Friday, 20 June 2025
NEWS FEED

'ทนายเดชา' ซัดนัว 'ทนายนิด้า' บอกไม่ต้องเผือกเอาตัวเองให้รอดก่อน

(21 ม.ค.68) ‘ทนายเดชา’ โพสต์ซัดนัว ‘ทนายนิด้า’ บอกไม่ต้องเผือกเอาตัวเองให้รอดก่อน ด้านทนายนิด้าสวนคงไม่ได้หมายถึงตน ทนายที่เอาตัวไม่รอดจะเคยชนะคดีทนายเดชาได้อย่างไร

จากกรณีร้อนอย่าง 'แสตมป์' อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข และสาวคู่กรณี ซึ่งก่อนหน้านี้หนุ่มแสตมป์ออกมาเผยกลางคอนเสิร์ตว่า ถูกบุคคลหนึ่งตามราวีชีวิตไม่เลิก ภรรยาถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้า ก่อนจะไปสู่การฟ้องร้องบนชั้นศาล แม้จะชนะคดีแต่อีกฝ่ายไม่ยอมจบ เพราะถูกคุณพ่อนายพลยศพลตรีของอีกฝ่ายขู่จะยัดคดีทางการเมือง ก่อนที่จะมีการโต้กลับจากหลายฝ่าย ทำเอาชาวเน็ตไทยไม่ได้หลับไม่ได้นอนนั้น โดยล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมายอมรับว่าเคยนอกใจภรรยาจริง และขอโทษบุคคลที่เกี่ยวข้องตามที่มีรายงานไปก่อนหน้านี้นั้น

อย่างไรก็ตามนอกจากมวยคู่หลักแล้ว มวยคู่รอง ศึกระหว่างทนาย อย่าง ทนายนิด้า ศรันยา หวังสุขเจริญ ทนายชื่อดังและทนายความของ แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข และ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของคู่กรณี แสตมป์ อภิวัชร์ ก็ได้มีการปะทะฝีปากกันบนเฟซบุ๊กเช่นกัน

โดย ทนายนิด้า โพสต์ว่า “เกี่ยวข้องแค่หาง แต่อยากตั้งโต๊ะแถลงข่าว เจ้าของคดีเขาทำมาตั้งนาน ไม่เคยให้สัมสักช่องนึง เอ็นดู” ต่อมา นายเดชา ก็ได้โพสต์ข้อความเช่นกัน ระบุว่า “ผมเป็นทนายความของคู่กรณีคดีแสตมป์ ได้รับมอบหมายจากทนายความเจ้าของสำนวน ลูกความ ให้แถลงข่าว ส่วนทนายความฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องเผือกเอาตัวเองให้รอดก่อน“

ก่อนจะเขียนคอมเมนต์ต่อว่า “เป็นทนายความต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่ต้องเผือกไปยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามของตัวเอง ควรมีมารยาทบ้างนะครับ ส่วนตัวผมไม่อยากยุ่งกับใคร ได้รับมอบหมายจากลูกความ ให้ทำอะไรก็ทำแค่นั้นแหละจบ หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ไม่มีหน้าที่ไปรับรองความถูกต้องของใครด้วยครับ”

ต่อมา ทนายนิด้าก็โพสต์อีกครั้งว่า “มีคนส่งมาให้ดู เขาคงเข้าใจว่า ทนายเดอาจจะโพสต์ว่านิด้า แต่นิด้าว่า ทนายเดไม่ได้หมายถึงนิด้าหรอกค่ะ เพราะเขาด่าทนายที่เอาตัวรอดไม่ได้ แต่นิด้าเอาตัวรอดได้ค่ะ ทนายที่เอาตัวไม่รอดจะเคยชนะคดีทนายเดมาได้อย่างไร ถูกมั้ยนะคะ”

'หมอเจด' เปิด 5 อาหารไม่เค็มแต่อันตราย กินแล้วทำร้ายไตพังเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว

