Sunday, 6 July 2025
NEWS FEED

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงข่าวชี้แจงกรณีปรากฏภาพเสื้อเกราะของ ตร. ในสื่อสังคมออนไลน์ ยืนยัน ตร. จัดหาชุดเกราะกันกระสุนโดยยึดมาตรฐานสากล และคำนึงถึงปลอดภัยเป็นสำคัญ

สืบเนื่องจากกรณีที่ปรากฏภาพเสื้อเกราะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในสื่อโซเชียลมีเดีย และมีการเสนอข้อมูลว่าเสื้อเกราะตัวดังกล่าววัสดุภายในทำด้วยไม้นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงกรณีดังกล่าว วันนี้ (24 กรกฎาคม 2567) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ , พล.ต.ต.นิรันดร ศิริสังข์ไชย ผู้บังคับการกองสรรพาวุธ , พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการพิสูจน์หลักฐานกลาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข้อมูลผลการตรวจสอบมาตรฐานของเสื้อเกราะตัวตามภาพที่เป็นข่าว 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีนโยบายในการจัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เป็นไปตามคุณภาพและมาตรฐานสากล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐาน NIJ (National Institute of Justice) ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการจัดหาเสื้อเกราะแต่ละครั้งนั้น ผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญาจะต้องสามารถบอกแหล่งที่มาของแผ่นเกราะว่าผลิตที่ใด เมื่อใด และเป็นไปตามมาตรฐาน NIJ ที่กำหนด ในการตรวจรับก็จะมีการยิงทดสอบด้วยกระสุนปืนในระยะห่างตามมาตรฐานที่ NIJ กำหนดด้วย อายุการใช้งานของเสื้อเกราะตามมาตรฐานของ NIJ ที่ได้กำหนดเพื่อรับรองประสิทธิภาพสูงสุดของแผ่นเกราะอยู่ที่ 5 ปี ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าเมื่อเกิน 5 ปีแล้วจะไม่สามารถกันกระสุนได้เลย เพียงแต่ประสิทธิภาพอาจลดลง ขณะเดียวกันก็พบว่ามีบางประเทศหรือผู้ผลิตที่กำหนด Lifespan ของเสื้อเกราะไว้มากกว่า 5 ปี นอกจากนั้น ในการจัดหาเสื้อเกราะ ยังได้กำหนดการประกันคุณภาพเสื้อเกราะ รวมทั้งประกันชีวิตและประกันการบาดเจ็บของผู้สวมใส่ไว้ตามระยะเวลาข้างต้นด้วย หากได้รับบาดเจ็บเป็นเงิน 500,000 บาท หรือเสียชีวิต เป็นเงิน 1,000,000 บาท 

สำหรับเสื้อเกราะที่ปรากฏตามภาพในโซเชียลมีเดีย ที่มีหมายเลขซีเรียลนัมเบอร์ 8A154338 นั้น เป็นเกราะที่ ตร. เคยใช้ในราชการ โดยเป็นหนึ่งในเสื้อเกราะที่ได้สั่งซื้อเมื่อเดือนเมษายน 2553  จำนวนทั้งสิ้น 650 ตัว (เป็นเสื้อเกราะพร้อมแผ่นเกราะแข็ง ระดับ 3 จำนวน 500 ตัว และเป็นเกราะอ่อน อีก 150 ตัว) โดยทุกตัวมีมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานของ NIJ และวัสดุที่ใช้เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ราคาในการจัดซื้อสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ และมีอายุการใช้งาน 5 ปี  ปัจจุบันเสื้อเกราะดังกล่าวเลิกใช้งานแล้ว โดยหมดอายุการใช้งานมาเป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว โดยหมดอายุการใช้งานเมื่อปี 2559 และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการจำหน่ายและทำลายตามระเบียบราชการ (ยุทธภัณฑ์ของทางราชการซึ่งหมดอายุการใช้งานแล้วจะต้องนำไปทำลายตามที่ระเบียบกำหนด)  

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการยืนยันถึงวัสดุและมาตรฐานของเสื้อเกราะข้างต้น ตร. ได้มอบหมายให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) นำเสื้อเกราะดังกล่าวไปตรวจทางเคมีในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบพบว่า วัสดุภายในเป็นเส้นใย polyethylene ทับกันเป็นชั้นโดยในแต่ละชั้นใช้ตัวเชื่อมประสาน ซึ่งมีสเปคและคุณลักษณะถูกต้องตามสัญญาการจัดซื้อทุกประการ และเป็นไปตามมาตรฐาน NIJ รวมทั้งยังได้ทดสอบการยิงกระสุนจริงใส่เสื้อเกราะในล็อตเดียวกันที่ซื้อมาเมื่อ พ.ศ. 2553  อีกจำนวน 3 ตัว โดยใช้กระสุนขนาด 9 มม. , ขนาด .357 และ ขนาด .45  อย่างละ 3 นัด รวมจำนวน 9 นัด  ผลปรากฏว่า เสื้อเกราะทั้ง 3 ตัวสามารถกันกระสุนได้ทั้งหมด ไม่มีกระสุนนัดใดทะลุเสื้อเกราะ

การจัดหาเสื้อเกราะกันกระสุนที่มีมาตรฐานเพื่อช่วยดูแลความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับข้าราชการตำรวจ เป็นนโยบายสำคัญของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ที่มีความห่วงใยในสวัสดิการความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานโดยตลอด  ตร.จึงได้กำหนดแผนการจัดหาเพิ่มเติมหรือการจัดหาเพื่อทดแทนของเก่าอย่างต่อเนื่อง การจัดหาครั้งล่าสุด เมื่อ พ.ศ. 2566 จำนวน 3,200 ตัว เป็นเสื้อเกราะอ่อนป้องกันกระสุนพร้อมแผ่นเกราะแข็ง ระดับ 3 และ ระดับ 4  สามารถป้องกันกระสุนปืนได้ตามมาตรฐาน NIJ  ได้แก่ กระสุนปืนพก ขนาด 9 มม. , .45 , .357 แม็กนั่ม นอกจากนั้น ตร.ได้ทำแผนการจัดหาในอนาคตเพื่อให้ครอบคลุมในการปฏิบัติงานของตำรวจทุกนายระหว่าง ปี 2567 - 2571  อีกปีละประมาณ 13,000 ตัว ซึ่งตามแผนการจัดหานี้ จะทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีเสื้อเกราะใช้งานอย่างทั่วถึง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติยืนยันว่า ได้ดำเนินการจัดหาชุดเกราะกันกระสุนโดยยึดมาตรฐานสากลและคำนึงถึงความคล่องตัวสะดวกสบายของผู้ใช้งานตามภารกิจเป็นสำคัญ จึงขอแจ้งให้ข้าราชการตำรวจเชื่อมั่น และโปรดสวมใส่เสื้อเกราะกันกระสุนในการปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้ง เพื่อสร้างความปลอดภัยและป้องกันมิให้มีการสูญเสียจากการปฏิบัติงาน

‘500 พนักงาน’ รวมตัว!! ประท้วงหน้าโรงกลั่นน้ำมันดังย่านชลบุรี เรียกร้องค่าแรงตกค้าง 4 เดือนจาก บ.รับเหมาช่วงต่อ ยังไร้ข้อยุติ

