Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

'เพจดัง' เผย!! ออโรร่าบอกพระมารดา ขอยุติกับทาร์ซานเอง วอน!! หยุดให้ร้ายทาร์ซานว่าเลือกพระมารดากันได้แล้ว

(5 ก.ค. 67) จากกรณีเพจดัง ‘เจ๊มอย108 V1’ ได้โพสต์ถึงตอนจบนิทานทาร์ซาน พระมารดา และ ออโรร่าพร้อมวอนหยุดให้ร้ายทาร์ซาน โดยระบุว่า…

“หยุดให้ร้ายทาร์ซานว่าเลือกพระมารดา เพราะทาร์ซานยังไม่ทันได้เลือกอะไรเลย แต่ออโรร่าเลือกที่ไปบอกพระมารดาเองว่า… ข้าขอยุติกับทาร์ซานนะเจ้าคะ”

“ทาร์ซานได้แต่เคารพการตัดสินใจของออโรร่า เพราะคงคิดมาดีแล้ว คงต้องปล่อยกันไปทั้งที่ยังรัก… แค่นั้นเอง นิทานจบแค่นี้พอ”

“พวกสนมนางในก็เพลา ๆ กันหน่อย เคารพการตัดสินใจของออโรร่าและทาร์ซานด้วย เรื่องนี้ทั้ง 3 พระองค์รู้ดีสุดว่าเหตุอันใดถึงไปกันไม่รอด เล่าไปกูก็อาจจะโดนโบยยยยย #อิพิมพ์เมียทาร์ซาน”

ชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์สนั่น บ้างก็ได้แต่ส่งกำลังใจกันรัว ๆ บ้างก็บอกเข้าใจออโรร่า อาทิ 

“ฟังจากสัมภาษณ์ที่บอกฝ่ายหญิงเป็นคนแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง คิดว่าออโรร่า คงไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักลำบากใจ เลยเลือกที่จะจบและเจ็บเองดีกว่า ยุติตอนนี้ ก่อนมันจะแย่ไปมากกว่านี้ เจอกันในอนาคต อาจจะยังจูนกันได้ เป็นเพื่อนกันได้”

“ออโรร่าเป็นคนดีจิตใจดีไม่อยากให้คนรักลำบากใจ เลยเลือกจบแบบเจ็บ ๆ ดีกว่า เป็นต้น”

สถาบันอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย จัดการฝึกอบรบ 'การจัดทำสัตว์สตัฟฟ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก'

เมื่อวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา สถาบันอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ได้จัดฝึกอบรม 'การจัดทำสัตว์สตัฟฟ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก' โดยได้รับเกียรติจากนายวัชระ สงวนสมบัติ, นางสาวฐิติมา ภู่มาก และ นางสาวภัทรียา สร้อยอินทร์ เป็นวิทยากรจากศูนย์บริหารคลังตัวอย่างทาง ธรรมชาติและสัตว์สตัฟฟ์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม

การอบรมในครั้งนี้มีพนักงานและลูกจ้างขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 25 คน

โดยมีจุดประสงค์ให้พนักงานและลูกจ้าง เสริมสร้างทักษาะและพัฒนาเทคนิคในการสตั๊ฟฟ์สัตว์ เพื่อจัดการและรักษาซากหลังการชันสูตร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร และนำไปสร้างคุณค่าแก่การเรียนรู้และการอนุรักษ์สัตว์ป่าหายากแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป

‘เพจดัง’ แจง!! ปมต่างชาติโจมตีเรื่องใช้ ‘แรงงานเด็กทอผ้า’ ชี้!! เป็นการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ในเวลาหลังเลิกเรียน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘ผ้าทอมือหมักโคลนบัวแดงชายคิม’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอหัวข้อ 
‘โดนต่างชาติโจมตีเรื่องการใช้แรงงานเด็ก​ เราจะอธิบายอย่างไรดี?’ โดยระบุว่า…

ตอนนี้เราอยู่กับ ‘น้องแก้ม’ ซึ่งหลายต่อหลายคนต่างคอมเมนต์เข้ามาว่าทําไมถึงให้น้องทํางานหนัก หรือทำไมถึงต้องใช้แรงงานเด็ก…โดยขอเรียนแจ้งแบบนี้ อันนี้คือเป็นเวลาว่างหลังจากเลิกเรียนและเลิกเล่นแล้ว ซึ่งเป็นการจัดการเวลาของน้องเองเพื่อให้เป็นการสืบสานภูมิปัญญาไปด้วย ซึ่งเด็กสมัยนี้ถ้าอายุ 13 ขวบ เขาจะเล่นมือถือเป็นส่วนใหญ่ในประเทศไทยของเรา และการมีกิจกรรมที่เป็นการสืบสานทางภูมิปัญญาแบบนี้มาให้ทุกท่านได้เห็นกัน ซึ่งปกติเขาก็จะไม่ถ่ายทำลงในโซเชียล แต่เราอยากให้มองในเรื่องของการเรียนรู้ อยากให้มองถึงเรื่องการสืบสานการทอผ้าไว้ให้ลูกหลานหรือคนไทยทั่วประเทศได้รับชมกัน

