Sunday, 6 July 2025
NEWS FEED

‘พี่จอง-คัลแลน’ เที่ยวเกาะปันหยี ซื้อเปลือกหอยมุกอันละ 500 บาท ชาวเน็ตเมนต์แรง!! ร้านขายของแพงเกิน - เอาเปรียบนักท่องเที่ยว

(23 ก.ค. 67) โซเชียลคอมเมนต์สนั่น เมื่อยูทูบเบอร์หนุ่มเกาหลีหัวใจไทย คัลแลนและพี่จอง จากช่องยูทูบ ‘คัลแลน Cullen Hateberry’ ไปเที่ยวทริปเกาะปันหยี อำเภอเมือง จังหวัดพังงา

โดยในระหว่างเลือกซื้อของฝากเครื่องประดับและเปลือกหอยมุก ก็เกิดประเด็นดรามาร้านค้าขายของแพง สร้อยข้อมือ 300 บาท เปลือกหอยมุก 500 บาท รวมราคาแล้ว 800 บาท และเมื่อขอลดราคา เจ้าของร้านบอกว่า แถมไป 1 อัน รวมเป็น 1,000 บาท

หลังจากได้ดูวิดีโอนี้ ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าการขายของที่ระลึกในราคานี้ มันแพงเกินเหตุไปหรือไม่?

นอกจากนี้ ชาวเน็ตก็มีการมาแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยไปเที่ยวเกาะแห่งนี้ และเจอประสบการณ์ที่ไม่ดีกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องราคาอาหารและสินค้า หลายเสียงพูดตรงกันว่า “ของแพงมากจริง ๆ”

โดยชาวเน็ตรายหนึ่ง ได้แสดงความคิดเห็นว่า “เราพยายามมองข้าม ราคาสินค้า ค่าเรือ และพฤติกรรม ที่ไม่ค่อยน่ารักของแม่ค้าที่นี่ แอบสงสารนักท่องเที่ยวต่างชาตินะ ดูเอาเปรียบพวกเขาเกินไป แต่ EP นี้คัลแลนกับพี่จองน่ารักตลกและสนุกมาก ๆ ยิ่งตอนเล่นกับเด็ก ๆ เราขำและรู้สึกชอบที่สุด อยากฝากถึงพ่อค้าแม่ค้าบนเกาะนะคะ นักท่องเที่ยวต่างชาติเขาตั้งใจไปเที่ยว อย่าไปเอาเปรียบเค้ามากนักเลย เดี๋ยวเวลาไม่มีนักท่องเที่ยวไปพวกคุณจะแย่เอานะ เอาแต่พอดี ๆ เถอะ

ตำรวจ ร่วมกับสำนักงาน กสทช.และหน่วยงานความมั่นคง กระชับพื้นที่เชียงแสน เร่งรัดปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ ของคิงส์โรมัน

จากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้มีการปราบปรามกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเด็ดขาด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เริ่มปฏิบัติการ 'ระเบิดสะพานโจร' ตัดสัญญาณโทรคมนาคมที่ลักลอบใช้ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ บริเวณที่ตั้งโดยรอบบ่อนคาสิโนคิงส์โรมัน ประเทศลาว และในวันนี้ (23 ก.ค.67) เป็นการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร. ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และฝ่ายความมั่นคง ตรวจสอบการลักลอบนำสายสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ ไปยังบริเวณพื้นที่คิงส์โรมัน ประเทศลาว อย่างผิดกฎหมาย ทั้งจากซิม สาย เสา และออกมาตรการเข้มงวดในการผ่านช่องทางธรรมชาติ เพื่อไม่ให้กลุ่มคนต่างชาติและคนไทยลักลอบไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในบริเวณพื้นที่รอยต่อที่ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หารือกับสำนักงาน กสทช. และผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ทั้ง 3 ค่าย เพื่อแก้ไขปัญหาสัญญาณรุกล้ำข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามีการตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่กระจายลุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้าน (คิงส์โรมัน สปป.ลาว) ฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ในทุกมิติ จึงลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแผน รวมทั้งใช้เครื่องมือพิเศษตรวจสอบการกระจายสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และสัญญาณอินเตอร์เน็ตตามแนวตะเข็บชายแดนในบริเวณใกล้เคียง และมอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่เฝ้าตรวจสอบและติดตามการลักลอบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณเถื่อน เพื่อตัดรากถอนโคนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่เป้าหมายนี้

พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเชิงรุกล่าสุด พบว่ามีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของไทยใช้งานอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน (คิงส์โรมัน สปป.ลาว) ซึ่งมีข้อมูลเชื่อได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นรังใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่โทรข้ามแดนมาหลอกคนไทย จึงลงพื้นที่บูรณาการร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกเครือข่าย ใช้เครื่องมือพิเศษติดตั้งบนอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ตรวจสแกนตลอดแนวชายแดนของ อ.เชียงแสน เพื่อตัดสัญญาณสื่อสารข้ามโขงในทุกมิติ นอกจากนั้น ได้ร่วมกับกองกำลังผาเมืองตัดทำลายสายเคเบิ้ลใยแก้วหรือไฟเบอร์ออฟติก ส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย

มาตรการตัดปัจจัยสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้ง ซิม เสา และสาย ที่ กสทช.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยได้ระงับการใช้ซิมผีที่มิได้มายืนยันตนตามประกาศ กสทช. ไปแล้วมากกว่า 2 ล้านเลขหมาย ซึ่งเชื่อว่าซิมที่ถูกระงับการใช้งานนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในการถือครองของคนร้าย นอกจากนี้ เพียงครึ่งปีที่ผ่านมา กสทช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจับกุมผู้ลักลอบติดตั้งเสาและสาย ส่งสัญญาณเถื่อนตามแนวชายแดนไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้จำนวน 33 ราย ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. แต่ทำผิดเงื่อนไขการให้บริการ ได้แจ้งเตือนและสั่งให้ระงับการส่งสัญญาณโทรคมนาคม และถอดสายสัญญาณและอุปกรณ์ (ล้มเสา) จำนวน 179 จุด โดยดำเนินการแล้วใน 11 อำเภอ 9 จังหวัด ที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จ.ตาก เชียงราย มุกดาหาร หนองคาย สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระเเก้ว จันทบุรี และ จ.ระนอง ซึ่ง กสทช.ยังคงตรวจตระเวนการกระจายสัญญาณข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลของการบูรณาการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กสทช. และหน่วยงานความมั่นคง ในการกำจัดซิมผีบัญชีม้า โค่นเสาและสายสัญญาณเถื่อน รวมทั้งตรวจค้นจับกุมอุปกรณ์โทรคมนาคม ผิดกฎหมายดังกล่าว เป็นการทำลายปัจจัยสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม จะเห็นได้จากการไหลทะลักเข้าไทยของอุปกรณ์สื่อสารดาวเทียมผิดกฎหมาย (Starlink) ผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดแทนโครงสร้างโทรคมนาคม (ซิม เสา สาย) เดิม คาดว่าคนร้ายได้รับผลกระทบและเริ่มมีการปรับตัว ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กสทช. จะได้ดำเนินการติดตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับ 17 หน่วยงานทางการศึกษา ทำ MOU การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี มุ่งเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง เพิ่มขีดความสามารถและพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ

วันนี้ (23 กรกฎาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้การต้อนรับผู้แทนหน่วยงานทางการศึกษา 17 หน่วยงาน ในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่องการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บัญชาการ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.อาคม ไตรพยัคฆ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนหน่วยงานทางการศึกษาทั้ง 17 หน่วยงาน ร่วมพิธี ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , มหาวิทยาลัยมหิดล , มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , มหาวิทยาลัยบูรพา , มหาวิทยาลัยนเรศวร , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ , สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ , มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย , มหาวิทยาลัยรังสิต , มหาวิทยาลัยกรุงเทพ , สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย , สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหงชาติ และสมาคมปญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ร่วมพิธี

การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่องการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษา 17 หน่วยงาน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการคิดค้น แลกเปลี่ยน นวัตกรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ระบบอัตโนมัติ (Automation) เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีให้แก่สมาชิก เพิ่มจำนวนคุณภาพบุคลากรวิจัยและนวัตกรรม , เพื่อผลิตและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ให้เพียงพอทั้งภาคการผลิต บริการ สังคม และชุมชน เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์ของเครื่องมือและการจัดการทรัพยากรร่วมกันระหว่างสมาชิกทุกฝ่าย สร้างความเชื่อมโยง ประสานงานกับหน่วยงานหรือเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกันทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเพื่อรวบรวม จัดทำฐานข้อมูลนักวิจัยด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระหว่างสมาชิก

ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจสำคัญยิ่ง คือการปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงการดูแลรับผิดชอบด้านการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งปัจจุบันสถิติการก่ออาชญากรรมด้านเทคโนโลยีมีแนวโน้มสูงขึ้น สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคิดค้น แลกเปลี่ยน และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเชื่อมโยงกับหน่วยงานหรือเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งในและต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติต่อไป

ทั้งนี้ ภายในงานบริเวณห้องประชุมแจ้งยอดสุข หน่วยงานต่างๆ ได้มาออกบูทจัดแสดงผลงานทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีด้วย โดยในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน่วยงานที่มาจัดแสดง ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ,สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ ,ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1 , โรงพยาบาลตำรวจ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ นอกจากนี้ ยังมีบูทจัดแสดงผลงานของ 17 สถาบันการศึกษา และในส่วนภาคเอกชนที่มาร่วมจัดแสดง ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) , บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) , บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด (HUAWEI) , บริษัท ดิจิตอล ไดอาล็อก จำกัด (Digital Dialogue) , บริษัท ไอที กรีน จำกัด (มหาชน) (IT Green) และบริษัท ซัมซุง (ประเทศไทย) จำกัด (SAMSUNG)

‘ปชป.’ ถ่อมตัวผลสำรวจไลน์ทูเดย์โหวต ‘เฉลิมชัย’ ครองใจประชาชนอันดับ 3 รองจาก ‘เศรษฐา-พิธา’ ‘อลงกรณ์’ เผย 5 ตัวแปรดันหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตีตื้นขึ้นท็อปทรี

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้ว่า ผลโหวตสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมืองในปัจจุบันของไลน์ ทูเดย์(Line Today)ประจำเดือนกรกฎาคมยกให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ติดอันดับที่ 3 รองจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับพรรคประชาธิปัตย์หลังจากเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าผลสำรวจมีขึ้นมีลง วันนี้ขึ้นพรุ่งนี้ลงเป็นธรรมชาติของการเมืองที่มีความไม่แน่นอน มีแต่ทำงานหนักเพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไปเท่านั้นจึงจะได้รับโอกาสจากประชาชน นายอลงกรณ์ให้เหตุผล 5 ประการที่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ประชาชนโหวตให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่

1.ภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ของหัวหน้าพรรค มุ่งปรับพรรคให้ทันสมัยทันโลก มองอนาคตก้าวข้ามอดีตและการเมืองแบบเก่า
2.การทำงานในฐานะฝ่ายค้านทั้งในและนอกสภาอย่างเข้มแข็ง
3.การสื่อสารการเมืองแบบดิจิตอล คอมมิวนิเคชั่นโดยศูนย์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการสื่อสารที่ตั้งขึ้นใหม่รับผิดชอบโดย ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคและอดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
4.การขับเคลื่อนพรรคอย่างมียุทธศาสตร์และกลยุทธ์โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคกำหนดวิสัยทัศน์ จุดยืน ทิศทางและแนวนโยบายใหม่มีหัวหน้าพรรคเป็นประธานด้วยตัวเอง
5.การเปิดพรรคกว้างสร้างเครือข่ายและเปิดรับคนรุ่นใหม่

ในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้โพสต์ข้อความขอบคุณในเฟสบุ๊คและทุกดิจิตอลแพลตฟอร์มของพรรคดังนี้ “พรรคขอขอบคุณที่ได้โหวตให้กับหัวหน้าพรรค คนของพรรคประชาธิปัตย์ จากผลโพลดังกล่าวจะเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศและพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถต่อไป”
สำหรับLine Today ได้เปิดเผยผลโหวตสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมืองในปัจจุบัน ประจำเดือนกรกฎาคมซึ่งเปิดโหวตตั้งแต่วันที่ 1-20 ก.ค.2567 ที่ผ่านมา ในห้วข้อ “คุณคิดว่าใครมีบทบาท ผลงานโดดเด่น หรือถูกใจคุณที่สุด” ปรากฏผลการสำรวจ 10 อันดับแรก 10 อันดับแรก ดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 8,742 คะแนน หรือคิดเป็น 40.13% อันดับที่2 คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ได้คะแนน 7,427 คะแนน คิดเป็น 34.09% อันดับ ที่ 3 คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ได้มา 1,966 คะแนน หรือ 9.02% และอันดับ 4 คือ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ได้ 565 คะแนน คิดเป็น 2.59% อันดับที่ 5 ได้แก่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มีคะแนน 479 คะแนน คิดเป็น 2.2%

