Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

สถาปนาวันครบรอบยกฐานะเป็นเทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ ครบรอบ 16 ปี

วันนี้ 25 ก.ค.67  นายไพโรจน์ มาลากุล ณ อยุธยา นายกเทศมนตรีตำบลเขตรอุดมศักดิ์ เป็นประธานจัดกิจกรรมสถาปนาวันครบรอบยกฐานะเป็นเทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ ครบรอบ 16 ปี ณ อาคารอเนกประสงค์ เทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมี ข้าราชการนายทหารชั้นผู้ใหญ่ หน่วยงานกองทัพเรือ คณะผู้บริหาร สมาชิกเทศบาล พนักงาน เจ้าหน้าที่ ส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำชุมชน  ชุมชน สมาชิกอาสาสมัครสาธารณสุข สมาชิก อปพร. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเกียรติในพิธี พร้อมมอบกระเช้าดอกไม้แสดงความยินดี

ในวันสถาปนาครั้งนี้ ได้นิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 10 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ และฉันภัตตาหารเพล เพื่อความเป็นสิริมงคล และอุทิศส่วนบุญกุศลแด่ดวงพระวิญญาณ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตลอดจนข้าราชการที่ล่วงลับไปแล้ว

นายไพโรจน์ มาลากุล ณ อยุธยา นายกเทศมนตรีตำบลเขตรอุดมศักดิ์ กล่าวว่า เทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ ได้กำหนดจัดงานวันครบรอบยกฐานะเป็นเทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์ ครบรอบ 16 ปี เพื่อให้คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล พนักงาน และเจ้าหน้าที่ รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้ร่วมแสดงความภาคภูมิใจ สมัครสมานสามัคคี รัก และห่วงแหนองค์กร และได้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี โดยจัดให้มีพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อจะได้ก่อให้เกิดขวัญกำลังใจ และเป็นสิริมงคลในหน่วยงาน ร่วมสร้างองค์กรตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล พนักงาน และเจ้าหน้าที่ รวมทั้งประชาชนทั่วไป ที่มุ่งมั่นทำงานทั้งกาย และใจ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของเทศบาลตำบลเขตรอุดมศักดิ์สืบไป

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

คณะกรรมการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โรงพยาบาลตำรวจ จัดกิจกรรมร่วมฟังธรรมจาก พระอาจารย์กิตติเชษฐ์ สิริวฑฺฒโก

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2567 ณ ห้องประชุมชัยจินดา1 ชั้น 20 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ คณะกรรมการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โรงพยาบาลตำรวจ นำโดย พล.ต.ท. ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ/ที่ปรึกษาคณะกรรมการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โรงพยาบาลตำรวจ เป็นประธานเปิดกิจกรรม และ พล.ต.ต.หญิง พันวดี รัตนสุมาวงศ์ นายแพทย์ (สบ 7) โรงพยาบาลตำรวจ/ประธานคณะกรรมการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โรงพยาบาลตำรวจ เข้าร่วมฟังธรรมจาก พระอาจารย์กิตติเชษฐ์ สิริวฑฺฒโก ซึ่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวชิรสุนทร ในการนี้ พระวิระชัย เมตตาธีโร ร่วมแสดงธรรมในโครงการดังกล่าวด้วย

พระวิระชัย เมตตาธีโร คือ พล.ต.อ. วิระชัย ทรงเมตตา
ปัจจุบัน พระวิระชัย เมตฺตาธีโร วิทยฐานะ น.ธ.ตรี, รป.บ., รป.ม., รป.ด. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ดำรงตำแหน่งฐานานุกรม "พระครูปลัดดิลกวรวัฒน์"  ทั้งนี้เพื่อเป็นการฝึกจิตใจ และสมาธิให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน“

#โครงการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
#กลุ่มงานพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ
#PGH
#โรงพยาบาลตำรวจ
#ศูนย์ประชาสัมพันธ์สื่อสารองค์กรและโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ
 

ผู้ทำเพลง ‘คิดถึงลุงตู่’ แจง!! หลังคลิประบาดในติ๊กต็อก ยัน!! ทำเพราะคิดถึงจริงๆ ‘ไม่ใช่ไอโอ-ไม่ได้ค่าจ้าง’

