Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

‘ดร.อานนท์’ เผย ‘รุ้ง’ ไปศาลยอมรับสารภาพผิด ‘ม.112’ คาด!! มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 

ได้ข่าวว่าน้องรุ้งไปศาลวันนี้ แล้วยอมรับสารภาพว่ากระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สำหรับคดีวันนี้ทั้งหมด

อันอาจจะแปลความได้ว่า น้องรุ้งได้พิจารณาจากรูปคดีแล้ว คิดว่าสารภาพไปเลยให้ความร่วมมือยังจะได้ลดโทษบรรเทาโทษจากศาล

ขอให้น้องรุ้งได้รับความเมตตาจากศาลด้วยครับ ผมทราบว่าน้องรุ้งเองถูกผลักดันจากผู้ใหญ่ที่บงการเบื้องหลังน้อง แต่กฎหมายเอาตัวผู้บงการมิได้ คนบงการต่างหากที่ควรได้รับโทษเต็มๆ แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึงครับ

แม้กระทั่งวันที่มาดีเบตกับผม น้องรุ้งก็มิได้เต็มใจจะมา และมิได้เตรียมตัวมาเลย นักวิชาการ นักการเมือง สีส้ม ล้มเจ้า ไม่มีใครยอมมาดีเบตกับอานนท์ แล้วบังคับส่งน้องรุ้งมา พร้อมกับเอกสารเป็นปึกที่น้องยังไม่ได้อ่านให้รู้เรื่องเลย แต่ก็ต้องมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากมาดีเบตกับอานนท์เลย น้องรุ้งยังบอกอีกว่าวันนี้หากเป็นรุ่นเด็ก ก็ควรจะเป็นเพนกวิ้น ไม่ควรจะเป็นหนู แต่เพนกวิ้น หอบหืดหนักต้องไปพ่นยาที่โรงพยาบาลแล้วมาไม่ได้หนูเลยต้องมาแทน

นี่คือตัวตนและชะตากรรมของน้องรุ้ง

ขอให้ทุกคน ให้ความเมตตาน้องรุ้ง ปนัสยา ด้วยนะครับ ผมกราบขอร้องครับ

ปล. น้องรุ้งไม่ได้หนีคดีนะครับ ขอยกย่องในข้อนี้ไว้ก่อนนะครับ

นอกจากนี้ ดร.อานนท์ ก็ยังได้กล่าวเสริมอีกด้วยว่า...

น้อง ๆ กลุ่มคณะราษฎร 2563 กลุ่มทะลุวัง กลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มอื่นๆ ที่เคยกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทุกคนครับ อยากให้น้องทำเพื่อตัวเองโดยที่ 

หนึ่ง ให้ความร่วมมือกับศาลในการพิจารณาคดี อย่าแสดงพฤติกรรมไม่ร่วมมือกับศาลท่านตามคำยุยงของทะแนะทั้งหลายจะไม่ส่งผลดีต่อตัวน้องครับ

สอง ถ้ารูปคดีไม่มีทางต่อสู้ ยอมรับสารภาพผิดกับศาลท่านไปเถิดครับ จะได้รับความเมตตา โทษจะบรรเทาเบาบางลงไปมากกว่าครึ่ง

สาม อย่าหนีคดี คนเราทำสิ่งใดไว้ก็ต้องรับผลการกระทำนั้นอย่างกล้าหาญ

สี่ กลับใจ ถ้ารู้ว่าตนหลงผิดไป หรือรู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ แสดงพฤติกรรมที่ควรจะแสดงให้ถูกต้อง จะกราบขอพระราชทานอภัยโทษในที่สาธารณะก็ควรทำครับ 

ห้า ถ้ารู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ ถูกบังคับ ถูกละเมิด จะออกมาแฉเอง หรือจะให้สื่อช่วยแฉก็ทำได้ทั้งนั้น 

หก ถ้าคดีพิพากษาไปจนถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ประพฤติตนดีในเวลาที่รับโทษ แล้วให้ทำเรื่องถวายฎีกาขอรับพระราชทานพระเมตตาในการอภัยโทษ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจ

ผมมั่นใจว่า หลังจากคดีสิ้นสุดแล้ว การถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษ ขอรับพระราชทานพระเมตตา จะต้องถึงพระเนตรพระกรรณอย่างแน่นอน สำหรับคดีมาตรา 112 ที่น้อง ๆ ได้หลงผิดและพลาดไปแล้ว

‘ราชกิจจาฯ’ ประกาศใช้ตัวอักษรพิเศษป้ายทะเบียนรถ ‘70 หมวด’ มี ‘ไข่เจียว-สุดหล่อ-เท่’ ภายใต้เงื่อนไขรถส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง

(5 ก.ค. 67) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศนายทะเบียนทั่วราชอาณาจักร เรื่อง การกำหนดการใช้ตัวอักษรประจำหมวดและหมายเลขทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2567 เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

รายละเอียดสำคัญ คือ ก่อนหน้านี้ประชาชน และสำนักงานกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ได้มีการเสนอคำหรือข้อความที่จะใช้เป็นตัวอักษรประจำหมวดเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ ประกอบกับ คณะอนุกรรมการพิจารณาตัวอักษรประจำหมวดที่ใช้กับแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ในการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 63 ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบให้ใช้ตัวอักษรประจำหมวดเพิ่มเติมจำนวน 70 หมวด

ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดการใช้ตัวอักษรประจำหมวดที่ใช้กับแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษเพิ่มเติมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงกำหนดให้เพิ่มเติมตัวอักษรประจำหมวดตามบัญชีแนบท้ายประกาศ เป็นตัวอักษรประจำหมวดที่ใช้กับแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน

สำหรับบัญชีตัวอักษรประจำหมวด แนบท้ายประกาศนายทะเบียนทั่วราชอาณาจักร เรื่อง การกำหนดการใช้ตัวอักษรประจำหมวดและหมายเลขทะเบียนรถสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานคร (ลงวันที่ 20 พ.ค. 67) ได้แก่ กัญฐณา, แก้วมณี, ไข่เจียว, จินตา, จิรทิต, เจอ, ชมพู, ชัดเจน, ชุมพล, ณโม, ณพธวัช, ดวงใจ, ดาริน, ต้น, ต้อง, ตาม, เต้ย, ทวีสุข, เท่, ธรรศธน, นรา, นับเงิน, นิด, ปัญ, ปานคำ, แป้ง, โป้ง, พรทิพย์, พริม, พอวา, พัน, พีร, เพชรทวี, มงคลกร, มาวิน, มิลานันท์, มีดี, มีทรัพย์, มุ่งเจริญ, ยศดี, ยุทธ์, ร่มโพธิ์, รวยยศ, รวยสุข, รังษี, ราบรื่น, ละมุน, วงละคร, วัฒน์, ศิลป์, ศุภกิจ, สมยศ, สันติสุข, สินอุดม, สุขสบาย, สุดหล่อ, สุพจน์, โสรดา, หฤทัย, หล่อ, หล่อรวย, เหมทอง, อนัญญา, อัฑฒ์, อารี, อิงอุ่น, อิทธิกร, เอม, เอวา และเอี่ยม

สนั่นโซเชียล!! ‘นร.หญิง’ โวย!! ถูกไล่ออกเพราะ ‘แต่งหน้าไปเรียน’ อ้าง!! ขอจบเทอมก่อนแล้วจะลาออกให้ แต่ทางโรงเรียนก็ไม่ยอม

(5 ก.ค.67) กลายเป็นประเด็นดราม่าร้อนแรงในโลกออนไลน์ หลังเพจ ‘เจ๊มอยV+’ ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของ นักเรียนหญิงโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.ตรัง โร่ร้องเรียน โดนทางโรงเรียนไล่ออก เพราะแต่งหน้าไปเรียน

โดยระบุข้อความว่า “ทางโรงเรียนก็ควรออกมาชี้แจงนะคะ ว่าข้อเท็จจริงประการใด น้องขอให้จบเทอมก่อน แล้วค่อยลาออกก็ไม่ยอม แบบนี้ก็ไม่สมควรนะคะ”

พร้อมแนบภาพข้อความว่า “นักเรียนสาวสุดช้ำ โดนเชิญผู้ปกครอง ให้เซ็นใบลาออก ทางโรงเรียนย้ำไม่ต้องมาอีก อ้อนวอนขอจบเทอมก็ไม่เป็นผล เหตุเพราะแต่งหน้าไปโรงเรียน ยอมรับว่าเคยทำผิดแต่ปรับปรุงตัวเองมาตลอด”

ก่อนที่เพจดังกล่าวได้โพสต์ภาพข้อความสนทนานักเรียนหญิงคนดังกล่าวอีก 2 ภาพ โดยนักเรียนได้อธิบายสาเหตุและพฤติการณ์ของเหตุการณ์ว่า “คือก่อนหน้านี้หนูติดทัณฑ์บนไว้แต่หนูไม่ได้ทำตัวแบบนั้นแล้ว ที่ผ่านมา คือ ปรับตัวมาตลอดไม่เคยกลับไปทำอย่างนั้น”

“เพราะตอนติดทัณฑ์บนคือโดดเรียน แต่พอหลังจากนั้นก็ตั้งใจเรียนนะคะ แต่เมื่อวานตอนเข้าแถว ครูเขาก็เดินมาถามเพื่อนหนูว่าตัดผมเพิ่มไหม และหนูนั่งก้มหน้าอยู่ตอนนั้น ครูเขาก็ให้หนูแหงนหน้าขึ้นแล้วบอกให้หนูไปพบที่ห้องกิจนักเรียน”

ส่วนอีกภาพมีข้อความว่า “แต่ตอนที่หนูไปหนูไม่ได้คิดอะไร เพราะแค่แต่งหน้าเหมือนปกติที่ทามาแล้ว เขาก็พูดกับหนูแบบดุ ๆ แล้วบอกให้เชิญผู้ปกครองมา หนูก็ตอบกลับไปว่า แล้วทำไมคนอื่นแต่งได้สิทธิเด็กก็เท่าเทียมกัน ทำไมต้องโดนแค่หนู”

“เขาบอกว่าก็หนูเคยมีวีรกรรมมาแล้ว แล้วหนูก็บอกว่า แต่หนูไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว ตอนให้เซ็นใบปิดทัณฑ์บนก็ไม่ให้หนูอ่าน บอกแค่ว่ารีบ ๆ เซ็น แล้วก็มีปากเสียงกันเล็กน้อย แล้วเขาบอกหนูเถียงเขา แล้วหนูบอกว่าแค่อธิบายให้ฟังทำไม คนอื่นทำได้หนูถึงทำไม่ได้ สิทธิเหมือนกันหมด”

“แล้วหนูก็พูดกับเพื่อนว่าหนูรอดูทวิตเตอร์นะ แต่ตอนนั้นคือหนูพูดหยอกกัน แต่ครูก็บอกว่าหนูขู่เขา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปหนู แล้วน้ำเสียงคือพูดดี แต่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คือ พูดกับหนูคนละคนเลย”

งานนี้เมื่อข้อความดังกล่าวแชร์ออกไป ทำเอาชาวเน็ตจำนวนไม่น้อย เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียงกันสนั่นทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีการออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง จากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางเด็กผู้ร้องเรียน รวมถึงโรงเรียนที่ถูกกล่าวอ้างถึงแม้แต่อย่างใด

คอมเมนต์บางส่วน

- โรงเรียนอะไร?

