Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

‘อนุทิน’ ชวนร่วมงาน ‘ลมหายใจของแผ่นดิน’ 28-30 ก.ค.นี้ สนามช้างอารีน่า เผย!! มีไฮไลต์ ‘ออร์เคสตรา 250 คน’ บรรเลง ดนตรีไทย-ตะวันตก-อีสานใต้

(27 ก.ค.67) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตลอดเดือน ก.ค.จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ซึ่งในส่วนของจ.บุรีรัมย์ เป็นอีกหนึ่งจุดที่มีกิจกรรมเทิดพระเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 28-30 ก.ค. ทางจังหวัดพร้อมทุกภาคส่วน รัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดงาน ‘ลมหายใจแห่งแผ่นดิน’ ซึ่งมีหลากหลายกิจกรรมและการแสดงแสง สี เสียง เสียงระดับโลก ให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ณ สนามช้างอารีน่า อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โดยหนึ่งไฮไลต์ของงานคือการแสดงมิวสิคัลชุด “ลมหายใจของแผ่นดิน” ซึ่งได้รวมเยาวชนที่มีความสามารถด้านดนตรีและการแสดงจากทั่วจังหวัดบุรีรัมย์ ประกอบด้วย นักดนตรีวงดนตรีออร์เคสตรา 250 คน บรรเลงเครื่องดนตรีทั้งไทย เครื่องดนตรีตะวันตก เครื่องดนตรีอีสานใต้ และนักแสดงเดอะมิวสิคัล 70 คน ซึ่งได้ฝึกซ้อมตลอดเวลาหลายเดือนเพื่อการแสดงในงานนี้

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย จะเป็นส่วนหนึ่งของมิวสิคัลชุดนี้ โดยร่วมแสดงในการบรรเลงเพลงจอมราชา ในตำแหน่งเป่าแซ็กโซโฟน ซึ่งที่ผ่านมา รมว.มหาดไทย ได้ร่วมฝึกซ้อมกับเยาวชนนักดนตรีทั้ง 250 คนมาแล้วหลายครั้ง 

“ท่านอนุทิน เชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกิจกรรมเทิดพระเกียรติในสถานที่ต่างๆ ที่มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่หากมีโอกาสไปเยือนหรืออยู่พื้นที่ใกล้เคียง จ.บุรีรัมย์ ก็ขอเชิญร่วมงานเฉลิมพระเกียรติที่ทางจังหวัดจัดขึ้น นอกจากจะได้ร่วมแสดงออกถึงพลังความรักที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติแล้ว ยังได้ร่วมให้กำลังใจกับน้องๆ นักดนตรี นักแสดงและทีมงาน ให้ทุกคนได้แสดงออกถึงศักยภาพและความสร้างสรรค์ซึ่งอนาคตทุกคนจะกลายเป็นพลังสำคัญของชาติต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

สำหรับงาน ‘ลมหายใจของแผ่นดิน’ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 ก.ค.ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป ณ สนามช้างอารีน่า จ.บุรีรัมย์ จะมีการแสดงเทิดพระเกียรติสุดยิ่งใหญ่ด้วยเทคโนโลยีการจัดแสดงระดับโลก ได้แก่ การแสดงแสงสีเสียงประกอบ 3D Mapping,วงดนตรีออร์เคสตรา, การแสดง มิวสิคัล, นิทรรศการผลงานประกวดวาดภาพ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึง การบำเพ็ญสาธารณกุศลต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ บริจาคโลหิตส่งต่อผู้ป่วย จำนวน 720 ยูนิตต่อวัน รวม 7,200 ยูนิต โรงทานปันสุข ร้านชื่อดังต่าง ๆ นำอาหารเครื่องดื่มมาบริการแก่ผู้มาร่วมงาน โดยทั้งหมดสามารถเข้าชมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

'พล.ต.ท.นิธิธรฯ' ชมเชยการตัดสินใจแห่งชีวิต ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริปฏิบัติหน้าที่แข่งกับเวลา ส่งต่อหัวใจดวงที่ 100 ให้แก่ผู้รับบริจาคได้สำเร็จทันเวลา อีก 8 นาที ครบ 4 ชั่วโมง เดตไลน์ในการต่อชีวิต

(27 ก.ค.67) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ชมเชยตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ในการวางแผนและการตัดสินใจในการนำส่งอวัยวะหัวใจดวงที่ 100 ให้แก่ผู้รับบริจาค ซึ่งประสบปัญหาสภาพการจราจรทางอากาศคับคั่งทำให้เครื่องบินดีเลย์ และอีกทั้งสภาพการจราจรที่หนาแน่นในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเวลาค่ำของวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยอวัยวะหัวใจดังกล่าวนำส่งถึงทีมแพทย์ที่รอทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจ โรงพยาบาลศิริราช ได้อย่างทันเวลา 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 เวลาประมาณ 15.50 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ได้รับแจ้งว่ามีภารกิจนำส่งอวัยวะหัวใจดวงที่ 100 จากจังหวัดพิษณุโลก โดยเครื่องบินพาณิชย์โดยสาร มาลงยังสนามบินดอนเมือง เพื่อนำส่งไปให้กับผู้รอรับบริจาค ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยทีมแพทย์แจ้งว่า หัวใจที่ได้รับการบริจาคดวงนี้ได้รับการผ่าตัดออกจากร่างของผู้บริจาคในเวลา 16.00 น. ซึ่งอวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย นั่นหมายความว่าอวัยวะหัวใจดวงนี้ต้องส่งถึงมือศัลยแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช ในเวลาไม่เกิน 20.00 น. พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร (รอง ผบก.จร.) จึงได้นำกำลังตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริรุดไปยังสนามบินดอนเมืองเพื่อรอปฏิบัติภารกิจดังกล่าว โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลศิริราชที่รอรับอวัยวะหัวใจ ร่วมกันวางแผนการนำส่งเพื่อให้ถึงทีมศัลยแพทย์ที่รอทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ได้ทันในเวลา 20.00 น.

