Wednesday, 9 July 2025
NEWS FEED

ตำรวจ!! สแกน!! ‘พะงัน’ รวบต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ หลังคนพื้นที่ร้องเรียน ‘เปิดร้านค้า-ขายของ-ขับรถเร่’ กันพรึ่บ

(4 ก.ค.67) พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) สั่งการให้ พ.ต.ท.วินิจ บุญชิต สว.ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 บูรณาการร่วมกับนายนพดล ขาวมะลิ นายอำเภอเกาะพะงัน , ผกก.สภ.เกาะพะงัน , สว.ตม.เกาะพะงัน หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้นำท้องถิ่นว่ามีต่างด้าวลอบมาทำงานในพื้นที่ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ และได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเป็นชาวเมียนมา และคนไทย รวม 7 ราย ข้อหา ‘เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ์จะทำได้ (ค้าขาย)’ และ ‘เป็นนายจ้างให้บุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้ (ค้าขาย)’ รวมถึง ‘เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต’ โดยมีทั้งเปิดร้านค้าขายข้าวราดแกง, ขายของหน้าร้านชำ, ขับรถเร่ขายของ, เปิดร้านขายน้ำชาพม่า และร้านขายหมากพลู พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เกาะพะงัน เพื่อดำเนินการตาม กฎหมายต่อไป

หนึ่งในชาวเมียนมาที่ถูกจับกุม กล่าวว่า ตนไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารที่ใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใด เนื่องจากลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านชายแดน จ.ระนอง โดยมีค่าใช้จ่าย 18,000 บาท ซึ่งมีนายหน้าชาวเมียนมาไม่ทราบชื่อเป็นผู้ช่วยเหลือลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ตนเข้ามาอยู่ในพื้นที่ อ.เกาะพะงัน เป็นเวลา 6 เดือนแล้ว

ด้านนายนพดล ขาวมะลิ นายอำเภอเกาะพะงัน กล่าวว่า มีประชาชนร้องเรียนว่ามีบาร์เบอร์ชื่อดังเข้ามาตัดผมอยู่ที่เกาะพะงัน ทางผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับฝ่ายปกครอง ทำการตรวจสอบ แต่พบว่าไม่มี เป็นเพียงการเข้าใจผิด และตรวจสอบแล้วในพื้นที่เกาะพะงันไม่มีช่างตัดผมดังที่เป็นข่าวในพื้นที่แน่นอน จึงขอให้ประชาชนคำนึงถึงภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ก่อนจะแชร์ข่าวอะไรออกไป

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 กวดขัน ควบคุมพฤติกรรมชาวต่างชาติและบุคคลต่างด้าว แรงงานข้ามชาติ แย่งอาชีพคนไทย และการกระทำความผิดในคดี 10 กลุ่มต้องห้าม ในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวและเป็นการป้องปราบกลุ่มแรงงานหรือนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแล้วแฝงตัวทำงานในพื้นที่

‘พี่เอ้’ ห่วง!! ‘เด็กไทย’ หลุดจากระบบการศึกษาทะลุ 1 ล้านคน หวั่น!! ‘คนขาดความรู้-ปัญหาสังคมลุกลาม-แข่งขันต่างชาติไม่ได้’

(4 ก.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤติแล้ว! ตื่นเถิด คนไทย’ เมื่อ ‘เด็กไทย หลุดจากโรงเรียน’ ทะลุ 1 ล้าน เราจะช่วยกันอย่างไรดี? โดยระบุว่า…

สถิตินี้น่ากลัวมาก ทั้งที่มีเด็ก ‘เกิดน้อยลง’ คือ ‘วิกฤติ’ ที่สุดแล้ว แต่ ‘ผู้นำ’ ยังละเลย ทั้งที่เป็นเรื่องที่น่าอันตราย ต่ออนาคตประเทศไทยอย่างที่สุดแล้ว มันจะส่งผลอย่างไรบ้าง ต่อประเทศไทยและสังคมไทย 

1. ‘ที่นั่งในมหาวิทยาลัย จะยิ่งว่างมากขึ้น’ 