ถ้าหากเราไม่ได้หัดหรือไม่ได้ฝึกกันไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ แบบนี้ เขาก็คงไม่มาทำให้เรา ถ้าหากจะให้เขาเรียนจบมาแล้วค่อยมาทํา เขาก็จะไปทํางานตามโรงงาน ตามโรงแรม ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นเงินเดือน หรือเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ ณ ที่นี่ เราอยากให้เห็นว่าทํางานอยู่ที่บ้านมันก็สามารถที่จะสร้างรายได้ให้กับตัวเขาเอง และก็จะเป็นการปลูกฝังให้เขาได้ทำงานอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องห่างไกลจากครอบครัว นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเขาเองได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราจะสอนและปลูกฝังไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ แบบนี้

อย่างไรก็ตาม ฝากเป็นกําลังใจให้พวกเราด้วย เพราะตอนนี้โดนโจมตีค่อนข้างเยอะเหมือนกัน  เพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาโจมตีในเรื่องของการใช้แรงงานเด็ก แต่ถ้าคนไทยด้วยกัน เราก็จะรู้ว่าเราทําเพื่ออะไร

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า เราไม่ได้บังคับ ให้ทํางานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแบบนั้นก็คงจะไม่ใช่

ทั้งนี้ หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปต่างมีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น อาทิ…

- โบราณว่า ‘ไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก’ การจะฝึกฝนอะไรก็ต้องฝึกฝนตั้งแต่ที่สมองสามารถรับรู้ได้เต็มที่ จึงมีเด็กในวัยอ่อนตั้งแต่ 2-3 ขวบขึ้นไปหลายคน มีทักษะที่น่าทึ่งหลาย ๆ อย่าง ที่บางครั้งผู้ใหญ่อย่างเราเองก็ยังทำไม่ได้ในช่วงวัยเดียวกัน ซึ่งมันก็เป็นทักษะพื้นฐานที่ดีที่คนจะต้องเรียนรู้ตั้งแต่ยังเด็ก ๆ จึงจะทำให้พลเมืองเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพค่ะ จากเรื่องราวนี้จะเห็นว่าน้องมีความสามารถในการทำกิจกรรมและสืบทอดภูมิปัญญาของท้องถิ่น รักษาศิลปะวัฒนธรรมของชาติได้อย่างดีทีเดียวค่ะ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากกว่า อะไรที่เป็น ๆ เรื่องดีงามเราก็ต้องส่งเสริม

- เป็นงานหัตถกรรมที่เกิดความคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก เป็นรากเหง้าของคนในท้องถิ่น ที่คนไม่ได้เกิดที่นี่จะไม่เข้าใจในวัฒนธรรมตะวันออก และไม่ควรวิจารณ์แบบผิด ๆ

- ถูกค่ะ เราต้องปลูกฝังต้นกล้าน้อย ๆ เพื่อสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเอาไว้ค่ะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะมีเด็กสนใจเลย เก่งมากลูกสาว 

'อดีตทูตนริศโรจน์' เตือน!! อย่าหลงเชื่อบทความปลอมอ้างชื่อ ปธ.JETRO หลังพวกชังชาติ 'เขียนเอง-แชร์เอง' เพื่อดิสเครดิตไทย แนะ!! อย่าส่งต่อ

(4 ก.ค. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความเตือนผ่านเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ระบุว่า…

ช่วงนี้บทความ fake เรื่องประธาน JETRO เขียนตำหนิคนไทย เวียนกลับมาอีกแล้ว หลังจากออกมาหลายปีก่อน 

ทาง JETRO ได้เคยออกมาแถลงการณ์ปฏิเสธอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2557 แล้วว่า อดีตประธาน JETRO ไม่เคยเขียน

เบื้องหลังคือ บทความนั้นเป็นคนไทยเขียนขึ้นเองเพื่อด่าคนไทยกันเอง แต่เอาชื่อและตำแหน่งของอดีตประธาน JETRO มาสวมรอยแอบอ้าง

แบบนี้เจตนาไม่ดี ไม่สมควรครับ อย่าแชร์!!

'ผู้ช่วยสำราญ' แถลงผลงาน ตำรวจ ปส. ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล สกัดจับและปฏิบัติการปิดล้อมทลายเครือข่าย ได้ผู้ต้องหา 22 คน พร้อมยึดทรัพย์กว่า 160 ล้านบาท

​ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ

วันนี้ 4 ก.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการปราบปรามยาเสพติดที่สำคัญของ บช.ปส. ในห้วงของวันที่ 9 – 30 มิ.ย.67 ดังนี้
ผลการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ

คดีที่ 1 บก.สกส.
​สืบเนื่องจากการจับกุมคดียาเสพติด 4 คดี ผู้ต้องหา 14 คน พร้อมของกลางยาบ้า 17,040,000 และ ไอซ์ 200 กิโลกรัม ตำรวจ สกส.บช.ปส. ได้ตรวจสอบพบจุดที่รับยาเสพติดและผู้ร่วมขบวนการอยู่ในพื้นที่ จว.พะเยา และ จว.เชียงราย จึงขยายผลตรวจสอบเพื่อยึดอายัดทรัพย์สิน และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นที่มาของการเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น DID ATTACK 67 จำนวน 4 เครือข่าย 10 จุดตรวจค้น เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.67 ซึ่งตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ กก.ปพ.บช.ปส. และตำรวจภูธรภาค 5 นำกำลังเข้าปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติด รายสำคัญ 4 เครือข่าย จำนวน 10 จุดตรวจค้น ในพื้นที่ จว.พะเยา และจว.เชียงราย สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 คน คือ น.ส.โสรยา บุคคลตามหมายจับ 3 หมายจับ, นายวันรพ บุคคลตามหมายจับ 1 หมายจับ และ นายจักรกฤษ บุคคลตามหมายจับ 1 หมายจับ ในข้อหาสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแร้งเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน สามารถตรวจยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่าย 150 รายการ อาทิ อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น จำนวน 2 คูหา, บ้านพร้อมที่ดิน 3 หลัง, ที่ดิน จำนวน 24 แปลง, รถยนต์ จำนวน 6 คัน, รถแทรกเตอร์ 1 คัน, รถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน, บัญชีธนาคาร จำนวน 10 บัญชี, ทองคำรูปพรรณ จำนวน 3 เส้น, อาวุธปืน จำนวน 2 กระบอก, กระสุนปืน จำนวน 96 นัด และ อื่น ๆ รวมมูลค่ายึดทรัพย์กว่า 115,587,000 บาท

คดีที่ 2 บก.ปส.3 ผลปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติด ระหว่างวันที่ 21 - 28 มิถุนายน 2567
​1. ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น “ล้างบางองค์กรยานรก” สืบเนื่องหลังจับกุมคดียาเสพติด 5 คดี ผู้ต้องหา 19 คน พร้อมยาบ้า 21,850,000 เม็ด ไอซ์ 300 กิโลกรัม ในพื้นที่ จว.เชียงราย เชียงใหม่ พิษณุโลก สุพรรณบุรี และปทุมธานี ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 จึงขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการและยึดทรัพย์สิน จนนำไปสู่ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่าย จำนวน 20 จุดตรวจค้น ในพื้นที่ ภ.5, ภ.9 และ กทม. จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 4 คน ของกลางยาบ้า 4,279 เม็ด, ไอซ์ 50 กรัม ยึดอายัดทรัพย์สินเป็น สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน 5 รายการ, รถยนต์จำนวน 3 คัน, ทองรูปพรรณ 12 รายการ, อาวุธปืน 9 กระบอก และทรัพย์สินอื่น ๆ  รวมมูลค่าทรัพย์สิน 23,687,900  บาท
 
​2. ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น “ลาดตระเวนออนไลน์และโลจิสติกส์” ตำรวจ กก.1 บก.ปส.3 ได้สืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ที่ลักลอบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และสถานบันเทิง รวมทั้งที่ลักลอบส่งยาเสพติดผ่านบริษัทขนส่งและพัสดุภัณฑ์ ไปยังต่างประเทศ ซึ่งสามารถรวบรวมหลักฐานออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้ 3 เครือข่าย ได้แก่ เครือข่ายเขางู จว.ราชบุรี ซึ่งจำหน่ายยาเสพติดผ่านสื่อออนไลน์, เครือข่าย “จำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท” (Candy Fun) ทางสื่อโซเชียล และสถานบันเทิง และเครือข่าย “ลักลอบส่งยาเสพติดทางพัสดุไปต่างประเทศ” จนนำไปสู่ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติด ในพื้นที่ กทม. จำนวน 4 จุดตรวจค้น และพื้นที่ อำเภอเมือง จว.ราชบุรี จำนวน 4 จุดตรวจค้น รวม 8 จุดตรวจค้น จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 4 ราย ของกลางยาบ้า 100 เม็ด รวมทั้งยึดอายัดทรัพย์สินเป็น รถยนต์ 2 คัน, เงินสกุลอังกฤษ, หุ้นทอง และเงินสดจำนวนหนึ่ง มูลค่าทรัพย์สินรวม 1,788,000  บาท
 
​3. ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น “ทลายเครือข่ายนักบินชายแดน” ตามที่รัฐบาลได้กำหนดพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน พื้นที่ นบ.ยส.35 เพื่อลดปัญหาการนำเข้ายาเสพติดรุนแรงในพื้นที่ จว.เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน และตาก 18 อำเภอ นั้น ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนนำมาสู่การเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น “ทลายเครือข่ายนักบินชายแดน” เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.67 ในพื้นที่ อ.แม่แตง, อ.เวียงแหง, อ.เชียงดาว, อ.พร้าว ของ จว.เชียงใหม่ รวม 14 จุดตรวจค้น ออกหมายจับ 12 หมายจับ และยึดอายัดทรัพย์สิน 3 รายการ คือ สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดินจำนวน 2 รายการ, รถยนต์กระบะจำนวน 1 คันมูลค่าประมาณ  1,400,000  บาท
 
​4. ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น “แก้ปัญหายาเสพติด และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ จว.น่าน”
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมแก้ไขปัญหาในพื้นที่เพื่อทำให้ประชาชนมีความสุข ลดผลกระทบจากภัยทุกรูปแบบโดยเฉพาะยาเสพติด อาชญากรรม และความปลอดภัยในทุกด้าน โดยมีพื้นที่นำร่องในอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลหลังจับกุม ผู้ต้องหา 4 คน พร้อมยาบ้า 8 ล้านเม็ดเมื่อวันที่ 24 ก.ย.64 ที่ผ่านมา ล่าสุดลงพื้นที่ออกหมายจับ 10 หมายจับ จำนวน 9 คน รวม 9 จุดตรวจค้น ในพื้นที่ จว.น่าน ประกอบด้วย อ.แม่จริม, อ.เมือง, อ.ปัว, อ.เวียงสา จับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน ของกลางยาบ้า 9 เม็ด และยึดอายัดทรัพย์ จำนวน 850,000  บาท
 