แต่เนื่องจากปัจจัยของสภาพการจราจรทางอากาศทำให้เที่ยวบินนี้เกิดความล่าช้า มาถึงท่าอากาศยานดอนเมืองในเวลา 19.22 น. ระยะทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองถึงโรงพยาบาลศิริราช 33 กิโลเมตร ด้วยสภาพการจราจรในเวลาดังกล่าวต้องใช้เวลาประมาณ 50 นาที หากเดินทางด้วยรถพยาบาล พ.ต.ท.ทศพร กลีบแก้ว รอง ผกก.2 บก.จร. จึงได้เสนอว่าหากนำส่งด้วยรถจักรยานยนต์จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้น พ.ต.อ.จิรกฤตฯ เป็นผู้รับกล่องบรรจุอวัยวะหัวใจดวงนี้จากทีมแพทย์ ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของ พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง สว.งาน 2 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร (ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ) โดยมีตำรวจจราจรทางด่วนและตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ นำทางและอำนวยความสะดวกจราจร โดยทุกคันจำเป็นต้องขับขี่ด้วยความเร็วสูง ด้วยภารกิจนี้มีชีวิตเป็นเดิมพัน พร้อมประสานกับตำรวจจราจรท้องที่ในเส้นทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองถึงโรงพยาบาลศิริราช โดยใช้เวลา 18 นาทีถึงโรงพยาบาลศิริราช ในเวลา 19.50 น. วิ่งเต็มสปีดส่งต่อให้กับทีมศัลยแพทย์หัวใจในห้องผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยในเวลา 19.52 น. ทันเวลาแบบฉิวเฉียด

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า การนำส่งอวัยวะหัวใจถือเป็นภารกิจที่สำคัญ เนื่องจากผู้บริจาคอวัยวะหัวใจ และครอบครัวของผู้บริจาค ยอมมอบบริจาคหัวใจ เพื่อส่งต่อโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับผู้รอรับบริจาค ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งปลูกถ่ายให้ผู้รับ มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา ที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมืออย่างเต็มที่จากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน ที่เปิดทางให้กับรถฉุกเฉินเมื่อได้ยินสัญญาณไซเรนท์ขอทาง โดยกรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 100 แล้ว ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายอวัยวะหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าการผ่าตัดเสร็จสิ้นเรียบร้อยดีเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ในกระบวนการสังเกตอาการของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลศิริราช ทราบในเบื้องต้นว่าหัวใจของผู้บริจาคสามารถเข้ากันกับหัวใจของผู้รับบริจาคได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรทุกนายที่มีส่วนร่วมในภารกิจนี้ ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ รวมถึงตำรวจจราจรทุกท้องที่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลในเส้นทาง ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน สมกับจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” เพื่อยกระดับการบริการประชาชน และสร้างความเชื่อถือศรัทธา 

‘นายกฯ’ เชิญชวนปชช. สวมเสื้อสีเหลือง แสดงความภักดี-สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

(27 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เชิญชวนประชาชน สวมเสื้อสีเหลือง แสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ใจความว่า … 

ขอเชิญชวนประชาชนทุกหมู่เหล่า สวมเสื้อสีเหลือง เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม นี้ ส่วนกลาง ร่วมกิจกรรม ณ ท้องสนามหลวง ส่วนภูมิภาคสถานที่ตามแต่ละจังหวัดกำหนด

‘ทายาทยาหอมอยุธยา’ เปิดตัวสวมเสื้อ ‘พลังประชารัฐ’ โปรไฟล์ไม่ธรรมดา เคยลุยการค้า!! ในตลาดต่างประเทศ

(27 ก.ค.67) ประวิทย์ สุวรรณสัญญา คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงวัย 30 ปี ได้มีความตั้งใจที่จะรับใช้ประเทศชาติ ล่าสุดได้ก้าวเข้าสู่ถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการเข้าร่วมกับ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ที่มุ่งมั่นจะทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน 

‘ประวิทย์ สุวรรณสัญญา’ เขาอาจจะเป็น ‘นักการเมืองหน้าใหม่’ แต่ในแวดวงของการทำธุรกิจแล้ว ‘เขาไม่ใช่มือใหม่’ แต่เขาคือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของ ‘ยาหอมตราเครื่องบินลูกโลก’ ที่วางจำหน่ายในตลาด มาอย่างยาวนานเกินกึ่งศตวรรษแล้ว