เพราะเราส่งเด็กไทย ‘ไปไม่ถึง’ ชั้นมหาวิทยาลัย ถือเป็น ‘ความสูญเสีย’ ทั้งเสียโอกาสในการเสริมศักยภาพ ‘คนรุ่นใหม่’ และ เสียโอกาส ‘การลงทุน’ ที่รัฐทุ่มไปกับการพัฒนามหาวิทยาลัยทุกปี ๆ แต่มีเด็กเรียนน้อยลง 

ขณะที่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มุ่งเป้าส่งเด็ก เรียนไปถึงมหาวิทยาลัย ได้เกือบ 100% 

มาเลเซียก็ประกาศ ส่งเด็กเรียน ให้ถึงมหาวิทยาลัย อย่างน้อย 70% ขณะที่ประเทศไทยอาจมีเพียง 30% เท่านั้น! 

แบบนี้ ยิ่งนานวัน นอกจากไทย ‘แข่งขันไม่ได้’ ยังต้องเกิดเป็นภาระในการดูแล ‘พลเมืองด้อยโอกาส ข้ามรุ่น’ ซึ่งถือว่า น่ากลัวมาก 

2. ‘แรงงานทักษะต่ำเพิ่ม แรงงานทักษะสูงลด’

ส่งผลกระทบต่อ ‘เศรษฐกิจไทย’ รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งกว่า ‘สึนามิ’ เพราะโลกยุคดิสรัปชั่น ไม่ได้แข่งที่ ‘ทำของถูก’ ไม่ได้แข่งกันที่ ‘ภาคการผลิตของพื้น ๆ ง่าย ๆ’ เท่านั้น แต่แข่งกันที่ ‘สินค้ามูลค่าสูง’ ที่ต้องใช้แรงงานทักษะระดับปัญญา มาเอาชนะกัน

ทุกวันนี้ ประเทศไทย ‘ตกหลุมลึก’ เรื่องการยกระดับทักษะพลเมือง การทำ ‘Upskill’ / ‘Reskill’ เป็นเพียง ‘วาทกรรม’ ให้มาผลาญงบประมาณ หาก ‘ผู้นำ’ ไม่ลงไปกำกับจริงจัง อาจทำให้ ‘อนาคตไทย หมดสภาพการแข่งขัน’ น่าห่วงที่สุด

3. ‘ปัญหาสังคมทุกเรื่อง กำลังตามมา’

เด็กไทย อยู่ในวัยเยาว์จนถึงวัยรุ่น ออกจากโรงเรียนก่อนเวลา ขาดการดูแล ทำให้สังคมไทยต้องเผชิญปัญหา ‘แม่วัยใส’ / ‘เด็กติดยาเสพติด’ / ‘เด็กติดการพนัน’ และ ‘สุขภาพทรุดโทรม’ เร็วกว่าคนที่มีความรู้มากกว่า

ปัญหาสังคมจากพลเมืองไม่มีความรู้ หรือเรียนน้อย จะเป็นปัญหาที่รัฐ ต้องมาตามแก้ไม่รู้จบ อันตรายมาก 

สาเหตุการ ‘ออกจากโรงเรียน’ มีหลายสาเหตุ ที่ต้องมาคิดวิเคราะห์ ด้วย ‘ข้อมูลรอบด้าน’ แม้ว่าสาเหตุใหญ่ อาจจะมาจาก ‘ความยากจน’ แต่ก็มีอีกหลายปัจจัย รุมเร้า เร่งให้ผู้ปกครอง ‘ยอมแพ้’ ไม่สู้ ไม่ส่งลูกเรียนต่อ 

‘ผู้นำ’ จึงต้องทำจริงจังเรื่อง ‘การพัฒนาคน’ ให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด อย่าเพิกเฉย ปล่อยปัญหาให้หนักหนา ไม่เช่นนั้น ไม่นาน ไทยเราอาจซบเซา สู้เขาไม่ได้ น่าเสียดายครับ

เชียงใหม่-อบจ.เชียงใหม่ จัดฟรีคอนเสิร์ต Chiang Mai Music Journey 3 และวิ่ง Twilight Run 2

วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดงานวิ่ง Twilight Run 2 กิจกรรมวิ่ง FUN RUN ในงาน Chiang Mai Music Journey 3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่จากชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจของท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านกีฬา และส่งเสริมให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย ให้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงปราศจากโรคภัย โดยมีนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการ และผู้เข้าร่วมวิ่งกว่า 5,000 คน เข้าร่วมกิจกรรม ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า กิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพ Twilight Run 2 เป็นกิจกรรมที่ดีเสริมสร้างพลานามัยที่แข็งแรงให้ทุกคน ทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในแต่ละครั้งที่จัดกิจกรรมก็มีประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมากและมากขึ้นทุกปี ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวประสบความสำเร็จ และที่สำคัญ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ยังได้รังสรรค์พื้นที่กว่า 120 ไร่ของสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ให้เป็นแหล่งโอโซนหรือปอดของเมืองเชียงใหม่ ที่ทุกคนจะได้รับพลังงานธรรมชาติที่สะอาด สดชื่นและเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดงานเทศกาลดนตรีกลางสวน ครั้งที่ 3  Chiang Mai Music Journey 3 และงานวิ่ง Twilight Run 2 เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับกิจกรรมคอนเสิร์ตจัดภายใต้แนวคิด Rhythm In The Rain เมื่อสายฝนโปรยหล่น...เป็นเสียงดนตรี พบกับนักร้องและวงดนตรีชื่อดัง ได้แก่ PAUSE, LHAM SOMPHOL, BOWKYLION และ BODYSLAM งานนี้เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

ส่วนงานวิ่ง Twilight Run 2  เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ระยะทางวิ่ง 5 กิโลเมตร บริเวณอ่างเก็บน้ำหนองเขียวและสนามด้านหลังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่   หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่

นภาพร/เชียงใหม่

'อัษฎางค์' ซัด!! สื่อไทย ยกยอดสตรีมมิง Spotify 'เจนนี่' มาชน 'ลิซ่า' ทั้งที่ยอดสตรีมพันล้านที่ยกมา จริงๆ เป็นของ 'The Weeknd'

(4 ก.ค. 67) เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยตั้งคำถามว่า "เป็นคนไทย สื่อไทย ทำไมไม่ยกย่อง น้องลิซ่า ที่เป็นคนไทย แต่ไปยก น้องเจนนี่ เอามาชนกับ น้องลิซ่า ทำไม?" มีเนื้อหา ดังนี้...

พาดหัวข่าวว่า…
“JENNIE วง BLACKPINK สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ในวงการดนตรีอีกครั้ง ด้วยสถิติอันน่าทึ่งจากเพลง 'One Of The Girls' ที่ขณะนี้กลายเป็นเพลงของ ศิลปินเดี่ยวหญิงเคป๊อปที่มียอดสตรีมมิงแตะ 1 พันล้านครั้งเร็วที่สุดบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่าง Spotify”

พาดหัวข่าวแบบนี้ เพื่ออะไร?
ทั้งที่ความจริงที่เขียนอยู่ข้างในข่าวว่า…

เพลง One Of The Girls มียอดเข้าฟังมากกว่า 1 พัน ล้านครั้งแล้วภายในระยะเวลาแค่เพียง 376 วัน โดยเป็นเพลงประกอบซีรีส์เรื่อง The Idol จากค่าย HBO 

“JENNIE ร่วมแสดงและร้องเพลงนี้กับ The Weeknd และ Lily-Rose Depp”

ข้อเท็จจริงคือ “ยอดพันล้านนี้เป็นของ The Weeknd”

“JENNIE กับ Lily-Rose Depp (ลูกสาวของ Johnny Depp) เป็นนักร้องรับเชิญมาร่วมร้อง
…………………………………………………………………………..
ขอยกตัวอย่าง….
เหมือนเพลง ความเชื่อ ของ บอดี้สแลม ที่พี่แอ๊ด คาราบาว มาร้องเป็นนักร้องรับเชิญ

ถ้าสมมติว่า “เพลงความเชื่อ” นี้ทำยอดพันล้านใน Spotify จะพาดหัวว่า “เพลงของ แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกของไทยที่มียอดสตรีมมิงแตะ 1 พันล้านครั้งเร็วที่สุดใน Spotify ได้หรือไม่?”