2. ปส.2
คดีที่ 3
เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.67 เวลาประมาณ 18.00 น. ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 ทำการขยายผลหลังจับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมยาบ้า 3 ล้านเม็ด ได้ที่ อ.คง จว.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 22 มี.ค.67 ซึ่งพบว่าเครือข่ายนี้ยังคงเคลื่อนไหวและต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ จนวันที่ 9 มิ.ย.67 ประมาณ 01.30 น. ชุดจับกุมทราบว่าจะมีการลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน อ.ธาตุพนม จว.นครพนม กระทั่งพบรถยนต์เป้าหมายในขบวนการลำเลียงยาเสพติด เคลื่อนตัวจาก อ.เรณูนคร จว.นครพนม มุ่งหน้า อ.นาแก จว.นครพนม ตามถนนทางหลวงหมายเลข 223 จึงสะกดรอยติดตามเมื่อมาถึงบริเวณ สามแยกไฟแดงบ้านโนนหอม ต.โนนหอม อ.เมือง จว.สกลนคร และรถจอดติดสัญญาณไฟจราจร ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเพื่อตรวจสอบพบนายสุธิพร อายุ 24 ปี เป็นผู้ขับขี่รถกระบะตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ผค 38xx ราชบุรี ภายในรถพบกระสอบ 15 กระสอบ ภายในมียาบ้า รวม 6,202,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในตู้บรรทุกสินค้า 

คดีที่ 4  
​สืบเนื่องจาก ตำรวจ กก.2 บก.ปส.2 ได้จับกุมนายนัฐพงศ์ รวมพวก 3 คน พร้อมยาบ้า 12 ล้านเม็ด ได้ที่ริมถนนมิตรภาพใกล้หน่วยบริการตำรวจทางหลวงบ้านส้ม ตำรวจทางหลวงนครราชสีมา ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา เมื่อ 24 ม.ค.67 ที่ผ่านมา กระทั่งวันที่ 26 มิ.ย.67 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.2 ตรวจพบรถเป้าหมายเฝ้าระวังได้ขับขี่เข้าไปในพื้นที่ จว.หนองคาย โดยใช้เส้นทางรอง จึงจัดกำลังเฝ้าติดตามผ่านพื้นที่ จว.สกลนคร – กาฬสินธุ์ - ร้อยเอ็ด – สุรินทร์ เข้าเขตพื้นที่ ต.นางรอง อ.นางรอง จว.บุรีรัมย์ พบรถกระบะ และรถยนต์ ต้องสงสัยจอดในลักษณะผิดปกติบริเวณหน้าร้านข้าวต้ม ชุดจับกุมจึงนำกำลังเข้าสกัดไว้ทันทีพบนายวิทวัส อายุ 32 ปี ขับขี่รถกระบะ หมายเลขทะเบียน บห 58xx สกลนคร ตรวจสอบภายในรถพบยาบ้า จำนวน 2,700,000 เม็ด ส่วนรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กฉ 7605 สกลนคร มีนายพงษ์พิชญ์ อายุ 39 ปี เป็นผู้ขับขี่ มีนายพงษ์ศักดิ์ อายุ 44 ปี โดยสารมาด้วย ทำหน้าที่ขับรถสำรวจและนำเส้นทางรถลำเลียงยาเสพติด

คดีที่ 5
​จากการขยายผลการจับกุมนายนัฐพงศ์ รวมพวก 3 คน พร้อมยาบ้า 12 ล้านเม็ด เมื่อ 24 ม.ค.67 ที่ผ่านมา   กระทั่งเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.67 ตำรวจได้ตรวจพบรถเป้าหมายขณะเคลื่อนตัวออกจาก อ.สว่างแดนดิน จว.สกลนคร จึงนำกำลังติดตาม โดยกลุ่มเครือข่ายพยายามขับรถตามเส้นทางรอง เพื่อหลบหนีการตรวจสอบป้ายทะเบียน จนสามารถจับกุมตัว นายธาดาพงษ์ หรือกอล์ฟ อายุ 32 ปี ขณะขับขี่รถกระบะ หมายเลขทะเบียน ฆช 4193 กรุงเทพมหานคร ได้ที่บริเวณไร่มันสำปะหลัง ต.รังกาใหญ่ อ.พิมาย จว.นครราชสีมา ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้ารวมจำนวน 1,500,000 เม็ด                

คดีที่ 6
​สืบเนื่องจากการจับกุม น.ส.ณัฐภัค กับพวก 4 คน พร้อมของกลาง ไอซ์ 50 กก., เคตามีน 50 กก. ใน อ.บำเหน็จณรงค์ จว.ชัยภูมิ เมื่อ 10 พ.ค.67 ที่ผ่านมา ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ทำการขยายผลและพบว่าเครือข่ายยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จนวันที่ 19 มิ.ย.67 ตรวจพบรถเฝ้าระวังเข้ามาในพื้นที่ อ.โพนพิสัย จว.หนองคาย กำลังตำรวจจึงลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและคัดกรองรถ ที่ผ่านพื้นที่ จว.อุดรธานี - ขอนแก่น จนมาถึง ถนนมิตรภาพ กม.193 (ขาเข้ากรุงเทพฯ) ในพื้นที่ ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา และสามารถสกัดจับรถกระบะ ISUZU DMAX หมายเลขทะเบียน ผผ 4908 อุบลราชธานี พร้อมคนขับคือนายปฏิวัติ อายุ 26 ปี และผู้โดยสารคือ นายอดิศักดิ์ อายุ 27 ปี ตรวจค้นในรถพบไอซ์ จำนวน 400 กก. ซุกซ่อนในห้องโดยสาร

