยู่ที่การโปรโมต การทำการตลาด เพื่อให้เป็นไปในทิศทางตามที่ตัวเองต้องการ หากเราเริ่มต้นการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการบีบบังคับพรรคร่วมโดยการใช้กระแสนำ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะหากบริหารประเทศโดยการใช้กระแสนำอย่างเดียว นั่นอาจหมายถึงความไม่รอบคอบ หรืออาจเกิดข้อผิดพลาดจนสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติได้ในอนาคต”

เมื่อถามถึง หลักเกณฑ์ที่ควรใช้ในการเลือกตำแหน่งประธานสภา ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องขึ้นอยู่กับเสียงส่วนมาก แต่ในเรื่องของการเลือกประธานสภานั้น ตนมองว่าควรจะต้องเลือกบุคคลมีความอาวุโส หรือเป็นบุคคลที่ในรัฐสภาให้ความเคารพนับถือ นอกจากนี้ ประธานสภาควรเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับ ผ่านการเป็น ส.ส.มาหลายสมัย มีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องของกฎข้อบังคับ และสามารถแก้ไขเหตุการณ์ในขณะประชุมสภา เพราะในการประชุมสภา มักจะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ประธานสภาจึงจำเป็นต้องเป็นบุคคลที่สามรถควบคุมสถานการณ์ได้ หากคนที่มาดำรงตำแหน่งประธานสภาคนต่อไปได้รับความเคารพจากสมาชิกฯ น้อย ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายในการประชุมสภาได้ แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การไม่ได้มองความสำคัญในเรื่องของความอาวุโส การให้ความเท่าเทียมกับทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิด เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องรอดูบริบทกันต่อไป

เมื่อถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับตำแหน่งประธานสภา ว่าจะต้องเป็นของพรรคก้าวไกล ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในความคิดเห็นของตนนั้น เป็นเรื่องของรัฐสภา หากใครรวมคะแนนเสียงส่วนมากได้ตามกฎข้อยังคับของสภาฯ ก็ควรต้องได้รับการบรรจุตำแหน่งเป็นประธานสภา

เมื่อถามว่า ตำแหน่งประธานสภา จะทำให้เกณฑ์การเมืองเปลี่ยนหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า…

“ผมมองว่า จริงๆ แล้วก็อาจจะสามารถดึงเกมได้ ขนาดการจัดตั้งรัฐบาลยังจัดตั้งผ่านโซเชียล ทุกอย่างชัดเจนหมด กระแสโซเชียลสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ก็ไม่เห็นจะต้องไปกลัวการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเลย”

‘รศ.อัศวิณีย์’ หวั่น สถานศึกษากลายเป็นที่บ่มเพาะความแตกแยก สอนเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยวิธีเผด็จการ อ้างสิทธิเพื่อละเมิดผู้อื่น

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย 66 รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง อดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ ภาควิชาศิลปะไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘Asawinee Wanjing’ ถึงเรื่องการให้ความสำคัญกับสถานศึกษา ก่อนจะกลายเป็นแหล่งบ่มเพราะเผด็จการในคราบนักประชาธิปไตย สร้างความแตกแยกให้ประเทศชาติบ้านเมือง โดยระบุว่า…

“วันใดที่การศึกษา เป็นเพียงสถานสร้างวิชา ละเลยคุณธรรม บ่มเพาะความก้าวร้าว พัฒนาการต่อต้าน สร้างความแตกแยก ชี้นำคำลวง ให้โกหกกลายเป็นถูก สอนเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยวิธีเผด็จการ สนับสนุนใช้อำนาจกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ให้สิทธิเสรีภาพในการละเมิดผู้อื่น ใครใคร่ละเลยปล่อยเยาวชนตกเป็นเครื่องมือ บำเรอความใคร่อุดมการณ์ จินตนาตนเป็นนักสู้ ผู้สอนแอบหลังเด็กบังหน้า อ้างวิชาการ ไปปะทะและทำลาย ใครหมดความหมายย้ายคนใหม่ ทนอยู่ได้ อยู่รักษาตัวให้รอดเป็นยอดดี

