Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

อาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ตัวตึงเรื่องสถาบันกษัตริย์ ผู้ก่อตั้งเพจ ‘รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง’

รองศาสตราจารย์ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เป็นนักวิชาการ นักเขียน นักรัฐศาสตร์และอดีตนักการทูตชาวไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการมีอยู่ของ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย’ ผ่านรายการ วีโอเอไทย ในหัวข้อ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ตัวตึงเรื่องสถาบันกษัตริย์’ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2565 ว่า…

“เนื้อแท้ของปวิน คือ รอยัลลิสต์ ผมอยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่ แต่การที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงสนับสนุนให้มีการปฏิรูป เพราะผมอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับสังคมไทย แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ ไม่มีโมเมนต์ไหนเลยที่ผมคิดว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่จำเป็นต่อประเทศไทยแล้ว”

‘THG’ จับมือ ‘OR’ เปิดให้บริการ ‘พรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก’ ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร นำร่องที่แรกในปั๊มน้ำมันพีทีที

แพทย์หญิงวรีรัตน์ ยมจินดา รองประธาน พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ และรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ‘THG’ เปิดเผยว่า พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ ผู้ให้บริการทางการแพทย์ด้านการดูแลสุขภาพถึงบ้านแบบองค์รวม โดยโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ในเครือ THG ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด (PTTRM) ในเครือ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จัดตั้ง ‘พรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก’ คลินิกให้บริการด้านสุขภาพแบบองค์รวมในสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น โดยนำร่องเปิดสาขาแรก ณ ร้านจิฟฟี่ สถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น สาขารามอินทรา 2

‘พรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก’ สามารถให้บริการทั้งในรูปแบบออนไซต์ (Onsite) และ ออนไลน์ (Online) อาทิ บริการเจาะเลือด ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ทำแผล ตรวจคัดกรองโควิด ATK และ RT-PCR ฯลฯ รวมถึงให้บริการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านระบบออนไลน์ (Online) ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ตลอดจนให้บริการสุขภาพอื่นๆ ตามความต้องการของผู้ใช้บริการ

ทั้งนี้ บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด (PTTRM) เป็นผู้บริหารสถานีบริการพีทีที สเตชั่น-จิฟฟี่ ซึ่ง THG เล็งเห็นถึงศักยภาพภายในพื้นที่สถานีบริการที่มีความเหมาะสม ทั้งความสะอาด สะดวก ปลอดภัย เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งตั้งอยู่บนถนนสายหลักใกล้แหล่งชุมชน ประชาชนเข้าถึงง่าย นำมาต่อยอดให้บริการการแพทย์ในรูปแบบใกล้บ้าน ซึ่ง ‘พรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก’ เปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิดด้านสุขภาพของชุมชน อีกทั้งสามารถเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพได้สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาในการเดินทาง สิ่งสำคัญ คือ ความปลอดภัยของคนในชุมชน

อนึ่ง หากผู้ที่มาใช้บริการมีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง หรือ มีความจำเป็นส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ พรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก ก็จะมีโรงพยาบาลในเครือ THG อาทิ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง โรงพยาบาลธนบุรี โรงพยาบาลธนบุรี ทวีวัฒนา (โรงพยาบาลธนบุรี 2) ให้การสนับสนุนรองรับในส่วนนี้ หรือ หากผู้ป่วยต้องการการดูแลต่อเนื่องในที่พักอาศัย ก็จะมี พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ พร้อมให้บริการ

สำหรับ ‘พรีเมียร์ เฮลท์ คลินิก’ โครงการนำร่องสาขาแรก ณ สถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น สาขารามอินทรา 2 ตั้งอยู่บนถนนประดิษฐ์มนูธรรมก่อนเลี้ยวเข้าถนนรามอินทรา สามารถให้บริการชุมชนโดยรอบครอบคลุมพื้นที่กว่า 10 กิโลเมตร เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 9.00-19.00 น. และมีแพทย์ทั่วไปประจำทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00-12.00 น. พร้อมกันนี้โครงการจะเดินหน้าพัฒนาและวางแผนในการขยายคลินิกทั้งในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ ทั่วกรุงเทพมหานคร ตลอดจนจังหวัดหลักๆ ทั่วประเทศต่อไป

‘เทมาเส็ก’ ตัดเงินเดือนผู้บริหาร เหตุธุรกิจคริปโตเจ๊งยับ หลังร่วมลงทุนกับ FTX สูญเงิน 275 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!!