3. บก.ปส.1
คดีที่ 7 จับกุมเครือข่าย “ต้า ท่าขี้เหล็ก” ตามแผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย 
สืบเนื่องจากตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 สืบสวนพบกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดออนไลน์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งจะขึ้นไปลำเลียงยาเสพติดจากทางภาคเหนือมาจำหน่าย และส่งออกไปยังกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก กระทั่งวันที่ 29 มิ.ย.67 พบรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคล หมายเลขทะเบียน 1ฒก 81xx กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเฝ้าระวังกำลังขับลงมาจาก จว.เชียงราย ผ่าน จว.พะเยา-ลำปาง-แพร่-พิษณุโลก-พิจิตร-นครสวรรค์ พอมาถึงด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี ตำรวจได้เรียกเพื่อขอทำการตรวจค้นพบนายวันชัย หรือเปา เป็นคนขับ และทำการตรวจค้นรถด้วยการใช้เครื่องเอกซเรย์ พบวัตถุต้องสงสัยอยู่ใต้พื้นกระบะ จึงทำการรื้อถอนโครงสร้างพบเป็นไอซ์ ลักษณะ  เป็นก้อนรวมจำนวน 89 กก. ซุกซ่อนไว้ในช่องลับที่ทำการดัดแปลง ด้าน นายวันชัย ยอมรับว่าเตรียมนำรถที่มียาเสพติด ไปจอดทิ้งไว้โดยจะมีนายอาทิตย์ มารับช่วงต่อ บริเวณตลาดพระปิ่น 3 อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี ตำรวจจึงวางแผนนำไปจอดตามนัดหมาย กระทั่งพบรถต้องสงสัยเป็นกระบะ หมายเลขทะเบียน 3ขร 69xx กทม. ลักษณะขับวนเข้า-ออก ลานจอดรถหลายรอบ ตำรวจจึงนำกำลังติดตามไปยังบริเวณลานจอดปั๊มน้ำมันเชลล์ อ.บางบัวทอง จว.นนทบุรี 

จึงแสดงตัว ขอตรวจค้น ทราบชื่อคือนายเปา หรือนายอาทิตย์ รับสารภาพว่าจะมารับรถยนต์ที่ซุกซ่อนยาเสพติด เพื่อจะนำยาไปพักไว้ที่บ้านเลขที่ 119/110 หมู่บ้านพฤกษาวิลล์ 19 หมู่ 3 ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จว.นนทบุรี ตามสั่งการ ตำรวจจึงขยายผลนำกำลังเข้าตรวจสอบบ้านดังกล่าวพบยาเสพติดเพิ่มเติมเป็น ไอซ์ 35 กิโลกรัม, เฮโรอีน 5.6 กิโลกรัม และ คีตามีน 28 กิโลกรัม สอบสวน นายวันชัย ระบุว่าตนเองได้รับคำสั่งจากนายต้าให้ลำเลียงยาเสพติดจากทางภาคเหนือ มาส่งให้กับนายอาทิตย์ ทำมาแล้วจำนวน 5-6 ครั้ง ขณะที่ นายอาทิตย์ หรือเปา ระบุว่าได้รับคำสั่งจากนายต้า ให้นำรถที่บรรทุกยาเสพติดนำมาเก็บเข้าโกดัง เมื่อเสร็จแล้วก็นำรถไปคืนให้นายวันชัย เพื่อนำรถไปลำเลียงยาเสพติดในรอบต่อไป ทั้งนี้ สามารถตรวจยึดเงินสด และเงินในบัญชีหมุนเวียน จำนวน 5,000,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างออกหมายจับผู้สั่งการ ผู้ร่วมขบวนการที่นำยาเสพติดกระจายในพื้นที่โดยรอบกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และส่งออกไปยังต่างประเทศ 
 
​สำหรับการปราบปรามยาเสพติดของ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญได้ 1,076 คดี / ผู้ต้องหา 1,436 คน ของกลางเป็นยาบ้า 327,433,971 เม็ด, ไอซ์ 7,326 กก., เฮโรอีน 406 กก., คีตามีน 2,109 กก. และ ยาอี 2,005 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่าประมาณ 3,616 ล้านบาท 

 

'พี่วัน' สยบดรามา!! รายการตลกดังอำแรง 2 แขกรับเชิญนายตำรวจใหญ่ เผย!! 2 ท่านให้เล่นเต็มที่ ส่วนที่ตนลบโพสต์ เพราะหวั่นแฟนคลับเปิดศึก

(4 ก.ค.67) จากกรณีก่อนหน้านี้ที่ ‘วัน อยู่บำรุง’ โพสต์ติง รายการตลกชื่อดัง ที่ได้ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร และ รองแต้ม พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ จากนั้นไม่นานโพสต์ดังกล่าวก็ถูกลบทิ้งไป จนหลายคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น 