- เคยทำมาแล้ว แต่ก็ยังทำอีก ก็คงเถียงไม่ขึ้น

- โรงเรียนไหนที่ตรัง มีหลายโรงเรียนที่ตอนนี้ มีสอนแต่งหน้าเด็กให้เหมาะกับวัย แล้วก็มีหลายโรงเรียนที่เปิดให้เด็กแต่งหน้าไปโรงเรียนได้แล้ว ครูควรออกไปดูโลกข้างนอกหน่อยนะคะ

‘ปปง.’ แจ้ง!! 'เหยื่อคอลเซ็นเตอร์' เริ่มยื่นคำร้องขอทรัพย์สินคืนได้ หลังยึดทรัพย์ ‘แก๊งมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน’ ได้แล้วร่วมหมื่นล้านบาท

(5 ก.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงประชาชนคนไทยโอนเงินมูลค่าเสียหายนับแสนล้านบาทนั้น ล่าสุดจากข้อมูลพบว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์เป็นของกลางแล้ว ดังนี้

- เงินสดรวมได้ประมาณ 6,000,000,000 บาท

- อสังหาริมทรัพย์อีกจำนวนหนึ่งประมาณ 4,000,000,000 บาท

- รวมกันแล้วประมาณ 10,000,000,000 บาท

สำหรับทรัพย์สินยึดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องเฉลี่ยทรัพย์คืนให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหาย หลังจาก ปปง. ยึดทรัพย์มาแล้ว โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ภายใน 90 วัน เพื่อให้ประชาชนมายื่นคําร้องขอรับการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งผู้เสียหายจะได้รับเงินชดใช้คืนเมื่อศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เสียหายได้รับเงินชดใช้คืนแทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถยื่นคําร้องขอคุ้มครองสิทธิ ผ่าน 3 ช่องทาง

1.ยื่นด้วยตนเอง ณ สํานักงาน ปปง.

2.ยื่นทางไปรษณีย์ลงทะเบียนส่งถึง สำนักงานป้องกันและปราบการฟอกเงิน เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โดยวงเล็บ 2 มุมซองด้านบนว่า “ส่งแบบคําร้องขอ คุ้มครองสิทธิรายคดี….”

3.ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง https://khumkrongsit.amlo.go.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02-219-3600 หรือ โทร 1710

นายคารม เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 มิ.ย.67 ผลการแจ้งความออนไลน์ ผ่าน https://www.thaipoliceonline.com รวม 35,379 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวม 3,437,689,020 บาท เฉลี่ย 114,589,643 บาทต่อวัน ผลการอายัดบัญชี 10,713 บัญชี ยอดขออายัด 1,404,539,300 บาท ยอดอายัดได้ 719,057,785 บาท

สำหรับประเภทคดีออนไลน์ที่มีการแจ้งความมากที่สุด 5 อันดับแรก ดังนี้

1.หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) มูลค่าความเสียหาย 160,929,368 บาท

2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 583,012,851 บาท

3.หลอกให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 145,768,931 บาท

4.หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 1,427,157,157 บาท

5.หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น มูลค่าความเสียหาย 235,952,533 บาท

ทั้งนี้ จากรายงานข้อมูลดังข้างต้น ยังมีประชาชนหลงกลตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ขอประชาชนระมัดระวังอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ ที่เชิญชวน ชักชวนโดยวิธีการต่างๆ หากถูกหลอก สามารถแจ้งความออนไลน์ที่ https://www.thaipoliceonline.com หรือสอบถามที่เบอร์ 1441 หรือ 081-866-3000

‘ร้านคาเฟ่’ โต้!! หลังโดนลูกค้ารีวิว 1 ดาว เพราะเลี้ยงหมาในร้าน แจง!! น้องเกิด-โตที่นี่ แถมพิการซ้ำไม่ทำร้ายใคร ขาประจำจะรู้ดี

(5 ก.ค. 67) ในปัจจุบัน สถานที่ต่าง ๆ ทั้งร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ อนุญาตให้ลูกค้านำสัตว์เลี้ยงไปด้วยมากขึ้น หรือบางแห่งก็มีสัตว์เลี้ยงของเจ้าของอยู่ภายในร้านด้วย โดยปกติลูกค้าก็มักไม่มีปัญหาอะไร หากเจ้าของระมัดระวังเรื่องความสะอาด

แต่เจ้าของร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง แถมป้อมปราบศัตรูพ่าย กลับต้องหัวเสีย เมื่อโดนลูกค้ารีวิว 1 ดาว เนื่องจากเขาเลี้ยงสุนัขไว้ภายในร้าน ทางร้านจึงแคปรีวิวนั้นแล้วโพสต์ลงเพจเฟซบุ๊กของร้าน

ลูกค้ารายนี้ระบุว่า “ขายของกินแต่เลี้ยงสุนัขไว้กลางร้าน คือไม่ได้เกลียดสุนัขนะ แต่มันไม่เหมาะที่จะเอามาเลี้ยงไว้กลางร้าน ใครจะอยากนั่งกิน..”