(24 ก.ค.67) เพจ ‘นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์’ โพสต์ภาพและไลฟ์สด เหตุการณ์พนักงานของบริษัทรับเหมาในโรงกลั่นน้ำมันดังในพื้นที่ศรีราชา จ.ชลบุรี กว่า 500 คน ออกมารวมตัวประท้วงบริเวณหน้าโรงกลั่นน้ำมัน หลังบริษัทรับเหมาค้างค่าแรงกว่า 4 เดือน โดยเจรจาแล้วไม่เป็นผล

โดยระบุว่า มีกลุ่มพนักงานบริษัทรับเหมาในโรงกลั่นน้ำมันดัง ในพื้นที่ศรีราชา ชลบุรี รวมตัวเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ออกมารับผิดชอบปัญหาที่เรื้อรังมานานนั้นคือ ไม่ยอมจ่ายเงินค่าแรงให้พนักงานหลายร้อยชีวิต ตั้งแต่เดือนเม.ย.2567 จนถึงปัจจุบันนี้ พนักงานทุกคนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะต้องมีภาระต่อเดือนที่ต้องใช้จ่าย

การเจรจาต่อผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวยืดเยื้อมานานหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาในการไม่จ่ายค่าแรงให้กลุ่มพนักงานหลายชีวิตที่ปฏิบัติงาน ในโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวและไม่ชี้แจงถึงปัญหาว่าเกิดปัญหาในด้านใด จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มพนักงานเป็นอย่างมาก และต้องการเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เข้ามาตรวจสอบ เพื่อหาข้อยุติเรื่องนี้ เพราะกลุ่มพนักงานมีความเดือดร้อนจริง ๆ

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงสำนักงานสวัสดิการคุ้มครองแรงงานศรีราชา ลงพื้นที่ร่วมพูดคุยเจรจาถึงปัญหาดังกล่าว

สำหรับปัญหาข้อพิพาทดังกล่าว เกิดจากบริษัทผู้รับเหมาที่ได้โปรเจกต์งานของโรงกลั่นน้ำมันมา ซึ่งทางโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวได้จ่ายเงินให้บริษัทผู้รับเหมาไปแล้ว แต่บริษัทผู้รับเหมาไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่พนักงานของตัวเอง และบริษัทผู้รับเหมาอื่น 1-2 บริษัทที่จ้างมาทำงานต่ออีกที เลื่อนจ่ายมาตั้งแต่เดือนเม.ย.67 จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้พนักงานจะรวมตัวเจรจามาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เป็นผล ได้รับความเดือดร้อนกันอย่างหนัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการเจรจาไม่เป็นผล พนักงานกว่า 500 ราย รวมตัวปิดถนนทางเข้าโรงกลั่นน้ำมันในชลบุรี หลังการเจรจาล้มเหลว โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเจรจาให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาทางออกร่วมกัน แต่ไม่เป็นผลและยังหาข้อยุติไม่ได้

‘อนุทิน’ มอบบ้านใหม่ 86 หลังคาเรือน ให้ผู้ยากไร้ทั่วประเทศ มุ่งยกระดับด้านที่อยู่อาศัย-พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

(24 ก.ค.67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้าน ‘โครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ จำนวน 86 หลัง พร้อมกันทั่วประเทศ และถ่ายทอดสดผ่านระบบ Web broadcast โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานส่งมอบในแต่ละจังหวัด พร้อมติดตามความคืบหน้าโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง อีก 5 โครงการ โดยมี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เข้าร่วม และ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ว่าที่ ร.อ.ธีรพงศ์ ครุธดิลกานันท์ นายสุเมธ มีนาภา นายพรรณรบ เตชะมงคลาภิวัฒน์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายพิศุทธิ์ สุขุม วิศวกรใหญ่ นายชาญวิชญ์ สิริสุนทรานนท์ สถาปนิกใหญ่ คณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ได้ร่วมกันปลูกต้นรวงผึ้ง พรรณไม้อันทรงคุณค่าและมีเกียรติที่ถูกยกให้เป็นพรรณไม้ประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเป็นการเชิดชูถึงพระมหากรุณาธิคุณที่สูงสุดของพระองค์ และร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง ณ ห้องประชุมนริศรานุสรณ์ ชั้น 11 อาคาร 11 ชั้น กรมโยธาธิการและผังเมือง ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร

โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายให้ทุกส่วนราชการในสังกัด จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อน้อมนำพระราชปณิธาน พระราชดำริ พระบรมราโชวาท พระราชกรณียกิจ มาประยุกต์ใช้หรือเป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและสมพระเกียรติ มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นหน่วยงานหลักที่ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 6 โครงการ ได้แก่

1. โครงการ 72 พรรษา 7,300 โครงการ พัฒนาตามผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน 2. โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริ 3. โครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี 4. โครงการจัดทำซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5. โครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม และ 6. โครงการ ‘10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข’ ซึ่งในวันนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดพิธีส่งมอบบ้านหลังใหม่ ในโครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคมฯ พร้อมกัน 76 จังหวัดทั่วประเทศ ช่วยยกระดับด้านที่อยู่อาศัยให้ผู้ด้อยโอกาส พัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเป็นอยู่ที่ดีมีความปลอดภัย เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

ด้าน นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวว่า จากพระราชปณิธานอันมุ่งมั่นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่พระราชกรณียกิจนานัปการที่ช่วยยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วแผ่นดินไทย และด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนภารกิจ ‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ ให้กับพี่น้องประชาชน ได้ขานรับนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อดำเนินตามรอยพระยุคลบาทในการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ ‘โครงการซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ ซึ่ง กรมฯ ได้น้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้าน ‘จิตอาสา’ มาบูรณาการความร่วมมือของภาคีเครือข่ายและจิตอาสาในพื้นที่ โดยไม่ใช้งบประมาณจากภาครัฐ แต่ใช้งบประมาณที่ได้จากการบริจาคของภาคีเครือข่ายและจิตอาสาในพื้นที่ ร่วมมือร่วมแรงปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ ให้มีความมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย ซึ่งมีเป้าหมายจำนวน 86 หลังคาเรือน จากข้อมูลของผู้ยากไร้ในระบบ Thai QM ตามผังภูมิสังคม โดยดำเนินการ 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น ซ่อมแซมบ้านให้ผู้ยากไร้ตามผังภูมิสังคม 1 จังหวัด 1 หลังคาเรือน และบ้านผู้ยากไร้ที่ต้องซ่อมแซมเร่งด่วน จำนวน 10 จังหวัด 10 หลังคาเรือน ได้แก่ จังหวัดลำพูน เชียงราย สุราษฎร์ธานี ตรัง นนทบุรี นครนายก นครราชสีมา สุรินทร์ สระแก้ว และประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ กรมฯ ได้ดำเนินการ KICK OFF เพื่อขับเคลื่อนโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ปัจจุบัน ดำเนินการแล้วเสร็จ 86 หลังคาเรือน และส่งมอบพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานส่งมอบโครงการดังกล่าว