เทมาเส็กโฮลดิงส์ กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ได้ประกาศตัดเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจลงทุนใน FTX แพลทฟอร์มซื้อ-ขายเงินคริปโตชื่อดังที่ล้มละลายไปเมื่อช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ที่ทำให้เทมาเส็กสูญเงินมากถึง 275 ล้านเหรียญสหรัฐ 

แม้จะมีการไต่สวน แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ อดีตประธานผู้บริหาร และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง FTX โดยสำนักอัยการกลางสหรัฐ ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการฉ้อโกงเงินของนักลงทุนจากทั่วโลกนับพันล้านดอลลาร์ แต่สุดท้ายศาลได้ตัดสินว่า แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ ไม่มีความผิด

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เทมาเส็ก ได้พิจารณาแล้วว่า ทีมผู้บริหารระดับอาวุโส และ ทีมวิเคราะห์การลงทุนของบริษัทมีส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกันในการตัดสินใจร่วมลงทุนกับ FTX  ด้วยการถูกตัดเงินเดือน

ทั้งนี้ เทมาเส็ก ไม่ได้ระบุอัตราเงินเดือนที่จะถูกลดเป็นจำนวนเท่าใด แต่คณะกรรมการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรู้สึกผิดหวังกับการลงทุนครั้งนั้น และยังส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเทมาเส็กอย่างมาก

ครั้งหนึ่ง FTX ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแพลทฟอร์มเทรด เงินคริปโตที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในตลาดการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เคยมีมูลค่าการซื้อขายรายวันสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของ.โลกมาแล้ว โดยเทมาเส็กได้ตัดสินใจร่วมลงทุนกับ FTX ถึง 2 ครั้ง ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 เป็นเงิน 210 ล้านเหรียญ และเพิ่มอีก 65 ล้านเหรียญในเดือนมกราคม 2565

ด้านผู้บริหารกองทุนเทมาเส็ก แย้งว่าได้ใช้เวลาประเมินธุรกิจการซื้อขาย แลกเปลี่ยนเงินคริปโตมานานถึง 8 เดือน รวมถึงตรวจสอบบัญชีการเงินที่แสดงผลประกอบการที่มีกำไรของ FTX ก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งถ้าหากเทียบกับมูลค่าของกองทุนเทมาเส็กในเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.98  แสนล้านเหรียญ ก็จะพบว่าเงินที่นำไปลงทุนใน FTX มีสัดส่วนที่น้อยมาก เพียงแค่ 0.09% เท่านั้นที่แทบไม่ส่งผลต่อกำไรโดยรวมของบริษัท

แต่ทว่า ลอเรนซ์ หวัง รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ไม่คิดเช่นนั้น เพราะการสูญเงินใน FTX กระทบกับชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของเทมาเส็ก ที่เป็นกองทุนของรัฐบาล ซึ่งก็คือเงินออมของชาติ ที่ชาวสิงคโปร์คาดหวังว่ารัฐบาลจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่า และมีอนาคตที่ดี 

แต่ความผิดพลาดจากการลงทุนใน FTX เกิดจากความมั่นใจในธุรกิจด้านเทคโนโลยี และทรัพย์สินดิจิทัลที่มากเกินไป ว่าจะเป็นเทรนของโลกธุรกิจการเงินยุคใหม่ เทมาเส็กจึงกระโดดลงไปร่วมลงทุนตั้งแต่แรกๆ แม้จะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงแต่ก็เชื่อมั่นในผลตอบแทนที่มากกว่าในอนาคต แต่สุดท้ายกลายไปการลงทุนที่สูญเปล่าไปทันทีที่ FTX ล่มสลาย ผู้ก่อตั้งอย่าง แซม แบงก์แมน-ฟรายด์ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย และถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง และจงใจปกปิดข้อมูลที่ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด 

และบอร์ดบริหารของเทมาเส็ก ตัดสินใจให้พนักงานเป็นแพะรับบาปของหายนะจากการลงทุนใน FTX ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของการพิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ใดๆของเทมาเส็ก เมื่อพนักงานต้องแบกรับผลจากการขาดทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้ 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์
อ้างอิง : BBC / Channel News Asia