หรือควรจะพาดหัวว่า “บอดี้สแลม เป็นศิลปินไทยที่มียอดสตรีมมิงแตะ 1 พันล้านครั้งเร็วที่สุดใน Spotify”
…………………………………………………………………………..
แต่ The Standard พาดหัวข่าวว่า…

“JENNIE เป็นศิลปินเดี่ยวหญิงเคป๊อปที่มียอดสตรีมมิงแตะ 1 พันล้านครั้งเร็วที่สุดบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่าง Spotify”

ทั้งที่สถิตินั้นเป็นของ The Weekend 

และความจริง…
”ศิลปินเดี่ยวหญิงเคป๊อปที่มียอดสตรีมมิงแตะ 1 พันล้านครั้งเร็วที่สุดบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่าง Spotify คือ น้องลิซ่า ของเรา“
…………………………………………………………………………..
ทำไมไม่ยกย่อง น้องลิซ่า ที่เป็นคนไทย
แต่ไปยก น้องเจนนี่ เอามาชนกับ น้องลิซ่า ทำไม?

(แสดงความคิดเห็นด้วยความสุภาพนะครับ)

‘ขสมก.’ เตรียมจัดเดินรถเฉพาะกิจ ‘ฟรี 5 เส้นทาง’ บริการประชาชนร่วมงานเฉลิมพระเกียรติฯ สนามหลวง

(4 ก.ค.67) ดร.มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตนได้มอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดรถโดยสารให้บริการฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนเดินทางไปร่วมงานมหรสพสมโภชเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย ‘ราชรถยิ้ม’ ของกระทรวงคมนาคม ในการสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนใช้บริการรถโดยสารด้วยรอยยิ้มและมีความสุข 

โดยนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า ขสมก. ได้เตรียมจัดเดินรถโดยสารเฉพาะกิจให้บริการฟรี (จอดรับ-ส่งทุกป้าย) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางไปร่วมงานมหรสพสมโภชฯ ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2567 ณ สนามหลวง จำนวน 5 เส้นทาง ให้บริการตั้งแต่เวลา 12.00-22.00 น. โดยมีจุดจอดรับ-ส่ง บริเวณหน้าศาลฎีกา ดังนี้…

1) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ฝั่งเกาะพญาไท)
2) สายใต้ใหม่
3) หมอชิต 2
4) วงเวียนใหญ่
5) เดินรถเป็นวงกลม เส้นทางสนามหลวง - ท่าช้าง - ท่าเตียน

นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษ และนายตรวจประจำจุดจอดรับ-ส่ง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร และดูแลความปลอดภัย หากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้บริการรถโดยสารประจำทาง ข้อมูลเส้นทางรถโดยสารประจำทาง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร. 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น.   

ทั้งนี้ งานมหรสพสมโภชฯ จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม มีการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแสดงดนตรีเฉลิมพระเกียรติฯ แบ่งเป็น 2 เวที คือ เวทีกลาง จัดแสดงวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2567 เวลา 18.30 - 22.00 น. อาทิ การแสดงมหาดุริยางค์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การแสดงโขนสด และการแสดงละครนอกเฉลิมพระเกียรติฯ ส่วนเวทีย่อย จัดแสดงวันที่ 12 - 14 กรกฎาคม 2567 เวลา 17.00 - 18.30 น. อาทิ การแสดงของสมาคมศิลปะพื้นบ้าน การแสดงรำวงพื้นบ้าน รวมทั้งมีตลาดวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารไทย อาหารพื้นถิ่น มีการสาธิตอาหารในรูปแบบตลาดย้อนยุค และการสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เช่น นวดไทย ทำว่าวไทย เป็นต้น

รองผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันชาติอเมริกา

เมื่อวันที่ (2 ก.ค.67) พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันชาติอเมริกา ตามคำเชิญของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยมี นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค (H.E. Mr.Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และภริยา เป็นเจ้าภาพ ณ Topgolf Megacity อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

ไทยกับสหรัฐอเมริกา สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2376 นับเป็นระยะเวลา 190 ปี โดยความสัมพันธ์ทางทหารและความมั่นคงนั้น ไทยได้รับสถานะเป็น Major Non-NATO Ally (MNNA) ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ โดยกรอบความร่วมมือทางด้านการทหารและความมั่นคงมีหลายระดับ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือไทย และกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเป็นไปด้วยดีในหลายมิติ ดังนี้