ผู้บริหารปิดตา ไม่มอง ไม่รู้ ไม่ดู ไม่เห็น ไม่ฟัง ไม่ได้ยิน เพื่อไม่เดือดร้อน เพราะภาระงานมาก เร่งทำ Ranking หารายได้บริหารงบ ปล่อยแกนนำนักศึกษาจะนำไหนก็นำไป ขอให้จ่ายครบจบส่งออก คืนปัญหาสู่สังคม ไปกัดเซาะโครงสร้าง สถาบันแตกร้าว สุดท้ายพุพองในบ้าน ให้ครอบครัวคอยเยียวยา เมื่อนั้นคือ ความอัปยศทางการศึกษา เข้าสู่กลียุคอย่างแท้จริง

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะให้ความสำคัญกับสถานศึกษา ก่อนจะกลายเป็นแหล่งบ่มเพราะสร้างปัญหา การละเลยเห็นประกายไฟเป็นเรื่องเล็กน้อยปล่อยให้ลุกลาม สุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรเลย

‘รถไฟฟ้าสายสีเหลือง’ รถไฟฟ้าโมโนเรลสายแรกของไทย ลดต้นทุนด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ เปิดให้บริการฟรี 1 เดือน!!

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte’ ในหัวข้อ “ว้าววว...รถไฟฟ้าสายสีเหลือง โมโนเรลสายแรกของไทย” ระบุว่า…

น่าดีใจที่วันนี้ (3 มิ.ย. 66) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดให้ประชาชนทดลองใช้รถไฟฟ้าสายสีเหลืองฟรีเป็นเวลา 1 เดือน หลายคนสงสัยว่าทำไมรถไฟฟ้าสายสีเหลืองต้องเป็นโมโนเรล ?

1.) ทำไมต้องเป็นโมโนเรล ?
โมโนเรล (Monorail) คือรถไฟฟ้า แต่เป็นรถไฟฟ้าที่วิ่งคร่อมรางโดยใช้รางเดี่ยว หรืออาจจะแขวนห้อยอยู่ใต้รางก็ได้ แต่ที่นิยมใช้กันมากก็คือ แบบคร่อมราง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นผู้กำหนดว่า โครงข่ายรถไฟฟ้าเส้นทางใด ควรใช้รถไฟฟ้าประเภทไหน โดยพิจารณาจากการคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร หากเส้นทางใดคาดว่าจะมีผู้โดยสารมาก สนข. ก็จะใช้รถไฟฟ้าขนาดหนัก ซึ่งมีความจุมากกว่า ดังเช่น รถไฟฟ้า BTS หรือ รถไฟฟ้า MRT เป็นต้น

สำหรับสายสีเหลือง สนข. คาดว่าจะมีผู้โดยสารไม่มากจึงเลือกใช้โมโนเรล ซึ่งมีความจุน้อยกว่า หากเลือกใช้รถไฟฟ้าขนาดหนักก็จะเป็นการลงทุนเกินความจำเป็น สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ โดยทั่วไปวงเงินลงทุนโมโนเรลจะถูกกว่ารถไฟฟ้าขนาดหนักประมาณ 40%

2.) ถึงวันนี้รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ มีกี่ประเภท?
มี 3 ประเภท ได้แก่

(1) รถไฟฟ้าขนาดหนัก มี 5 สาย ประกอบด้วย สายสีเขียว สีน้ำเงิน แอร์พอร์ตลิงก์ สีม่วง และสีแดง

(2) รถไฟฟ้า APM (Automated People Mover) มี 1 สาย คือ สายสีทอง APM เป็นรถไฟฟ้าไร้คนขับ ใช้ล้อยางวิ่งบนพื้นคอนกรีตโดยมีรางเหล็กวางอยู่ตรงกลางระหว่างล้อซ้ายขวาเพื่อช่วยนำทาง เลี้ยววงแคบและไต่ทางลาดชันได้ดี กินพื้นที่น้อยเนื่องจากใช้โครงสร้างขนาดเล็ก APM เป็นที่นิยมใช้ในพื้นที่ที่มีผู้โดยสารไม่มาก โดยเฉพาะในสนามบินเพื่อขนผู้โดยสารเครื่องบินไปมาระหว่างเทอร์มินัลกับเทอร์มินัล หรือระหว่างเทอร์มินัลกับอาคารเทียบเครื่องบินรอง (อาคารรอขึ้นเครื่องบิน) ดังเช่นที่ใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อขนผู้โดยสารเครื่องบินระหว่างเทอร์มินัล 1 กับอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1

