Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

‘ดร.หิมาลัย’ ลงพื้นที่ ‘ลพบุรี’ พบปั๊มน้ำมัน มีค่ากำมะถัน สูงเกินเกณฑ์ เผย!! ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน ตามนโยบายของ ‘ท่านพีระพันธุ์’

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ พร้อมด้วย นายทนงศักดิ์ วงษ์ลา พลังงานจังหวัดลพบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจกองวิทยาการพิสูจน์หลักฐานจังหวัดลพบุรี เดินทางมาที่ สภ.บ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เพื่อติดตามการดำเนินคดี กับผู้ประกอบการปั๊มน้ำมัน

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สำนักงานพลังงานจังหวัดลพบุรี ออกตรวจสอบคุณภาพน้ำมันจากปั๊มน้ำมันต่างๆ ในพื้นที่ 3 อำเภอ ของจังหวัดลพบุรี ทั้งหมด 28 ปั๊ม โดยทางสำนักงานพลังงานจังหวัดลพบุรี ส่งน้ำมันไปตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพน้ำมันยังกรมธุรกิจพลังงาน

ต่อมาแจ้งผลการตรวจคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงมาที่พลังงานจังหวัดว่า มีผลค่ากำมะถันในน้ำมันเกินค่ามาตรฐานจำนวน 2 ปั๊ม พบผลการตรวจค่ากำมะถันนี้ สูงกว่า 240 PPM. เกินกว่าค่าปกติถึง 4 เท่า วัดจากค่ามาตรฐานของน้ำมันกำมะถันที่กำหนดไว้ 50 PPM.

ทางสำนักงานพลังงานจังหวัดลพบุรี เข้าแจ้งความดำเนินคดี กับสถานประกอบการทั้ง 2 แห่ง แล้ว โดยวันนี้มีผู้ประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมกับทนายความ เดินทางมาเข้าร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้มีสารกำมะถันสูงกว่ามาตรฐาน

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า ในขั้นต้นได้รับรายงานว่า สำนักงานพลังงานจังหวัดลพบุรี ตรวจสอบคุณภาพน้ำมันให้มีมาตรฐานตามนโยบายของ นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ซึ่งเราก็ได้รับการร้องขอความเป็นธรรมมาจากผู้ประกอบการ วันนี้มานั่งประชุมกันทั้ง 2 ฝ่าย ทำความเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่เองก็ทำงานที่ตรงไปตรงมา ซึ่งก็เป็นการปฏิบัติงานตามวงรอบ ขณะเดียวกันทางเราก็รับทราบปัญหาจากทางผู้ประกอบการด้วย

การหารือวันนี้ ถือว่าเป็นไปโดยดี เป็นการรับฟังข้อมูลจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชน เราต้องการที่จะดูแลผลประโยชน์ให้ประชาชนในเรื่องของน้ำมันให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานเดียวกัน ดร.หิมาลัย กล่าว

ด้านนายทนงศักดิ์ กล่าวว่า ดำเนินการตรวจสอบตามปกติ คือ พลังงานจังหวัดลพบุรี มีแผนสุ่มตรวจในจังหวัด โดยขณะนี้มีอยู่ 3 พื้นที่ 3 อำเภอ ในการสุ่มตรวจทั้งหมด 28 ปั๊มที่ได้มา ไม่ได้เจาะจงปั๊มใดปั๊มหนึ่ง เมื่อส่งตรวจแล้วทางกรมธุรกิจพลังงานได้ส่งรายการแจ้งมาที่สำนักงานพลังงานจังหวัด ว่ามีผลเกินค่ามาตรฐานอยู่ 2 ปั๊ม คือมาตรฐานที่ประมาณ 50 PPM. ต่อปริมาณ แต่ว่าผลการตรวจของ ปั๊มทั้ง 2 แห่งสูงกว่า 240 PPM. และขณะนี้ขั้นตอนอยู่ระหว่างการดำเนินการในการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย

ย้อนบทสนทนาชวนซึ้ง 'อนุทิน-แม่ของลูกชายที่บริจาคหัวใจ' "หัวใจของลูกพี่ยังเต้นอยู่ในโลกนี้ แม้เขาจะไปเป็นเทวดาบนสวรรค์แล้ว"

(6 ก.ค.67) จากเพจ 'FC Anutin' ได้โพสต์เรื่องราวน่าประทับใจจากกรณีเมื่อครั้งหนึ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ได้มีโอกาสพบกับคุณแม่ของชายผู้หนึ่งที่บริจาคหัวใจและหัวใจนั้นถูกนำไปเติมเต็มชีวิตใหม่ให้กับผู้อื่น ว่า...