สำหรับ ‘โครงการ 72 พรรษา 7,300 โครงการ พัฒนาตามผังภูมิสังคมเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ ดำเนินการขึ้นด้วยตระหนักว่าน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต กรมฯ จึงได้น้อมนำศาสตร์พระราชา มาเป็นกรอบแนวคิดในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และใช้ข้อมูลสภาพความเป็นจริงทางภูมิประเทศทั้ง ‘ภูมิประเทศด้านภูมิศาสตร์’ และ ‘ภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา’ มาจัดทำข้อมูลในรูปแบบ ‘ผังภูมิสังคม’ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ผังภูมิสังคมฯ เป็นข้อมูลสะท้อนปัญหาด้านต่าง ๆ และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐสามารถนำไปใช้วางแผนงานและดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งผลักดันให้มีการขับเคลื่อนโครงการในทุกจังหวัดให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยดำเนินโครงการ/กิจกรรมพัฒนาตามผังภูมิสังคมฯ (เฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำขนาด S M และ L) อย่างน้อย 7,300 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่ 76 จังหวัด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล ซึ่งปัจจุบันดำเนินการพัฒนาแล้ว 9,028 โครงการ สามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้น 25,349,097 ลบ.ม. พื้นที่ป่าไม้เพิ่มขึ้น 13,980 ไร่ พื้นที่น้ำท่วมลดลง 260,866 ไร่ พื้นที่เกษตรได้รับประโยชน์ 312,801 ไร่ และประชาชนได้รับประโยชน์ 1,555,982 ครัวเรือน

‘โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ กรมฯ ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีประยุกต์ใหม่ และอารยเกษตรของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการนำที่ดินสาธารณประโยชน์หรือที่ดินของหน่วยงานภาครัฐมาดำเนินการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ ขับเคลื่อนพระราชปณิธาน ‘สืบสาน รักษา และต่อยอด’ เพื่อช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งของประชาชน ให้เป็นพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำกินน้ำใช้เพียงพอ มีความมั่นคงทางอาหาร เป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ และพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน โดยมีพื้นที่นำร่อง 6 พื้นที่ (1 พื้นที่เป้าหมาย ต่อ 1 ภาค) และจะขยายผลให้ครบทุกจังหวัด โดยแต่ละพื้นที่มีแนวคิดในการพัฒนา และมีผลการดำเนินการแตกต่างกัน ได้แก่

- ภาคเหนือ : บริเวณหนองเล็งทราย ตำบลป่าแฝก อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทพื้นที่เป็น “การสืบสานอาชีพเลี้ยงควายไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อรักษา อนุรักษ์ควายไทยพื้นถิ่น ต่อยอดให้การเลี้ยงควายไทยอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างรายได้และมีความยั่งยืนทางอาชีพแก่ประชาชนได้

- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : บริเวณชุมชนวังอ้อ ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทพื้นที่เป็น ‘วิชชาลัยอารยเกษตรบ้านวังอ้อ’ เพื่อให้เกิดการพัฒนาแหล่งน้ำ คลังยาคลังอาหาร เป็นที่สาธารณะ และศูนย์การเรียนรู้ของประชาชน

- ภาคกลาง : บริเวณคลอง 15 ตำบลคลองใหญ่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทของพื้นที่เป็น ‘ลานธรรมกลางใจป่า ปลูกป่ากลางใจคน พุทธอารยเกษตร’

- ภาคตะวันออก : บริเวณตำบลท่าหลวง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทของพื้นที่เป็น ‘เกษตรประณีต’ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนโดยปลูกพืชที่กินได้เป็นยาได้ ปลูกไม้ไว้สร้างบ้านเรือนในอนาคต ขุดบ่อเลี้ยงปลา ทำทุกอย่างในพื้นที่โดยไม่ใช้สารเคมี

- ภาคตะวันตก : บริเวณตำบลหนองบัว อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทของพื้นที่เป็น ‘ดินดี มีน้ำ ป่าชุ่มชื้น’ เพื่อบริหารจัดการน้ำ บริหารจัดการดิน บริหารจัดการป่า และบริหารจัดการคน

- ภาคใต้ : บริเวณศูนย์สารภี ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล มีแนวคิดประยุกต์ใช้ตามบริบทพื้นที่เป็น ‘ต้นแบบทฤษฎีใหม่ประยุกต์ สู่การท่องเที่ยวจังหวัดสตูล’ นำไปสู่การพัฒนาในพื้นที่ ได้แก่ สวนป่ามีชีวิต แก้มลิง แปลงสาธิตแกล้งดิน พื้นที่อนุรักษ์พันธุกรรมพื้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

‘โครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกรมฯ ได้ดำเนินการจัดทำผังแม่บทแนวคิดเพื่อการพัฒนาพื้นที่เกาะสีชัง โดยมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ การพัฒนาระบบน้ำประปา การพัฒนาสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ชุมชน และการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยในระยะเร่งด่วน กรมฯ ได้ดำเนินการพัฒนาสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ พัฒนาระบบน้ำประปา เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำให้กับประชาชนบนเกาะ ทำให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี และลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำประปาบนฝั่ง รวมทั้งการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบริเวณอ่าวจ๊อกค่อก เพื่อให้เกาะสีชังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ยั่งยืนที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันการปรับปรุงระบบจ่ายน้ำประปาได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 โครงการฯ ได้เริ่มปล่อยน้ำประปาให้บริการ 2 จุดแรกที่มีความพร้อมก่อน ได้แก่ โรงพยาบาลเกาะสีชัง และ สำนักงานเทศบาลตำบลเกาะสีชัง ในขณะเดียวกัน เทศบาลตำบลเกาะสีชัง ได้ประสานไปยังประชาชนในพื้นที่ เพื่อขอความร่วมมือในการจัดเตรียมระบบท่อประปาภายในบ้านให้พร้อม เพื่อให้เทศบาลฯ เข้าดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ประปาให้กับทุกครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จ พร้อมปล่อยน้ำประปาให้บริการประชาชนได้ทั่วพื้นที่เกาะสีชัง ภายในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งจะสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำประปาสำหรับอุปโภค บริโภคของประชาชนบนเกาะสีชังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน 2,261 ครัวเรือน

‘โครงการจัดทำซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567’ กรมฯ ได้ดำเนินการออกแบบซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเป็นต้นแบบให้ทุกจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำไปก่อสร้างอย่างถูกต้องตามแบบแผน สวยงามสมพระเกียรติ โดยการออกแบบซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ประกอบด้วย 1) พระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวง ร.10 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ 2) ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และ 3) เอกลักษณ์สำคัญของแต่ละภูมิภาคที่แสดงถึงความรักความเทิดทูนพระองค์ท่าน นำมาเป็นองค์ประกอบของซุ้มแต่ละภูมิภาค ประกอบกับลายก้านขดและลายดอกรวงผึ้ง รวมทั้งหมด 443 ซุ้ม ทั่วประเทศ