เจ้าของร้านจึงมาตอบว่า “ไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่งครับ เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจมานั่งตั้งแต่แรก มีพยาน สั่งอเมริกาโน่ร้อน 1 แก้ว 65 บาท (กลับบ้าน) เพื่อมาดิสเครดิตร้าน ส่วนน้องหมาก็ไม่ได้ไปเห่าหรือกัดทำร้าย น้องนอนเฉย ๆ น้องหมาของเราชื่อถ้วยฟู น้องเกิดและโตที่นี่ อยู่มากับร้านตั้งแต่เปิด

น้องอายุมาก แก่แล้วตาบอด ขาพิการ ผมดูแลถ้วยฟูอย่างดี ถ้วยฟูชินในพื้นที่ตั้งแต่เด็กยันแก่ครับ ลูกค้าประจำจะรู้และเอ็นดูน้อง ส่วนผมรักถ้วยฟูเป็นสมาชิกในครอบครัว ผมเจ้าของร้าน คุณหัดรู้จักเปิดใจหรือสอบถามก่อนก็ได้ ไม่ใช่แต่สักจะรีวิวมันไม่น่ารัก
เพราะถ้วยฟูเขาน่ารักกว่าคุณเยอะครับ มีแต่ความรัก ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องมาอุดหนุน” พร้อมยืนยันว่า ทางร้านจะมีน้องถ้วยฟูอยู่ตรงที่เขาอยู่แบบเดิมและตลอดไป

โพสต์นี้ของร้านมีคนแชร์มากถึง 3 พันครั้ง และเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย โดยส่วนใหญ่เห็นใจเจ้าของร้านและสงสารน้องหมา หลายคนบอกว่าเป็นสิทธิ์ของร้าน ถ้าลูกค้าไม่สะดวกใจเห็นหมาแล้วจะเดินออกก็คงไม่มีใครว่า

บางคนก็บอกว่าเห็นรีวิวใหญ่โต นึกว่าเป็นน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ที่แท้ตัวนิดเดียว แถมพิการอีก พร้อมส่งกำลังใจให้ทางร้านและน้องหมา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ร่วมเปิด “โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” ต่อเนื่องปีที่ 2 มุ่งหวังให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพิ่มขึ้น

วันนี้ (5 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร , คุณพรรณี ปิติกุลตัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด พร้อมด้วยภาคเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน ประกอบด้วย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมควบคุมโรค สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรุงเทพมหานคร ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศปวถ.) คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)  สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ  สำนักงาน สสส. บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด  บริษัท โตโยต้าประเทศไทยฯ และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีเปิดโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย (ปีที่ 2) พ.ศ.2567” ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับ “โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด โดยได้สนับสนุนเงินรางวัลรวมเป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท เป็นโครงการต่อเนื่องปีที่ 2 ระยะเวลาดำเนินโครงการ 8 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงธันวาคม 2567 โดยให้สถานีตำรวจในสังกัดทั่วประเทศทั้ง 1,484 สถานี พัฒนาให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จราจรทุกนาย ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลัก 5S อันได้แก่ SMILE (ยิ้มแย้มแจ่มใส) , SMART (มีบุคลิกภาพที่ดี) , SALUTE (ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพ) , SERVICE MIND (ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจบริการ) และ STANDARD (ยกระดับการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน)

พร้อมทั้งให้หน่วยงานระดับกองบัญชาการ และกองบังคับการ ควบคุมกำกับดูแลให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลงได้มากกว่าร้อยละ 5 หรือ 10 คนขึ้นไป เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี มีการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจกวดขันวินัยจราจร เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5  จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี และผลการการบังคับใช้กฎหมาย (หมวก/เมา/เร็ว : ไม่สวมหมวกนิรภัย/เมาแล้วขับ/ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด) เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง รวมทั้งมีการตรวจสอบติดตามประเมินผล เพื่อพิจารณาคัดเลือก “สุภาพบุรุษจราจร”ประเภทบุคคล กองบังคับการละ 2 นาย แบ่งเป็น ระดับชั้นสัญญาบัตร 1 นาย และชั้นประทวน 1 นาย รวมจำนวนทั้งสิ้น 190 นาย และคัดเลือก “สุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงาน” ในสังกัดแต่ละกองบัญชาการที่ชนะเลิศ 1 หน่วยงาน  รองชนะเลิศ 2 หน่วยงาน รวมทุกกองบัญชาการจำนวนทั้งสิ้น 32 หน่วยงาน โดยมอบรางวัล 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 (เดือนพฤษภาคม ถึงสิงหาคม 2567) มอบรางวัลเดือนกันยายน 2567 และครั้งที่ 2 (เดือน กันยายน ถึงธันวาคม 2567) มอบรางวัลเดือนมกราคม 2568

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า โครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดทำเพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตำรวจจราจร สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน หน่วยงานภาคีเครือข่าย และตำรวจ เพื่อประสานขับเคลื่อนนโยบายลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนของประชาชน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเพิ่มขึ้น