กายจากไป

แต่หัวใจยังอยู่

"คุณอนุทินนนนน" เสียงสตรีดังขึ้นเรียกนายอนุทิน ขณะกำลังเดินทอดน่องหาของทานยามเย็น ที่ จ.ระนอง

เขารีบหันไปตามเสียงก่อนทราบว่า เจ้าของเสียง มาจากร้านเต้าหู้ ใกล้ ๆ 

"เราเคยเจอกันแล้ว ท่านจำได้ไหม"

นายอนุทิน ทำหน้าสงสัยก่อนได้คำตอบว่า 

"ดิฉันเป็นแม่ของลูกชายที่บริจาคหัวใจแล้วคุณบินมารับเอาหัวใจลูกชายบินไปกรุงเทพ"

นายอนุทินได้ยินดังนั้น เลยตอบกลับทันที

"ป่านนี้เป็นเทวดาไล่จีบนางฟ้าอยู่บนสวรรค์แล้ว ไม่ต้องไปห่วงเขาเลย"

คุณแม่ ถามต่อด้วยว่า หัวใจของลูกชายยัง OK อยู่ไหม

นายอนุทิน ยิ้ม แล้วตอบว่า 

"เวิร์คอย่างดี ไม่เคยได้รับรายงานว่ามีปัญหาเลย คนไข้ที่คุณหมอพัชร อ่องจริตเปลี่ยนหัวใจให้ยังแข็งแรงดีทุกคน หัวใจของลูกพี่ยังเต้นอยู่ในโลกนี้ถึงแม้เขาไปเป็นเทวดาบนสวรรค์แล้ว"

สิ้นเสียงนายอนุทิน 

น้ำตาของผู้เป็นแม่ก็เอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว

(13 มกราคม 2565)

สาวเปิดแชต ‘ผู้บริหาร กทม.’ สารภาพคุกคามทางเพศจริง หลัง ‘ชัชชาติ’ อ้างไร้หลักฐาน ยัน!! มี ‘รองผู้ว่าฯ กทม.’ เป็นพยาน แต่กรรมการไม่เรียกมาให้การ ทำให้คนผิดรอดตัว

(6 ก.ค.67) จากกรณี นางสาวเอ (สงวนชื่อและนามสกุล) อายุ 30 ปี อดีตทีมงาน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนประจำศาลาว่าการ กทม. เพื่อขอความเป็นธรรม หลังถูกผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมืองคุกคามทางเพศ

โดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า รับทราบแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อทราบเรื่องจึงได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง แต่ผลการสอบข้อเท็จจริงไม่ได้ชี้ชัดว่าผิดหรือไม่ แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย จึงให้ผู้บริหารระดับสูงรายนั้นลาออกจากตำแหน่ง ขณะเดียวกันผู้ร้องสามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายได้

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ลงนามในคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ 1731/2567 เรื่อง แต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เนื่องจากผู้ช่วยฯ รายดังกล่าว ได้ลาออกจากตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีผลในวันที่ 7 มิ.ย. 67 จึงแต่งตั้งนายคุณานพ เลิศไพรวัลย์ เป็น ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 67 เป็นต้นไป

ล่าสุดวันที่ 5 ก.ค. 2567 นางสาวเอ กล่าวภายหลังนายชัชชาติออกมาให้ข่าวว่า ไม่มีหลักฐานในการเอาผิดคู่กรณี ว่า ตนมีหลักฐานเป็นข้อความในไลน์ ที่คู่กรณีส่งเข้ากลุ่มรับสารภาพว่า ได้กระทำจริง และขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเป็นพยานบุคคล คือ ตัวรองผู้ว่าฯ กทม. 2 คน ที่คู่กรณีได้รับสารภาพต่อหน้าด้วย แต่กรรมการสอบข้อเท็จจริง กลับไม่เรียกรองผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 2 คน มาร่วมให้การในฐานะพยาน จึงไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อสรุปความผิดของคู่กรณีได้ เพราะไม่มีหลักฐาน