อันดับที่ 6 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้ 471 คะแนน คิดเป็น 2.16 % อันดับที่ 7 ได้แก่ น.ส.จิราพร สินธุไพร ได้ 204 คะแนน คิดเป็น 0.94% อันดับที่ 8 ได้แก่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ได้ 191 คะแนน คิดเป็น 0.88 % อันดับที่ 9 ได้แก่ นายชวน หลีกภัย ได้ 190 คะแนน คิดเป็น 0.87 % อันดับที่ 10 ได้แก่ นายรังสิมันต์ โรม ได้ 182 คะแนน คิดเป็น 0.84% 

‘นักธุรกิจฟาร์มปลาสวยงาม’ ไขกระจ่างปมเจอปลาเทราต์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ชี้!! เติบโตในน้ำอุณหภูมิไม่เกิน 24 องศา โอกาสรุกรานระบบนิเวศไทยมีน้อย

(23 ก.ค. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’  ระบุว่า…

กรณีปลาเทราต์ที่มีคนกล่าวว่าพบเจอหลุดในแหล่งธรรมชาติ และกังวลว่าจะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อระบบนิเวศ โดยมีการอ้างอิง IUCN ว่าเป็นชนิดปลาที่สามารถรุกรานรุนแรงสายพันธุ์หนึ่งนั้น

ก็ต้องเรียนว่า ปลาเทราต์ในโครงการหลวงดังกล่าวนั้น เป็นปลาที่มีการนำเข้ามาทั้งในรูปแบบเพาะเลี้ยงจากไข่ปลา และมีการพัฒนาวิจัยจนสามารถเพิ่มจำนวนลูกปลาได้ด้วยการผสมเทียมในอุณหภูมิน้ำที่ประมาณ ๑๒ องศา

ส่วนการเลี้ยงดูให้เติบโตจนขายได้นั้น ปลาชนิดนี้ต้องอาศัยอยู่ในน้ำที่อุณหภูมิไม่เกิน ๒๔ องศาตลอดทั้งปี โดยยิ่งอุณหภูมิต่ำกว่านั้นโอกาสรอดก็ยิ่งสูง

ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้สร้างประโยชน์มหาศาลให้กับประชาชนชาวเขาในพื้นที่ให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งยังสร้างประโยชน์ในการลดปริมาณการนำเข้าเนื้อปลาชนิดเดียวกันซึ่งประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศนิยมรับประทาน

จากการศึกษาเบื้องต้นแล้วโอกาสที่ปลาชนิดนี้จะขยายพันธุ์ในแหล่งธรรมชาติของไทยไม่ว่าจะภาคไหน ๆ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะระบบนิเวศของไทยไม่ได้มีความพร้อมใด ๆ ต่อทั้งพฤติกรรมในการผสมพันธุ์อีกทั้งไม่มีภูมิประเทศที่เหมาะสมใด ๆ ต่อการขยายพันธุ์เลย

การจะอ้าง IUCN ซึ่งน่าจะหมายถึงการรุกรานรุนแรงในระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับการแพร่พันธุ์ของปลาชนิดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะนำมากล่าวได้ในแหล่งนิเวศที่แตกต่างกันขนาดนี้

แต่ในขณะเดียวกัน หากมีการที่ลูกปลาหลุดไปเติบโตอยู่ในแหล่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะหลุดมาในจำนวนมากน้อยอย่างไร

ทางเจ้าหน้าที่ของโครงการก็สมควรต้องตระหนักและหามาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการควบคุมดูแลให้โอกาสที่ปลาจะหลุดรอดออกไปได้นั้น มีน้อยที่สุดหรือไม่มีเลยให้ได้เช่นกันนะครับ

ผมก็คงต้องเรียนไปตามข้อเท็จจริงเช่นนี้นะครับ

’อนุทิน‘ กร้าว!! ปม ‘ขายพาสปอร์ต‘ ไม่ว่าประเทศไหน ก็ผิดกฎหมาย พร้อมจี้ขยายผลหาตัวการเอี่ยว ‘กลุ่มธุรกิจสีเทา-ผู้มีอิทธิพล’ หรือไม่