1. การเยี่ยมเยือนของผู้บังคับบัญชา กองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐ มีการแลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนของผู้บังคับบัญชาระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

2. การศึกษา กองทัพเรือสหรัฐ ให้การสนับสนุนที่นั่งการศึกษาหลักสูตรที่สำคัญ ได้แก่ นักเรียนนายเรือสหรัฐ , นักเรียนนายเรือยามฝั่งสหรัฐ , นักทำลายใต้น้ำจู่โจมสหรัฐ , เสนาธิการทหารเรือสหรัฐ , วิทยาลัยการทัพเรือสหรัฐ , เสนาธิการนาวิโยธินสหรัฐ และ Basic Officer (Infantry) นาวิกโยธินสหรัฐ เป็นต้น

3. การประชุม แบ่งเป็น
 - การประชุม Maritime Cooperation Talks (MCT) เป็นการประชุมระดับนโยบายของผู้แทนระดับสูงของกองทัพเรือไทยและกองกำลังทางเรือสหรัฐ ภาคพื้นอินโด - แปซิฟิก
- การประชุม MCT Mid-Term Review ซึ่งเป็นการประชุมในระดับ
ผู้ปฏิบัติ

4. การฝึก เช่น การฝึกร่วมผสม COBRA GOLD , การฝึกผสม CARAT โดยจะมีการฝึก CARAT Multilateral 2024 ในพื้นที่อ่าวไทย ระหว่าง 18 - 27 ก.ค.67 , การฝึก GUARDIAN SEA , การฝึก SEACAT , การฝึก SEA SURVEX, UNDERSEAL, MTWS, FLASH TORCH, RIMPAC และการฝึก PASSEX เป็นต้น

5. การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การประชุมแลกเปลี่ยนข่าวสาร (Intelligence Exchange Conference: IEC) ระหว่างกองทัพเรือไทย – กองทัพเรือสหรัฐ ภาคพื้นแปซิฟิก จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ครั้ง

6. การช่วยเหลือทางทหาร กำหนดเป็นโครงการเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล (Maritime Security Initiative: MSI) จำนวน 7 โครงการ ประกอบด้วย โครงการจัดหาอากาศยานไร้คนขับ (ศรชล.) , โครงการเพิ่มขีดความสามารถระบบตรวจการณ์ บ.DO-228 , โครงการจัดหาระบบสื่อสารแบบ CENTRIXS , โครงการฝึก ศึกษาด้านความมั่นคงทางทะเล , โครงการระบบรวบรวมข้อมูลข่าวสารในพื้นที่ลำน้ำ , โครงการปรับปรุงพื้นผิวทางวิ่งสนามบินอู่ตะเภา และโครงการจัดหาเรือยางท้องแข็ง

จากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันมาอย่างยาวนานส่งผลให้กองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐมีความร่วมมือที่ดีในหลายมิติด้านความมั่นคงทางทะเล เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการมีบทบาทนำด้านความร่วมมือ และความมั่นคงในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

‘เพจดัง’ อัปเดต!! งบจัดซื้อจัดจ้าง ‘ทุ่นลอยน้ำ’ กทม.แพงเกินจริง โป๊ะ!! ผู้จัดซื้อเจ้าเดิมได้งาน พร้อมส่วนต่างแพงกว่าตลาดครึ่ง

(3 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย’ โพสต์ภาพทุ่นลอยน้ำกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2.5 ล้าน ระบุว่า…

ทุ่นลอยน้ำ กทม. 2.5 ล้าน แพงเกินครึ่ง

ตามกันต่อส่อพิรุธจัดซื้อจัดจ้างแพงเกินจริงของ กรุงเทพมหานคร ล่าสุดพบเจอความผิดปกติกรณีจัดซื้อจัดจ้างทุ่นลอยน้ำ บริเวณสวนลุมฯ และสวนเบญจกิติ