ในปัจจุบันตลาดยาไทยนั้น มียาหอมอยู่หลายตำรับ ‘ยาหอมตราเครื่องบินลูกโลก’ นั้นเป็นยาไทยที่คนทั่วไปมักจะคุ้นชิน และเรียกขานว่า ยาหอมเครื่องบิน (บางคนเรียกเรือบิน) 

ซึ่งคุณประวิทย์ ทายาทสายตรงของผู้ให้กำเนิด ‘ยาหอมตราเครื่องบินลูกโลก’ ก็ได้เผยว่า ยาหอมเครื่องบินลูกโลกนั้น เกิดขึ้นที่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ 69 ปีที่แล้ว โดยนายเช็ง แซ่โค้ว หมอยาจีน ที่ตั้งใจนำสมุนไพรจีนมาผสมกับยาหอมไทย จึงเกิดยาหอมเครื่องบินลูกโลกขึ้นมา ผลิตและจำหน่ายภายใต้ บริษัท สุวรรณโอสถ (โค้วเตี่ยหมง) จำกัด

“หลายคนถามว่าทำไมถึงต้องใช้ตราเครื่องบิน เรื่องนี้เตี่ยผม นายอนันต์ สุวรรณสัญญา ทายาทรุ่นที่ 2 เล่าให้ฟังว่า สมัยท่านได้เริ่มช่วยนายเช็ง ช่วงแรก ๆ นั้น เตี่ยพูดเสมอว่า ‘โลโก้’ เป็นสิ่งสำคัญ และท่านเป็นคนที่ชื่นชอบในเครื่องบินเป็นอย่างมาก เพราะสามารถเดินทางได้ไปไกลทั่วโลก และสะดวกรวดเร็วกว่าเดินทางโดยเรือ ท่านจึงตั้งชื่อ เครื่องบินลูกโลก เพราะหวังอยากให้ยาของท่านได้ไปไกลทั่วโลก” คุณประวิทย์ เล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ

คุณประวิทย์ เล่าต่อว่า ปัจจุบันยาหอมตราเครื่องบินลูกโลก ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งใน ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ยาดี ราคาไม่แพง มีติดตัวไว้ ดมก็สดชื่น ทานก็ชื่นใจ สามารถใช้ได้ทุกวัย ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น แต่มีความผูกพันกับยาไทย เพราะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก จึงขออาสาสืบทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ เป็นทายาทรุ่น 3 ที่จะต่อยอดและขยายตลาดยาหอม ไปยังไปต่างประเทศ

ซึ่งจะเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้านก่อน เนื่องจากสมุนไพรไทย ได้รับการยอมรับอย่างสูงในต่างประเทศ และที่ผ่านมาก็มีการซื้อติดไม้ติดมือเป็นของฝากกันอยู่แล้ว โดยมีแผนปรับแพ็กเกจให้ดูน่าใช้ทันสมัยมากขึ้น แต่สูตรยังเป็นสูตรตำรับเดิม เนื่องจากได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลาย

แต่กว่าจะถึงวันนี้ คุณประวิทย์ บอกว่า ช่วง พ.ศ. 2520 สมัยที่เตี่ยดูแลกิจการ เกิดไฟไหม้ร้านและยาเสียหายเกือบหมด เตี่ยใช้เวลาเป็นสิบปี กว่าจะยืนกลับมาได้ โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำงานให้หนัก ประหยัดมากขึ้น ท่านจึงมีวันนี้ได้

นอกจากยาหอมแล้ว คุณประวิทย์ ก็ยังทำยาสมุนไพรพ่นแก้ปวด ครีมนวดบรรเทาอาการปวด ซึ่งต่อยอดธุรกิจ มาจากยาหอม เพื่อตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นที่อยู่หน้าจอมือถือนาน ๆ หรือคนวัยทำงาน พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานจนเป็นออฟฟิศซินโดรม กลุ่มคนขับรถ รถรับจ้าง รถประจำทาง ซึ่งอาจจะมีอาการปวดเมื่อย จากการนั่งอยู่ในรถเป็นเวลานาน และรวมถึงกลุ่มนักกีฬาที่ต้องใช้ร่างกายอย่างหนักอยู่ตลอดเวลา

‘ยาไทย ภูมิปัญญาไทย ยาดีไม่แพ้ชาติใดในโลก’

นี่คือ วิสัยทัศน์อันกว้างไกล ของ ‘ประวิทย์ สุวรรณสัญญา’ นักธุรกิจหนุ่มคนรุ่นใหม่ ที่วันนี้มีความตั้งใจ ขออาสา ทำงานรับใช้ พี่น้องประชาชนทุกคน