(23 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงาน ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง กรณีการปิดประกาศป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ขายพาสปอร์ต และรับทำสัญชาติบางประเทศ บริเวณสี่แยกห้วยขวาง ว่า ตนสั่งกรมการปกครอง ให้ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้ดำเนินการติดตาม ไม่ใช่เฉพาะเรื่องป้ายดังกล่าว การประกาศขายพาสปอร์ต ไม่ว่าประเทศอะไรก็ผิดกฎหมายทั้งนั้น 

จากนี้จะขยายผลว่ามีเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจสีเทาหรือไม่ หรือเข้าข่ายกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการทำผิดกฎหมายหรือไม่ เราต้องเร่งปราบปรามโดยใช้ความเป็นเจ้าพนักงาน เรื่องนี้เป็นการทำเกินไป จึงสั่งปลดป้ายทันที ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น ตนตื่นขึ้นมาพอทราบข่าวก็สั่งอธิบดีกรมการปกครองให้ไปดำเนินการทันที ซึ่งเขาทำไปก่อนแล้ว และทางเจ้าของป้ายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี 

เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวจะกลายเป็นไฟไหม้ฟาง พอกระแสหายเรื่องก็จะเงียบใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มันอยู่ที่ว่าเราเข้มงวดกวดขันแค่ไหน การกวดขันผับบาร์ต่าง ๆ ก็ไม่ใช่ไฟไหม้ฟาง รวมถึงการกวดขันปราบปรามยาเสพติด ยืนยันเราไม่ได้รังเกียจคนต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย แต่เรารังเกียจคนต่างชาติที่เข้ามาแล้วทำผิดกฎหมายในประเทศเรา สำหรับตนมองว่าเป็นการย่ำยี ฉะนั้นก็ไปจัดการคนผิด และไล่มันออกไปจากประเทศนี้เท่านั้นเอง ส่วนคนที่เป็นนักธุรกิจทำถูกต้องเราก็อำนวยความสะดวก ให้เขาได้มั่นใจว่าประเทศไทยเรานั้นปลอดภัย และขยายตัวทางเศรษฐกิจได้

‘วราวุธ’ วอน!! ปชช. ‘หยุดให้เงินขอทาน’ ชี้!! ยิ่งให้เท่ากับยิ่งหนุนขบวนการ ‘ผิดกฎหมาย’

(23 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อมวลชน นำเสนอข่าว กลุ่มขอทานต่างด้าว 10 กว่าราย มีทั้งเด็กทารกแรกเกิด เด็กเล็ก คนพิการ และผู้เฒ่าผู้แก่ นั่งนอนขวางถนน ขอทานผู้ใจบุญตามจุดต่าง ๆ ในงานวัดชัยมงคลพระอารามหลวง พัทยาใต้ จังหวัดชลบุรี 

และสื่อรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ได้มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาจัดการ แต่เมื่อทิ้งช่วงไป กลุ่มขอทานต่างด้าวจะกลับเข้ามาในพื้นที่อีก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขอทานต่างด้าวกลุ่มเดิม ๆ ที่เคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปทำประวัติ แล้วกลับมาขอทานซ้ำอีก 

เมื่อคืนวันที่ 21 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา ทีมเจ้าหน้าที่ พม. ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน จังหวัดชลบุรี (ศรส.จังหวัดชลบุรี) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองชลบุรี และฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย สำนักปลัดเมืองพัทยา ลงพื้นที่เพื่อจัดระเบียบผู้ทำการขอทานในเมืองพัทยา 3 แห่ง คือ 

1) วัดชัยมงคลพระอารามหลวง พัทยาใต้
2) บริเวณชายหาดพัทยา และ
3) บริเวณถนนพัทยาสาย 2 

พบผู้ทำการขอทาน ทั้งหมด 11 คน พร้อมผู้ติดตาม ประกอบด้วย คนไทย 3 คน และคนสัญชาติกัมพูชา จำนวน 8 คน โดยมีการนำเด็กมานั่งทำการขอทานด้วย เด็กอายุต่ำสุด 1 ปี 2 เดือน และเด็กอายุสูงสุด 9 ปี