นางสาวเอ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยขอเข้าพบผู้บริหาร เพื่อขอความชัดเจนเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยการนัดผ่านผู้บริหารคนอื่น และสำนักงานเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. แต่ก็ไม่ได้พบ ขณะนี้รอทีมงานของนายชัชชาติไปหารือกับผู้บริหาร ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร

โรงพยาบาลตำรวจ จัดกิจกรรมจิตอาสา โครงการ "คัดกรอง และผ่าตัดผู้ป่วยทางศัลยกรรม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา"

(6 ก.ค. 67) ณ ลานกิจกรรมชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)เปิดโครงการ "คัดกรอง และผ่าตัดผู้ป่วยทางศัลยกรรม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา" ที่จัดขึ้นโดย กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลตำรวจ 

พ.ต.อ.จุมพฎ อุรุพงศา นายแพทย์(สบ 5) หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม กล่าวรายงาน จัดกิจกรรม ตรวจคัดกรองและผ่าตัดรักษาผู้ป่วยทางศัลยกรรมจำนวน 72 ราย จาก 3 หน่วยงาน ของกลุ่มงานศัลยกรรม โดยได้รับความร่วมมือ จากอีกหลายหน่วยงานได้แก่
 - กลุ่มงานวิสัญญี โรงพยาบาลตำรวจ
 - กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ
 - กลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลตำรวจ
 - กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลตำรวจ
 - ฝ่ายเวชระเบียน กองบังคับการอำนวยการ โรงพยาบาลตำรวจ
 - ฝ่ายการเงิน กองบังคับการอำนวยการ โรงพยาบาลตำรวจ

หน่วยศัลยศาสตร์หลอดเลือด จัดกิจกรรมทำเส้นฟอกไต ช่วยเหลือผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย ที่จำเป็นต้องได้รับการฟอกเลือด ล้างไต กำจัดของเสียส่วนเกินออกจากร่างกาย ก่อนที่จะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต ด้วยการลดระยะเวลาในการรอคอยการผ่าตัดทำเส้นเลือดสำหรับฟอกไต ซึ่งผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีระยะเวลาในการรอทำการผ่าตัดทำเส้นเลือดสำหรับฟอกไต โดยเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน ในครั้งนี้มีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการจำนวน 20 ราย

หน่วยศัลยกรรมลำไส้ใหญ่และทวารหนัก จัดกิจกรรมส่งกล้องเพื่อคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้น เนื่องจากปัจจุบันผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มีแนวโน้มมากขึ้น และพบในผู้ที่มีอายุน้อย ทำให้มีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หากวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็ว จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคจะได้รับการรักษาที่รวดเร็ว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งครั้งนี้มีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการจำนวน 37 ราย

หน่วยศัลยกรรมตกแต่ง จัดกิจกรรมผ่าตัดแก้ไขความพิการและเนื้องอก ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากผู้ป่วยบางรายมีความพิการมาแต่กำเนิด ความพิการจากอุบัติเหตุ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต รวมถึงเนื้องอก หากปล่อยไว้อาจจะลุกลามเป็นเซลล์มะเร็งได้ การผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งครั้งนี้มีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการ 15 ราย
รวมทั้งสิ้น 72 ราย

นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน ออกหน่วยเคลื่อนที่ ณ ลานกิจกรรม อาคาร 6 เคหะสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจอุดมสุข โดยมีกิจกรรม ดังนี้

1.คัดกรองภาวะสุขภาพและตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

2.บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่

3.ตรวจสุขภาพตับด้วยเครื่อง Fibro scan

4.ประเมินพัฒนาการเด็กเล็ก

5.นวดเพื่อสุขภาพ

6.กิจกรรมบนเวทีและของรางวัลมากมาย

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)กล่าวว่า บุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ และมีหัวใจของการเป็นจิตอาสา ที่จะให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินโครงการจะสามารถคัดกรองและผ่าตัดรักษาผู้ป่วยทางศัลยกรรมให้ได้รับการรักษาที่รวดเร็ว มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป และขอขอบคุณ คณะผู้ดำเนินโครงการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่จิตอาสาทุกคน