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์ “แก็งคอลเซ็นเตอร์ สวมรอยส่งข้อความ SMS ยังไม่สิ้นซาก” 

เนื่องจากในรอบสัปดาห์  มีการจับกุมมิจฉาชีพรับจ้างแก็งคอลเซ็นเตอร์ (Call Center)นำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ส่งข้อความสั้น(SMS)  สวมรอยช่องทางปกติของสถาบันการเงิน และหน่วยงานอื่น หลอกลวงผู้เสียหายกดลิงก์เพิ่มเพื่อนไลน์และหลอกให้โหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์แล้วโอนเงินออกจาก Mobile Banking ของผู้เสียหาย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ที่อาจจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพรายอื่นสวมรอยส่งข้อความสั้น(SMS) ในลักษณะเดียวกัน   จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.   หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี  และ พล.ต.ท.ธัชชัย  ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยคณะทำงาน แถลงข่าวเตือนภัย เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2566  เวลา 13.30 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากยังมีการส่งลิงก์ในลักษณะดังกล่าวอยู่ และมีการส่งในรูปแบบอื่นๆ อีกจำนวนมาก  

พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.กล่าวว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 พ.ค.2566)  มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่  อันดับ 1)  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ   3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน  4) คดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ฯ และ 5) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) สำหรับคดีออนไลน์ที่มิจฉาชีพนำมาหลอกลวงในช่วงนี้ คือ คดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ฯ โดยใช้วิธีส่งข้อความสั้น (SMS) สวมรอยช่องทางปกติของสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานอื่น โดยขยับมาจากอันดับ 6 เป็นอันดับ 4 ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องย้ำเตือนให้ประชาชนได้รับทราบ  

พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด   ผบก.ตอท.บช.สอท.    กล่าวถึงรายละเอียดภัยออนไลน์ที่มิจฉาชีพรับจ้างแก็งคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) นำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ส่งข้อความสั้น(SMS)หลอกลวงผู้เสียหาย  ดังนี้ 

ก่อนหน้านี้มิจฉาชีพแก็งคอลเซ็นเตอร์ส่งข้อความสั้น (SMS) หลอกลวงผู้เสียหายโดยใช้ SIM BOX โทรศัพท์จากต่างประเทศผ่านระบบ VOIP หรือส่งผ่านอีเมลผ่านบริษัทรับส่งข้อความสั้น (SMS) แต่ในรอบเดือนที่ผ่านมา มิจฉาชีพนำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ใส่ไว้ในรถขับไปเส้นทางต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล แล้วส่งสัญญาณไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่บริเวณใกล้เคียง โดยใช้ชื่อผู้ส่งเป็นสถาบันการเงิน ส่งข้อความสั้น (SMS) ว่า “มีผู้เข้าสู่ระบบธนาคารของผู้เสียหายจากอุปกรณ์อื่น หากไม่ได้ดำเนินการด้วยตนเอง ให้ผู้เสียหายติดต่อธนาคารผ่านลิงก์ไลน์(Line)ทันที”     และมีผู้เสียหายหลงเชื่อกดลิงก์เพิ่มเพื่อนไลน์   แล้วคนร้ายจะโทรผ่านไลน์หลอกให้กดลิงก์โหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์ และโอนเงินออกจาก Mobile Banking  ของผู้เสียหาย โดยในห้วงเดือน เม.ย. -พ.ค. 2566 มีการแจ้งความออนไลน์ จำนวน 1,398 เคส รวมมูลค่าความเสียหาย 235,135,988.50 บาท 

ต่อมาวันที่ 24 พ.ค.66 เวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์โดยการนำของพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,   พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ  รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท.  พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. ได้ประสานความร่วมมือกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ,สำนักงานคณะกรรมการ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ,สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ,ผู้ให้บริการเครือข่าย AIS TRUE และ DTAC, ธนาคารกสิกรไทย และ ศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคธนาคาร (TB-CERT) ทำการสืบสวน ตรวจค้น จับกุมกลุ่มขบวนการดังกล่าว โดยจับกุม นายสุขสันต์ อายุ 40 ปี กับพวก รวม 6 คน ในข้อหา “ร่วมกัน ทํา มี ใช้ นําเข้า นําออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม

โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67(3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม, เป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา” ตรวจยึดรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) จำนวน 4 คัน พร้อมอุปกรณ์ 4 ชุด ตรวจยึดเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station)   ที่ยังไม่ได้แกะออกมาใช้อีก 1 ชุด ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การรับว่าได้รับการติดต่อว่าจ้างจากคนรู้จักที่ทำงานอยู่ประเทศเพื่อนบ้านขับรถนำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ส่งข้อความสั้น (SMS) หลอกลวงประชาชนในรัศมี 2 กม. หรือครอบคลุมพื้นที่ 4 ตร.กม. โดยจะได้ค่าจ้างสำหรับการวิ่งส่งสัญญาณเดือนละ 80,000 บาท ซึ่งเครื่องดังกล่าวนั้นสามารถส่งสัญญาณไปยังโทรศัพท์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้วันละ 20,000 หมายเลขต่อเครื่อง  

ขอเน้นย้ำให้ได้รับทราบว่า  ในช่วงแรกมิจฉาชีพต้องการให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนไลน์เพื่อหลอกลวงด้วยการพูดคุยตลอดเวลาให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและทำตามขั้นตอน  จากนั้นจะพยายามส่งลิงก์ผ่านไลน์เพื่อให้ผู้เสียหายกดโหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์ โดยมิจฉาชีพจะคอยแนะนำขั้นตอนต่างๆ  ทีละขั้นตอน  เนื่องจากการกดยอมรับแอปพลิเคชันให้ควบคุมเครื่องโทรศัพท์นั้น  มีขั้นตอนยุ่งยาก ผู้เสียหายไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ต้องทำตามคำแนะนำของคนร้าย และเมื่อผู้เสียหายกดยินยอมขั้นตอนสุดท้ายแล้ว  หน้าจอจะมีข้อความเป็นเปอร์เซ็นต์หรือข้อความกำลังอัพเดด กรุณารอสักครู่  ช่วงนี้มิจฉาชีพจะทดลองเข้าแอปพลิเคชันธนาคารจากรหัสที่เราตั้งในแอพ หรือจากเบอร์โทรศัพท์ของเรา โอนเงินออกจากบัญชี Mobile Banking  ของผู้เสียหาย  หากเข้าไม่ได้ก็จะหลอกให้โอนเงินไปลงทะเบียน หรือโอนระหว่างบัญชี ซึ่งคนร้ายจะเห็นว่าเรากดรหัสอะไร 

จุดสังเกต   
1) มิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) พร้อมแนบลิงก์สวมรอยช่องทางปกติในการส่งข้อความจาก 
ธนาคาร และใช้ชื่อไลน์คล้ายกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือหน่วยงาน 
2) มิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) ขณะขับรถไปตามเส้นทางต่างๆ แสดงว่าทุกคน ทุกอาชีพมี 
โอกาสได้รับข้อความสั้น (SMS) และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ 
3) พนักงานธนาคาร  ไม่ใช้ไลน์ส่วนตัวในการติดต่อลูกค้า 
4) เว็บไซต์ปลอมที่มิจฉาชีพให้กดโหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์นั้น  สามารถกดได้ 
เฉพาะเมนูดาวน์โหลด เมนูอื่นๆ เมื่อกดแล้วจะไม่ขึ้นข้อมูลใดๆ  
4) ธนาคารไม่มีนโยบายการส่งข้อความ SMS แบบแนบลิงก์ทุกชนิด หรือมีข้อความให้แอดไลน์ 
ไอดี  หรือเพิ่มเพื่อนในไลน์ 