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ เป็นประธานการประชุมบริหารงานจราจรและคณะทำงานขับเคลื่อนงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย พ.ศ.2567 กำชับทุกหน่วยติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของการเกิดสาธารณภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปนน้ำทวมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่ง น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ให้เตรียมความพร้อมและตรวจสอบกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความพร้อม และเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความสงบเรียบร้อยดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินของประชาชน จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบ ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นลงไปควบคุม กำกับ ดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด การใช้กริยาวาจากับประชาชน ต้องมีความสุภาพเรียบร้อย พร้อมเน้นย้ำในการใช้ยานพาหนะทุกครั้ง ให้ปฏิบัติตามกฎจราจรโดยเคร่งครัด ระมัดระวังมิให้เกิดอุบัติเหตุ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุกนาย หมั่นตรวจเช็คสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตใจให้แข็งแรงสมบูรณ์พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา

‘รัดเกล้า’ เผย รัฐบาลเตรียมแผนรับมือหน้าฝน ปี 67 จ่อป้องกัน-แก้ปัญหา ‘อุทกภัย’ ไม่ให้กระทบประชาชน

(5 ก.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ติดตามและรายงานความคืบหน้าการเกิดสถานการณ์สาธารณภัยที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้มีข้อสั่งการ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 โดยเพื่อให้การเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝน ปี 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและแผนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้สอดคล้องกับมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

โดยกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดดำเนินการ ดังนี้ 1.การเตรียมความพร้อม ทั้งการติดตามสภาพอากาศ การจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัย การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงสถานที่ใช้กักเก็บ/กั้นน้ำ การระบายน้ำและการเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ และการแจ้งเตือนภัย 2.การเผชิญเหตุ เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ให้ดำเนินการตามแนวทาง คือจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ ให้มอบหมายฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร และประชาชนจิตอาสา เฝ้าระวังพื้นที่ชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สถานที่สำคัญต่าง ๆ

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า การจัดชุดปฏิบัติการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย โดยเฉพาะด้านการดำรงชีพตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง ให้รายงานสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางตามช่องทางที่กำหนด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินสถานการณ์ และเสนอความเห็นต่อผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติในการตัดสินใจ สั่งการในเชิงนโยบายต่อไป

ส่วนกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครดำเนินการ ดังนี้ 1.การเตรียมความพร้อม โดยเฝ้าระวังติดตามข้อมูลสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำท่วมที่อาจส่งผลให้เกิดอุทกภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนเผชิญเหตุ ตลอดจนการประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการสื่อสารแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสอบพื้นที่เขตชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และเส้นทางคมนาคมที่มักเกิดปัญหาน้ำท่วมขังเมื่อฝนตกหนัก พร้อมทั้งเร่งเปิดทางน้ำโดยการดูดเลน ขุดลอกท่อระบายน้ำ ทำความสะอาดร่องน้ำเพื่อเตรียมรองรับน้ำฝน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

ขณะที่พื้นที่คู คลอง แหล่งน้ำต่าง ๆ ที่เป็นพื้นที่รองรับน้ำและเส้นทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำสายต่างๆ ให้เร่งกำจัดวัชพืช ขยะ สิ่งกีดขวางทางน้ำอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำให้สามารถรองรับน้ำฝน และน้ำจากท่อระบายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เตรียมความพร้อมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อใช้ในการเผชิญเหตุให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เสี่ยงในแต่ละเขตพื้นที่ พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยไว้ในพื้นที่เสี่ยงเป็นการล่วงหน้า โดยให้ประสานการปฏิบัติการร่วมกับจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเป็นระบบ และเตรียมแผนสำรองในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหากรณีฉุกเฉินอื่นๆ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า 2.การเผชิญเหตุ เมื่อเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้จุดชุดปฏิบัติการเร่งเข้าตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงที่มักเกิดปัญหาน้ำท่วมขังบริเวณผิวการจราจร หรือตามเขตชุมชน พร้อมทั้งทำการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลต่อการกีดขวางการระบายน้ำทันที หากเกิดกรณีน้ำท่วมขังบนผิวการจราจร ให้บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกการจราจรโดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่อาจประสบปัญหาเครื่องยนต์ดับบนผิวจราจรที่มีน้ำท่วมขัง ส่วนในช่วงของการเกิดฝนฟ้าคะนอง และฝนตกหนักให้กำกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดสูบน้ำดำเนินการตามแผนอย่างต่อเนื่อง หากเกิดปัญหาระหว่างการปฏิบัติงานให้เร่งทำการแก้ไขตามแผนสำรอง และประสานการปฏิบัติร่วมกับชุดปฏิบัติการของการไฟฟ้านครหลวงอย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้กับประชาชน

“โดย มท. ได้เสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบ ซึ่งเรื่องนี้เข้าข่ายที่ต้องนำเสนอ ครม. ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4(1) เรื่องที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี หรือให้ต้องเสนอ ครม. และ เรื่องที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินนอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม” นางรัดเกล้า ระบุ

“มะระขี้นก” โกอินเตอร์ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้เกษตรกรและโกยเม็ดเงินเข้าประเทศ

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ต่อยอดสมุนไพร Herbal Champions 15 รายการ ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566-2570  ค้นพบพืชสมุนไพรเศรษฐกิจตัวใหม่ “มะระขี้นก” สร้างรายได้เม็ดงามวางเป้าหมายผลักดันสู่ตลาดโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ที่ได้มีการประกาศสมุนไพร Herbal Champions 15  รายการ ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566-2570 มะระขี้นกซึ่งเป็น 1 ในสมุนไพร Herbal Champions มีตลาดทั่วโลกมูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาท กำลังมีแนวโน้มของตลาดกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง  ข้อมูลเชิงลึกที่สำรวจประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่มีการส่งออกมะระสูงสุดในโลกมีมูลค่า 17,000 ล้านบาท  ขณะที่ประเทศไทยส่งออกมะระขี้นกเพียง 18 ล้านบาท  สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสของมะระขี้นกในตลาดโลกสามารถจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