เมื่อวันที่ (20 ม.ค. 68)  นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก "หมอเจด"  โดยระบุถึง ระวัง 5 อาหารไม่เค็ม แต่ทำร้ายไต

โดยหลายคนคิดว่าอาหารที่ทำร้ายไตต้องเป็นของเค็มอย่างปลาเค็มหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ความจริงแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่กินกันเป็นประจำ แต่กลับทำให้ไตเสื่อมโดยไม่รู้ตัว วันนี้เรามาดูกันว่า 5 อาหารไม่หวานแต่ทำร้ายไตมีอะไรบ้าง

1.ขนมปัง

ขนมปังของโปรดของหลายคนเลยนะ_เบเกอรี่ ไม่ว่าจะเป็นโดนัท ครัวซองต์ ใครชอบกินต้องระวัง เพราะ ผงฟูที่ใช้ทำขนมปัง มันก็คือเกลือชนิดหนึ่ง

แล้วทำไมขนมปังทำร้ายไต?

• ผงฟูมีโซเดียมแฝง ทำให้ไตต้องขับเกลือออกมากขึ้น
• บางชนิดมี ฟอสฟอรัสสูง ทำให้เกิด หินปูนสะสมในไตและหลอดเลือด
• ถ้าไตเสื่อมแล้ว ขับฟอสฟอรัสออกได้ไม่ดี อาจเกิดไตวายเร็วขึ้นๆ

ซึ่งถ้าอยากลดความเสี่ยง เลือกขนมปังโฮลวีต ขนมปังยีสต์ธรรมชาติ (Sourdough)

2.ชาไข่มุก หรือเครื่องดื่มหวานจัด
ชาไข่มุก กาแฟเย็น หรือชาเขียวปั่น หลายคนกินกันทุกวัน แต่รู้ไหมว่าบางแก้วมีน้ำตาลมากถึง 10-15 ช้อนชา

แล้วน้ำตาลสูงทำร้ายไตยังไง?

• กินหวานมาก ๆ ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
• สะสมไปเรื่อย ๆ เสี่ยง เบาหวาน ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของ ไตเสื่อม
• น้ำตาลสูง ทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไตเสื่อมลง ไตค่อย ๆ พังไปเรื่อย ๆ

ถ้าอยากกิน แนะนำให้เลือก หวานน้อยหรือไม่ใส่น้ำตาลเลย

3.ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว และอาหารแป้งสูง

ข้าว ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า กินกันเป็นเรื่องปกติ แต่รู้ไหมว่า แป้งขัดสีทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นต้องอธิบายแบบนี้นะว่า

• ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว
• น้ำตาลสูงเรื้อรัง กระตุ้นให้เกิดเบาหวาน และทำให้ไตเสื่อม
• ไตก็ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อกรองน้ำตาลและของเสียที่เกินในเลือด

แล้วคำถามต่อมาคือเราต้องทำยังไง?

• เปลี่ยนเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่
• ลดแป้งลง ค่อยๆปรับก็ได้ครับ

4. น้ำจิ้ม ซอส

เป็นอีกอันที่คนไม่ค่อยสนใจ ซอสปรุงรส เช่น ซีอิ๊ว น้ำปลา ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ หรือ น้ำจิ้มหมูกระทะ น้ำราดข้าวมันไก่ นี่แหละที่ทำให้ไตพังเงียบ ๆ

แล้วซอสปรุงรสทำร้ายไตยังไง?

• โซเดียมสูงมาก ไตต้องทำงานหนักเพื่อขับเกลือออกจากร่างกาย
• ซอสบางชนิด แฝงน้ำตาลเยอะ เช่น ซอสบาร์บีคิว น้ำจิ้มสุกี้ เทอริยากิ ทำให้เสี่ยง เบาหวานและไตเสื่อม
• มีสารกันเสีย ผงชูรส และฟอสฟอรัสแฝง ซึ่งไตต้องกรองออก

แนะนำว่าเลือกเป็นสูตรโซเดียมต่ำ หรือทำน้ำจิ้มเอง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้

5. ผลไม้และน้ำผลไม้

ผลไม้บางชนิด น้ำตาลสูงมากเช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย มะม่วงสุก กินเยอะเสี่ยงน้ำตาลพุ่งสูง

น้ำตาลจากผลไม้ทำร้ายไตได้ยังไง?