ล่าสุด ‘วัน อยู่บำรุง’ ผู้ช่วย รมต.ประจำกระทรวงสาธารณสุข ได้ไลฟ์สดชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่า หลังจากที่ได้ดูแล้วก็สึกเอะใจนิดนึง คือเข้าใจว่าทางรายการมีการขออนุญาตแล้วว่าจะเล่นมุกแบบนี้ แต่รู้สึกว่าอำกันแรงเกินไปหน่อย บางอันดูเลยเถิด ถามว่าเทปนี้ตลกไหม ก็ตลกนะ ส่วนตัวดูรายการนี้มาตลอด และชอบศิลปินทุกคนที่อยู่ในรายการ 

แต่ในฐานะผู้บริโภคสื่อคนหนึ่ง ก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ แต่หลังจากที่ตนโพสต์ข้อความออกไปนั้น มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็น 2 ทาง ทั้งที่เห็นด้วย และเห็นต่าง อีกอย่างคือจะแหย่ว่าถ้าเชิญผมไปออกแบบนี้ ผมไม่เล่นด้วย ส่วนสาเหตุที่ลบโพสต์ออกไปนั้น เพราะกลัวว่าแฟนคลับของตนทั้ง 2 ฝั่งจะตีกัน แต่ไม่ทันเพราะว่ามีข่าวออกไปก่อน และทางรายการก็ได้โทร.มา สรุปไม่มีดราม่าอะไร เพราะทั้ง 2 ท่าน บอกว่าให้เล่นเต็มที่

'เพจดัง' ชวนอ่าน!! 'อำนาจ การเมือง เรื่องลือ' ความจริงที่หายไปจากกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8

(4 ก.ค. 67) จากเพจ 'ฤๅ - Lue History' ได้โพสต์ข้อความถึงหนังสือเล่มใหม่ ในชื่อ 'อำนาจ การเมือง เรื่องลือ' - ความจริงที่หายไปจากกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ระบุว่า...

หนังสือเล่มนี้ ว่าด้วยเรื่องปริศนาเรื่องเอกของวงการประวัติศาสตร์ไทย ที่ยังเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ...

‘กรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8’

แม้ว่าในท้องตลาดจะมีหนังสือประเภทดังกล่าวอยู่จำนวนพอสมควร ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่เริ่มทยอยผลิตออกมาตั้งแต่เหตุการณ์สวรรคตบังเกิดขึ้นใหม่ ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากกระแสเรื่องกรณีสวรรคตยังคงเป็นปริศนาและยังไม่เป็นที่ยุติโดยได้ง่าย ความกระหายใคร่อยากรู้ของประชาชนในประเด็นดังกล่าว จึงยังเป็นสิ่งที่ไม่เคยจางหายแม้นเหตุการณ์วิปโยคนี้จะล่วงเลยมากว่าชั่วอายุคนแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ดี หนังสือเหล่านี้จำกัดอยู่เพียงแค่การเล่าถึงรูปคดีและการอธิบายทฤษฎีเบื้องลึก/เบื้องหลัง ตามหลักฐานเดิม ๆ ที่ถูกนำมาตีความใหม่ ๆ โดยผู้เขียนเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยต่างมีธงหรือทฤษฎีในใจในการเขียนชี้นำผู้อ่านให้เลือกเชื่อตามแต่เจตนาของผู้เขียนอยู่แล้ว

แน่นอนว่าจำนวนเกินกว่าครึ่งของหนังสือเหล่านี้หาใช่หนังสือในรูปแบบวิชาการ หากแต่เป็นการเล่าเรื่องแนวซุบซิบ คำแก้ตัว การรวมคำพิพากษาคดีและบทวิเคราะห์ หรืองานเขียนกึ่งสารคดีทางการเมือง อันมีการใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์รวมถึงกรอบทฤษฎีอย่างวิชาการน้อยมาก ทำให้ความก้าวหน้าในเรื่องกรณีสวรรคตไม่ปรากฏ ‘เป็นการพายเรือวนในอ่าง’ แต่เพียงเท่านั้น

ทางคณะผู้เขียนซึ่งเห็นตรงกัน จึงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการใช้กรณีสวรรคต ซึ่งเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่จบไปแล้ว มาใช้ประโยชน์เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น การเผยแพร่ข่าวลือหรือการกล่าวหาอย่างไร้หลักฐานและไม่เป็นธรรมต่อบุคคลใด ๆ ก็ตามในเรื่องนี้โดยปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง

พฤติการณ์เช่นนี้คือ การกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ชาติ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันการใช้กรณีสวรรคตมาปลุกระดมทางการเมือง เป็นการกระทำการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นแกนกลางของกรณีสวรรคตนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้คณะผู้เขียนเห็นว่าควรต้องยุติได้แล้ว

>> ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงถูกเขียนขึ้นมาด้วยเหตุข้างต้น คณะผู้เขียนตั้งใจจะฉายให้เห็นสภาพแวดล้อมทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงเหตุการณ์และรายงานจากเอกสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่เกี่ยวกับกรณีสวรรคตนับตั้งแต่ พ.ศ.2489-2500 และลงลึกไปถึงระดับจุลภาคว่ามีผู้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องหรือเป็นผู้บงการการปล่อยข่าวลือดังกล่าว