‘โครงการ 10 คลองสวย น้ำใส คนไทยมีสุข’ กรมฯ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะพระราชดำริการบริหารจัดการน้ำในระบบลุ่มน้ำ “จากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที” และพระราชดำรัส “อารยเกษตร” ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาพัฒนาแม่น้ำ คู คลอง และแหล่งน้ำทั่วประเทศ โดยออกแบบพื้นที่ให้เข้ากับภูมิสังคมควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อพี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการกลไกการขับเคลื่อนงานสืบสานศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตั้งแต่การออกแบบจัดทำผังแม่บท การพัฒนาในระดับลุ่มน้ำตลอดลำคลอง และแหล่งน้ำ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างภาพอนาคตของ การพัฒนาในระดับพื้นที่ การขุดลอกคู คลอง และแหล่งน้ำ ปรับภูมิทัศน์และทัศนียภาพ รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนตลอดสองฝั่งคลอง ได้แก่ การจัดระเบียบที่อยู่อาศัยใหม่ ความสะอาดของทางเดิน และถนน การกำจัดขยะ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และระบบการระบายน้ำ ฯ นำร่องโดย กรุงเทพมหานคร และ 9 จังหวัด ได้แก่ 1) คลองรอบกรุง (คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู) กรุงเทพมหานคร 2) ลำน้ำโจ้ จังหวัดเชียงใหม่ 3) คลองแม่สุก จังหวัดพะเยา 4) คลองแม่รำพัน จังหวัดสุโขทัย 5) คลองบางพระ จังหวัดตราด 6) ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา 7) ลำห้วยพระคือ จังหวัดขอนแก่น 8) คลองปากบาง จังหวัดภูเก็ต 9) คลองหาดส้มแป้น จังหวัดระนอง และ 10) คลองลัดพลี จังหวัดราชบุรี และขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ

อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยพระราชปณิธาน พระราชดำริ พระบรมราโชวาท และพระราชกรณียกิจ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อพสกนิการชาวไทยมาโดยตลอด กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ขอตั้งปฏิญาณ จะมุ่งมั่นดำเนินตามรอยพระยุคลบาท จะแน่วแน่สนองพระราชปณิธาน ‘สืบสาน รักษา ต่อยอด’ ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ และความใส่ใจทุกขั้นตอนในการดำเนินภารกิจต่าง ๆ เพื่อ ‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ ช่วยเหลือประชาชนให้ผ่านพ้นความทุกข์ยาก มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสร้างประโยชน์สุขสู่แผ่นดินไทยอย่างยั่งยืนตลอดไป

‘รัฐบาล’ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา

เมื่อไม่นานมานี้ ‘สำนักพระราชวัง’ ได้ออกแถลงการณ์เชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ www.royaloffice.th ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗

 นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้กำหนดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนร่วมแสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นราชสักการะ ซึ่งการจัดงานประกอบด้วย งานพระราชพิธี งานรัฐพิธี งานศาสนพิธี โครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ตลอดปี พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗ มีพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ พิธีเจริญพระพุทธมนต์และตักบาตรถวายพระราชกุศล พิธีปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เสด็จออกมหาสมาคม พิธีจุดเทียนถวายพระพรข้อมงคล และงานสโมสรสันนิบาต

สำหรับกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ มีดังนี้ 

>>๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗<<
-เวลา ๐๗.๐๐ น. ขบวนเชิญน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จากกระทรวงมหาดไทย ไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

-เวลา ๐๙.๐๐ น. พิธีทางศาสนามหามงคล ๕ ศาสนา ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี

-เวลา ๑๔.๓๐ น. พิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยจะถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง NBT 2 HD ตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐ น. เป็นต้นไป

>>๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗<<

-เวลา ๐๖.๓๕ น. พิธีขบวนอิสริยยศ เชิญน้ำพระพุทธมนต์ จากวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง

-เวลา ๐๗.๐๐ น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล ณ บริเวณท้องสนามหลวง

-เวลา ๐๗.๔๕ น. ถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน ณ บริเวณท้องสนามหลวง

-เวลา ๑๐.๐๐ น. เสด็จออกมหาสมาคมทรงรับการถวาย พระพรชัยมงคล ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง โดยสามารถรับชมถ่ายทอดสดได้ทาง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา ๐๙.๕๕ น. เป็นต้นไป

-เวลา ๑๒.๐๐ น. ๓ เหล่าทัพ ยิงสลุตหลวง หน่วยละ ๒๑ นัด

-เวลา ๑๗.๐๐ น. เสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงตั้งสมณศักดิ์ จีน ญวน และพระสงฆ์

-เวลา ๑๗.๓๐ น. พิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม ณ บริเวณท้องสนามหลวง

เวลา ๑๙.๑๙ น. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ บริเวณท้องสนามหลวง ส่วนภูมิภาค ณ สถานที่ที่แต่ละจังหวัดกำหนด หรือสถานที่ตามความเหมาะสม โดยสามารถรับชมถ่ายทอดได้ทาง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา ๑๘.๕๐ น. เป็นต้นไป

>>๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗<<

- เวลา ๐๘.๐๐ น. เชิญเครื่องราชสักการะและพานพุ่มจากท้องสนามหลวงไปทูลเกล้าฯ ถวาย ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน

- เวลา ๑๙.๐๐ น. งานสโมสรสันติบาตร ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยสามารถรับชมถ่ายทอดได้ทาง โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา ๑๘.๕๐ น. เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ รัฐบาลได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กว่า ๖๐๐ โครงการ ที่สะท้อนถึงการน้อมนำแนวพระราชดำริ พระราชปณิธาน และพระบรมราโชบายเกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ให้อยู่ดีมีสุข ซึ่งจะดำเนินการทุกโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยสามารถติดตามข้อมูลได้ที่ WWW.PHRALAN.IN.TH

‘ก.พลังงาน-หน่วยงานเกี่ยวข้อง’ จัดทำโครงการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เฉลิมพระเกียรติ ‘ในหลวง ร.10’ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

(24 ก.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รวมทั้งคณะผู้บริหารระดับสูงส่วนราชการและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงพลังงาน ร่วมกันถวายราชสักการะแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับแถลงข่าว กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ บ้านพิบูลธรรม กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรุงเทพฯ

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 กระทรวงพลังงาน รัฐวิสาหกิจในสังกัด และ กกพ. น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านในการจะ ‘สร้างประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ ด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในหลากหลายด้าน
ได้แก่ ด้านส่งเสริมสุขภาพประชาชน กกพ. ในฐานะหน่วยงานในกำกับฯ ได้จัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าติดตั้งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับสถานพยาบาล 73 แห่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าและนำงบประมาณที่เหลือใช้ไปดูแลประชาชนให้เข้าถึงการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึงเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนองพระบรมราโชบายที่ทรงต้องการสืบสาน ต่อยอด โครงการในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้ทรงริเริ่มการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนมาใช้ประโยชน์อีกด้วย

ด้านส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในส่วนของกระทรวงพลังงาน ทั้งจากสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กฟผ. และ ปตท. ได้เข้าร่วมโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ 10 โครงการสืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน ของ กฟผ. และกิจกรรมปลูกป่า จำนวน 72,000 ไร่ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวนำมาซึ่งอากาศสะอาดและความชุ่มชื้นให้กับประเทศอย่างกว้างขวาง