โดยกิจกรรมในครั้งหน้า จะเป็นการจัดกิจกรรมจิตอาสา ณ อาคารบ้านพักส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ทุ่งสองห้อง) ในวันเสาร์ที่ 13 ก.ค. 67

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

‘รัฐบาล’ เดินหน้าด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญ สร้างสุขภาพที่ดี เพื่อคนไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สืบทอดปณิธาน ในการทำความดี

(6 ก.ค.67) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เห็นความสำคัญต่อเรื่องสิ่งแวดล้อมที่จะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับคนไทยผ่านโครงการ 'คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข' เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อสืบทอดพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด ช่วยกันทำให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในบ้านเมือง นำไปสู่ความสุขของพี่น้องประชาชน และความมั่นคงของประเทศชาติ ดังที่ปรากฏในพระปฐมบรมราชโองการ ‘เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’

น.ส.เกณิกา กล่าวต่อว่า ปัญหาความเสื่อมโทรมของแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำต่าง ๆ รัฐบาลจึงต้องการพัฒนาแม่น้ำลำคลอง และแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่เกิดความเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ให้กลับมาสวยงาม และประโยชน์ที่จะได้รับจากแหล่งน้ำไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน เส้นทางคมนาคมสัญจร หรือประสิทธิภาพการระบายน้ำเพื่อช่วยป้องกันน้ำท่วม พร้อมทั้งสร้างสังคมที่น่าอยู่ เข้มแข็ง และปลอดภัย อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ดังเช่น โครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในการดำเนินการพัฒนาคูคลอง และชุมชนโดยรอบตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“ปี 2567 นับเป็นปีมหามงคลสมัยพิเศษ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ รัฐบาลจึงได้น้อมนำแนวพระราชดำริ พระราชปณิธาน และ พระบรมราโชบายเกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้อยู่ดีมีสุข ซึ่งจะมุ่งเน้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ กทม.รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จัดทำโครงการ ดังกล่าว เพื่อเป็นกลไกในการบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วน ในการสืบสาน รักษา และพลิกฟื้นความสมบูรณ์ของคูคลองตลอดลำน้ำและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน”น.ส.เกณิกา กล่าวทิ้งท้าย

'วัดมหาธาตุวชิรมงคล' เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ใต้พระบารมี ในหลวงรัชกาลที่ 10

เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา  6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 รัฐบาลไทยดำเนินงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั่วประเทศ โดยกำหนดระยะเวลาขอบเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคใต้ ร่วมเฉลิมพระเกียรติ พร้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้พระบรมราชานุญาต จัดสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ เฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ ปัจจุบันเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญ ศูนย์ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของพสกนิกรชาวไทย วัดมหาธาตุวชิรมงคล พระอารามหลวงสังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลนาเหนือ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ บนเนื้อที่ 111 ไร่เศษ ชื่อเดิมคือ วัดบางโทง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2483 ในปี พ.ศ. 2545 เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน พระราชวชิรากร (พิศาล ปุรินฺทโก) พิจารณาเห็นว่า วัดมีสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงได้ทำการรื้อถอนอาคารเสนาสนะ แล้วดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี ยกระดับให้วัดบางโทง เป็นสถานที่ศึกษาพระธรรม-บาลี ของพระภิกษุ-สามเณร

พร้อมเสนอกรรมการมหาเถรสมาคม ขอจัดสร้างพุทธสถานและพระมหาธาตุเจดีย์เฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร พระมหาธาตุเจดีย์มีความสูงประมาณ 95 เมตร เป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในภาคใต้ ประดับตกแต่งคล้ายคลึงกับมหาเจดีย์พุทธคยา สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ประเทศอินเดีย 

ภายในพระมหาธาตุเจดีย์ ประดิษฐานพระประธานองค์ใหญ่ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ และตกแต่งด้วยลายกระหนก ลายไทยอ่อนช้อย โดยรอบของวัดยังมี รูปเหมือนหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ที่มีขนาดหน้าตักกว้าง 9 เมตร 9 นิ้ว พระพุทธรูปปางแสดงปฐมเทศนาขนาดหน้าตักกว้าง 3 เมตร อุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ภายในมีภาพเขียนพุทธประวัติ

ในวันที่ 11 มกราคม 2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จแทนพระองค์ทรงวางศิลาฤกษ์พระมหาธาตุเจดีย์ และทรงเททองหล่อพระพุทธปฏิมาประจำพระชนวารในโครงการดังกล่าว