วิธีป้องกัน  
1) ไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์ใน SMS แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอกให้ 
ติดตั้ง  
2) กรณีมีการส่ง SMS ที่ผิดปกติ  ควรโทรศัพท์ตรวจสอบกับ สายด่วนของธนาคารหรือ 
หน่วยงานนั้นๆ โดยตรง  
3) หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ  
Apple Store  เท่านั้น  อย่าเชื่อคำแนะนำของคนร้ายให้กดเข้าบราวเซอร์อื่น 
4) มิจฉาชีพอาจใช้วิธีการหลอกลวงในรูปแบบให้สแกน QR Code หรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID  
Line จึงไม่ควรสแกนหรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID Line จากคนที่ไม่น่าเชื่อถือ 
 จากข้อมูลสถิติรับแจ้งความออนไลน์พบว่า  หลังจากแก็งคอลเซ็นเตอร์ (call center) ดังกล่าวข้างต้นถูกจับกุมแล้ว  ปรากฏว่ายังมีสถิติการรับแจ้งความมิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) แอบอ้างสถานบันการเงิน  การไฟฟ้า ประปา และหน่วยงานอื่นหลอกลวงประชาชนอยู่  เนื่องจากยังมีแก็งคอลเซ็นเตอร์(call center) จำนวนหนึ่งยังไม่ถูกจับกุมตัวดำเนินคดี และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพแก็งคอลเซ็นเตอร์(call center) ดังกล่าว จึงขอแจ้งเตือนให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารถึงวิธีการของมิจฉาชีพ   และให้ตระหนักไว้ว่าหากมี SMS แปลกปลอม ต้องไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์ใน SMS แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้ง กรณีมีการส่ง SMS ที่ผิดปกติ  ควรโทรศัพท์ตรวจสอบกับ สายด่วนของธนาคารหรือหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง หรือไปติดต่อหน่วยงานนั้นๆ  ด้วยตนเอง  และที่สำคัญหากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ Apple Store  เท่านั้น และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่  สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้จาก เว็บไซต์ และเพจ เตือนภัยออนไลน์ หรือโทรสายด่วน 1441

‘นเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ’ ว่าที่ ส.ส. เชียงใหม่ ลุยสานงานต่อ โครงการสร้างแหล่งน้ำ ผลักดัน พ.ร.บ.ลำไยแก้ปัญหาราคาตกต่ำ

นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 9 จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาตนได้รับคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน จนสามารถเป็นหนึ่งในว่าที่ ส.ส. พลังประชารัฐ อีก 1 สมัย จาก 10 เขตในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งเป็นผลมาจากทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในหลายแห่งที่เป็นนโยบายของพรรค โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มุ่งการแก้ปัญหาน้ำในพื้นที่ จนสามารถมีโครงการแหล่งกักเก็บน้ำให้ประชาชนได้มีน้ำกิน น้ำใช้ เพื่ออุปโภค บริโภคตลอดปีรวมถึงภาคการเกษตร และยังมีโครงการต่อเนื่องที่ต้องสานต่อ อาทิ อ่างเก็บน้ำโป่งจ้อ อ่างเก็บน้ำแม่วาง และโครงการทำน้ำประปา เพื่อประชาชน การจัดหาแหล่งน้ำบาดาล ในโครงการเกษตรแปลงใหญ่ พร้อมกับติดตามความคืบหน้าการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ปอน ซึ่งจะเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่เข้ามาแก้ไขปัญหา เพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนให้กับประชาชนในพื้นที่

นายนเรศ กล่าวต่อว่า เรายังมีแผนที่ต้องเร่งผลักดันในระยะต่อไป ในเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะปัญหาราคาลำไย ที่ต้องเผชิญกับราคาตกต่ำในแต่ละปี จำเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.ลำไย เพื่อมาดูแลราคาผลผลิตให้ได้รับความเป็นธรรม เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นยางพารา มันสำปะหลัง และอ้อย ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการหารือในพรรค ว่าจะวางแนวทางให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมเพื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ให้สามารถ ออก พ.ร.บ.เพื่อแก้ปัญหาราคาลำไย ของเกษตรกร 8 จังหวัดของภาคเหนือ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ในฐานะเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าร่วมพิจารณาแก้ไขปัญหาราคาลำไยตกต่ำซึ่งเป็นความเดือดร้อนที่เกษตรกรได้รับมาอย่างต่อเนื่อง 

“การที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน เนื่องจากการทำงานที่เห็นผลงานเป็นรูปธรรม และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ทั้งการหาแหล่งน้ำ แก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการประกอบอาชีพ ของพี่น้องชาวภาคเหนือ ทำให้ผมสามารถฝ่าฟัน สนามการแข่งขันเลือกตั้งใน พื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่มีความรุนแรงและเข้มข้นของ สองพรรคใหญ่ จนได้รับชัยชนะ และต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เชื่อมั่นในการทำงานของตนและพรรคพลังประชารัฐ จากนี้ไป ยังคงมุ่งมั่น พร้อมทำงานอย่างหนัก เพราะบางพื้นที่ยังต้องได้รับการแก้ไข และเยียวยา เพื่อเข้าไปยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น” นายนเรศ กล่าว