(25 ก.ค. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า บนแพลตฟอร์มติ๊กต็อกได้มีผู้ใช้นามว่า Celestial Sound ได้ทำเพลงที่ชื่อว่า ‘คิดถึงลุงตู่’ เพื่อรำลึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี โดยพบว่าดนตรีมีกลิ่นอายคล้ายกับเพลง We Don't Talk Anymore ของ ชาร์ลี พูท (Charlie Puth) ศิลปินเพลงสากลชื่อดัง

โดยผู้ทำเพลงดังกล่าวระบุว่า เพลงดังกล่าวเนื้อร้องแต่งเอง ได้แรงบันดาลใจมาจากช่องครูแหม่ม ส่วนเสียงร้องและดนตรีใช้ AI ซึ่งเพลงดังกล่าวมีกลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ นำแผ่นเสียงเพลงดังกล่าวในติ๊กต็อก ไปทำวิดีโอคลิปจำนวนมากถึง 20,400 โพสต์ นอกจากนี้ ยังมีเพลง ‘ลุงตู่สบายดีไหม’ ซึ่งเป็นการดัดแปลงเพลง รักแรก (First Love) ของ นนท์ ธนนท์ จำเริญ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ออกมาคอมเมนต์ว่า "ขยันทำงานจริง ๆ เลยนะไอโอ" เจ้าตัวตอบกลับว่า "แหม ๆ ช่วงเลือกตั้งเพลง กก. (ก้าวไกล) ขึ้นเต็มฟีด บอกหัวคะแนนธรรมชาติ พอเพลงคิดถึงลุงตู่ขึ้นฟีดบ้าง บอกไอโอ ดิ้นกันใหญ่ จะรั่ว ยังจำเพลงนี้ได้ป่ะ" พร้อมกับโพสต์เพลง ไม่เป็นรอง ของ โอม ค็อกเทล หรือนายปัณฑพล ประสารราชกิจ นักร้องนำ ที่กลุ่มผู้สนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกลนำไปใช้หาเสียงในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผู้ทำเพลงดังกล่าวระบุว่า "ขออภัยพี่ ๆ นักข่าว ที่อินบอกซ์มาขอสัมภาษณ์ เราไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เราทำเพลงเพราะคิดถึงลุงตู่จริง ๆ ไม่ได้เป็นไอโอ ไม่ได้ค่าจ้าง หรือสังกัดพรรคการเมืองใด...จบนะ"

‘ศิโรตม์’ อัดคลิปขอโทษ ‘สนธิ’ ปมจัดรายการพาดพิงสมัยอยู่วอยซ์ทีวี อ้าง!! พาดหัวหลายข่าว พร้อมใช้ภาพสนธิประกอบ ทำให้ผู้ชมเข้าใจผิด

(25 ก.ค. 67) เพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ โพสต์ข้อความ ระบุว่า…นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ ผู้ดำเนินรายการช่องยูทูปมติชนทีวี อดีตนักจัดรายการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ซึ่งปิดกิจการไปแล้วก่อนหน้านี้ โพสต์วิดีโอคลิปขออภัยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ทางยูทูบ SiroteTalk ความยาว 1.22 นาที เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา

เนื้อหาในคลิประบุว่า "สืบเนื่องจากข้าพเจ้า นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ได้จัดรายการข่าว Overview เผยแพร่ทางช่องวอยซ์ทีวี 2 รายการ รายการที่หนึ่ง 6 มี.ค. 2566 พาดหัวข่าวว่า ‘Overview ชูวิทย์ฟาดสนธิแฉสารพัดโกง เปิดความลับฉาวหลังฉากม็อบ’ รายการข่าวที่สอง วันที่ 29 มี.ค. 2566 พาดหัวข้อข่าวว่า ‘Overview ชูวิทย์ลากไส้สนธิ ลิ้มฯ กร่างยันคุก เผยแผนชั่วซื้อประเทศไทย 1 หมื่นล้าน’ ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่าในการจัดรายการข่าวทั้งสองวัน ใช้เวลาจัดรายการครั้งละประมาณ 28-30 นาที