โดยหนังสือเล่มนี้ได้เรียกเอาเอกสารชั้นต้นเท่าที่เสาะหาได้ล่าสุดในปัจจุบันมาทำการสอบปากคำอย่างละเอียดในทุก ๆ หน้ากระดาษและตัวอักษร เพื่อเค้นเอา ‘ความจริง’ ในเหตุการณ์ที่จบสิ้นไปนานแล้วออกมาให้มากที่สุด

และแน่นอน คณะผู้เขียนได้พยายามอย่างที่สุดที่จะสกัดเอาการเมืองออกไปจากความจริงแห่งยุคสมัยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

*** คณะผู้เขียนหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจทั่วไป ผู้ที่สนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย หรือเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากทราบความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคตที่มีความเบื่อหน่ายกับการใช้ข่าวลือ เรื่องเท็จ หรือความเห็นทางการเมืองมาเขียนปะปนกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้หวังใจว่าจะเป็น ‘ก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่’ ในการจุดประกายสู่การนำไปต่อยอดทางวิชาการหรือวิพากษ์งานชิ้นนี้ต่อไปในอนาคต เพื่อเติมเต็ม ‘ความจริง’ ที่ยังขาดตกบกพร่องในประเด็นนี้ต่อไป

จีรวุฒิ (อุไรรัตน์) บุญรัศมี, จิตรากร ตันโห และธงรบ
มิถุนายน 2567, หาดใหญ่ - พระนคร

เราจะอัปเดตความคืบหน้าของหนังสือเล่มนี้ให้ทราบเป็นระยะครับ

ช่วยเป็นกำลังใจ และร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของพวกเราได้ที่...
บัญชี. มูลนิธิสยามรีกอเดอ
ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 0398045898

ขอบคุณครับ

'ภูมิธรรม' ขยายผล 'เศรษฐา' จับมือมาเลฯ ดันเป้า 1 ล้านล้านบาท ภายในปี 70 พร้อมเชื่อมโยงชายแดนใต้ด้วย Twins City

ภูมิธรรม เดินหน้าผลักดันให้มาเลเซียอำนวยความสะดวกและเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย ตลอดจนยกระดับความเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนใต้ให้เป็นรูปธรรม หนุนการค้าสองฝ่ายขยายตัว พร้อมขยายความร่วมมือฮาลาล ดันแฟรนไชส์ไทยไปยังมาเลเซียมากขึ้น

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า ไทย -มาเลเซีย (Thailand  -Malaysia Joint Trade Committee :JTC) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่า ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีในทุกระดับโดยเฉพาะผู้นำประเทศโดยท่านนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม กับนายกรัฐมนตรีประเทศไทย เศรษฐา ทวีสิน ได้มีการพบปะหารือเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจกันอย่างบ่อยครั้ง โดยมีการปรึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจการค้าอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการมาเยือนมาเลเซียของผมในครั้งนี้ ผมได้มาสานต่อให้กับท่านผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งจะมีผลที่สามารถนำไปกำหนดทิศทางอย่างเป็นรูปธรรม 

“การมาครั้งแรกหลังจากที่ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศมาเลเซียเป็นเพื่อบ้านใกล้ชิดและเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียนของไทย โดยการประชุมในครั้งนี้ ทั้ง 2 ประเทศ จะเดินหน้าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการค้าให้บรรลุเป้าหมาย 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2570 ตามที่นายกรัฐมนตรีสองฝ่ายตั้งเป้าหมายไว้ โดยจะอำนวยความสะดวกในการเปิดตลาดสินค้าเกษตรของทั้งสองฝ่ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งไทยได้ขอให้มาเลเซียเร่งอนุญาตนำเข้าเนื้อโค เนื้อสุกร และนกเขาชวาเสียง รวมทั้งตรวจรับรองผู้ผลิตสินค้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยในการส่งออกไปยังมาเลเซีย”

นายภูมิธรรมเสริมว่า ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนและเพิ่มตัวเลขการค้าชายแดน โดยเร่งรัดให้คณะทำงานด้านการค้าชายแดน และการค้าการลงทุนที่นายกรัฐมนตรีสองฝ่ายได้จัดตั้งขึ้นทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งมาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะทำงานครั้งแรกปลายเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุนชายแดน และไทยได้เสนอการเชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่นระหว่าง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย กับ 5 รัฐตอนเหนือของมาเลเซียในรูปแบบเมืองคู่แฝดทางการค้า ระหว่างจังหวัดนราธิวาส-รัฐกลันตัน สงขลา-รัฐเคดาห์ สตูล-รัฐเปอลิส ยะลา-รัฐเปรัก และปัตตานี-รัฐตรังกานู ตลอดจนได้ผลักดันให้เร่งหาข้อสรุปในการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย เพื่อให้ลงนามได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความคืบหน้าการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่และด่านบูกิตกายูฮิตัมฝั่งมาเลเซียที่กำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะทำให้การขนส่งสินค้าและการเดินทางของนักท่องเที่ยวข้ามพรมแดนสะดวกมากยิ่งขึ้น

นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือใหม่ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านฮาลาล และธุรกิจแฟรนไชส์ที่ไทยมีศักยภาพไปยังมาเลเซีย รวมถึงความร่วมมือด้านดิจิทัลและดาต้าเซนเตอร์ที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการค้า ดึงดูดการลงทุน และเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล 