การศึกษาวิจัยหลายฉบับบ่งชี้ว่ามะระขี้นกมีสารสำคัญที่ชื่อว่า ชาแรนติน (Charantin) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้   ประกอบกับเทรนด์การรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาสนใจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพรมากขึ้นจึงทำให้มะระขี้นก เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักสุขภาพในหลายประเทศทั่วโลก ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาสายพันธุ์สาเกต 101  ของมะระขี้นกขึ้นใหม่เพื่อให้ได้สารสำคัญในปริมาณที่มากขึ้น เพียงพอต่อการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งมีการนำร่องให้เกษตรกรจังหวัดมหาสารคามนำไปขยายพันธุ์ปลูกและเกิดการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวนมูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทางด้าน ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้อํานวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการทำโมเดล การเกษตรต้นน้ำมูลค่าสูงของมะระขี้นก เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยเป็นการพัฒนาสายพันธุ์มะระขี้นก เพื่อให้ได้สารสำคัญคือ Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาทำให้มะระขี้นกใหญ่ขึ้น และสามารถให้สาร Charantin มากกว่าเดิม ประมาณ 2 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคามะระขี้นก  เพิ่มสูงขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 30 บาท เป็นกิโลกรัมละ 50 บาท เป็นการยกระดับรายได้ของคนในจังหวัด สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการแปรรูปมะระขี้นกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ให้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ  ที่มีมูลค่า ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อาทิ มะระขี้นกแบบน้ำสกัดเข้มข้น ซุปมะระขี้นกแบบผง มะระขี้นกดองกิมจิ 3 รส  เป็นต้น เป็นการผลักดันให้เกิดเกษตรมูลค่าสูงสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ  ที่มีความมุ่งมั่น ในการผลักดันสมุนไพรให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปสมุนไพรให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผลักดันจากการขายส่งวัตถุดิบเปลี่ยนเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ  ที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สมุนไพร เป็นการต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมุนไพรไทย

การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ในปีนี้ จัดภายใต้แนวคิด “นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทยสู่เวทีโลก” ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฏาคม 2567 ฮอลล์ 11 - 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานจะมีการจัดแสดงสมุนไพรไทยหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ “มะระขี้นก” พร้อมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับมะระขี้นกสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้สาร Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและงานวิจัยล่าสุด รวมถึงกิจกรรมการสาธิตการปลูกและ แปรรูปสมุนไพร ร่วมกันสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งด้วยสมุนไพรไทย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก              โทร. 0-2591-7007, อินสตาแกรม, TIKTOK, Facebook Fanpage มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติหรือ Website: https://natherbexpo.dtam.moph.go.th ,Line ID  : @DTAM

เจนกิจ นัดไธสง  รายงาน

'ภูมิธรรม' นำทัพดาราไทย บุกมาเลย์ ดึง 'ปันหยี I Sea You' โชว์ Soft Power เชื่อมวัฒนธรรม พร้อมนำ 18 บริษัทร่วมงานอาหารเครื่องดื่ม Food and Drinks Malaysia by SIAL คาดโกยเงินเข้าประเทศกว่า 650 ล้านบาท

ภูมิธรรม นำนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ไทย “ปันหยี I Sea You”  เยือนมาเลเซีย เพื่อโปรโมทหนัง และสร้างความร่วมมือด้านสื่อบันเทิงไทยละหว่าไทยกับมาเลเซีย ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดคอนเทนต์บันเทิงไทยสู่ตลาดมาเลเซีย และการแลกเปลี่ยนกันในวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ ถือเป็นการสอดแทรก Soft Power ของไทยในภาพยนต์ ทั้งยังนำ 18 ผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้าสินค้าของไทย ร่วมงานแสดงสินค้าด้านอาหาร Food and Drinks Malaysia by SIAL เพื่อขยายตลาดอาหารและเครื่องดื่มในมาเลเซีย

วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.00 น.(เวลาไทย) ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกข้อตกลง ระหว่าง บริษัท Final Draft Creation จำกัด ผู้ผลิตคอนเทนต์บันเทิงชั้นนำของไทย กับ Banyak Bagus Entertainment Sdn. Bhd. (บริษัท บายะ บากุส เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด) บริษัทสื่อบันเทิงจากมาเลเซีย โดยมี นายอรินชัย รัตนขวิจิตร กรรมการบริหาร บริษัท Final Draft Creation จำกัด เป็นตัวแทนฝ่ายไทยในการลงนาม ขณะที่ฝ่ายมาเลเซียมี Mr. David Chua Boon Ghe กรรมการผู้จัดการ Banyak Bagus Entertainment Sdn. Bhd. เป็นผู้ลงนาม โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นาย Yb Senator Tengku Datuk Seri Utama Zafrul Tengku Abdul Aziz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน

การลงนามในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมบันเทิงระหว่างสองประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยมีการทำแคมเปญการตลาดและประชาสัมพันธ์ รวมถึงการสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานเพลง โดยศิลปินไทยและมาเลเซียที่ผสมผสานสไตล์ดนตรี ภาษา และวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนภาพยนตร์เรื่อง 'ปันหยี ไอ ซี ยู' (Panyi I Sea You) ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่สะท้อนความงดงามของประเทศไทย วิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมและอาหารไทยผ่านเรื่องราวบนเกาะปันหยี ซึ่งอยู่ในระหว่างการถ่ายทำและคาดว่าจะออกฉายสู่สายตาสาธารณชนในเดือนมีนาคม 2568 ผ่านความสำเร็จจาก MOU ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ภายในงานมีการแสดงเพลงประกอบภาพยนตร์ (OST) โดยเฟม โนอาห์ และตัวอย่างของภาพยนต์ 'ปันหยี ไอ ซี ยู' (Panyi I Sea You) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและขยายฐานแฟนภาพยนตร์ในภูมิภาค

นายภูมิธรรม กล่าวว่า “โดยความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดคอนเทนต์บันเทิงไทยสู่ตลาดมาเลเซียซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 132,000 ล้านบาทในปี 2565 และยังเป็นประตูสู่ตลาดอินโดนีเซียที่มีขนาดใหญ่กว่า เนื่องจากมีความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรม อีกทั้งมาเลเซียมีความสนใจในความบันเทิงและวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก จึงเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศผ่านสื่อบันเทิงรูปแบบต่างๆ การร่วมกันครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริม Soft Power ของรัฐบาลไทย และได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ณ
กรุงกัวลาลัมเปอร์” 

หลังเสร็จสิ้นการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวรองนายกรัฐมนตรีฯ นายภูมิธรรมได้เดินทางไปยังงานแสดงสินค้าด้านอาหาร Food and Drinks Malaysia by SIAL จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การแสดงสินค้านานาชาติ มาเลเซีย โดยภายในงานได้มีการนำผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้ามาเลเซียจำนวน 18 บริษัท มาร่วมออกคูหาแสดงสินค้าอาหารครอบคลุมหลากหลายประเภท อาทิ ซอสปรุงรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง และพร้อมรับประทาน ตลอดจนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรมต่าง ๆ 

“โดยคาดว่าจะเกิดมูลค่าการค้าของสินค้าอาหารและเครื่องดื่มไทยภายในงานไม่น้อยกว่า 650 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไทยตามนโยบายครัวของโลก และการผลักดันซอฟท์พาวเวอร์อาหารไทยสู่ตลาดต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาล“ นายภูมิธรรม กล่าว

งานแสดงสินค้า Food and Drinks Malaysia by SIAL ในปีนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นในประเทศมาเลเซีย มีผู้เข้าร่วมงานรวม 326 บริษัท 370 คูหา คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอดระยะเวลาการจัดงาน 3 วัน ไม่น้อยกว่า 10,000 รายจาก 50 ประเทศทั่วโลก โดย SIAL ถือเป็นแบรนด์เครือข่ายงานแสดงสินค้าอาหารและ
เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงระดับโลก กระจายการจัดงานอยู่ในภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ถือเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่มศักยภาพของภูมิภาค

'นักวิชาการ’ ชี้!! ‘คนเกาหลี’ ที่เหยียด ‘ลิซ่า’ คือกลุ่มเล็กๆ มีไม่ถึง 10% แถมคนส่วนใหญ่มัก ‘ชื่นชม-ยกย่อง’ ให้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จ

'นักวิชาการด้านเกาหลี’ เผย เกาหลีที่เหยียดลิซ่าเป็นแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ มีไม่ถึง 10% ขณะที่ชาวเกาหลีส่วนใหญ่ชื่นชมลิซ่า โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นถึงขั้นยกให้เป็นไอดอล ชี้!! 'สำนักข่าว OSEN' ที่แซะลิซ่า เป็นแค่สื่อโนเนม พบ!! ปรากฏการณ์ 'ร็อคสตาร์' ทำเกาหลีตีกันเอง

(5 ก.ค.67) ทันทีที่ ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ ศิลปินสาวชาวไทย ออก MV เพลงร็อคสตาร์ เพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวจากค่าย LLound ที่เธอเป็นเจ้าของ ก็เกิดปรากฏการณ์ ‘ลิซ่าฟีเวอร์’ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลิซ่า และ MV ร็อคสตาร์ ล้วนถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเพลงของเธอขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งและอันดับต้น ๆ ในหลายประเทศ ลิซ่ากลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทยอย่างเต็มตัว แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับมีกระแสเหยียดลิซ่าจากคนเกาหลีบางส่วน และสื่อเกาหลีบางสำนักที่แซะในทำนองว่าลิซ่าออกจากวงการเคป็อบเพื่อมาดังแค่ในประเทศไทย ส่งผลให้แฟนคลับชาวไทยไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนเกิดกระแสแบนเกาหลีลุกลามไปทั่ว จนหลายฝ่ายมองว่านี่อาจเป็น ‘จุดจบ’ ของความนิยมเคป็อบในไทย

ส่วนว่าข้อเท็จของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร และจะส่งผลกระทบอะไรต่อเกาหลีบ้างนั้น คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้รู้

นายเสกสรร อานันศิริเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สมาคมไทยคดีศึกษาแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korean Association of Thai Studies : KATS) ชี้ว่า จริง ๆ แล้วคนเกาหลีที่เหยียดลิซ่านั้นมีแค่บางกลุ่ม ซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่คนเหล่านี้มักมาโพสต์ในโซเชียลทำให้กลายเป็นกระแสที่นำไปสู่ความขัดแย้ง เท่าที่ได้สัมผัสคนเกาหลีส่วนใหญ่ชอบและชื่นชมลิซ่า ลิซ่าเป็นไอดอลของเขา โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ที่ผ่านมาลิซ่าได้รับการยกย่องจากเกาหลีอย่างมาก เวลาข้าราชการเกาหลีพูดถึงความสัมพันธ์กับไทยก็จะพูดถึงลิซ่าว่าเป็นตัวอย่างของความสำเร็จ ที่สำคัญเขาพูดถึงลิซ่าในฐานะที่เป็นคนไทย ไม่ใช่ในฐานะเคป็อป