จากนั้นในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามวัดบางโทงให้ใหม่ เป็น “วัดมหาธาตุวชิรมงคล” พร้อมทั้งให้อัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ “ม.ว.ก.” ขึ้นประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถ ขณะที่พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารฯ ให้ใช้พระนามว่า “พระพุทธทักษิณชัยมงคล”

กระทั่งต้นปี 2567 รัฐบาลไทย จัดตั้งโครงการ “ธรรมยาตรา พระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคาลุ่มน้ำโขง ก้าวสู่ศตวรรษแห่งธรรม" พิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จากสาธารณรัฐอินเดีย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 

โครงการธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุจากมหานทีคงคาสู่ลุ่มน้ำโขง ส่งเสริมสถาบันศาสนาพลังแห่งศรัทธาจากทั่วสารทิศมีศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เดินทางเข้ามาประเทศไทยเข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุฯ กันอย่างเนืองแน่น มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ให้ประชาชนเข้าสักการะ 4 ภาค ภาคกลาง ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง, ภาคเหนือ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่, ภาคอีสาน วัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี และภาคใต้ ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ ก่อนส่งมอบพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุกลับไปให้รัฐบาลอินเดีย

ล่าสุดโครงการบรรพชาอุปสมบท เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ทั่วประเทศ จังหวัดกระบี่ ร่วมกับวัดมหาธาตุวชิรมงคล จัดทำโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศล ดำเนินโครงการฯ ระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม 2567(จำนวน 24 วัน) ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล ตำบลนาเหนือ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคใต้ ขอเชิญพุทธศาสนิกชน ได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีถวายเป็นพระราชกุศล ผ่านกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล เริ่มจากวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2567 พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระเทพวชิรากร เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุวชิรมงคล ถวายเทียนพรรษา 9 วัด เพื่อให้พระภิกษุ-สามเณร ได้ใช้ประโยชน์ในการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา

สำหรับ 9 วัด ที่ทำการถวายเทียนพรรษา ได้แก่ วัดราษฎร์อุปถัมภ์ และวัดศรัทธาราม จังหวัดพังงา, วัดนาเหนือ, วัดเขาต่อ, วัดบ้านนา, วัดบางเงิน, วัดบางเหียน, วัดถ้ำสายชล และวัดปากน้ำ จังหวัดกระบี่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 083-5240855  พระครูปลัดญาณพล ญาณปญฺโญ โครงการบรรพชาอุปสมบท เฉลิมพระเกียรติฯ วันที่ 11 กรกฎาคม  นำนาค (150 คน) เข้าวัด, วันที่ 13 กรกฎาคม โกนผมนาค, วันที่ 14 กรกฎาคม พิธีบรรพชา, วันที่ 15 กรกฎาคม บิณฑบาตโปรดสัตว์, วันที่ 18-21 กรกฎาคม วิปัสสนากัมมัฏฐาน, วันที่ 20 กรกฎาคม เวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา, วันที่ 21 กรกฎาคม ภิกษุ-สามเณร 150 รูป บิณฑบาต เนื่องในวันเข้าพรรษา และวันที่ 28 กรกฎาคม เจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

(สุรินทร์) พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 มอบ ประกาศนียบัตรพิธีปิดการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1/2567

เมื่อวันที่ (6 ก.ค.67) ที่ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร ในพิธีปิดการฝึกทหารใหม่ผลัดที่ 1/2567 และมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่กำลังพลที่มีผลการฝึกดีเด่น จำนวน 6 นาย จากนั้นได้จัดให้มีการแสดงความสามารถ ด้านการต่อสู้ด้วยดาบโบราณ การแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย และการแสดงการสู้รบ การเสียสละชีพปกป้องอธิปไตยของชาติไทย จากน้องทหารใหม่ ผลัดที่ 1/2567 มณฑลทหารบกที่ 25 และกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 