• น้ำตาลฟรุกโตส ในผลไม้ถูกดูดซึมง่าย ทำให้ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
• น้ำผลไม้ ไม่มีไฟเบอร์ ทำให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเร็ว
• คนเป็นไตเสื่อมต้องระวัง โพแทสเซียมในผลไม้ หากขับออกไม่หมด อาจเสี่ยง หัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งผลไม้ที่กินได้ในปริมาณเหมาะสมและ และเลือกกินให้ดีครับ
• ฝรั่ง แอปเปิลเขียว เบอร์รี่ ส้มโอ
• เลือก กินผลไม้สด ดีกว่าปั่นเป็นน้ำ

หมอเจดฝากเป็นข้อคิดทิ้งท้ายด้วยว่า ไตพังไม่ได้เกิดจากของเค็มอย่างเดียว อาหารหวานจัด แป้งขัดสี ผงฟู และซอสต่าง ๆ ก็เป็น ตัวเร่งให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น ลดความเสี่ยง ง่าย ๆ คือ ลดอาหารหวานจัด แป้งขัดสี และน้ำจิ้มเค็ม ๆ
เลือกขนมปังโฮลวีต ขนมปังที่ใช้ยีสต์แทนผงฟู

อ่านฉลากอาหาร เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี โซเดียมและฟอสฟอรัสต่ำ เริ่มดูแลไตตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะต้องฟอกไตไปตลอดชีวิต

สมุทรปราการ-อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ แถลงนโยบายต่อสภาพร้อมดูแลพัฒนาแพรกษาใหม่ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ (20 ม.ค. 68) ภายในห้องประชุม ชั้น 3 เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง สมุทรปราการ นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2568 ภายหลังจากที่ชนะการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีด้วยคะแนนท่วมท้น

โดยนายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ มีความมุ่งมั่น และเป็นความหวังที่จะนำพาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า สร้างคุณภาพชีวิตทีดีเพื่ออนาคตของประชาชนทุกคนในพื้นที่ ภายใต้ความท้าทายจากปัญหาเศรษฐกิจระดับประเทศ การแข่งขันทางการค้าต่างประเทศ ทำให้ต้องปรับปรุงรูปแบบการบริการประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้โดยง่ายและมีประสิทธิภาพ 

โดยนโยบายเร่งด่วนที่เทศบาลต้องทำทันทีเพื่อนำความหวังของชาวตำบลแพรกษาใหม่กลับมาให้เร็วที่สุดคือ 1. พัฒนากลุ่มอาชีพให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ 2. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้แข็งแรง สะดวก ปลอดภัยตอบสนองทุกชุมชน 3. พัฒนาระบบการศึกษาให้อนาคตของท้องถิ่นมีคุณภาพการศึกษาที่ทันสมัยและเท่าเทียม 4. พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้มีความภาคภูมิใจในตนเอง ดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติ 5. ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข 6. ส่งเสริมยกระดับการบริหารประชาชนอย่างรวดเร็ว เป็นธรรมโปร่งใส สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง 7. ส่งเสริมคุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยไร้มลพิษ 8. ส่งเสริมระบบสาธารณะสุขให้สะดวกรวดเร็ว ทั่วถึง ตรงต่อความต้องการของประชาชน 9. พัฒนาเทคโนโลยีให้ประชาชนเข้าถึงโดยง่ายและสร้างโอกาสที่หลากหลาย 10. พัฒนาองค์กรให้ประชาชนมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสิน เพื่ออนาคตของทุกคน 