‘ป๋าเทพ’ ตลกอาวุโสชื่อดัง ลั่น!! ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลชุดใหม่จะมาแตะต้อง ม.112

เมื่อไม่นานมานี้ นายสุเทพ โพธิ์งาม นักแสดงตลกชาวไทย กล่าวถึงเรื่องการเมืองในขณะนี้ว่า ตนเองเป็นไทยคนหนึ่งไม่อยากให้เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาหากรัฐบาลใหม่จะไปแก้ ม.112 บางทีเราฟังแล้วเป็นห่วง ทั้งที่ท่านไม่ได้มายุ่งมาเกี่ยวอะไรกับพวกเรา หากว่าปล่อยไป ใครทำอะไรขึ้นมา เช่น อยู่ๆ ก็ไปเผารูปบ้าง เวลาท่านเสด็จไปไหนก็ไปขวางรถ ไปสร้างความรำคาญให้ท่านบ้าง แล้วเอาผิดอะไรไม่ได้ กฎหมายมฝมีทั้งนั้นท่านเป็นประมุขนะ คนธรรมดายังมีกฎหมายคุ้มครองเลย ม.112 นั้น หากมีใครไปยุ่งกับท่านมันถึงจะผิด ถ้าเราไม่ยุ่ง มันก็ไม่ผิดอะไร เราต้องมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ประเทศอื่นที่เขามีประธานาธิบดีมีปัญหา มีการล้มล้าง มีการฆ่ากัน บ้านเราไม่ค่อยมีอะไร เพราะมีระบบกษัตริย์ ซึ่งเป็นระบบที่ไว้วางใจได้

“เป็นห่วงแค่นี้แหละ เรื่องอื่นจะทำอะไรก็ทำไป เรื่องนี้ไม่ควรไปยุ่ง เราเป็นห่วงบ้านเมือง ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารักคนที่เขาไม่ชอบ เขาก็จะด่า เสียผู้เสียคน แค่ความคิดไม่ตรงกันเท่านั้น เหมือนโกรธกันมา 10 ชาติ อยากให้เขาดูด้วยว่าป๋าพูดเรื่องอะไร เพื่ออะไร เพื่อบ้านเมืองเท่านั้น ถ้าหากไม่มีกฎหมายก็ทำกันตามอำเภอใจเท่านั้น มันไม่ถูกต้อง ม.112 ไม่อยากให้ไปยุ่ง ประเทศเรา เราก็รักประเทศของเรา รักพระมหากษัตริย์ของเรา ไม่อยากให้ใครมายุ่ง มีคนมาด่าตนว่าแก่แก่กะโหลกกะลา ก็เฉพาะเรื่องนี้ ขอร้องเถอะครับ” ป๋าเทพ กล่าวทิ้งท้าย

‘อรรถวิชช์’ ฝาก รบ.ใหม่ควบคุมค่าการกลั่น เก็บภาษีลาภลอย ชี้!! ดีเซลต้องไม่ขึ้น 5 บาท เหตุน้ำมันดิบราคาลดลง

(30 พ.ค. 66) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่กำลังจะสิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค.2566 นี้ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลขึ้นจาก 32 เป็น 37 บาทต่อลิตร ว่า เป็นเรื่องน่าแปลก เพราะจริงๆ แล้วราคาน้ำมันต้องกลับมาลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง เดือน พ.ค.ปีที่แล้ว ราคา 113.87 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันเหลือ 76.94 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงมาถึงร้อยละ 32.43 (https://www.opec.org/opec_web/en/data_graphs/40.htm) ขณะที่โรงกลั่นหลายโรงโกยกำไรไม่หยุดตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงไตรมาสหนึ่งปีนี้ (Q1/2566) เป็นหมื่นล้านบาท บางส่วนก็มีการนำกำไรไปขยายธุรกิจอื่นเพิ่มแล้ว