(3) โมโนเรล มี 2 สาย ประกอบด้วยสายสีเหลือง และสายสีชมพู (ยังไม่เปิดให้บริการ) เป็นรถไฟฟ้าไม่ใช้คนขับเช่นเดียวกับ APM ใช้ล้อยางวิ่งบนรางคอนกรีต (หรือรางเหล็ก) เพียงรางเดียว เลี้ยววงแคบและไต่ทางลาดชันได้ดี กินพื้นที่น้อยเนื่องจากใช้โครงสร้างขนาดเล็ก โมโนเรลเป็นที่นิยมใช้ในพื้นที่ที่มีผู้โดยสารไม่มากเช่นเดียวกัน แต่มักนิยมใช้ขนผู้โดยสารไปป้อนให้กับรถไฟฟ้าขนาดหนักที่สามารถขนผู้โดยสารได้มากกว่า พูดได้ว่าใช้โมโนเรลสำหรับรถไฟฟ้าสายรองเพื่อขนผู้โดยสารไปป้อนให้รถไฟฟ้าสายหลัก ดังเช่นรถไฟฟ้าสายสีเหลืองซึ่งเป็นโมโนเรลที่ขนผู้โดยสารริมถนนลาดพร้าวไปป้อนให้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT) ที่สถานีลาดพร้าว

3.) ใครเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง?
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ร่วมกับพันธมิตรเป็นผู้ชนะการประมูล โดยชนะ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เนื่องจาก BTSC ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิจาก รฟม. (เงินสนับสนุนจาก รฟม. ลบด้วย เงินตอบแทนให้ รฟม.) โดย BTSC ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 22,087.06 ล้านบาท ในขณะที่ BEM ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิ 157,721.81 ล้านบาท หรือ BTSC ขอรับเงินสนับสนุนสุทธิจาก รฟม. ต่ำกว่า BEM มากถึง 135,634.75 ล้านบาท BTSC จึงคว้าชัยชนะไป โดย BTSC ได้รับสิทธิ์ในการบริหารจัดการเดินรถเป็นเวลา 30 ปี

4.) ถ้าโมโนเรลเสีย ผู้โดยสารต้องทำอย่างไร?
ในกรณีฉุกเฉิน ผู้โดยสารจะต้องลงจากโมโนเรลไปที่ทางเดินระหว่างรางทั้งสอง (รางขาไปและขากลับ) ทางเดินเป็นตะแกรงเหล็กกัลวาไนซ์เพื่อให้ผู้โดยสารเดินไปสู่สถานีที่ใกล้ที่สุด ความสูงจากพื้นโมโนเรลถึงทางเดินเกือบ 2 เมตร ดังนั้น จะต้องลงทางบันไดที่พาดจากประตูโมโนเรลไปที่ทางเดิน บันไดดังกล่าวจะถูกเก็บไว้บนรถและบนทางเดินตลอดทาง ส่วนผู้โดยสารที่ใช้วีลแชร์จะต้องช่วยกันอุ้มลงมาที่ทางเดินแล้วเข็นไปที่สถานี

5.) สรุปและข้อเสนอแนะ
(1) โมโนเรลไม่ใช้คนขับ แต่ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาด หรือข้อบกพร่องที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ (Human Error) ได้ ทำให้มีความปลอดภัยสูง แต่การไม่ใช้คนขับทำให้ต้องลงทุนงานระบบควบคุมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวจะช่วยทำให้ค่าใช้จ่ายในการประกอบการเดินรถถูกลง

(2) โมโนเรลใช้ล้อยาง ไม่ใช่ล้อเหล็ก เพื่อลดเสียงดังและการสั่นสะเทือนที่สร้างความรำคาญต่อผู้อยู่อาศัยริมทาง มีความนุ่มนวลในการขับขี่ดีกว่า และช่วยให้สามารถเร่งความเร็วหรือเบรกได้อย่างรวดเร็วในระยะทางสั้นๆ ทำให้ขบวนรถไฟฟ้าสามารถวิ่งต่อเนื่องใกล้ๆ กันได้