การที่ลิซ่าไม่ต่อสัญญาศิลปินเดี่ยวกับวายจีก็เป็นสิ่งที่คนเกาหลีเข้าใจและยอมรับได้ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าต้นสังกัดเดิมไม่ค่อยเป็นธรรมกับลิซ่านัก เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่เห็นได้ชัด ส่วนลิซ่าเมื่อออกไปสร้างผลงานระดับสากลก็สามารถนำเอาเคป็อปไปต่อยอดโดยใส่ความเป็นไทยเข้าไป เพราะนี่คือความเป็นลิซ่าที่สามารถหลอมรวมวัฒนธรรมและสร้างแบบฉบับการเต้นและดนตรีของตัวเองขึ้นมาทำให้คนทั่วโลกชื่นชอบ

“ถ้าลองเสิร์ชคำว่า How You think about Lisa ในยูทูบ จะพบว่าคนเกาหลีส่วนใหญ่ตอบว่าเขาชอบลิซ่า เขามองว่ารูปร่างและสีผิวของลิซ่าเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเกาหลีอยากเป็น ส่วนคนที่ไม่ชอบลิซ่านั้นมีน้อยมาก ไม่ถึง 10% แต่คนพวกนี้ปากแจ๋ว ชอบแสดงความเห็นตามสื่อโซเชียล และสำนักข่าว OSEN ที่เป็นต้นเหตุดรามาก็เป็นสำนักข่าวโนเนม ไม่ใช่สำนักข่าวที่น่าเชื่อถือหรือได้รับความนิยมแม้แต่ในกลุ่มแฟนคลับเคป็อป ต่างจาก Dispatch ซึ่งเป็นสื่อที่คนใช้อ้างอิงเวลามีข่าวสำคัญ ดังนั้นเราไม่ควรนำความเห็นของคอลัมนิสต์หนึ่งคนจากสำนักข่าวบันเทิงเล็ก ๆ ที่มุ่งแสวงหากำไรมาทำลายบรรยากาศของความสัมพันธ์และความรู้สึกดีต่อกันที่มีมานาน บางที 'ชาวเน็ต' ที่พูด ๆ กันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สำนักข่าวนี่ล่ะครับตัวดี อยากได้ยอด Engagement” นายเสกสรร กล่าว

อย่างไรก็ดี นายเสกสรร ชี้ว่า กระแสเหยียดลิซ่าของเกาหลีแม้จะเป็นแค่กลุ่มคนเกาหลีเล็ก ๆ แต่มันไปกระทบความรู้สึกของบรรดาแฟนคลับลิซ่าที่มีอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะแฟนคลับคนไทย ประกอบกับก่อนหน้านี้ไทยเกิดกระแสแบนเกาหลีจากความไม่พอใจกรณี ตม.เกาหลีที่เลือกปฏิบัติกับนักท่องเที่ยวไทยที่ไปเที่ยวเกาหลี ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาของทางเกาหลีซึ่งไม่มีประสิทธิภาพในการคัดกรองคนเข้าประเทศ ทำให้คนที่ตั้งใจเข้าไปเที่ยวแต่ถูก ตม.ส่งกลับได้รับความเสียหาย ขณะที่แรงงานไทยก็อาจจะเข้าไปสร้างปัญหาให้เขาเหมือนกัน เมื่อเกิดความไม่เข้าใจกันในกรณีของลิซ่าก็เลยลุกลามกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวซึ่งขยายผลไปใหญ่โต

“มีคนเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้ เขาบอกว่าเขาเสียใจนะที่มีคนเกาหลีบางคนมาโพสต์เหยียดลิซ่า เขาก็อยากอธิบายว่าคนเกาหลีเสียใจและอยากให้คนไทยกับเกาหลีเข้าใจกัน แล้วก็มีคนเกาหลีบางส่วนโพสต์ต่อว่าคนเกาหลีที่โพสต์เหยียดลิซ่าด้วย ซึ่งวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของเกาหลีคือ ถ้าเขาเห็นไม่ตรงกัน เขาจะโต้เถียงจัดการกันเอง เราไม่ต้องทำอะไรเลยให้เขาจัดการกันเอง ไม่ต้องไปตีกับเขา เราไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า ผมคิดว่าสิ่งที่สร้างลิซ่าขึ้นมาก็คือตัวของลิซ่าเองนี่ล่ะครับ สิ่งที่พวกเราชาวไทยทำได้ก็คงเป็นการแสดงความยินดีในฐานะเพื่อนร่วมชาติและช่วยสนับสนุนน้องในทุกผลงานต่อจากนี้ ส่วนมิวสิกวิดีโอล่าสุดที่น้องออกมาก็อาจเป็นไปได้ที่คนจะมองว่าแซะเกาหลี แต่ผมเชื่อว่าเกาหลีคงไม่มีโกรธเคือง เพราะหนึ่งในความเป็นเกาหลีก็คือความกล้าพอที่จะเปิดให้คนข้างนอกมาวิพากษ์มาท้าทาย” นายเสกสรร ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top