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาปลายเหตุเพื่ออุ้มราคาน้ำมันโดยลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน รายได้ภาษีหายไป 158,000 ล้านบาท ขณะที่กองทุนน้ำมัน แม้จะมีการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องไปแล้ว 1.1 แสนล้าน แต่สถานะยังคงติดลบอยู่ถึง 72,731 ล้านบาท นั่นหมายความว่า รัฐบาลชุดใหม่ต้องไม่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุเหมือนที่ผ่านมา

“ผมขอให้กล้าตัดสินใจ ควบคุมค่าการกลั่น ที่เป็นราคาสมมติให้เหมาะสม หรือออกกฎหมายเก็บภาษีลาภลอย ขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลเฉพาะธุรกิจโรงกลั่น แล้วนำภาษีส่วนนั้นเก็บกลับไปใช้หนี้กองทุนน้ำมัน ลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนผู้ใช้น้ำมัน เหมือนที่หลายประเทศเขาทำกัน” ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวอีกว่า เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนแล้วที่มาตรการอุ้มราคาดีเซลจะสิ้นสุดลง ผมมีความหวังที่จะเห็นรัฐบาลใหม่ได้เจรจากับโรงกลั่น เตรียมกฎหมายรื้อโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรม

‘ดร.สามารถ’ แนะ ‘รฟม.’ เร่งขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง หลังไม่เชื่อมต่อกับสายสีเขียวเหนือ หวั่นทำผู้โดยสารเดือดร้อน

(30 พ.ค. 66) ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ายโยธา และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์’ ถึงประเด็นที่รถไฟฟ้าสายสีเหลืองไม่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ โดยระบุว่า…

อีกแล้ว!!! รถไฟฟ้า ‘ฟันหลอ’
สายสีเหลืองไม่เชื่อมกับสายสีเขียวเหนือ

สิ่งที่ไม่ควรเกิดก็เกิดขึ้นอีกแล้ว ใครที่จะใช้รถไฟฟ้าสายสีเหลืองจากถนนลาดพร้าวผ่านทางแยกรัชดา-ลาดพร้าว เพื่อไปสู่รัชโยธิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วัดพระศรีมหาธาตุ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช หรือสถานที่อื่นบนถนนพหลโยธิน จะต้องสะดุด เพราะรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเป็นรถไฟฟ้าฟันหลอ!!

รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร เป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยวหรือโมโนเรล มีเส้นทางเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ บริเวณทางแยกรัชดา-ลาดพร้าว กับสายสีส้มบริเวณทางแยกลำสาลี กับแอร์พอร์ตลิงก์บริเวณทางแยกต่างระดับพระราม 9 และกับสายสีเขียวใต้ที่สถานีสำโรง การก่อสร้างมีความคืบหน้า ณ สิ้นเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 99

เหตุที่รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเป็นรถไฟฟ้าฟันหลอ ก็เพราะว่า จากสถานีลาดพร้าวบริเวณทางแยกรัชดา-ลาดพร้าว ไม่มีเส้นทางเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-คูคต ทั้งๆ ที่สามารถเชื่อมต่อได้ที่สถานีรัชโยธิน โดยก่อสร้างเส้นทางเลี้ยวขวาวิ่งบนถนนรัชดาภิเษก ผ่านแหล่งทำงาน และแหล่งที่อยู่อาศัย มีผู้คนมากมาย ไปบรรจบกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือที่สถานีรัชโยธิน การขาดเส้นทางเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือดังกล่าว หรือมีลักษณะเหมือนฟันหลอ ทำให้ผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่ต้องการเดินทางไปสู่สถานที่ต่างๆ บนถนนพหลโยธินไม่ได้รับความสะดวก เพราะต้องเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่สถานีลาดพร้าว เพื่อเดินทางไปสู่สถานีห้าแยกลาดพร้าว แล้วเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือต่อไป ทำให้ผู้โดยสารต้องเสียเวลาและเสียค่าเดินทางเพิ่มขึ้น

คงจำกันได้ว่า รถไฟฟ้าฟันหลอเช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อตอนเริ่มเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน เนื่องจากสายสีม่วงไม่เชื่อมกับสายสีน้ำเงินที่สถานีเตาปูน ทำให้ผู้โดยสารเดือดร้อน ต้องต่อรถเมล์จากสถานีเตาปูนไปสถานีบางซื่อ เพื่อใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินต่อไป แต่ในที่สุด การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก็เร่งแก้ปัญหาโดยการต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจากสถานีบางซื่อมายังสถานีเตาปูน ส่งผลให้รถไฟฟ้าสายสีม่วงมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้โดยสารได้รับความสะดวก ไม่ต้องต่อรถเมล์