สืบเสาะข้อมูลพบว่าชื่อโครงการซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ จำนวน 2 ชุด โดยวิธีคัดเลือก หน่วยงาน กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ราคากลาง 5,000,000 บาท ราคาจ้าง 4,998,000 บาท ต่ำกว่าราคากลาง 2,000 บาท

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าติดตั้งจำนวน 2 จุด มีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 7.5 เมตร และทางกว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร คำนวนคร่าว ๆ ประมาณ 160 ตร.ม. จากการสืบราคาตลาดพบว่าราคาทุ่นเทียบเรือรุ่นดังกล่าว อยู่ที่ ตร.ม. ละ 5-7 พันบาท ก็ราว ๆ ล้านนิด ๆ แต่ กทม.จัดซื้อ 2.5 ล้านต่อจุด งานนี้คำนวนส่วนต่างครึ่ง ๆ

เมื่อดูในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐฯ พบว่าโครงการฯ นี้ ใช้วิธีการคัดเลือก แทนที่จะต้องใช้วิธีการประมูลแบบอีบิดดิ้ง ตามระเบียบฯ กรมบัญชีกลาง The Comptroller General’s Department มีเอกชน 3 ราย ยื่นซองเสนอราคา คือ

1. บริษัท ไอ คอมเมิร์ซ จำกัด เสนอราคา 5,300,000 บาท

2. บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เสนอราคา 4,998,000 บาท

3. บริษัท ทรี สปอร์ตฟลอริ่ง จำกัด เสนอราคา 5,500,000 บาท

บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายแพง ๆ เสนอราคาต่ำสุดได้รับงานไป ส่วนรายอื่น ๆ เสนอราคาสูงกว่าราคากลาง แต่ กทม. ไม่เอา ทั้งนี้จากการตั้งข้อสังเกตในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พบแต่ชื่อไฟล์ แต่ไม่มีข้อมูล ซึ่งตามระบบแล้วจะต้องอัพเดทเข้าไปในระบบ

อีกโพสต์หนึ่ง ระบุว่า "ทุ่นลอยน้ำสวนรถไฟ ส่วนต่างครึ่ง ๆ เจออีก…ทุ่นลอยน้ำ กทม.ที่สวนรถไฟจัดซื้อส่อแพงเกินจริง ชื่อโครงการจัดซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ ขนาดไม่น้อยกว่า 46 ตารางเมตร (ศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง งบประมาณ 495,000 บาท หน่วยงานที่จัดซื้อ กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สืบราคาตลาดรวมหมุดสกรูแล้วตก ตร.ม.ละ 5,400 บาท คำนวนคร่าว ๆ คูณด้วย 46 ตร.ม. เป็นเงิน 248,400 บาท แต่ กรุงเทพมหานคร เบิก 495,000 ไม่มีลดสักบาท...ครึ่ง ๆ แบบนี้เป็นของหวานให้ ผอ.กอง-เขต ต่าง ๆ"

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ได้โพสต์ข้อความว่า "สวัสดีตอนเช้า ผ่านมา 27 วันแล้ว ตั้งแต่ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครแถลงข่าวจนบัดนี้ ยังไม่ทราบผลสอบจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายแพงเกินจริง ๆ"

เป็นการกล่าวถึงกรณีที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. โดยกล่าวว่า “ผิด ก็ยืนยันว่าผิด กระบวนการในการตรวจสอบราคากลาง คงต้องให้เข้มงวดขึ้นและสามารถให้สังคมตรวจสอบได้ และขบวนการต่าง ๆ ต้องตามกฎหมายอย่างชัดเจน ของฝ่ายบริหารเองก็ไม่มีนโยบายไปก้าวก่ายฝ่ายอื่นหรือคณะกรรมการราคากลางอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบและให้ประโยชน์ต่อประชาชนกับราชการ ของเราเองก็มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกรุงเทพมหานคร (ศปท.กทม.) ก็จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป”

‘นักร้องหนุ่ม’ โชว์สปิริต ร้องเพลงท่ามกลาง ‘ฝูงแมลงเม่า’ รับ!! ไม่อยากให้แขกในงานเซ็ง แม้บินเข้าปากไป 3-4 ตัว