บุรีรัมย์ - ร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

(26 ก.ค.67) ที่ผ่านมา ณ บ้านกึ่งวิถีเพื่อการสงเคราะห์ วัดพุทธบูชาป่าโคกปราสาท  หมู่ที่ 3 ตำบลหนองปล่อง อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ นายโชคชัย  สว่างรัตน์ นายอำเภอชำนิ มอบหมายให้ นางสาวสุนันทา ละเอียด ปลัดอำเภอชำนิ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธี กิจกรรมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว และ โครงการ ร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ร่วมกับ พระครูปลัดวิชาญ ธัมมฺโชโต ดร. เจ้าอาวาสวัดพุทธบูชาป่าโคกปราสาท อาจารย์ วิจักษณ์ สองจันทร์ ประธานมูลนิธิพุทธภูมิธรรม นายสุนทร ฉายโอภาส ที่ปรึกษาประธานมูลนิธิพุทธภูมิธรรม นายชัยสิทธิ์ เครือสูงเนิน ผอ.สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง จิตอาสาพระราชทาน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมหน่วยงานรายการกับผู้ที่อยู่ในความดูแลของกรมคุมประพฤติ อาสาสมัครคุมประพฤติ ภาคีเครือข่ายภาครัฐบาล และเอกชน  ประชาชนทั่วไป จำนวน100 คน

นายชัยสิทธิ์ เครือสูงเนิน กล่าวว่า ในนามของผู้เข้าร่วมโครงการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านได้กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ ร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องใน โอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา๖ รอบ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ซึ่งสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง และอาสาสมัครคุมประพฤติอำเภอชำนิ จัดขึ้นในครั้งนี้

เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่๒๘ กรกฎาคม๒๕๖๗ รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมการแสดงพลังความดีของกลุ่มผู้ต้องขังและผู้กระทำผิด ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเป็นลักษณะงานบริการสาธารณะการดูแลรักษา และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม๒๕๖๗ 

เพื่อให้ผู้ที่เคยกระทำผิดได้มีโอกาสทำในสิ่งที่ดี มีคุณค่า และเป็นประโยชน์การชดเชยความผิดที่เคยได้กระทำมาแล้วให้กับสังคม กรมคุมประพฤติ เป็นหน่วยงานหนึ่งในกลุ่มภารกิจด้านการพัฒนาพฤตินิสัยของกระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชนให้กลับตนเป็นพลเมืองดี การทำงานบริการสังคมหรือการทำงานสาธารณประโยชน์เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ศาลกำหนดให้ผู้ถูกคุมความประพฤติทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในลักษณะงานที่มุ่งเน้นการแก้ไขฟื้นฟูและสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคมเพื่อชดเชยความผิดและความเสียหายที่ก่อขึ้น ซึ่งกรมคุมประพฤติได้จัดกิจกรรมทำงานบริการสังคมและงานสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่องตลอดมา เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ผู้ถูกคุมความประพฤติตระหนักและเห็นคุณค่าในตนเอง เกิดความภาคภูมิใจในการทำประโยชน์ให้แก่สังคม ตลอดจนก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นสำหรับการจัดโครงการในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯประกอบด้วย จิตอาสาพระราชทาน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนผู้ที่อยู่ในความดูแลของสำนักงาน คุมประพฤติ อาสาสมัครคุมประพฤติ เครือข่ายคุมประพฤติ ภาคีเครือข่ายภาครัฐและ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป จำนวน ๑๐๐ คน

นางสาวสุนันทา ละเอียด  ปลัดอำเภอชำนิ เปิดเผยว่า ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอ ๒๘ กรกฎาคม๒๕๖๗ ที่สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอง และคณะอาสาสมัครคุมประพฤติอำเภอชำนิ จัดขึ้นในครั้งนี้

ตามที่ ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดบุรีรัมย์ สาขานางรอได้รายงานวัตถุประสงค์ในการจัดโครงการนั้น นับว่าเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งกรมคุมประพฤติ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในกลุ่มภารกิจด้านการพัฒนาพฤตินิสัยขอกระทรวงยุติธรรม ที่มีภารกิจในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชนให้กลับตนเป็นพลเมืองดี โดยจัดให้ผู้ถูกคุมความประพฤติทำงานบริการสังคมหรือการทำงาสาธารณประโยชน์ ด้วยการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกิจกรรมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ อันเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคม ซึ่งกรมคุมประพฤติได้จัดกิจกรรมทำงานบริการ สังคมและงานสาธารณะประโยชน์ ในครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ดีในการปลูกจิตสำนึกให้ผู้ถูกคุมความประพฤติได้ตระหนักและเห็นคุณค่าในตนเอง ตลอดจนสร้างจิตสำนึก รักษ์สิ่งแวดล้อมเกิดความภาคภูมิใจในการทำประโยชน์ให้แก่สังคม ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น อีกทั้งโครงการนี้ ได้มีจิตอาสาพระราชทาน ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาษีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย อันเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นสถาบันกษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติไทยเราสืบต่อมา

ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การดำเนินโครงการฯ ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับ สังคมส่วนรวม และเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน และขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ได้ให้ความร่วมมือ และให้การสนับสนุนการจัดโครงการในครั้งนี้

‘Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe’ เปิดราคา 6,290,000 บาท จัดเต็มออฟชั่นครบทั้งคัน ไม่ต้องรอนานเป็นปี สิงหานี้ รับรถได้เลย

(27 ก.ค.67) Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ล่าสุด มาถึงประเทศไทยแล้ว รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการปรับแต่งโดยเฉพาะสำหรับแฟนๆ Porsche ชาวไทย รถคันนี้ประกอบขึ้นที่โรงงานประกอบรถยนต์ Porsche ในประเทศมาเลเซีย มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่เหนือกว่า ดีไซน์ที่ออกแบบใหม่ ขุมพลังไฮบริดประสิทธิภาพสูง และตัวเลือกการปรับแต่งที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย

Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe นับเป็นอีกก้าวสำคัญของแบรนด์รถยนต์หรูระดับโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถเอสยูวีสปอร์ทคันนี้กลายเป็นรถรุ่นที่ 2 ที่มาจากสายการผลิตของประเทศมาเลเซีย และเป็นรุ่นแรกที่ประกอบในภูมิภาคเพื่อส่งออกมายังประเทศไทย 

Porsche เข้าใจความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าชาวไทย จึงได้ปรับแต่ง Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ให้มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่เหนือชั้น มีฟีเจอร์มากมายเมื่อเทียบกับรุ่นพื้นฐานที่นำเข้าจากยุโรป นอกจากนี้ ยังมี Microsite หรือเวบไซต์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการจองรถยนต์รุ่นใหม่นี้ผ่านทางออนไลน์ เพื่อมอบประสบการณ์การจองที่สะดวกสบายให้แก่ลูกค้าที่สนใจ และรองรับการปรับแต่งเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นสีภายนอก ตัวเลือกหนังภายใน และอุปกรณ์เสริมต่างๆ

Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย ผสมผสานความสปอร์ทอันทรงพลังของ Cayenne S เข้ากับระบบขับเคลื่อนอันล้ำสมัยของ Cayenne E-Hybrid นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตระดับโลกในการมอบประสบการณ์การขับขี่อันเร้าใจ ผสานเทคโนโลยีไฮบริดที่ทั้งทรงประสิทธิภาพ และล้ำหน้า

Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 260 กิโลวัตต์/353 แรงม้า (แรงกว่าเครื่องยนต์ใน Cayenne E-Hybrid ถึง 36 กิโลวัตต์/49 แรงม้า เมื่อผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่ ส่งผลให้ระบบมีกำลังรวม 382 กิโลวัตต์/519 แรงม้า) อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 263 กม./ชม. นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระยะทางวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 90 กม. (ตามมาตรฐาน EAER City) เหมาะสำหรับการขับขี่ภายในกรุงเทพฯ ในชีวิตประจำวันได้อย่างสบาย

Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ปรับปรุงระบบช่วงล่างแบบถุงลมอัจฉริยะแบบใหม่ ที่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมระบบกันสะเทือนแบบถุงลม Porsche Active Suspension Management (PASM) เทคโนโลยี Two-Chamber Two-Valve ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ เพิ่มความมั่นคง และง่ายต่อการควบคุมรถยนต์ทั้งบนถนน และทางสมบุกสมบัน เมื่อเทียบกับระบบช่วงล่างมาตรฐาน และรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำ และสมรรถนะของการขับขี่ ลดการโคลงของตัวรถในขณะขับขี่แบบสปอร์ต อีกทั้งยังช่วยให้การปรับโหมดการขับขี่ระหว่าง Normal, Sport และ Sport Plus แตกต่างกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมของ Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความสะดวกสบายในการขับขี่ที่มากขึ้น เทคโนโลยี Two-Chamber Two-Valve ช่วยปรับช่วงล่างได้หลากหลาย ตั้งแต่เน้นความนุ่มนวลสำหรับการขับขี่สบายๆ ไปจนถึงโหมดสปอร์ทที่เน้นการตอบสนองฉับไว

Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่ทรงพลัง และสปอร์ทยิ่งขึ้น ลูกค้าชาวไทยสามารถเลือกสีตัวถังได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่ สีขาวเมทัลลิค Carrara White, สีดำเมทัลลิค Chromite Black และสีเงินเมทัลลิค Dolomite Silver

เสริมความโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ HD Matrix LED ดีไซจ์นใหม่ ที่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดดเด่นด้วยโมดูลความละเอียดสูง 2 ชุด และพิกเซลกว่า 32,000 พิกเซลต่อโคมไฟ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย และความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ขณะที่ล้อแมกลายสำหรับรุ่น Cayenne ขนาด 20 นิ้ว สีเทา Vesuvius Grey มอบความหรูหรา และสปอร์ทให้แก่รถเอสยูวีคันนี้ได้อย่างลงตัว

ภายในของ Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย ได้รับการยกระดับด้วยฟีเจอร์เพิ่มเติมมากมาย เป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งพวงมาลัย GT Sports และ แพคเกจ Sport Chrono พร้อมนาฬิกา Porsche Design เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งช่วยยกระดับความหรูหราให้แก่ผู้ขับขี่ตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในห้องโดยสาร

รถเอสยูวีสุดหรูรุ่นนี้ ยังมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ ระบบเสียงรอบทิศทาง Bose เบาะหนังคุณภาพเยี่ยม เลือกได้ 2 สี คือ สีดำ หรือสีแดงบอร์โดซ์ (Bordeaux Red) พร้อมตราสัญลักษณ์ Porsche บนพนักพิงศีรษะที่เบาะคู่หน้า อีกทั้งระบบควบคุมอุณหภูมิแยก 4 โซน เครื่องฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร เบาะนั่งไฟฟ้าปรับได้ 14 ทิศทางพร้อมระบบจำตำแหน่งสำหรับเบาะผู้โดยสารด้านหลัง และม่านบังแดดด้านหลังที่เปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบช่วยจอด (ParkAssist) พร้อมกล้องรอบทิศทาง (Surround View) และรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay มอบความสะดวกสบายสูงสุด ทั้งยังเอาใจผู้โดยสารด้านหลังด้วยระบบเตรียมติดตั้ง Rear Seat Entertainment ที่มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สามารถติดตั้งหน้าจอสำหรับผู้โดยสารด้านหลังเพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย เพื่อยกระดับความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง

เพิ่มเติมความทันสมัยให้แก่ห้องโดยสารด้วย Porsche Driver Experience ประกอบด้วย ชุดหน้าปัดดิจิทัลแบบโค้งมนขนาด 12.6 นิ้ว และหน้าจอระบบ Infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว สำหรับรถยนต์พวงมาลัยขวา ตำแหน่งคันเกียร์อัตโนมัติได้รับการย้ายไปทางซ้ายของพวงมาลัยบนคอนโซลกลาง  การปรับเปลี่ยนนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับช่องเก็บของ และแผงควบคุมระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ ดีไซจ์นสวยงามทันสมัยในโทนสีดำ แผงควบคุมระบบปรับอากาศมาพร้อมปุ่มกดขนาดใหญ่ ใช้งานง่าย พร้อมสวิทช์ปรับอากาศแบบหมุน และปุ่มปรับระดับเสียงแบบสัมผัส ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และดูหรูหรา

Porsche Cayenne S E-Hybrid Coupe รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นสำหรับประเทศไทย ราคาเริ่มต้นที่ราคา 6,290,000 บาท โดยมีกำหนดส่งมอบให้ลูกค้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไป สามารถจองรถยนต์รุ่นนี้ผ่านไมโครไซท์ (Microsite) ได้ที่ www.thcayenne.online จากการจัดจำหน่ายโดย AAS Auto Service

เปิดใจ 'รร.สตรีวัดระฆัง' ผู้ประดิษฐ์มาลัยคล้องคอเรือพระราชพิธีสำคัญแห่งสยาม ความปลาบปลื้มใจครั้งสำคัญ จากทุกผู้เกี่ยวข้องที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีนี้

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ติ่งอ่วม ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ในโอกาสที่ได้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่งในงานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน เมื่อวันที่ 27 ก.ค.67 โดย ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ได้กล่าวว่า...

สืบเนื่องจากกองทัพเรือ เป็นผู้ดำเนินการจัดขบวนเรือพระราชพิธี จึงได้มอบหมายให้ทางโรงเรียนสตรีวัดระฆัง จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง จำนวน 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9, เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ 

โดยจุดเริ่มต้นของการจัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2502 ซึ่ง นาวาโทสวัสดิ์ พูลสุข ผู้บังคับกองเรือเล็กในขณะนั้น ได้ติดต่อทางโรงเรียนสตรีวัดระฆังผ่านทาง ครูปราณี พูลสุข บุตรสาวของท่าน ซึ่งเป็นทั้งศิษย์เก่าและเป็นครูโรงเรียนสตรีวัดระฆังในขณะนั้น ให้ช่วยประดิษฐ์พวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เนื่องจากเห็นว่าทางโรงเรียนมีชื่อเสียงในงานฝีมือด้านดอกไม้ใบตอง สามารถทำได้อย่างประณีตสวยงาม และชนะการประกวดอยู่เสมอ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางโรงเรียนจึงได้รับมอบหมายจากกองทัพเรือให้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่งมาโดยตลอด จนเมื่อปี พ.ศ. 2539 ทางโรงเรียนได้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งลำ คือ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 รวมเป็นจำนวน 4 ลำ จนถึงปัจจุบัน

ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ เผยต่อว่า และเมื่อเร็วๆ นี้ทางโรงเรียน จึงได้รับมอบหมายจากกองทัพเรือให้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง จำนวน 3 ลำ เพื่อนำไปจัดแสดงเรือพระที่นั่งเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ระหว่างวันที่ 28-29 กรกฎาคม 2567 ณ ท่าราชวรดิฐ ซึ่งได้ดำเนินเสร็จสิ้นและส่งมอบให้กับกองทัพเรือเรียบร้อยแล้ว 

ส่วนในงานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 นอกจากทางโรงเรียนสตรีวัดระฆังจะได้รับมอบหมายให้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง จำนวน 4 ลำแล้ว ยังได้มีโอกาสประดิษฐ์ดอกไม้สดตกแต่งบัลลังก์กัญญาในเรือพระที่นั่ง ซึ่งต้องอาศัยความละเอียดประณีตตามแบบแผนโบราณ 

ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ กล่าวว่า ในปัจจุบันทางโรงเรียนมีการสอนหลักสูตรเครื่องแขวนไทย ทำให้นักเรียนได้ฝึกซ้อมด้านเครื่องแขวนไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อทางโรงเรียนได้รับมอบหมายก็พร้อมจัดทำได้ทันที ถึงแม้ในปัจจุบันทางโรงเรียนมีครูผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ไม่กี่ท่าน แต่ก็ได้รับความเมตตาจากครูอาวุโสมาช่วยสอนถ่ายทอดองค์ความรู้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูและนักเรียนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการส่งต่อภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อสืบสานภูมิปัญญาของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งทางโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ผู้บริหาร คณะครูอาจารย์ และนักเรียนรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้มใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้