“ปัญหาฟันหลอของรถไฟฟ้า รฟม. รู้ดี เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว จะต้องรีบแก้ปัญหา ด้วยการเร่งต่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลืองจากสถานีลาดพร้าวไปเชื่อมกับสายสีเขียวเหนือที่สถานีรัชโยธินโดยด่วน อย่าปล่อยให้ผู้โดยสารเดือดร้อนอีกเลยครับ” ดร.สามารถ กล่าวทิ้งท้าย

เปิดรายชื่อ 10 สโมสร มูลค่ามากที่สุด ใน Premier League อังกฤษ!!

‘เลสเตอร์’ จิ้งจอกสยาม สุดยอดทีมแห่งพรีเมียร์ลีก แม้จะตกชั้นอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยความสามารถของคุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เป็นประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี ที่บริหารทีมได้อย่างดีเยี่ยม จนทำให้สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี มีมูลค่าสูงติดท็อป 10 ในพรีเมียร์ลีก!!
 

หนุ่มอัดคลิประบายความในใจ ขอคนไทยหยุดทะเลาะกัน ชี้!! หากไม่เลิกแบ่งแยก ประเทศชาติก็ไม่มีวันเปลี่ยน

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘tulipsincere’ ออกมาโพสต์คลิป ระบายความในใจ พร้อมดึงสติคนไทย ให้หยุดทะเลาะ เลิกแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน เพราะสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในตอนนี้ มีความคุกรุ่นอย่างมาก ตนจึงอยากให้คนไทยตระหนักถึงว่า แก่นแท้ของประชาธิไตย ว่า แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร โดยผู้ใช้ติ๊กต็อกได้ระบุว่า…

“สวัสดีพี่น้องชาวประชาธิปไตย ชาวเพื่อไทย ชาวก้าวไกล แอบแปลกใจ เพราะตอนที่เรามีลุง พวกเรารักกันดี แต่ตอนที่ไม่มีลุง พวกเราเอาแต่ทะเลาะกัน นับเป็นความน่าเหนื่อยใจที่หากเราแข่งกันทั้งคู่ ไม่ยอมอ่อนให้กัน ในฐานะที่ผมไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และมองแบบเป็นกลาง ทุกพรรคต้องเคลียร์ใจกันคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นก้าวไกล เพื่อไทย ไทยสร้างไทย หรือพรรคอื่น ๆ ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกพรรคของทุกฝ่ายออกมาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้นในสถานการณ์ตอนนี้ แล้วจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เพราะประชาชนคงจะไม่สามารถไว้ใจหรือเชื่อใจได้ เพราะฉะนั้น ควรกลับไปมีลุงเหมือนก่อนหน้านี้คงจะดีกว่า แล้วเราทุกคนก็เป็นฝ่ายค้านกันให้หมด ทุกพรรคก็ดูจะสามัคคีกันดีกว่าตอนนี้”

ผู้ใช้ติ๊กต็อก ยังได้กล่าวเพิ่มเติม อีกว่า หากไปมองย้อนกลับไป ทุกคนต่างว่าลุงเป็นเผด็จการ แต่ตอนนี้พวกเราทุกคนในวันนี้ ก็อยากให้พรรคแต่ละพรรคเป็นไปในแบบที่ตัวเองชอบ เหมือนหลงลืมไปว่า การบังคับคนอื่น ด่าทอคนที่เห็นต่าง ไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ นั้น ทำให้พวกเราเป็นประชาธิปไตยอย่างไร หรือว่าตอนนี้ พวกเรากำลังเป็นเผด็จการในแบบที่พวกเราเคยด่า?

“หากยังเป็นแบบนี้กันอยู่ ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะกลับไปหนักกว่าสถานการณ์เดิม ฝากให้พวกเราทุกคนกลับไปคิดอีกครั้ง ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ความเห็นต่างคืออะไร และการแยกแยะคืออะไร เพราะพวกเราอาจจะกำลังเป็นคนในแบบที่พวกเราด่ากันอยู่”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top