ทั้งนี้ตามนโยบายกองทัพบก ได้จัดให้มีพิธีปิดการฝึก และพิธีมอบใประกาศนียบัตร ทหารกองประจำการที่ผ่านการฝึกตามหลักสูตรการฝึกทหารใหม่เบื้องตัน 6 สัปดาห์ สำหรับทหารทุกเหล่าของกองทัพบก และ การฝึกทหารใหม่เฉพาะหน้าที่นั้น ซึ่งดำเนินการฝึก มาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2567และการฝึกทหารใหม่เฉพาะหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ณ หน่วยฝึกทหารใหม่มณฑลทหารบกที่ 25 โดยมีกำลังพลที่เข้ารับการฝึก จำนวน 130 นาย 

โดยมี รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25,ฝ่ายเสนาธิการ สมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 25 กำลังพล และญาติทหารใหม่ เข้าร่วมในพิธีปิดการฝึก ซึ่งผลการประเมินการฝึกคิดเป็นร้อยละ 80 ซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์ 'ดี'   

เชียงใหม่-กิจกรรมโครงการกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน 41

เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2567 กองบิน 41 จัดกิจกรรมโครงการกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน 41 โดยมี นาวาอากาศเอก จตุรงค์ รักสุภาพ เสนาธิการกองบิน 41 เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย ผู้บังคับกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 ข้าราชการกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 และทหารกองประจำการ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41
     
กิจกรรมกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน 41 จัดขึ้นโดยมุ่งเน้นตามหลักยุทธศาสตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดกองทัพอากาศ ซึ่งภายในกิจกรรมจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับโทษ, พิษภัย และผลกระทบจากยาเสพติด ให้กับทหารกองประจำการกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 41 โดยเรียนเชิญ คุณทิพากร ชีวสกุลยอง หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด ภาค 5 วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมคณะฯ มาบรรยายให้ความรู้ในครั้งนี้

'สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' จับกุม การลักลอบเล่นพนันทั้งออนไลน์และออนไซต์ ช่วงแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 กว่า 3,000 คน ดำเนินคดี 165 เว็บพนัน พบเงินหมุนเวียนรวมกว่า 1,900 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (5 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 เดินหน้าปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทั้งออนไลน์และออนไซต์อย่างต่อเนื่อง ตลอดห้วงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ครั้งที่ 17 หรือฟุตบอลยูโร 2024 ระหว่างในวันที่ 14 มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2567 

ผลการจับกุมการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลยูโร 2024 ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน ถึง 4 กรกฎาคม 2567 จับกุมผู้ต้องหารวม 571 คน แบ่งเป็น
1. การจับกุมการพนันออนไซต์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวม 442 คน แบ่งเป็น เจ้ามือ 6 คน , ผู้เล่น 436 คน เงินหมุนเวียน 55,888 บาท 
2. การจับกุมการพนันออนไลน์ สามารถจับกุมได้ 23 เว็บไซต์ ผู้ต้องหารวม 129 คน แบ่งเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน 28 คน , ผู้เล่น 101 คน เงินหมุนเวียนในระบบ 423,042,499 บาท

ภาพรวมสถิติการจับกุมการพนันออนไลน์และออนไซต์ ตั้งแต่เปิดศูนย์ฯ วันที่ 14 มิถุนายน ถึง 4 กรกฎาคม 2567 มีผลการจับกุมผู้ต้องหา รวม 3,197 คน แบ่งเป็น
1. การจับกุมการพนันออนไซต์ 2,555 คน แบ่งเป็น เจ้ามือ 45 คน , ผู้เล่น 2,488 คน เงินหมุนเวียน 395,642 บาท 
2. การจับกุมพนันออนไลน์ 165 เว็บไซต์ ผู้ต้องหารวม 642 คน แบ่งเป็น ผู้จัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ 91 คน , ผู้เล่น 551 คน เงินหมุนเวียนในระบบ 1,924,770,670 บาท 

พล.ต.ท.อัคราเดชฯ กล่าวว่า การพนันฟุตบอลมีความผิดตามกฎหมายในหลายมาตรา โดยกลุ่มผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 12(2) มีอัตราโทษโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ , การจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ยังเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 อาจถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 5 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย

ในส่วนของผู้เล่นการพนัน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 12(2) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ประกาศ โฆษณา ชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนัน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน มาตรา 12 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ หากการกระทำความผิดเป็นไปในลักษณะมีการชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมี ความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด ผู้ปกครองหรือผู้กระทำผิดก็อาจถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ในมาตรา 26 (3) ประกอบ มาตรา 78 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกด้วย