(3 ก.ค. 67) จากกรณีคลิปวิดีโอว่อนโซเชียล นักร้องหนุ่มร้องเพลงท่ามกลางแมลงเม่านับแสน จนมีคนแชร์และเข้าไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด ชาวเน็ตต่างเข้าไปให้กำลังใจนักร้องขณะร้องเพลงในเพจมงคลซาวด์ & อาลาไก สตูดิโอเป็นจำนวนมาก หลังมีคนนำคลิปบรรยากาศการร้องเพลงของวงอนุบาล 3 ไปโพสต์

เป็นภาพที่นักร้องหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งถือไมค์ร้องเพลง อีกมือหนึ่งเอาไว้ปัดแมลงเม่า ซึ่งคาดว่ามีนับแสนตัวมารุมอยู่บนเวทีขณะร้องเพลง ชาวเน็ตหลายคนมาคอมเมนต์และให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก บางคนบอกว่าสงสาร บางคนบอกว่า ‘ร้องเพลงจบอิ่มพอดี’

ผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า นักร้องคนที่อยู่ในคลิป ชื่อ นายวิทยา สิวกระโทก หรือเต็งหนึ่ง อายุ 29 ปี เล่าว่า ตั้งวงดนตรีชื่อวง ‘อนุบาล 3’ จะรับเล่นดนตรีตามรถแห่ที่เขาจ้างไปหรือรับงานตามงานเลี้ยงต่าง ๆ

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมาไปรับงานเลี้ยงที่บ้านชุมทอง ต.ชุมเห็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังเช็กซาวด์ คือจะต้องร้องก่อนประมาณ 4-5 เพลง ระหว่างที่กำลังร้องได้เพลงที่ 3 ได้มีแมลงเม่าไม่รู้ว่ามาจากไหน บินมารุมตนเองขณะร้องเพลงอยู่

แต่ทำอะไรไม่ถูก นักดนตรีก็เล่นไปเพราะไม่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าน่าจะลืมคิดถึงนักร้อง จึงตัดสินใจร้องไปเรื่อย ๆ ประกอบกับไม่อยากให้แขกในงานเกิดอาการเซ็ง ร้องไปเอามือปัดแมลงเม่าไป

ประมาณ 30 นาทีแมลงเม่าที่ปีกหลุดก็หายไป แต่ยอมรับว่าระหว่างที่ร้องอยู่นั้นได้กินแมลงเม่าไปประมาณ 3-4 ตัว รู้สึกมันดี ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ร้องเพลงในฝูงแมลงเม่า และเป็นครั้งแรกที่ได้กินแมลงเม่าตัวเป็น ๆ

ขณะที่ นายมงคล ก่อแก้ว เจ้าของรถแห่มงคลซาวด์ เล่าว่า ปกตินักร้องไม่เคยจะเจอแมลงเม่าแบบนี้ วันนั้นเห็นนักร้องร้องเพลงด้วยความลำบาก จึงถ่ายคลิปไว้ดูกระทั่งเอาไปโพสต์ลงในเพจไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจและรู้สึกดีกับนักร้องแบบนี้

ส่วนการแก้ไขปัญหาแมลงเม่าระหว่างการแสดงนั้น ยังไม่มีวิธีเพราะแมลงเม่าถ้าออกมาแล้วไม่นานปีกจะหลุดแล้วเดินหายไปอยู่แล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบรรยากาศแปลกที่หาดูได้ยากของการแสดงดนตรีได้อีกมุมหนึ่ง

สวนสัตว์ขอนแก่น ผ่านการรับรองมาตรฐานท่องเที่ยวไทย มาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว ประจำปี 2567

สวนสัตว์ขอนแก่น ได้รับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว โดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 สวนสัตว์ขอนแก่น เข้าร่วมพิธีมอบเครื่องหมายมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยนางทิพาวดี กิตติคุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้สวนสัตว์ขอนแก่น ได้ผ่านการตรวจประเมินและได้รับการรับรองมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว โดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี ซึ่งสถานประกอบการที่ผ่านการรับรองมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยวระดับสากลในครั้งนี้ ใช้แบบประเมินโดยมีเนื้อหาและกรอบดัชนีวัดคุณภาพมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะ 5 องค์ประกอบ 28 เกณฑ์ และ 90 ตัวชี้วัด ซึ่งครอบคลุมในด้านความสะอาด ความปลอดภัย ความสะดวก การออกแบบ และการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการบริหารจัดการคุณภาพการบริการ