โดยในช่วงท้าย นายภูมิธรรม ได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนฝ่ายมาเลเซียเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดสงขลา รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการค้าของไทยในปี 2567 ที่จะจัดขึ้นในประเทศมาเลเซีย เช่น งาน Thailand Week 2024 และงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยด้วย

ในนามรัฐบาลไทยขอขอบคุณอีกครั้งที่ได้ร่วมกันผลักดันการประชุมในวันนี้ให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพในส่วนของฝ่ายไทยของจะนำผลประชุมในครั้งนี้ไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีให้ทราบถึงการผลักดันเศรษฐกิจร่วมของทั้งสองประเทศในครั้งนี้เพื่อผมจะรอต้อนรับคณะรัฐตรีและผู้บริหารของมาเลเซียในการประชุม JTC ครั้งที่ 4 ที่ไทย

ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นประเทศเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน และอันดับที่ 4 ของไทยในโลก และเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับ 1 ของไทย ในปี 2566 การค้ารวมไทย-มาเลเซีย มีมูลค่า 25,118.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (-7.14%) สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 10,787.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (-0.54%) โดยเป็นการส่งออก 5,046.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 5,740.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างชีวิต อย่างยั่งยืน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้กับโรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรีแก่ชาวสกลนคร

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่าสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร จำนวน 29 ครัวเรือน พร้อมทั้งมอบรถจักรยานในโครงการ จักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 5 จำนวน 100 คัน กระบอกน้ำ จำนวน 500 ใบ ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน จำนวน 10 แห่ง เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าสิ่งของที่มอบในครั้งนี้เป็นเงิน 922,660 บาท (เก้าแสนสองหมื่นสองพันหกร้อยหกสิบบาทถ้วน) โดยมี นายชยุต วงศ์วณิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย นางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน เขตตรวจราชการ ที่ 11 คณะเมตตาธรรมมูลนิธิสกลนคร ร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ  ณ หอประชุมถนอมจันทร์เปล่ง กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมหน่วยแพทย์ฯ และเจ้าหน้าที่กู้ชีพ  แผนกบรรเทาสาธารณภัยฯ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น  และบริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบไปแล้วรวมทั้งสิ้น 12 จังหวัด

ตลอดระยะเวลา 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ช่วยชีวิต #รักษาชีวิต #สร้างชีวิต 
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ตำรวจ!! สแกน!! ‘พะงัน’ รวบต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ หลังคนพื้นที่ร้องเรียน ‘เปิดร้านค้า-ขายของ-ขับรถเร่’ กันพรึ่บ

(4 ก.ค.67) พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (ผบช.ทท.) สั่งการให้ พ.ต.ท.วินิจ บุญชิต สว.ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 บูรณาการร่วมกับนายนพดล ขาวมะลิ นายอำเภอเกาะพะงัน , ผกก.สภ.เกาะพะงัน , สว.ตม.เกาะพะงัน หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้นำท้องถิ่นว่ามีต่างด้าวลอบมาทำงานในพื้นที่ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ และได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาเป็นชาวเมียนมา และคนไทย รวม 7 ราย ข้อหา ‘เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ์จะทำได้ (ค้าขาย)’ และ ‘เป็นนายจ้างให้บุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้ (ค้าขาย)’ รวมถึง ‘เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต’ โดยมีทั้งเปิดร้านค้าขายข้าวราดแกง, ขายของหน้าร้านชำ, ขับรถเร่ขายของ, เปิดร้านขายน้ำชาพม่า และร้านขายหมากพลู พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เกาะพะงัน เพื่อดำเนินการตาม กฎหมายต่อไป

หนึ่งในชาวเมียนมาที่ถูกจับกุม กล่าวว่า ตนไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารที่ใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใด เนื่องจากลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านชายแดน จ.ระนอง โดยมีค่าใช้จ่าย 18,000 บาท ซึ่งมีนายหน้าชาวเมียนมาไม่ทราบชื่อเป็นผู้ช่วยเหลือลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ตนเข้ามาอยู่ในพื้นที่ อ.เกาะพะงัน เป็นเวลา 6 เดือนแล้ว

ด้านนายนพดล ขาวมะลิ นายอำเภอเกาะพะงัน กล่าวว่า มีประชาชนร้องเรียนว่ามีบาร์เบอร์ชื่อดังเข้ามาตัดผมอยู่ที่เกาะพะงัน ทางผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้สั่งการให้ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับฝ่ายปกครอง ทำการตรวจสอบ แต่พบว่าไม่มี เป็นเพียงการเข้าใจผิด และตรวจสอบแล้วในพื้นที่เกาะพะงันไม่มีช่างตัดผมดังที่เป็นข่าวในพื้นที่แน่นอน จึงขอให้ประชาชนคำนึงถึงภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ก่อนจะแชร์ข่าวอะไรออกไป

สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ ส.ทท.5 กก.2 บก.ทท.3 กวดขัน ควบคุมพฤติกรรมชาวต่างชาติและบุคคลต่างด้าว แรงงานข้ามชาติ แย่งอาชีพคนไทย และการกระทำความผิดในคดี 10 กลุ่มต้องห้าม ในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวและเป็นการป้องปราบกลุ่มแรงงานหรือนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแล้วแฝงตัวทำงานในพื้นที่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top