ทีม ศรส.จังหวัดชลบุรี พร้อมทีมสหวิชาชีพได้ดำเนินการสอบประวัติ และทำบันทึกจับกุมตาม พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 พร้อมนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย 

โดยได้ลงบันทึกประจำวัน ถูกเปรียบเทียบค่าปรับ และผลักดันส่งกลับประเทศต้นทาง 8 รายที่เป็นสัญชาติกัมพูชา และคนไทย 3 ราย ถูกเปรียบเทียบปรับและทำบันทึกตักเตือน พร้อมทั้งจะลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อจะได้ไม่กลับมาทำการขอทานซ้ำอีก

สำหรับผลการดำเนินงานจากระบบฐานข้อมูลจัดระเบียบคนขอทาน ประจำปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 มิถุนายน 2567 พบผู้ทำการขอทานจำนวนทั้งสิ้น 467 ราย เป็นคนไทย 307 ราย และเป็นคนต่างด้าว 160 ราย โดยมีสัญชาติกัมพูชามากที่สุดถึง 130 ราย รองลงมาเป็นเมียนมา 18 ราย สปป.ลาว 4 ราย จีน 5 ราย และไร้สัญชาติ 3 ราย  

สำหรับจังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดที่พบขอทานเป็นอันดับ 2 คือจำนวน 39 ราย รองลงมาจากกรุงเทพมหานคร จำนวน 156 ราย รวมทั้งจังหวัดเชียงใหม่ 21 ราย และจังหวัดภูเก็ต 19 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นจังหวัดใหญ่และเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก นับเป็นแหล่งรายได้สำคัญของขอทาน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยังมีขอทาน คือ การให้ เมื่อมีผู้ให้ เพราะความสงสาร นำมาซึ่งการมีขอทานในสังคม ซึ่งขอทานมักมีพฤติการณ์ที่น่าสงสาร มีข้อจำกัดด้านร่างกายและจิตใจ มีความพิการ และบางส่วนเกิดกระบวนการค้ามนุษย์ เป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างรุนแรง 

ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าหากพบเห็นขอทาน เราไม่ควรให้เงิน ด้วยความสงสาร เพราะการขอทานเป็นการกระทำผิดกฎหมาย 

หากพบเห็นขอให้พี่น้องประชาชนโทรแจ้งมาที่ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่านสายด่วน 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง

สมุทรปราการ-ครบรอบ 62 ปี สส.คนดัง!! สมุทรปราการ 'ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร' นักธุรกิจ กลุ่มผู้สูงอายุ นักเรียน กว่า 1,000 คน ร่วมอวยพร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ภายในโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ชั้นมัธยมสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ ทางคณะผู้บริหารโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา ชั้นมัธยม คณะครู นักเรียน คณะผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษา คณะสมาชิกสภาเทศบาล 

ตลอดจนกลุ่มผู้สูงอายุจำนวนมากได้จัดงานอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 62 ปี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา โดยมี นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารโรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา คณะครู นักเรียน นักธุรกิจ กลุ่มผู้สูงอายุ ร่วมร้องเพลงอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้กับท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร 

ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด ครบ 62 ปี อีกทั้ง ทางคณะครู นักเรียน และกลุ่มผู้สูงอายุที่เดินทางมาร่วมงานได้มอบดอกกุหลาบสีแดงให้กับท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร พร้อมทั้งกล่าวคำอวยพรเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดนี้อีกด้วย ประกอบกับ ภายในงานยังได้จัดซุ้มอาหารจำนวนมาก นำมาแจกจ่ายเลี้ยงต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและผู้ที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ได้ทานฟรีอีกด้วย

ชัยภูมิ-สพม.ชัยภูมิ เร่งอบรมเชิงปฏิบัติการ 'ยุวมัคคุเทศก์' แก่ครูผู้สอน ขยายผลสู่นักเรียน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.ชัยวัฒน์ ตั้งพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ (สพม.ชัยภูมิ) เปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการตามโครงการการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ชัยภูมิยุวมัคคุเทศก์ พัฒนาการเรียนรู้ เชิงรุก ส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ มุ่งสู่มาตรฐานสากล (Chaiyaphum Smart Guide Enhance Active Learning through Resources Development for international Learning Pathway ) ประจำปี2567 แก่ครูภาษาอังกฤษจากโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ  โรงเรียนละ 2 คน จำนวนทั้งสิ้น 74 คน มีระยะเวลาในการจัดโครงการ 1 วัน ใน วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ 