ข้าพเจ้าได้นำหลายข่าวมาอ่านในเวลาต่อเนื่องกัน มีข่าวคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิจารณ์นักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลว่ามีปัญหาทุจริตเชิงนโยบาย ข่าวพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจน พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ที่นำเข้าเนื้อหาเข้าสู่ระบบได้พาดหัวข่าวจากข่าวหลายเรื่องมารวมกัน และนำภาพของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล มาลงในข่าว จนอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน เข้าใจผิดหมายถึงข่าวทั้งหมดหมายถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้"

คลิกชม >> https://youtu.be/NNNEzNAot04

'บอสใหญ่ ปตท.' จัดกิจกรรม ‘เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ พร้อมเผยแพร่พระราชกรณียกิจสำคัญ เพื่อคนไทยได้ร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

(25 ก.ค. 67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร และพนักงานกลุ่ม ปตท. จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

ดร.คงกระพัน เปิดเผยว่า ในวันนี้คณะผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. ได้ร่วมกันผนึกพลังแห่งความจงรักภักดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ร่วมตักบาตรพระสงฆ์และสามเณรจากวัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดประจำในรัชกาลปัจจุบัน พร้อมด้วยวัดธรรมมงคลและวัดศรีเอี่ยม รวมจำนวน 73 รูป และได้ร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นพนักงานที่ดีและพลังของแผ่นดิน รวมทั้งมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ และร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสาผลิต ‘ถุงมือพิทักษ์ Tub’ สำหรับใช้ป้องกันการดึงสายน้ำเกลือ สายยางให้อาหารและท่อช่วยหายใจ เพื่อส่งต่อให้กับผู้ป่วยในสถานพยาบาลต่าง ๆ ต่อไป

“โครงการและกิจกรรมพิเศษที่ กลุ่ม ปตท. ร่วมดำเนินการในครั้งนี้ เป็นการเผยแพร่พระราชกรณียกิจและโครงการตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างสังคมไทยให้แข็งแรง สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ 'ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย' และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดร.คงกระพัน กล่าว

อนึ่ง ในปี 2567 นี้ กลุ่ม ปตท. ได้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ ประกอบไปด้วย 5 กิจกรรมหลัก ได้แก่...

1.โครงการพัฒนาพื้นที่กำแพงเพชร 6  ปตท. จัดสรรพื้นที่จำนวน 10 ไร่ ขนานแนวโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากรเฉลิมพระเกียรติฯ ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ทั้งท่าเรือและพื้นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชน โดยการพัฒนาเป็นสวนสาธารณะ พร้อมลานกิจกรรมและเส้นทางจักรยาน รวมถึงจัดสร้างอาคารนิทรรศการ 'ชลวิถีธีรพัฒน์' บอกเล่าเรื่องราวการพัฒนาสายน้ำ เพื่อ 'สืบสาน รักษา และต่อยอด' ตามพระราชปณิธาน โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้ามาใช้ประโยชน์ต่อไป

2.โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืน โดยพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โครงการหลวงเลอตอ อ.แม่ระมาด จ.ตาก กลุ่ม ปตท. และโครงการหลวง ร่วมสืบสานพระราชปณิธาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขา ซึ่งถือเป็นศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแห่งแรกในรัชสมัยของรัชกาลที่ 10

3.ปลูกป่า 72,000 ไร่ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ แหล่งต้นน้ำ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยครอบคลุมพื้นที่ป่าทั่วประเทศ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 70,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

4.ผลิตหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล จำนวน 2 เรื่อง เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจและผลสัมฤทธิ์ของโครงการด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชน ตามพระบรมราโชบาย จำนวน 10 โครงการทั่วประเทศ เผยแพร่ตั้งแต่วันนี้ถึง 3 สิงหาคม 2567 ทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์