นอกจากนี้ทางโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ยังส่งเสริมให้นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการประกวดสวดทำนองสรภัญญะ เนื่องจากโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ได้รับการอุปถัมภ์จากวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารมาอย่างยาวนาน 

"การที่โรงเรียนได้ก่อตั้งมาได้ เพราะพระอาจารย์ได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาร่วมกับการนำธรรมะมากล่อมเกลาจิตใจนักเรียน การสวดทำนองสรภัญญะ จึงเป็นการนำธรรมะมาฝึกปฏิบัติตนของนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆังเสมอมา ซึ่งทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าแข่งขันสวดทำนองสรภัญญะของกรมการศาสนาและได้รับโล่พระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของโรงเรียนสตรีวัดระฆัง" ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ กล่าวปิดท้าย

‘การรถไฟ’ เตรียมเปิดอุโมงค์รถไฟทางคู่ สายอีสาน ผาเสด็จ-หินลับ เพื่อแก้ปัญหาความชัน อนาคตเปิดยกระดับมวกเหล็ก ร่นเวลากว่า 30 นาที

เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.67) เพจ ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน โดยได้ระบุว่า ...

28 กรกฎาคม นี้ เตรียมเปิดอุโมงค์รถไฟทางคู่ สายอีสาน ผาเสด็จ-หินลับ อุโมงค์ยาวกว่า 5.4 กิโลเมตร แก้ปัญหาความชัน อนาคตเปิดยกระดับมวกเหล็ก ร่นเวลากว่า 30 นาที

วันนี้เอาอีกหนึ่งข่าวสำคัญของ เนิร์ดระบบรางอย่างเรา ที่ติดตามการพัฒนาโครงการทางคู่กันมาตลอด 

ตอนนี้ถึงความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน (มาบกะเบา-จิระ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสายที่ติดขัดมากที่สุดเลย เพราะทั้งการปัญญาการเวนคืน ปัญหาคัดค้านช่วงเมืองโคราช (พึ่งเคลียร์ไป) 

ซึ่งทำให้หลายๆส่วนยังไม่สามารถก่อสร้างได้ แต่ส่วนไหนที่ทำได้ แล้วเสร็จก็ทยอยเปิดให้บริการกันก่อน

ตอนนี้ก็มาถึงคิวอุโมงค์ผาเสด็จ ซึ่งเป็นอุโมงค์ยาวที่สุดในไทย เพื่อตัดทางใหม่ในการข้ามเขาดงพญาเย็น ในเขตอำเภอมวกเหล็ก เพื่อมุ่งหน้าสู่ภาคอีสาน 
โดยจาก สถานีมาบกะเบา (บริเวณโรงปูนซิเมนต์ นครหลวง) ถึงสถานีมวกเหล็กใหม่ มีการวางเขตทางใหม่ เพื่อปรับโค้ง และไต่ระดับช่วงเขา ทดแทนเส้นทางเดิมที่ผ่านสถานีผาเสด็จ และสถานีหินลับ 

ซึ่งทางเดิมวิ่งลัดเลาะตามไหล่เขา และซอกเขาเพื่อไต่ระดับ ตามสภาพพื้นที่ และเทคโนโลยีการก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งดำริให้ก่อสร้างทางรถไฟสายอีสาน

รายละเอียดทางรถไฟใหม่ ช่วงมาบกะเบา-มวกเหล็กใหม่ ระยะทางช่วงที่จะเปิด : 13.20 กิโลเมตร
มีอุโมงค์ 2 แห่ง ได้แก่ 
- อุโมงค์ผาเสด็จ เป็นอุโมงค์คู่ทางเดี่ยว ระยะทาง 5.4 กิโลเมตร
- อุโมงค์หินลับ เป็นอุโมงค์เดี่ยวทางคู่ ระยะทาง 0.25 กิโลเมตร
กระบวนการขุดเจาะอุโมงค์ในโครงการทางคู่สายอีสานนี้ ใช้กระบวนการชื่อว่า The New Austrian tunneling method (NATM) 
รายละเอียดขั้นตอนการขุดเจาะอุโมงค์
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/964190120686134/?mibextid=tejx2t

ซึ่งมีความปลอดภัยในการใช้งาน และการอพยพในกรณีฉุกเฉิน พร้อมพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอุโมงค์ เพื่อเคลื่อนย้ายผู้โดยสารทุก 500 เมตร 

ซึ่งส่วนที่เปิดเพิ่มเติมจะไปบรรจบกับทางรถไฟเดิมบริเวณก่อนถึงสถานีมวกเหล็กใหม่ ก่อนขึ้นทางยกระดับข้ามแอ่งมวกเหล็ก เพื่อให้กลับมาใช้ทางรถไฟเดิมช่วงมวกเหล็ก 

เนื่องจากฝั่งด้านเหนือของทางยกระดับติดปัญหาการเวนคืนที่ดินซึ่งหมดอายุ ต้องขอใหม่ เลยต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

รายละเอียดของทางยกระดับมวกเหล็ก
https://www.facebook.com/share/1dBTJ2x5AoVAC5YL/?mibextid=JOZb8W

ถ้าเปิดอุโมงค์ และทางยกระดับอย่างเต็มรูปแบบ สามารถลดระยะเวลาการเดินทางได้กว่า 30 นาทีเลยทีเดียว!!! 