(3) เพื่ออำนวยความสะดวก ประหยัดเวลา และลดค่าเดินทางให้ผู้โดยสาร รฟม. ควรพิจารณาต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจากสถานีลาดพร้าว บริเวณทางแยกรัชดา-ลาดพร้าว วิ่งบนถนนรัชดาภิเษกไปเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีรัชโยธิน ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียวได้แบบไร้รอยต่อ เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วขึ้น

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน ประกาศพร้อมลงถนน ไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพื่อเอื้อสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 โดยระบุว่า…

“ผมไม่ยอมแน่ๆ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ผมพร้อมจะลงถนนทันที พรรคก้าวไกลต้องการจะคุมกระทรวงกลาโหม เพื่อทำให้ทหารอ่อนแอ ลดงบประมาณทหาร ลดกำลังพล ผมไม่นึกเลยว่า ผมอายุขนาดนี้แล้ว จะเจอความเลวทรามต่ำช้าของคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ หากเห็นด้วยกับผม กระจายคำพูดของผมออกไปหาแนวร่วม ถามทุกคนว่า หากไม่อยากให้มีสงคราม บอกไปเลยว่า พรรคก้าวไกล จะเป็นคนนำสงครามเข้ามา นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดในประเทศไทยตอนนี้”

เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้โพสต์ข้อความแจ้งเกี่ยวกับ การปิดเส้นทางการจราจรงาน Pride Parade 2023

เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ได้โพสต์ข้อความแจ้งเกี่ยวกับ การปิดเส้นทางการจราจรงาน Pride Parade 2023 โดยมีใจความว่า ...

กทม.แจ้งปิดการจราจรบางเส้นทางวันนี้ งาน Pride Parade 2023 
เนื่องด้วยกิจกรรม Pride Parade 2023 จะมีการปิดการจราจร ถนนพระรามที่ 1 ขาออก ‘ฝั่งโลตัสพระรามที่ 1 ถึงเซ็นทรัลเวิลด์’ ในวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายนนี้ ตั้งแต่เวลา 14.00-18.00 น. (หรือจนกว่าขบวนพาเหรดจะแล้วเสร็จ)

กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ Bangkok Pride เริ่มต้นเฉลิมฉลองเทศกาลเดือนแห่งความภาคภูมิใจในความหลากหลายทางเพศ ด้วยขบวน #PrideParade2023 ซึ่งจะมีการเคลื่อนขบวนจากหอศิลปกรุงเทพฯ ผ่านศูนย์การค้าสยาม (สยามดิสคัฟเวอรี สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน) และสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

โดยจะมีการปิดการจราจรถนนพระรามที่ 1 เฉพาะฝั่งขาออก และปิดการจราจรแยกปทุมวันช่วงละ 10 นาที เพื่อสลับให้ขบวนพาเหรดเดินผ่าน ทั้งนี้ถนนพระรามที่ 1 ฝั่งขาเข้า หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สยามสแควร์วัน มุ่งหน้าสนามกีฬาแห่งชาติ ยังสัญจรได้ตามปกติ
กรุงเทพมหานคร จึงแนะนำให้ผู้ที่จะสัญจรผ่านในวันและบริเวณดังกล่าวโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทาง และรณรงค์ให้ผู้ที่จะเดินทางมาร่วมงานรวมถึงบริเวณโดยรอบใช้ขนส่งสาธารณะ ซึ่งสามารถใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ หรือ สถานีสยาม หรือรถประจำทางอีก 27 สาย ที่ยังคงให้บริการตามปกติ  

ส่วนประชาชนที่ใช้บริการป้ายหน้าเทคโนฯ ปทุมวัน, หอศิลปฯ, สยามเซ็นเตอร์ และ วัดปทุมฯ กรุงเทพมหานครได้ส่งแผนหลีกเลี่ยงเส้นทาง (ตามรูป) ไปยังผู้เดินรถสาย 15 16 25 40 47 48 54 73 79 204 501 508 และ 1-63 เพื่อให้ประชาชนเปลี่ยนไปใช้บริการได้ที่ป้ายใกล้เคียงจุดเดิมมากที่สุด  
ทั้งนี้ ระยะเวลาและเส้นทางการจราจรอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมของสถานการณ์  