5.กิจกรรมแสดง แสง สี เสียง เฉลิมพระเกียรติ ‘ลำนำนที วารีสมโภช’ โดย ปตท. ได้จัดกิจกรรมสุดพิเศษ ณ สวนสันติชัยปราการ (ป้อมพระสุเมรุ) ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2567 เวลา 15.00-21.00 น. โดยภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ เปิดล่องเรือเส้นทางพิเศษ เยี่ยมชมการพัฒนาสายน้ำและวิถีชุมชนคลองบางลำพู ตามพระบรมราโชบายของในหลวงรัชกาลที่ 10 ชมหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติฯ การแสดงแสง สี เสียง ‘พรจากสายน้ำ’ ด้วยเทคนิค Immersive 3D Mapping ชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การละเล่นจากชุมชนบางลำพูและดนตรีในสวน พร้อมร่วมทำกิจกรรม Workshop ศิลปะบนผืนผ้าใบ และการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย อีกทั้งชิมช้อปอาหารเด็ดย่านบางลำพู และ Street food ระดับมิชลิน และร้านค้าชุมชนมากมาย

สำหรับประชาชนที่สนใจ สามารถร่วมกิจกรรมในวันและเวลาดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เวลาประมาณ 19.00 น. ณ สวนสันติชัยปราการ (ป้อมพระสุเมรุ) ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ

สำรวจ!! ‘ปลาหมอคางดำ’ ย่านสมุทรสาคร ลดลงไปแล้วกว่า 80% ภายใต้ความร่วมมือตามนโยบาย 'จับ-รับซื้อ' เร่งด่วนของภาครัฐ

(25 ก.ค.67) นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่น ศิริแสงอารำพี ในจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า จากการติดตามและเดินทางไปดูแหล่งรับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงพูดคุยกับชาวประมงพื้นบ้านที่นำปลามาขาย พบว่า ตั้งแต่วันแรกที่กรมประมงเริ่มโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อนำไปทำปลาป่น พบว่า ปริมาณปลาลดลง 80% โดยโรงงานใช้ปลาหมอคางดำมาผลิตปลาป่นต่อเนื่อง จนถึงวันนี้รับซื้อแล้วมากกว่า 600,000 กิโลกรัม และโครงการนี้เป็นการช่วยเหลือชาวประมงตามนโยบายเร่งด่วนของภาครัฐในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ

ช่วง 2 วันที่ผ่านมา โรงงานฯ รับซื้อปลาหมอคางดำมาทำปลาป่นเพิ่มขึ้นจากวันละ 5,000-6,000 กิโลกรัม เป็น 10,000 กิโลกรัม สืบเนื่องจากการรณรงค์โครงการจับและรับซื้อปลาของรัฐบาล โดยปลาป่นจากปลาหมอคางดำของโรงงานมี ซีพีเอฟ เป็นผู้รับซื้อทั้งหมดตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นมา ซึ่ง ซีพีเอฟ จะเพิ่มการรับซื้อปลาหมอคางดำจากแหล่งที่มีการระบาดจำนวน 2,000,000 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 15 บาท และจะเริ่มซื้อพร้อมกับภาครัฐในวันที่ 1 สิงหาคม 2567

“ปริมาณปลาที่ลดลงดังกล่าวเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของหลายฝ่ายที่ตั้งใจรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งการจับปลาและนำปลาไปใช้ประโยชน์สูงสุด นับเป็นข่าวดีที่ชาวประมงพื้นบ้านแจ้งว่าปริมาณปลาหมอคางดำลดลงมากถึง 80% และมีมาตรการป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น นับเป็นการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวันนี้เรือประมงพื้นบ้านจับปลาหมอคางดำได้น้อยลง” นายปรีชา กล่าว

นายปรีชา กล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นการทำงานแบบบูรณาการอย่างรอบคอบระหว่างภาครัฐ เกษตรกร ชุมชน ภาคประชาสังคมและภาคเอกชน ซึ่งมีการวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีการจับปลามากขึ้น ขณะที่ภาครัฐเปิดจุดรับซื้อเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด เพื่อรองรับปลาหมอคางดำที่จับได้อย่างทั่วถึง