ซึ่งจะมีประโยชน์มาก ๆ กับรถไฟสินค้าที่จะใช้เส้นทางนี้เป็นหลักในการขนสินค้าเชื่อม ไทย-ลาว-จีน ในอนาคต!!!

แต่แน่นอนว่า การที่เปิดทางรถไฟใหม่ จำเป็นต้องมีการปิดสถานีเดิมที่รถไฟไม่ผ่านแล้ว คือ 
- สถานีผาเสด็จ
- สถานีหินลับ

ซึ่งจะเปิดให้บริการรถไฟโดยสารในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 นี้!!! หลังจากเปิดทางรถไฟใหม่ 

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีรถไฟสินค้าคอนกรีตที่มีทางเชื่อมกับทางรถไฟสายหลักเลยอุโมงค์มาแล้ว ทำให้ต้องใช้ทางเก่าในการขนส่งสินค้าอยู่!!!

‘ฌอน บูรณะหิรัญ’ เฮ!! ศาลนนทบุรี พิพากษา ‘ไม่มีความผิด’ เผย!! อดทนรอมา 4 ปี กรณีโดนกล่าวหาว่า อมเงินช่วยไฟป่า

เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.67) ‘ฌอน บูรณะหิรัญ’ พิธีกรและนักสร้างแรงบันดาลใจ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีที่ถูกฟ้องร้องว่า ฉ้อโกงประชาชน ปมเงินบริจาคช่วยเหลือไฟป่าที่เชียงใหม่ โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ที่ผมอดทนรอคอยมาตลอด4ปี ศาลนนทบุรีพิพากษายกฟ้อง 

จากความเป็นจริง คือ ผมได้นำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับมาจากการบริจาคของทุกท่านไปช่วยเรื่องไฟป่าแล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ด้วยความเคารพต่อศาล 4 ปีที่ผ่านมาท้าทายมากๆสำหรับผม และ ครอบครัว

ขอบคุณทุกกำลังใจ ครอบครัว เพื่อน แฟน ๆ ที่ไม่แม้แต่สงสัยในตัวผม ทุกคนเชื่อมั่นในตัวผม อยู่เคียงข้างผมมาตลอด 
ขอบคุณทนาย และ ที่ปรึกษาทุกท่านที่เมตตาเอ็นดูผม 

ที่สุดคือคำพิพากษาของศาลว่า ผมไม่มีความผิด

ตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้แชร์เรื่องราวให้ทุกคนฟังนะครับ

I’ve been fighting a silent battle for the last 4 years… today the court dismissed all charges and ruled “not guilty”. 

All the allegations and rumors have been proven wrong. The truth is, I did help with forest fire prevention in northern Thailand and I did help hospitals during covid 19. 

The last 4 years have been tough but as the saying goes “tough times don’t last, tough people do.” I can’t wait to tell you guys all about it.

นักเรียน ‘รร.สตรีวัดระฆัง’ ร่วมประดิษฐ์พวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง ด้าน ‘ผอ.’ เผย!! เด็กทุกคนภูมิใจได้เป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีสำคัญ

เมื่อวานนี้ (25 ก.ค. 67) ที่อู่เรือธนบุรี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ พร้อมคณะผู้บริหารของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมเป็นสักขีพยานในการส่งมอบพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง 3 ลำ พร้อมอุบะ จาก รร.สตรีวัดระฆัง ให้แก่กองทัพเรือ 

โดยมี ว่าที่ ร.ต.เฉลิมรัฐ ติ่งอ่วมผู้อำนวยการ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง พร้อมตัวแทนครูและนักเรียน รวม 11 คน เป็นตัวแทนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ในการส่งมอบ และพล.ร.ท.วิจิตร ตันประภา รองเสนาธิการทหารเรือ พร้อมคณะ เป็นตัวแทนกองทัพเรือในการรับมอบ 

หลังรับมอบเจ้าหน้าที่ของกองทัพเรือได้นำพวงมาลัยคล้องประดับเรือพระที่นั่งทั้ง 3 ลำ คือ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช 

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้อัญเชิญพุ่มทองมามอบให้แก่ผู้แทนกองทัพเรือ เพื่อประดับบนบุษบก ในเรือพระที่นั่งอนันตนาคราชด้วย

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวัดระฆัง กล่าวด้วยความปลาบปลื้มว่า โรงเรียนรู้สึกเป็นเกียรติ ครูและนักเรียนทุกคนภาคภูมิใจและดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการประดิษฐ์พวงมาลัยคล้องคอเรือ ตั้งแต่ปี 2502 โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 16 ที่โรงเรียนได้รับโอกาสในการประดิษฐ์มาลัยคล้องคอเรือ ซึ่งได้เริ่มงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มีการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้ง เพื่อให้ได้พวงมาลัยคล้องคอเรือที่ประณีตสวยงามที่สุดในวันนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top