‘รัฐบาล’ บูรณาการร่วมมือ ‘ภาคเอกชน’ สร้างระบบ ‘แจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือ’ คาด!! เสร็จต้นปี 2568 พร้อมใช้ได้ถึง 5 ภาษา ‘เศรษฐา’ สั่งเดินหน้าให้ต่อยอดความสำเร็จ

(6 ก.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ผลสำเร็จจากการบูรณาการความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สำนักงาน กสทช. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมจัดทำ Cell Broadcast Service หรือ CBS ระบบเตือนภัยฉุกเฉินในพื้นที่จริงครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่ทั่วโลกใช้งาน สามารถส่งข้อความเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการทุกเครื่อง โดยทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย สามารถรับข้อความได้พร้อมกันทันที เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ อย่างทันท่วงที ช่วยสร้างความมั่นคง ปลอดภัย และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระบบเตือนภัยฉุกเฉิน CBS เป็นเครื่องมือสำคัญในการแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชน สามารถแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินได้ 5 ภาษา ทั้ง ไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย ซึ่งครอบคลุมผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทุกเครือข่ายในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนล่วงหน้า โดยจะส่งข้อความแจ้งเตือนภัยในรูปแบบ ข้อความ ตัวอักษร รูปภาพ และเสียง ทั้งยังมีสัญญาณเสียง และข้อความที่แสดงบนหน้าจอ (Pop up) รวมถึงรองรับ Text to Speech เทคโนโลยีช่วยเหลือที่อ่านออกเสียงข้อความ ทำให้มีประโยชน์ต่อการแจ้งเตือน แก่ผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็นอีกด้วย

สำหรับระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน CBS สามารถตั้งระดับการเตือนได้ 5 ระดับ ตามฟังก์ชั่นการใช้งาน โดยใช้ความร่วมมือกับฐานข้อมูลของภาครัฐ ประกอบด้วย 
1. การแจ้งเตือนระดับชาติ (National Alert) การแจ้งเตือนระดับสูงสุด ความสำคัญมากสุด และทุกคนในทุกพื้นที่เสาสัญญาณครอบคลุมจะทราบเหตุทันที 
2. การแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน (Emergency Alert) การแจ้งเตือนภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น ภัยสึนามิ แผ่นดินไหว น้ำท่วมฉับพลัน หรือ ภัยจากคนร้าย เป็นต้น 
3. การแจ้งเตือนคนหาย (Amber Alert) ระบบตั้งเตือนข้อมูลเมื่อมีเด็กหายหรือคนหาย รวมทั้งการลักพาตัวเพื่อให้ประชาชนทราบข่าวเฝ้าระวัง และช่วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐสังเกตการณ์ รายงานผล ถ้าพบคนหายหรือคนร้าย 

4. ความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) ระบบการแจ้งเตือนความปลอดภัยสาธารณะในพื้นที่ หรือการเฝ้าระวังกรณีแจ้งคนที่อยู่อาศัย ชุมชน และผู้สัญจรผ่านพื้นที่นั้น 
5. การแจ้งเตือนทดสอบ (Test Alert) ระบบทดสอบการแจ้งเตือนตามวัตถุประสงค์เฉพาะกิจต่าง ๆ โดยสามารถใช้งานเพื่อทดสอบก่อนขยายผลสู่การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนในระดับต่าง ๆ ต่อไป

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า เนื่องจากเป็นระบบใหม่ในประเทศไทย จึงต้องมีการเตรียมความพร้อม เรื่องอุปกรณ์ และการติดตั้งทั่วประเทศ โดยคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี 2568 ซึ่งเมื่อระบบพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ ประชาชนทั่วประเทศจะได้รับการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยยิ่งขึ้น

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการสร้างความปลอดภัยให้คนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ชื่นชมการทำงานร่วมกันของหน่วยงานรัฐและเอกชน ในการพัฒนาระบบเตือนภัยฉุกเฉิน ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ ด้านสาธารณภัยของประเทศ ทั้งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ และการกระทำของมนุษย์ พร้อมสั่งการให้ต่อยอดเพิ่มความปลอดภัยให้คนไทย และนักท่องเที่ยวในทุกพื้นที่” นายชัย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top