ดร.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า การจัดอบรมครั้งนี้ เพื่อให้ความรู้และพัฒนาทักษะ ภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศอื่น ผ่านกิจกรรมมัคคุเทศก์แก่ครูสู่การพัฒนานักเรียนในสังกัด สพม.ชัยภูมิ เป็นการสนองนโยบายเร่งด่วน ของท่าน รมว.ศึกษาธิการ ด้านการประชาสัมพันธ์ soft power สถานที่สำคัญ แหล่งท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา สินค้าอื่น ๆ ของจังหวัดชัยภูมิ เป็นภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เป็นการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยผ่านกิจกรรมมัคคุเทศก์ในท้องถิ่น สู่การจัดการเรียนรู้เทียบเคียงมาตรฐานสากล และที่สำคัญต้องการพัฒนาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศจากการปฏิบัติงาน (Best Practice) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูผู้สอนภาษาต่างประเทศผ่านกิจกรรมด้านมัคคุเทศก์ 

ด้าน นายประทีปแสง พลรักษา รองผู้อำนวยการ สพม.ชัยภูมิ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ชัยภูมิยุวมัคคุเทศก์ พัฒนาการเรียนรู้ เชิงรุก ส่งเสริมแหล่งเรียนรู้มุ่งสู่มาตรฐานสากล (Chaiyaphum Smart Guide Enhance Active Learning through Resources Development for international Learning Pathway ) ประจำปีงบประมาณ 2567 เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของโลก และใช้สื่อสารกันได้ทั่วโลก ประกอบกับการจัดการเรียนรู้ต้องให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยความสุข และเกิดทักษะจากการลงมือปฏิบัติจริง ประกอบกับการจัดการเรียนรู้ของครูต้องให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ความสุข เกิดทักษะจากการลงมือปฏิบัติจริงและ กระบวนการพัฒนาเข้าสู่ห้องเรียน เชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นsoft Power ของจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นการพัฒนาการศึกษาภาษาต่างประเทศภายใต้กิจกรรมชัยภูมิ ยุวมัคคุเทศก์ ส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายในการเรียนรู้

ทั้งนี้ ได้รับความการสนับสนุนร่วมมือ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ธิเช่น สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชัยภูมิ  โรงพยาบาลชัยภูมิรวมแพทย์ มัตสุบายาชิ และอื่นๆ เนื่องจากจังหวัดชัยภูมิ เป็นจังหวัดแห่งการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี เช่น น้ำตกตาดโตน มอหินขาว พระธาตุชัยภูมิ และแหล่งท่องเที่ยวดอกกระเจียวบาน ทั้ง 2 แห่ง ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และอุทยานแห่งชาติไทรทอง และแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ อีกมากมาย

ราชนาวิกสภา บริจาคเงิน เพื่อจัดซื้อรถเข็นนั่งสำหรับผู้ป่วย

พลเรือโทวสันต์ สาทรกิจ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ นายกกรรมการราชนาวิกสภา ในนามของคณะกรรมการราชนาวิกสภา มอบเงินบริจาต จำนวน 100,000 บาท ให้กับศูนย์สุขภาพ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ เพื่อจัดซื้อ รถเข็นนั่งใช้กับผู้ป่วย สำหรับข้าราชการ กองทัพเรือ และครอบครัว ในบริเวณ กองบัญชาการกองทัพเรือและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถยืมใช้งานได้ 

โดยมี น.อ.หญิง ผุสดี หิรัญอัศว์ รองผอ.รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ และ ผอ.ศูนย์สุขภาพ (คลองมอญ) เป็นผู้รับมอบ เมื่อ19 ก.ค.67

ทั้งนี้ ศูนย์สุขภาพ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เป็นเครือข่าย ของศูนย์ปันน้ำใจสาธุ ซึ่งได้ร่วมกับโรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ จัดตั้งเครือข่ายให้ยืมอุปกรณ์เครื่องใช้สอยทางการแพทย์ รวมทั้งรถเข็น เตียงผู้ป่วย สำหรับข้าราชการกองทัพเรือ และครอบครัว และจะเพิ่มการให้บริการกัยประชาชนทั่วไป ในโอกาสต่อไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top