‘พงษ์ภานุ’ วอน ภาครัฐฯ-สมาคม เร่งแก้ไขวงการกีฬาไทย แนะ เพิ่มงบหนุนเพื่อต่อยอดอุตฯ กีฬา สร้างรายได้ให้ประเทศ

(4 มิ.ย. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้พูดคุยในประเด็น ‘โอกาสและแนวทางในการพัฒนากีฬาไทย’ ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2566 โดยได้ให้มุมมองถึงเหตุผลที่วงการกีฬาไทยยังไปไม่ถึงดวงดาว รวมถึง ‘มวยไทย’ มรดกทางกีฬาและศิลปะวัฒนธรรมของชาติไทย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกมุมโลก แต่เหตุใดยังเทียบชั้นเทควันโดของเกาหลี หรือยูโดของญี่ปุ่นได้ในระดับสากลไม่ได้? และเพราะเหตุใด? มวยไทยถึงยังไม่ได้รับบรรจุเข้าเป็นชนิดกีฬาในโอลิมปิก

เมื่อพูดถึงการพัฒนาทางด้านกีฬาของประเทศไทยนั้น มีเป้าหมายหลักๆ อยู่ 3-4 ประการด้วยกัน คือ พื้นฐาน มวลชน เหรียญทองเป็นเลิศ อาชีพ และอุตสาหกรรม ได้แก่

เป้าหมายที่ 1 คือ อยากให้เด็กไทย ได้รับการศึกษาทางด้านพละศึกษาที่ถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างถูกต้อง รู้จักชนิดของกีฬา และเล่นกีฬาเป็น

เป้าหมายที่ 2 คือ อยากให้คนไทยหันมาใส่ใจการออกกำลังกายให้มากขึ้น

เป้าหมายที่ 3 คือ อยากให้นักกีฬาไทย ได้เหรียญทองเยอะๆ จากมหกรรมการแข่งขันกีฬาต่างๆ ระหว่างประเทศ สร้างทีมชาติ สร้างนักกีฬาให้มีความสามารถ

เป้าหมายที่ 4 คือ อาชีพ และอุตสาหกรรม อยากให้นักกีฬาไทยที่เป็นมืออาชีพ ได้รางวัลเยอะๆ ได้งบสนับสนุนเยอะๆ สามารถที่จะอยู่กับอาชีพนักกีฬา เป็นฐานการใช้ชีวิต

เป้าหมายที่ 5 คือ การพัฒนาศักยภาพวงการกีฬา จนสามารถต่อยอดไปถึงอุตสาหกรรมการกีฬาได้ในอนาคต

นายพงษ์ภาณุ ยังกล่าวต่อว่า วงการกีฬาไทยนับได้ว่าพัฒนาขึ้นระดับหนึ่ง หลังจากมีการปรับบทบาทและเพิ่มวงเงินกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติเมื่อปี 2558 โดยมีแหล่งรายได้จากภาษีบาปปีละกว่า 4,000 ล้านบาท ฟุตบอลไทยลีกกลายเป็นลีกฟุตบอลชั้นนำของเอเชีย นักกอล์ฟหญิงไทยขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก ธุรกิจการกีฬามีรายได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่พัฒนาอย่างไรก็ไปไม่ถึงดวงดาวเสียที คนไทยมีสัดส่วนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตำ่มากเมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก ทีมนักกีฬาไทยมีผลงานได้เหรียญแค่ที่สองในซีเกมส์ที่พนมเปญ ถูกเวียดนามทิ้งห่างทั้งๆที่เวียดนามใช้เงินรัฐฯ อุดหนุนไม่ถึงครึ่ง