นางทิพาวดี กิตติคุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น กล่าวว่า สวนสัตว์ขอนแก่นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เข้าร่วมพิธีรับมอบเครื่องหมายรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย ประจำปี พ.ศ. 2567 มาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งสวนสัตว์ขอนแก่นเห็นถึงความสำคัญของห้องน้ำ ในการให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการที่สวนสัตว์ขอนแก่น ที่สามารถเข้าถึงการใช้บริการห้องน้ำที่ “สะอาด พอเพียง ปลอดภัย” และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมในการใช้ห้องน้ำที่ถูกต้องและต้องมีจำนวนห้องน้ำที่พอเพียงสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ ที่สามารถพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาที่เปิดให้บริการ รวมถึงจัดให้มีส้วมที่เหมาะสมทุกคนสามารถใช้บริการได้ง่ายและปลอดภัย มาอยู่ในที่ลับตาแสงสว่างพอเพียง แยกเป็นสัดส่วนชายหญิง สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างยังทันท่วงทีในกรณีเหตุฉุกเฉิน อีกทั้งห้องน้ำของสวนสัตว์ขอนแก่นเป็นห้องน้ำรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญในด้านความสะอาดพร้อมทั้งมีบรรยากาศโปร่งโล่งสบายและยังมีการให้ความรู้เผยแพร่ในห้องน้ำเช่นความรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ การเที่ยวชมสวนสัตว์ติดไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้อ่านในช่วงมาใช้บริการอีกด้วย

‘รัฐบาล’ ไฟเขียว!! เพิ่มงบเหมาจ่ายดูแล ‘ผู้มีภาวะพึ่งพิง’ อีก 4 พันบาท พร้อมขยายการดูแลเพิ่มอีก 2 กลุ่มเป้าหมาย เคาะ!! 'อปท.' ดูแล

(3 ก.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลจากภาครัฐอยู่ที่จำนวน 320,000 คนต่อปี แต่พบว่ายังมีผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มอื่น ๆ ในชุมชนเพิ่มเติมอีก เช่น 1.กลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อม และ 2.กลุ่มผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Palliative Care) เป็นต้น ซึ่งมีความจำเป็นหรือความต้องการที่ต้องได้รับการดูแลเหมือนกับกลุ่มที่มี ADL เท่ากับหรือต่ำกว่า 11 ดังนั้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้มีภาวะพึ่งพิงให้ได้รับบริการที่บ้านหรือในชุมชนเพิ่มขึ้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) มีมติเห็นชอบให้ขยายกลุ่มเป้าหมาย โดยให้ครอบคลุมกลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อมตั้งแต่ระยะปานกลางและกลุ่มผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วย โดยคาดการณ์ว่า จะทำให้มีผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ได้รับการดูแลในระบบเพิ่มรวมเป็นจำนวนประมาณ 6 แสนคน

นายคารมกล่าวว่า นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณค่าบริการจากเดิมเหมาจ่ายการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ จากจำนวน 6,000 บาทต่อคนต่อปี เพิ่มเติมเป็นจำนวน 10,442 บาทต่อคนต่อปี (เพิ่มขึ้น 4,442 บาทต่อคนต่อปี) ซึ่งจะทำให้ อปท. มีงบประมาณสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นในการดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ ทำให้หน่วยบริการสามารถจัดบริการได้ดีขึ้น รวมถึงจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นให้กับผู้ป่วย ขณะเดียวกันยังทำให้เกิดแรงจูงใจหน่วยบริการที่มีศักยภาพ เช่น สถานชีวาภิบาลที่อยู่กระจายในชุมชนเข้าร่วมให้การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงในระบบ

“รัฐบาลมุ่งดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น รองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย ผ่านการจัดสรรงบประมาณ โดยมอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหน่วยงานดำเนินการให้ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่จำเป็น ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านกลไก ‘ระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่’ (Long Term Care : LTC )” นายคารมกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top