ภาครัฐยังมีการตรวจสอบเพื่อความมั่นใจ ว่า ปลาที่รับซื้อมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติไม่ใช่มาจากการเลี้ยง โดยผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ต้องขึ้นทะเบียนกับประมงจังหวัดทั้งเกษตรกรบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำและแพปลาที่จะรับซื้อต่อจากเกษตรกร เพื่อตรวจสอบรับรองปลาว่ามาจากบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำจริง ขณะที่โรงงานปลาป่นจะรับซื้อปลาเฉพาะปลาจากแพปลาที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมประมงเท่านั้น

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายทั้งโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเลี้ยงปลามาจำหน่ายในโครงการ อีกทั้งการเลี้ยงปลาหมอคางดำ ที่กินอาหารได้ตลอดเวลา แต่อัตราแลกเนื้อมีน้อย ทำให้ราคาที่ขายได้ไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต  

“ขณะนี้ปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ลดลงจำนวนมากเหลือแต่ปลาขนาดเล็ก ตัดวงจรวัยเจริญพันธุ์ของปลาได้มาก และจะช่วยให้การปล่อยปลาผู้ล่าตามแนวทางของภาครัฐเกิดประสิทธิภาพสูง เชื่อว่าการจับปลาและมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบแบบนี้ จะทำให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวเร่งจับปลามากขึ้นและส่งผลให้ประชากรปลาหมอคางดำลดลงอย่างรวดเร็ว”

นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำมากขึ้น เพื่อบริโภคในครัวเรือนและส่งเสริมให้วิสาหกิจชุมชนนำไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ ตลอดจนการสนับสนุนให้มีการสร้างสรรค์เมนูปลาหมอคางดำให้เป็นเมนูท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด จะเป็นการสร้างการตระหนักรู้ให้กับสังคมและผู้บริโภคให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้ได้อย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ โรงงานมีแผนจะร่วมมือกับร้านอาหารสร้างสรรค์เมนูปลาหมอคางดำสำหรับครอบครัว เพื่อทำสูตรอาหารแจกจ่ายให้กับประชาชนและชุมชนนำไปทำเมนูตามความนิยม ให้มีการบริโภคปลาชนิดนี้เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งการนำไปต่อยอดสร้างเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวก็สามารถทำได้

ขณะนี้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และการจับปลาทำได้ง่ายขึ้นจากการผ่อนผันกฎระเบียบการจับปลา และเป็นการกระตุ้นการจับปลา ซึ่งขณะนี้ทั้งคนไทย ที่มาจากภาคอีสานและแรงงานพม่าแห่มาจับปลากันมาก ทำให้ปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่ลดลงมาก

‘วราวุธ’ ส่งทีม ศรส.บุรีรัมย์ รุดช่วยยาย 66 ปี ฐานะยากจน ‘ถูกตัดน้ำ-ไฟ’ มอบถุงยังชีพบรรเทาทุกข์เบื้องต้น พร้อมหาแนวทางช่วยระยะยาวต่อไป

(25 ก.ค. 67) น.ส.ซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยว่า ตามที่นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบนโยบายให้ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เป็นศูนย์กลางในการเร่งรัดจัดการในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม พร้อมส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน 

กรณีสื่อโซเชียลมีเดียมีการลงข่าวคุณยายประกาศขายตู้เย็น เอาเงินไปจ่ายค่าไฟ 95 บาท ครอบครัวมีฐานะยากจน เลี้ยงหลาน 2 คน ที่ จ.บุรีรัมย์ จึงได้ส่งทีม ศรส. จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับอำเภอละหานทราย เทศบาลตำบลละหานทราย และหน่วยงานในพื้นที่ ร่วมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ พบว่า ผู้ประสบปัญหาชื่อ นางแพง อายุ 66 ปี บ้านอยู่ใน ต.ละหานทราย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ได้ให้คนในหมู่บ้านช่วยประกาศขายตู้เย็นในราคา 1,000 บาท เพื่อต้องการนำเงินมาจ่ายค่าไฟ 95 บาท ค่าน้ำ 75 บาท ที่ถูกตัดน้ำ-ไฟ ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งนางแพง มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และสานไม้กวาดขาย ได้รับเบี้ยยังชีพสูงอายุเดือนละ 600 บาท และเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดของหลาน 2 คน โดยจะฝากบัตรเอทีเอ็มให้เพื่อนบ้านไปกดเงินมาให้ทุกเดือน ซึ่งรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ประกอบกับมีสุขภาพไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย และเป็นโรคความดันโลหิตสูง รักษาตัวและรับยาเป็นประจำที่ รพ.ละหานทราย ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่อาศัยกับอดีตลูกสะใภ้ เนื่องจากบ้านตนเองมีสภาพผุพัง และมีหลานต้องดูแลอีก 2 คน ซึ่งหลานชายอายุ 3 ปี หลานสาวอายุ 4 ปี เป็นลูกของลูกชาย ส่วนลูกชายถูกดำเนินคดีและหลบหนีคดีอยู่ในขณะนี้ และลูกสาวมีครอบครัวไม่เคยกลับมาดูแล 