ประเด็นต่อมาคือ ‘มวยไทย’ ซึ่งถือเป็นมรดกชาติและศิลปะวัฒนธรรมไทย และเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกมุมโลก แต่ในระดับสากลยังเทียบชั้นไม่ได้กับเทควันโดของเกาหลี หรือยูโดของญี่ปุ่น วันนี้มวยไทยยังไม่ได้รับบรรจุเข้าเป็นชนิดกีฬาในโอลิมปิก ด้วยเหตุที่วงการมวยไทยขาดเอกภาพและไม่มีมาตรฐานกลาง ที่เป็นที่ยอมรับสภาพวงการกีฬาไทย วันนี้สะท้อนการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งในระดับรัฐบาลและสมาคมกีฬา เงินพัฒนากีฬาซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากและมาจากภาษีอากรของประชาชน มีการบริหารจัดการที่ด้อยธรรมาิบาล สมาคมกีฬาขาดความโปร่งใสและการตรวจสอบบัญชีที่เป็นที่ยอมรับ การใช้เงินจึงขาดประสิทธผลและผลงานนักกีฬาไทยไม่เป็นตามคาดหวังทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค

“คงต้องฝากรัฐบาลใหม่แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ก่อนที่กีฬาไทยจะตกต่ำและเงินภาษีจะสูญเสียไปกว่านี้ รัฐฯ ต้องเสริมสร้างการกำกับดูแลสมาคมกีฬาให้มี Corporate Governance ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ การพัฒนากีฬาในเชิงพาณิชย์ตามแนวทางของสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมพัฒนากีฬาอย่างเต็มที่ โดยให้สิ่งจูงใจที่เหมาะสมและจัดโครงสร้างการร่วมลงทุนแบบ PPP ที่มีการกระจายความเสี่ยงและภาระค่าใช้จ่ายที่สมดุล” นายพงษ์ภาณุ กล่าวทิ้งท้าย

‘เจ้าสั่วสหพัฒน์’ เผย ห่วงนโยบายขึ้นค่าแรง ว่าที่รัฐบาลใหม่ หวั่น ผู้นำบริหารงานไม่เป็น อาจทำประเทศ เป็นเหมือนยูเครน

‘เจ้าสัวสหพัฒน์’ ให้การบ้านรัฐบาลใหม่เร่งพัฒนาเศรษฐกิจ เผยเป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของ ‘ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่’ หวั่นทำนักลงทุนย้ายฐานการผลิต ยันไม่ติดใจหากประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อย เชื่อสถานการณ์ความมั่งคงของไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ห่วงผู้นำประเทศบริหารงานไม่เป็น อาจกลายเป็นเหมือนยูเครน

เมื่อไม่นานมานี้ รายงานข่าวแจ้งว่า นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ยอมรับว่าเป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 450 บาท ของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากหากค่าแรงพุ่งสูงอาจส่งผลให้นักลงทุนเบนเข็มย้ายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เช่น อุตสาหกรรมเสื้อผ้า ที่ถึงแม้ไม่ได้ขึ้นค่าแรงก็มีการย้ายออกไปที่เวียดนามแล้ว อีกทั้งการขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

ส่วนนโยบายการทลายทุนผูกขาดและเก็บภาษีความมั่งคั่ง ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบต่อความมั่นใจของผู้ประกอบการ เรื่องนี้นายบุณยสิทธิ์มองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะเป็นแนวทางที่เหมือนกันทั้งโลก ส่วนการที่พรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรคตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 7 คณะ และหนึ่งในปัญหาที่จะแก้คือเรื่องเศรษฐกิจ มองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ยังไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาในรูปแบบใด ขณะที่การตั้งรัฐบาลที่อาจจะมีความล่าช้า มองว่าไม่น่ากังวลและไม่กระทบต่อการลงทุน และคิดว่าประเทศไทยยังดีกว่าประเทศอื่น

พร้อมกันนี้ ได้ฝากการบ้านไปยังว่าที่รัฐบาลใหม่ คือ เร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้คนมีการศึกษา ให้คนมีงานทำ เช่น การพัฒนาด้านการเกษตรให้มีราคาสูงขึ้น คนที่ทำการเกษตรก็จะมีรายได้เทียบเท่ากับคนที่ทำอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไม่มีคนว่างงาน ตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าเกษตรลดลง คนก็จะหนีจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร และก็จะมีปัญหาเรื่องค่าแรงอีก ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุด

นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จะมีไอเดียแบบใหม่ ทำอะไรเร็วขึ้น ส่วนคนที่มีอายุมากก็จะมีความรอบคอบ แต่อาจทำงานช้า เพราะฉะนั้นถ้ามีคนรุ่นใหม่มาก็จะเป็นจุดเด่น ในต่างประเทศก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนรุ่นใหม่ รวมถึงบางประเทศก็มีผู้หญิง ทั่วโลกก็มีการเปลี่ยนแปลง จึงเชื่อว่าเรื่องอายุไม่เกี่ยวอะไร อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศในปีนี้เปรียบเสมือนขับรถหรูรถมัสแตง แต่ยังต้องให้ความสำคัญและระวังภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่การทำธุรกิจในยุคนี้ต้องรู้จักปรับตัว โดยบริษัทเอกชนก็สามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาก็พร้อมที่จะร่วมมือ และปรับตัวเช่นกัน

“ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกของการทำธุรกิจปีนี้ คือความมั่นคงของประเทศ ส่วนสถานการณ์การเมืองของไทย เข้าใจว่าเมืองไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ผมห่วงคนผู้นำประเทศบริหารไม่เป็นและทำให้เป็นเหมือนประเทศยูเครน” นายบุณยสิทธ์กล่าว

‘ดร.เสรี’ เตือน ‘ฝ่ายอนุรักษ์นิยม’ อย่าคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ชี้!! ตราบใดที่ยังแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอยู่อย่างนี้ จะแพ้เลือกตั้งทุกครั้ง

เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 66 ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยระบุว่า…

“ตราบใดที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมยังแบ่งเป็นหลายพรรคอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ เลือกตั้งอีกกี่ครั้งกี่ทีก็จะพ่ายแพ้กับฝ่ายตรงกันข้าม ที่นำเสนอผลประโยชน์มากมาย

คนกลุ่มหนึ่งก็เสพติดประชานิยม คิดแต่จะเอาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่สนใจว่าคนที่นำเสนอนโยบายประชานิยมทำร้ายประเทศชาติแค่ไหน

อีกกลุ่มหนึ่ง ก็อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง คิดแต่จะเปลี่ยน แต่จะเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่สนใจรายละเอียดว่าจะเปลี่ยนไปทางดีหรือทางร้าย

ประกอบกับคนนำเสนอการเปลี่ยนก็หน้าตาดี พูดเก่ง นำเสนอผลประโยชน์ (ที่ทำจริงไม่ได้) มาหลอกล่อให้คนเลือก คนที่อยากได้สิ่งที่เขานำเสนอก็เลือกคนที่เลือก 2 พรรคนี้ เขาไม่คิดมากหรอกค่ะ เขาตั้งใจจะเลือกของเขา ไม่สนใจว่าพรรคอื่นจะนำเสนออะไร เขาปักใจ ยังไงก็เลือกพรรคที่เสนอผลประโยชน์ที่โดนใจ

ส่วนคนที่ไม่เอา 2 พรรคนี้ มีพรรคให้เลือกหลายพรรค แต่ละพรรคก็มีข้อเสนอดีๆ มีคนดีๆ มานำเสนอเป็นผู้แทน สุดท้ายก็เลือกกันแบบเบี้ยหัวแตก แบ่งคะแนนกันเอง

หลายพื้นที่ เมื่อเอาคะแนนฝ่ายอนุรักษ์นิยมทุกพรรคมารวมกัน คะแนนมากกว่า 2 พรรคที่ได้ ส.ส. มากเป็นที่ 1 และที่ 2 รวมกัน
.
ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พรรคการเมืองเสนอจะให้ ประชาชนเชื่อข้อเสนอ พอใจ อยากได้ สื่อช่วยเชียร์ ในที่สุดพวกเขาก็ชนะ และจะชนะตลอดไป

พูดเรื่องแบ่งคะแนนกันมาตั้งแต่ปี 2548 ไม่มีใครฟัง เลือกตั้งทุกครั้ง พรรคประชานิยมชนะถล่มทลาย และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

เมื่อไหร่จะคิดได้กันเสียทีนะ ถ้ายังคิดกันไม่ได้ ทั้งนักการเมืองและประชาชนผู้ลงคะแนนเลือก ก็อย่าหวังว่าจะชนะคนที่เขากล้าสัญญาว่าจะให้สวัสดิการเกินจริงเลยนะคะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top