ด้านเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ ปตท. ได้การจัดทำหนังสือที่ระลึกเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะรวบรวมพระราชประวัติพระอัจฉริยภาพด้านต่าง ๆ ภาพถ่ายอันทรงคุณค่าจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชกรณียกิจการพัฒนาด้านพลังงาน พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่ทรงมีแก่ประชาชนชาวไทย รวมทั้งการดำเนินโครงการต่าง ๆ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลฯ ซึ่งจัดพิมพ์จำนวน 1,072 เล่มด้วย

นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กล่าวว่า กกพ. และสำนักงาน กกพ.ได้สนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ตามมาตรา 97(4) ดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 73 แห่ง เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับโรงพยาบาลของรัฐ จำนวน 73 แห่ง ในวงเงินงบประมาณ จำนวน 457,192,500 บาท มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 15,597 กิโลวัตต์พีค โดยมุ่งหวังลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าและคาดว่าจะประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับโรงพยาบาลของรัฐได้ถึง 86,213,686 บาทต่อปี อีกทั้งโรงพยาบาลสามารถนำค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ดังกล่าวไปสนับสนุนภารกิจในการดูแลประชาชนที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขกับโรงพยาบาลให้ดียิ่งขึ้น การดำเนินโครงการดังกล่าวสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวม 11,872 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

“กกพ. และสำนักงาน กกพ. มีความมุ่งมั่นที่จะน้อมนำแนวทางพระราชดำริ พระราชปณิธาน และพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุข โดยจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ตามมาตรา 97(4) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับหน่วยงานของรัฐที่ให้บริการด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง และจะขยายการสนับสนุนไปยังหน่วยงานของรัฐด้านการศึกษา และด้านการคุ้มครองทางสังคมและมีความมั่นคงให้กับประชาชน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยงานภายใต้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” นายเสมอใจ กล่าว

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ กฟผ. จัดทำโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จำนวน 10 โครงการ ภายใต้ชื่อ ‘10 โครงการ สืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน’ ประกอบด้วย

1) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ
โดยล้างเครื่องปรับอากาศ ติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ (City Tree)
สร้างอากาศที่ดีให้ผู้ป่วย พร้อมสนับสนุนเลนส์ตาเทียมสำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ 
2) โครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เบอร์ 5 ในพื้นที่โครงการหลวง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงเลอตอ จังหวัดตาก ขนาด 16 กิโลวัตต์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง ชนกาธิเบศรดำริ จ.เชียงใหม่ ขนาด 72 กิโลวัตต์
3) โครงการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เบอร์ 5 วัดมหาธาตุวชิรมงคล (วัดบางโทง) จ.กระบี่
ขนาด 72 กิโลวัตต์
4) โครงการออกหน่วยให้บริการแว่นตาในพื้นที่เป้าหมาย 43 แห่ง รวมถึงมอบแว่นตาแก่
กลุ่มเปราะบาง จำนวนรวมทั้งสิ้น 72,000 แว่นตา
5) โครงการโคก หนอง นา ต่อยอด 72 แปลง ด้วยการสนับสนุนนวัตกรรมระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์

6) โครงการจัดตั้งห้องเรียนสีเขียว Smart Green Learning Room และปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน ณ โรงเรียนมัธยมวชิราลงกรณวราราม จ.นครราชสีมา 
7) โครงการสนับสนุนชุดนักเรียนเบอร์ 5 จำนวน 72,000 ชุด ในกลุ่มโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ 
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กลุ่มโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทั่วประเทศ และกลุ่มโรงเรียนในโครงการกองทุนการศึกษา
8) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานมูลนิธิกาญจนบารมี สนับสนุนรถตรวจคัดกรองมะเร็งนรีเวชพร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ จำนวน 1 คัน
9) โครงการสวนสุขภาพเฉลิมพระเกียรติ ในพื้นที่ 72 ไร่ ณ เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี  
โดยปรับพื้นที่เพื่อสร้างสนามแข่งขันจักรยาน พื้นที่ทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ  
10) โครงการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ณ เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 
25 - 28 กรกฎาคม 2567  

คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 2,800 ตันต่อปี ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 5.3 หน่วยต่อปี ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าประมาณ 26.6 ล้านบาทต่อปี

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมพิเศษเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ได้แก่

1) โครงการพัฒนาพื้นที่กำแพงเพชร 6 ขนานแนวโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากรเฉลิมพระเกียรติที่ ปตท. จัดสรรพื้นที่ จำนวน 10 ไร่ ติดคลองเปรมประชากร เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวและอาคารนิทรรศการ รวมถึงท่าเรือและพื้นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชน เพื่อสืบสาน และขยายผลต่อยอดพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำ ลำคลองและแหล่งน้ำต่าง ๆ

2) ผลิตและเผยแพร่ หนังสั้นเฉลิมพระเกียรติฯ 2 เรื่อง คือ เรื่องรูปวาดจากอนาคต และ เรื่องคาเฟ่ เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการด้านการพัฒนาแหล่งน้ำทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชน ตามพระบรมราโชบาย จำนวน 10 โครงการทั่วประเทศ เผยแพร่ตั้งแต่วันนี้ถึง 3 สิงหาคม 2567 ทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์

3) กิจกรรมแสดง แสง สี เสียง เฉลิมพระเกียรติ 'ลำนำนที วารีสมโภช' ณ สวนสันติชัยปราการ (ป้อมพระสุเมรุ) เพื่อให้ประชาชนได้รับชมหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติ พร้อมร่วมกิจกรรม อาทิ การแสดงแสง สี เสียงและ 3D Mapping ที่ป้อมพระสุเมรุ การละเล่นจากชุมชนบางลำพู ดนตรีในสวน กิจกรรม workshop ร้านค้าชุมชน และนิทรรศการโครงการตามพระบรมราโชบาย พระราชกรณียกิจและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ รวมทั้งล่องเรือในเส้นทางสุดพิเศษจากป้อมพระสุเมรุไปยังป้อมมหากาฬ จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 - 28 กรกฎาคม 2567 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณสวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์

4) กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โครงการหลวงเลอตอ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ซึ่ง ปตท. โออาร์ และโครงการหลวง ร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการสืบสาน รักษา ต่อยอดงานของมูลนิธิโครงการหลวงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขา ลดการปลูกฝิ่น และฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร  

5) กิจกรรมปลูกป่า จำนวน 72,000 ไร่ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครอบคลุมพื้นที่ป่าทั่วประเทศ เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ แหล่งต้นน้ำ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ เพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ และลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ คาดว่าจะสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 68,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

โครงการและกิจกรรมพิเศษที่ กลุ่ม ปตท. ร่วมดำเนินการในครั้งนี้ เป็นการเผยแพร่พระราชกรณียกิจและโครงการตามพระบรมราโชบายของของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และสร้างคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น

นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานมีความยินดีและพร้อมสนับสนุนโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย

ทั้งนี้ ในส่วนของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ก็มีโครงการประกวดนวัตกรรมด้านพลังงานและพลังงานทดแทนภาคประชาชน เพื่อพัฒนานักออกแบบนวัตกรรมด้านพลังงานภาคประชาชน พัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานที่ใช้งานได้จริง และเชิดชูประชาชนผู้มีแนวคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานที่เป็นการช่วยเหลือและสร้างประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนั้น จะลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและเชิงพาณิชย์ เพื่อการต่อยอดและขยายผลอย่างยั่งยืน ระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2567 คาดว่าผลลัพธ์จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานของไทยอย่างยั่งยืน นอกจากนั้น กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ กฟผ. อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลพระราชกรณียกิจด้านพลังงานและคัดสรรภาพประกอบเพื่อนำมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือ เชื่อว่าจะเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่า และสมพระเกียรติ

“จะเห็นได้ว่า การดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของกระทรวงพลังงานมีครบทั้งมิติด้านพลังงาน มิติด้านสังคม และมิติด้านสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมไม่ได้จัดแค่ช่วงเดือนกรกฎาคมเท่านั้น จะมีการจัดกิจกรรมไปตลอดจนถึงสิ้นปี 2567 ประชาชนสามารถติดตามโครงการต่าง ๆ ผ่านทั้งหน้าเว็บไซต์ และ Facebook ของหน่วยงานต่าง ๆ สุดท้ายนี้ ดิฉันก็ขอขอบคุณอีกครั้ง ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกระดับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยกันผลักดันโครงการดี ๆ ให้เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์ในโอกาส มหามงคลในครั้งนี้” นางสาวนันธิกา กล่าว

‘กรมประมง’ ชี้!! ‘ไข่ปลาหมอคางดำ’ ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ไม่ถึง 2 เดือน ยัน!! หากนำไข่ขึ้นจากน้ำแล้วทิ้งไว้จนแห้ง จะไม่สามารถฟักเป็นตัวได้อีก

(24 ก.ค. 67) นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยพบการแพร่ระบาดแล้ว 16 จังหวัด กรมประมงได้เร่งดำเนินการตามนโยบายของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 5 มาตรการสำคัญ แต่ในขณะนี้ มีข้อสงสัยของสังคม เรื่อง ไข่ปลาหมอคางดำสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมนอกปากปลาหมอคางดำได้ถึง 2 เดือน และยังฟักเป็นตัวได้

ทั้งนี้จากหลักวิชาการด้านประมง พบว่า พฤติกรรมของปลาหมอคางดำเป็นปลาที่พ่อปลาอมไข่ไว้ในปาก เพื่อฟักไข่ในปากไข่ปลาต้องได้รับความชุ่มชื้นและออกซิเจนอย่างเพียงพอ จึงจะเป็นสภาพที่พร้อมในการฟักลูกปลา ดังนั้น ไข่ปลาหมอคางดำจึงไม่สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งได้ หากนำไข่ปลาหมอคางดำขึ้นมาจากน้ำแล้วทิ้งไว้จนแห้งจะกลายเป็นไข่เสียทันที ไม่สามารถฟักเป็นตัวได้อีก และในปัจจุบันยังไม่พบรายงานวิจัยว่าไข่ปลาหมอคางดำสามารถทนอยู่ในสภาพแห้งแล้ง ได้ถึง 2 เดือน แล้วกลับมาฟักเป็นตัวได้อีกอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำปลาหมอคางดำขึ้นจากน้ำแล้ว ไข่ปลาที่อยู่ในปากของพ่อปลาที่ตายแล้ว จะสามารถทนอยู่ได้ในปากประมาณ 10-15 นาที และไข่ที่ออกจากปากปลาสามารถอยู่ในน้ำที่ไม่มีออกซิเจนได้นานถึง 1 ชั่วโมง ในกรณีไข่ปลาหมอที่ตกค้างบริเวณพื้นบ่อที่ตากไว้ และโรยปูนขาวแล้ว ไข่ปลาหมอไม่สามารถฟักเป็นตัวได้

สำหรับไข่ปลาที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งพบได้ในปลาบางชนิด เช่น ปลาคิลลี่ (Killifish) ที่เป็นปลาขนาดเล็ก มีวงจรชีวิตสั้น ซึ่งตามสัญชาตญาณเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ ทำให้ไข่ปลาชนิดนี้มีความทนทานต่อสภาพที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ โดยในฤดูที่แห้งแล้งปลาคิลลี่จะวางไข่ไว้บนพื้นดิน และเมื่อได้รับน้ำในฤดูฝนก็จะสามารถฟักออกมาเป็นตัวได้ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับปลาหมอคางดำ

นอกจากนี้ กรมประมงยังมีการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ เกษตรกรชาวประมง และประชาชน จับปลาหมอคางดำขึ้นจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อระบบปิด ซึ่งเมื่อจับขึ้นมาแล้วจำเป็นต้องนำไปใช้ประโยชน์ และกรมประมงเองก็มีการตั้งจุดรับซื้อทุกจังหวัดที่พบการแพร่ระบาด โดยตั้งราคาไว้ที่กิโลกรัมละ 15 บาท

>> ดังนั้น จึงขอแนะนำข้อปฏิบัติในการขนย้ายปลาหมอคางดำ ดังนี้

1.การขนส่งปลาหมอคางดำ ควรทำการขนส่งแบบแห้ง เพื่อไม่ให้มีไข่ปลารอดชีวิต

2.การนำปลาหมอคางดำไปเป็นเหยื่อหรืออาหารสัตว์แบบสด ควรใช้ปลาตายและเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีไข่อยู่ในปาก

3.การทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของปลาหมอคางดำ เช่น การนำไปทำปุ๋ยชีวภาพหรือทำเป็นอาหารสัตว์ ควรอยู่ห่างจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อน้ำทิ้ง เพื่อป้องกันการหลุดรอด

4.การขนส่งปลาสดในน้ำแข็ง ควรนำปลาใส่ถุงก่อน เพื่อไม่ให้สัมผัสกับน้ำแข็งที่อาจละลายในระหว่างการขนส่ง

>> สำหรับเกษตรกรที่เตรียมบ่อสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กรมประมงมีข้อแนะนำ ดังนี้

1.ลงปูนขาว หรือ กากชา เพื่อฆ่าศัตรูปลา ในการเตรียมบ่อก่อนลงลูกปลาที่เลี้ยงทุกครั้ง

2.ใช้ถุงกรองเพื่อกรองน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเข้าสู่บ่อ ป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำ ปลาผู้ล่าอื่น ๆ รวมถึงศัตรูปลาเข้าสู่บ่อเลี้ยง

3.หากพบปลาหมอคางดำในบ่อต้องรีบดำเนินการจับขึ้น โดยใช้แห อวน ลอบ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อควบคุมและกำจัดไม่ให้แพร่ระบาดจำนวนมาก

4.หากพบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำใกล้เคียงบ่อเลี้ยงให้รีบกำจัด และแจ้งกรมประมงเพื่อหาทางควบคุมและกำจัดออกจากแหล่งน้ำทันที

5.หากบ่อเลี้ยงเคยพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำมาแล้ว ควรทำการตากบ่อ จนกว่าดินจะแห้งสนิทก่อนสูบน้ำเข้าบ่อ เพื่อเพาะเลี้ยงใหม่อีกครั้ง

พิจิตร-เหมืองทองอัคราเปิดเผย จ่ายค่าภาคหลวงให้รัฐแล้ว 500 ล้านบาท จ้างคนงานกว่าพันคนจ่ายเงินเดือน ๆ ละ 30 ล้าน