โดย น.ส.ซาราห์ กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือในเบื้องต้น ทีม ศรส.จังหวัดบุรีรัมย์ และทีมสหวิชาชีพ ได้แนะนำการเลี้ยงดูเด็กที่เหมาะสมสำหรับหลานทั้ง 2 คน และมอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พร้อมพิจารณาช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ครอบครัว ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากกรรมการเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงิน พร้อมพูดคุยถึงแนวทางการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม สามารถโทรแจ้งได้ที่ ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่านฮอตไลน์ 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว พร้อมลงพื้นที่ช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

‘นายกฯ’ มองเป็นเรื่องธรรมดากระแส ‘คิดถึงลุงตู่’

(25 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีปัญหาที่มีการสะท้อนว่าเศรษฐกิจไม่ดี อยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง ต้องมีการกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไร ว่า เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในก็มีการกำกับดูแลให้สินค้ามีราคาที่เหมาะสม ส่วนเรื่องของราคาค่าไฟและราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุน วันอังคารที่ผ่านมา (23 ก.ค.) ก็ได้ประชุมคณะรัฐมนตรีไป ก็มีมาตรการออกมาแล้ว

เมื่อถามต่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้น จึงทำให้มีกระแสคิดถึงลุงตู่ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี) ขึ้น นายกรัฐมนตรี มองว่า ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ท่านก็อยู่มา 8 ปี ทำให้ประเทศชาติหลายอย่าง ตนก็ไม่ได้คิดอะไร 

‘ดีอี’ แจ้งเตือนพี่น้องประชาชนลงทะเบียน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ผ่าน ‘แอปทางรัฐ’ เท่านั้น ระมัดระวังอย่าหลงเชื่อโจรออนไลน์ ฉวยโอกาสส่งลิงก์ปลอมหลอกลวงประชาชน

(25 ก.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดย กระทรวงการคลัง ได้แถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการลงทะเบียนของประชาชน ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567  โดยจะมีการเปิดให้มีการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการอย่างเป็นทางการ ตามกำหนดเวลา ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นได้ ซึ่งแยกกลุ่มผู้ลงทะเบียนเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่  1.ประชาชนกลุ่มที่มีสมาร์ตโฟน เริ่มลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567 , 2.ประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน – 15 ตุลาคม 2567 , 3.ร้านค้า เบื้องต้นเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป และจะเริ่มใช้จ่ายสินค้าด้วยเงินดิจิทัลได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2567

สำหรับคุณสมบัติของประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการ มีดังนี้ 
- สัญชาติไทย มีชื่อและที่อยู่ในทะเบียนบ้าน 
- อายุ 16 ปีขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน (15 กันยายน 2567) 
- เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาท/ปี (นับตามปีภาษี 2566) 
- เงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท เป็นเงินฝาก ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 
- ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ 
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ 
- ไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ 

ทั้งนี้ประชาชนกลุ่มที่มีสมาร์ตโฟน สามารถดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” โดยไม่มีการจำกัดจำนวน ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการประชาชนเข้าร่วมโครงการไว้จำนวน 45 - 50 ล้านคน ขณะเดียวกันประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” พร้อมลงทะเบียนยืนยันตัวตน สมัครใช้งานแอปพลิเคชันได้ก่อนล่วงหน้า เพื่อความสะดวก และรวดเร็ว ก่อนที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต ในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ต่อไป โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้โดยตรงจากแอปพลิเคชัน “App Store” สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) และแอปพลิเคชัน “Google Play” สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) บนโทรศัพท์สมาร์ตโฟน

สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเตรียมการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.digitalwallet.go.th หรือ www.กระเป๋าเงินดิจิทัล.รัฐบาล.ไทย และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผ่านศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Call Center) สายด่วน โทร. GCC 1111 พร้อมให้บริการและคำแนะนำปรึกษาแก่ประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง  

“กระทรวง ดีอี ขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชน ผู้มีสมาร์ตโฟนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ เท่านั้น อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ หลอกลวงส่งลิงก์ หรือแพลตฟอร์มปลอมต่างๆ โดยอ้างว่าเป็นช่องทางการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้เกิดการหลุดรอดของข้อมูลส่วนบุคคล หรือสูญเสียทรัพย์สินได้ หรือหากมีการส่งต่อ แชร์ลิงก์ปลอมดังกล่าวไป อาจส่งผลให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประชาชนในสังคม” นายประเสริฐ กล่าว

ฉะเชิงเทรา-บลูเทค ซิตี้ร่วมกับ สพฐ.จังหวัดฉะเชิงเทรา จัดกิจกรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10

เพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้น แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อดูดซับคาร์บอน 10ล้านกิโลกรัมคาร์บอน

วันนี้( 25 ก.ค. 67) ที่ โรงเรียนบางปะกง “บวรวิทยายน” อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา คุณกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ มอบหมายให้ นายสุเทพ คล่องโยธา หัวหน้าฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โครงการนิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้  เข้าร่วมกิจกรรมโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้น แก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อดูดซับคาร์บอน 10ล้านกิโลกรัมคาร์บอน โดยมี รองฯสุกัญญา แสงสุข รองศึกษาธิการจังหวัดฉะเชิงเทรา ประธานเปิดโครงการ พร้อมด้วย คุณสาโรช กิจประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าบางปะกง , ผอ.กฤษณะ ซื้อสัตย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบางปะกง “บวรวิทยายน”

โรงเรียนบางปะกงบวรวิทยายน ตั้งอยู่ในอําเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี ความสําคัญทางระบบนิเวศ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปากแม่น้ําบางปะกงที่ไหลลงสู่อ่าวไทย การที่เราได้ริเริ่ม โครงการนี้จึงมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงเป็นแบบอย่างในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทรงสืบสานพระราชปณิธานของพระบรมชนกนาถในการดูแลรักษาป่าไม้และแหล่งน้ํา จึงเป็นการแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการน้อมนําแนว พระราชดําริมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น และประเทศชาติ โดย โครงการเพาะกล้ารักษ์ เพื่อเพาะกล้าไม้ 1,000,000 ต้นนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตบนโลก รวมถึงชุมชน ของเราด้วย ต้นไม้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนกลับสู่อากาศ ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ โครงการเพาะกล้ารักษ์ยังส่งผลอีกหลายประการ อาทิเช่น

1. เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่น
2. สร้างแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์น้ำและนกนานาชนิด
3. ช่วยลดอุณหภูมิในชุมชนและโรงเรียนของเรา
4. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพกายใจของนักเรียนและชาวบางปะกง 5. สร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ชุมชน โครงการของเราในวันนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของลูกหลานชาวบางปะกงและประเทศไทย เป็น การสร้างมรดกแห่งความยั่งยืนให้แก่ท้องถิ่นของเรา ขอเชิญชวนให้นักเรียน คณะครู และชุมชนทุกท่านร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ เพียงแค่การร่วมปลูกต้นไม้ในวันนี้เท่านั้น แต่ขอให้นําความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ใน ชีวิตประจําวัน ด้วยการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ลดการใช้พลาสติก และร่วมกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน และชุมชนของเรา

ทั้งนี้ ยังร่วมกันปล่อยพันธ์ปลาสวาย จำนวน 5,000 ตัว กลับลงสู่ธรรมชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ รักษาระบบนิเวศ และสร้างรายได้ให้กับชุมชนและโรงเรียน ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top