เหมืองทองอัคราพิจิตรเปิดเผยจ่ายค่าภาคหลวงไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท มั่นใจไทยมีศักยภาพเป็น 'ฮับทองคำ' ของอาเซียนพร้อมผลักดันสินค้าทองคำและเงินของไทยให้ผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยคุยฟุ้งช่วยเศรษฐกิจชุมชนจ้างงานคนในพื้นที่ 80-90% แล้วนับพันคน จ่ายเงินเดือนๆละ 30 ล้านบาท ส่งผลให้ชาวบ้านชุมชนคนรอบเหมืองมีงานทำทั่วถึง  

วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ หัวหน้าผู้จัดการทั่วไป บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำชาตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ กลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ใช้งบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาทในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมือง จนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2567 ผลให้บริษัทฯ สามารถเดินกำลังการผลิตได้อย่างเต็มรูปแบบ และคาดว่าจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ การจ้างงานทั้งทางตรงและผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่ประมาณ 1,000 คน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะจ้างคนในพื้นที่ให้ได้ 90% เพื่อสร้างเสริมเศรษฐกิจฐานรากในชุมชนรอบเหมือง สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิต และประการสำคัญ การชำระค่าภาคหลวงแร่ให้แก่รัฐนับจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม 2567 บริษัทได้ชำระค่าภาคหลวงให้รัฐไปแล้วมากกว่า 500 ล้านบาท

โดยนายเชิดศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ค่าภาคหลวงที่บริษัทฯ ชำระนั้น จะถูกจัดสรรเป็นรายได้ของรัฐ 40% และส่วนที่เหลือจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ที่ประทานบัตรตั้งอยู่” 

ในส่วนของจังหวัดพิจิตรได้รับการจัดสรรเงินค่าภาคหลวงแร่ให้ อบต. 20% และ อบจ. อีก 20% หรือหน่วยงานละ ประมาณ 23 ล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะเสริมงบประมาณปกติที่ได้รับจากส่วนกลาง และจะช่วยเสริมศักยภาพของทั้งสององค์กรในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งค่าภาคหลวงแร่นี้ช่วยให้เกิดงานและโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่จำนวนมาก 

นอกจากนี้ อัครายังได้นำเงินเข้ากองทุนตามที่กฎหมายกำหนด จำนวน 4 กอง อีกประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมการสนับสนุนแก่ชุมชนโดยตรงจากงบประมาณของบริษัทในกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ การศึกษา และกิจกรรมทางกีฬา ศาสนา และสังคม ที่บริษัทฯ ทำด้วยความสมัครใจ 

ต่อจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ไทยเป็น “ฮับทองคำ” (Gold Hub) ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจกลางน้ำและปลายน้ำของอุตสาหกรรมทองคำ โดยจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้สินค้าทองคำและเงินของไทยผ่านเกณฑ์ FTA เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศคู่ค้า เช่น การลดหย่อนภาษีนำเข้าของประเทศปลายทางจากการใช้ทองคำและเงินที่สกัดและแปรรูปในไทย ตามหลักเกณฑ์ที่มีสัดส่วนมูลค่าการผลิตและวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) อย่างน้อย 40% ของต้นทุน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ สอดรับกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการเข้าทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมายังประเทศไทย

รรท.รอง ผบ.ตร. วางมาตรการ 3 มิติงาน ยกระดับขีดความสามารถงานตรวจคนเข้าเมือง มุ่งตอบสนองนโยบายรัฐบาล รักษาความมั่นคงของประเทศ สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคม

ที่ อาคารฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ ตร. (เมืองทองธานี) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งให้ความสำคัญในการรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้บรรลุผลสำเร็จอย่างสูงสุด โดยมุ่งหวัง ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว รักษาความมั่นคงของประเทศ และสร้างความสงบเรียบร้อยแก่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมาย ให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) ขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถงานตรวจคนเข้าเมือง ให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว       

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) ได้มอบนโยบายพร้อมขับเคลื่อนและกำชับการปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., รอง ผบช.สตม., ผบก.ตม. และหัวหน้า ตม.จว. ทั่วประเทศ เข้าร่วมรับฟังนโยบาย เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใน 3 มิติงาน ดังนี้ 

มิติด้านการบริการ ต้องมุ่งตอบสนองนโยบายรัฐบาล ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการเข้า - ออก ประเทศ โดยเฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ โดยให้นำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ระบบ Biometrics เพื่อเก็บอัตลักษณ์ และตรวจสอบคัดกรองบุคคลไม่พึงประสงค์เข้าประเทศ ระบบ Automatic channel ช่วยระบายความหนาแน่นของผู้โดยสาร การลดขั้นตอนต่าง ๆ และพัฒนาระบบคัดกรองด้วย AI  

มิติด้านความมั่นคง ต้องเร่งรัดสืบสวนปราบปรามองค์กรอาชญากรรมทุกประเภท โดยเฉพาะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว เช่น กลุ่มแก๊งต่าง ๆ เกี่ยวกับยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล เรียกค่าไถ่ คอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ ต้องมีระบบการคัดกรอง และควบคุมคนต่างด้าวแบบครบวงจร เน้นการคัดกรองบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบุคคลที่มีหมายจับต่างประเทศ ประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) มีระบบตรวจสอบการแจ้งที่พักของคนต่างด้าว และมีมาตรการเชิงรุกต่อคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศโดยการอนุญาตสิ้นสุด หรือ overstay ต้องตรวจสอบและติดตามจับกุมคนกลุ่มนี้ ส่วนการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้ตรวจสอบประวัติ หมายจับอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติชาวต่างชาติ ต้องรวดเร็วทันสถานการณ์ พิสูจน์ทราบผู้เสียหาย ผู้ก่อเหตุ มีการบูรณาการ สนับสนุนข้อมูล ตร. พื้นที่ และ บก.สส.สตม. ต้องมีข้อมูลสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดโดยเร็ว มีการบูรณาการหน่วยความมั่นคง ร่วมปฏิบัติการตรวจสอบ จับกุม ผลักดัน หากเกิดเหตุต้องจับได้ทันที ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง เพิ่มความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและปลอดภัยระดับโลก

มิติด้านการพัฒนาและสวัสดิการ ต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญเป็นมืออาชีพ มีมาตรฐานระดับสากล มีความคิดริเริ่ม พัฒนาการให้บริการและสถานที่ทำงาน นำระบบเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหา ลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ตลอดจนมีสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างเสริมขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน โดยห้ามเรียกรับผลประโยชน์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด       

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นหน่วยงานหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมด ต้องมีระบบฐานข้อมูล มีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันจะพบว่า แนวโน้มของอาชญากรรมข้ามชาติเพิ่มสูงขึ้นมาก มีความเชื่อมโยงกับคนร้ายในต่างประเทศ ประเทศไทยเป็นเป้าหมายเข้ามากระทำความผิด หรือกระทำความผิดในต่างประเทศ แล้วใช้ประเทศไทยเป็นที่หลบหนี ความร่วมมือกันระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องประสานงานกับกองการต่างประเทศ ตำรวจสากลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่น เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี และผลักดันออกนอกประเทศ               
   
พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลัง ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและทุกภาคส่วน ในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ตลอดจนเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องในทุกรูปแบบ จะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อย มั่นคงอย่างยั่งยืนสืบไป

‘ตำรวจ’ จับมือ ‘กสทช.’ เริ่มปฏิบัติการ ‘ระเบิดสะพานโจร’ ตัดสัญญาณโทรคมนาคม ที่ลักลอบใช้ในเขตพื้นที่ชายแดน

(24 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ รอง ผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แถลงผลการประชุม การเริ่มปฏิบัติการ ‘ระเบิดสะพานโจร’ ตัดสัญญาณโทรคมนาคม ที่ลักลอบใช้ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ บริเวณที่ตั้งโดยรอบคิงส์โรมัน

พร้อมการแถลงผลการพบสายสัญญาณอินเตอร์เน็ตข้ามประเทศ จากชายแดนด้านอ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งทางทหารพราน กองกำลังผาเมือง ได้ตรวจสอบและทำการตัดพร้อมขุดสายสัญญาณที่ฝังดินเอาไว้รวมกว่า 11.5 กิโลเมตร ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากฝั่งประเทศไทย หายไปในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จุดนี้ก็จะทำการขยายผลว่าใครเป็นผู้ขออนุญาตใช้สัญญาณ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า จากการประชุมร่วมกันด้านฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จ.เชียงราย ในการเริ่มต้นปฏิบัติการ ‘ระเบิดสะพานโจร’ ตัดสัญญาณโทรคมนาคม ในพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้ติดต่อกลับมาหลอกลวงคนไทย โดยได้วางมาตรการเข้ม 4 ข้อ คือ 

1. เริ่มทำการตัดสัญญาณข้ามประเทศทุกชนิด โดย กสทช. จะร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด  

2. ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีการดำเนินการตรวจสอบในระบบแจ้งความว่า มีการแจ้งความว่าถูกหลอกลวงมาจากฝั่งเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือไม่

3.จะมีการแชร์ข้อมูลซึ่งกันและ ระหว่าง กสทช. ตำรวจ และทหาร ว่ามีการใช้สัญญาณข้ามประเทศอย่างไร ทั้งระบบ  ซิม สาย  เสา หากมีการทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินการทันที

4. จะมีการเข้มงวดของตรวจคนเข้าเมือง หากพบว่ามีบุคคลใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนที่วางเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหลอกไปทำงาน

ด้าน พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า ทาง กสทช. จะทำงานร่วมกับทางตำรวจและฝ่ายความมั่นคง เพื่อดำเนินการตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่ออกไปนอกประเทศ ล่าสุดทาง กสทช. ได้ตัดสัญญาณมือถือไปแล้วกว่า 2 ล้านเลขหมายทั่วประเทศ  ซึ่งเชื่อว่าซิมที่ถูกระงับการใช้งานนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในการถือครองของคนร้าย

นอกจากนี้ เพียงครึ่งปีที่ผ่านมา กสทช. และ สตช. ได้มีการจับกุมผู้ลักลอบติดตั้งเสาและสาย ส่งสัญญาณเถื่อนตามแนวชายแดนไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเอื้อ ประโยชน์ให้กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้จำนวน 33 ราย ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. แต่ทำผิดเงื่อนไขการให้บริการ ได้แจ้งเตือนและสั่งให้ระงับการส่งสัญญาณโทรคมนาคม และถอดสายสัญญาณและอุปกรณ์ (ล้มเสา) จำนวน 179 จุด โดยดำเนินการแล้วใน 11 อำเภอ 9 จังหวัด ที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน

‘สุริยะ’ นำชาวคมนาคมร่วมโครงการ ‘คมนาคมร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชัน’ มอบทุนการศึกษา-บริจาคโลหิต ถวาย ‘ในหลวง’ เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

(24 ก.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทั้ง 22 หน่วยงาน ได้พร้อมใจกันจัดทำโครงการ ‘คมนาคมร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชัน’ ถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน 

โดยได้มอบธงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติให้กับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ประกาศเจตจำนงการบรรลุเป้าหมายในการบริจาคโลหิตร่วมกันของบุคลากรกระทรวงฯ รวมทั้งสิ้น 2 ล้านซีซี ถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมอบทุนการศึกษา จำนวน 172 ทุน ให้กับนักเรียนในโรงเรียนบริเวณรอบท่าเรือกรุงเทพ เพื่อเพิ่มโอกาสและสร้างขวัญกำลังใจให้กับเยาวชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้าง และพัฒนาสังคม รวมถึงประเทศชาติที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ผู้บริหารและพนักงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดี ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยพระราชวิริยะอุตสาหะทรงดำรงพระองค์เป็นแบบอย่างแก่ข้าราชการทั้งปวงในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของปวงประชา ซึ่งข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมทุกคนจักได้น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตามให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อสนองพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดีสืบไป

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดได้ร่วมกันดำเนินโครงการคมนาคมร้อยดวงใจ เทิดไท้องค์ราชัน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยในวันนี้ (24 ก.ค. 67) ผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานในสังกัด รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้แทนสายการเดินเรือ ผู้ประกอบการ และประชาชนในชุมชนรอบพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ จำนวน 7,200 คน ได้รวมตัวกัน ณ บริเวณลานริมน้ำ อาคาร OB ท่าเรือกรุงเทพเพื่อร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อม ๆ กับข้าราชการและพนักงานหน่วยงานสังกัดกระทรวงฯ ในภูมิภาคทั่วประเทศ 

ซึ่งในโอกาสนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบธงตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ ให้กับหัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และส่งต่อให้ส่วนราชการที่มีหน่วยงานในส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 72 ผืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษา จำนวน 172 ทุน ให้กับนักเรียน จำนวน 6 โรงเรียน บริเวณรอบท่าเรือกรุงเทพ ประกอบด้วย โรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา โรงเรียนวัดคลองเตย โรงเรียนวัดสะพาน โรงเรียนสามัคคีสงเคราะห์ โรงเรียนไทยประสิทธิ์ศาสตร์ และโรงเรียนศูนย์รวมน้ำใจ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนไทยด้วย

ในโอกาสนี้ กระทรวงคมนาคมได้ร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำเนินโครงการรวมน้ำใจบริจาคโลหิต ต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ โดยมีเป้าหมายในปี 2567 จำนวน 2 ล้านซีซี ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นมา มีผู้บริหารและบุคลากรของกระทรวงฯ ได้ร่วมกันบริจาคโลหิตไปแล้วมากกว่า 1.4 ล้านซีซี ในวันนี้จึงได้มอบป้ายประกาศเจตจำนงการบริจาคโลหิตของกระทรวงคมนาคมให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติเพื่อเป็นการกำหนดเป้าหมายร่วมกันและเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2567 บุคลากรของกระทรวงคมนาคมจะรวมใจกันบริจาคโลหิตจนครบ 2 ล้านซีซี เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดี ๆ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่จำเป็นต้องใช้โลหิตและนำไปช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top