สุดท้ายนี้ในฐานะนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ขอย้ำเจตนารมณ์ในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ภายใต้การส่งเสริมของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเทิดไว้เหนือเกล้า เหนือกระหม่อม ให้ทุกสถาบันเป็นกลไกลสร้างคุณธรรมจริยธรรมในการดำรงชีวิตเพื่อเป้าหมายความสงบสุข ร่มเย็นคุณภาพชีวิตที่ดีงามของประชาชนสืบไป

ภายหลังจากนั้น นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีฯ ได้ประดับขีดเครื่องหมายข้าราชการให้กับคณะผู้บริหาร ได้แก่ นายณัฐพล บุญริ้ว นายบุญธรรม อินทรแย้ม และนางสาวศิริพร ทับคล้าย รองนายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ นอกจากนี้ยังมี พ.จ.อ.พิรภพ แสงเพชร ที่ปรึกษานายกเทศมนตรี นางสาวมยุรี ทรงวัฒนาสกุล และนายธนกร พลีเกตุ เลขานุการนายกเทศมนตรี โดยมี นายอนุรักษ์ ผ่องโอสถ ปลัดเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ พร้อมด้วย นายภักต์ บุญเสริม ประธานสภาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ นายไพรัตน์ จั่นมุ้ย รองประธานสภาเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง คณะสมาชิกสภาเทศบาล ทั้ง 18 คน เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพียง โดยทางด้าน กำนันธนสัน วสันต์ กำนันตำบลแพรกษาใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง นำกระเช้าพร้อมทั้งดอกกุหลาบ มาร่วมแสดงความยินดีแก่คณะผู้บริหารเพื่อเป็นกำลังใจในการบริหารงานในสมัยต่อไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้า ฯ พระราชทานดินฝังศพ  2 ครู ตชด. จากเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ 

(20 ม.ค. 68) เวลา 09.30 น. ที่บ้านเลขที่ 293 หมู่ 3 ตำบลคลองทรายขาว  อำเภอกงหรา  จังหวัดพัทลุง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ( ผบ.ตร. ) เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ รร.ตชด.บ้านตืองอฯ และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ (บุตรชาย) ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ในพื้นที่ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา 

ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายรัฐศาสตร์ ชิดชู  ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นผู้แทนพระองค์เชิญดินฝังศพพระราชทานวางบนหลุมฝังศพของครู ตชด. ทั้ง 2 นายด้วย  โดยมี พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.,  พล.ต.ท. นิตินัย  หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( ผบช.ตชด.) ผู้บังคับบัญชาการ ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน ทหาร ฝ่ายปกครอง ครอบครัวและประชาชนในพื้นที่ ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก 

การได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ยังความซาบซึ้งแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้ 

ในพิธีญาติของ พ.ต.ท.สุวิทย์ และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ และข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมตั้งแถวรับดินพระราชทาน เจ้าหน้าที่อัญเชิญดินพระราชทานวางบนหลุมฝังศพ ผู้วายชนม์ ผู้นำศาสนาอ่านฟาตีฮะ ร่วมสวดดูอาร์ ผู้เข้าร่วมในพิธีต่างยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์

จากนั้น พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ได้มอบธงชาติไทย และเงินช่วยเหลือแก่ทายาทและครอบครัว “ครูสุวิทย์" และ “ครูโดม” เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณและรำลึกถึงผู้วายชนม์ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ตำรวจภูธรภาค 2 รื้อรังยาเสพติด กดดันอาชญากร เปิด “ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา” ปิดตายแหล่งมั่วสุม “จอมเทียนซอย 3”  ปิดตำนานลานโพธิ์ คืนพื้นที่เสื่อมโทรมเป็นพื้นที่สงบสุข

(20 ม.ค. 68) เวลา 09.00 น. พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ลงพื้นที่จอมเทียนซอย 3 เมืองพัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ติดตาม “ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา” โดยมี พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง ร่วมด้วย

พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากท่านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การสนับสนุนการปฏิบัติของตำรวจ วันนี้ได้มาร่วมการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดของตำรวจภูธรภาค 2 ในยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา ซึ่งยุทธการนี้เป็นการสืบสวนข้อมูลของกลุ่มนักค้ายเสพติดมาโดยตลอด โดยเน้นปัญหายาเสพติด ปัญหาผู้มีอิทธิพล ปัญหาการค้ามนุษย์ และปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้จะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทุกพื้นที่ รวมถึงพื้นที่พัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกจับตามองของสังคมเนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ โดยจะบูรณาการทำงานกันทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายรัฐบาล

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เปิดเผยว่า ยุทธการล้างบางปรสิต EP.3 ภาคพิเศษ ตอน Big Cleaning พัทยา นำกำลังโดย พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา  และ พ.ต.ท.ศิรชัช  หนูเทศ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา ประสานงาน เมืองพัทยาทำการรื้อถอนพื้นที่เสื่อมโทรมในซอยจอมเทียน 3 ซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะของยาเสพติด ผู้เสพ ผู้ค้า มานาน “พื้นที่จอมเทียนซอย 3 เป็นพื้นที่บริเวณ ท้ายซอยจอมเทียนซอย 2 และ ซอย 3 มีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์จำนวน 20 คูหา สองฝั่ง รวมเป็น 40 คูหา และมีที่ดินระหว่างอาคารพาณิชย์ดังกล่าว พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ถูกบุกรุก รุกล้ำ สร้างเป็นเพิงอาศัยชั่วคราวประมาณ 30 หลัง ซึ่งปัญหาของจอมเทียนซอย 3 เกิดขึ้นจาก กรณีพิพาทฟ้องร้องกันของบริษัทที่เป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์และที่ดินดังกล่าว ทำให้พื้นที่ดังกล่าวเกิดความเสื่อมโทรม ทำให้เกิดเป็นแหล่งมั่วสุม

ของยาเสพติด และ บุคคลเร่ร่อน ต่าง ๆ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และสภ.เมืองพัทยา ได้เปิดปฏิบัติการล้างบางปรสิต EP.2 จอมเทียนซอย 3 โมเดล ไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา จับกุมผู้ขาย บำบัดผู้เสพ สแกนพื้นที่ 100% สามารถจับกุมผู้ต้องหารวม 129 ราย ทั้งผู้ค้า ผู้เสพ ผู้ครอบครอง และต่างด้าวผิดกฎหมาย และครั้งนี้ ยุทธการ EP.3 เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า ยุทธการล้างบางปรสิต มุ่งเน้น 3 มิติ คือ 1. การปราบปราม กดดัน พวกที่เข้ามาก่ออาชญากรรมและยาเสพติดในพื้นที่  2.การจัดสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในพื้นที่รกร้าง ที่เอื้อต่อการเกิดอาชญากรรม มั่วสุมจำหน่ายยาเสพติด และการแพร่กระจายของเชื้อโรค และ 3.การพัฒนาการบูรณาการปฏิบัติของหน่วยงานราชการและเอกชนในพื้นที่ พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 2  ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เดินหน้ารุกปราบปรามอาชญากรรม กวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่อย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะเมืองพัทยาที่เป็นเมืองหัวใจของการท่องเที่ยวประเทศไทย จึงให้ความสำคัญในการป้องกันปรามอาชญากรรมทุกประเภทอย่างจริงจัง โดยเปิดปฏิบัติการล้างบางปรสิต EP.1–2 อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และเพื่อการการแก้ปัญหา ยาเสพติดในพื้นที่พัทยา เป็นไปอย่างยั่งยืน สภ.เมืองพัทยา เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง ร่วมมือกันจัดระเบียบที่อยู่อาศัย สั่งรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยลงพื้นที่ทำการ รื้อถอนในวันนี้ ถือเป็นปฏิบัติการบิ๊กคลีนนิ่ง ทำเมืองพัทยาให้สะอาดจากยาเสพติด และอาชญากรรม กวาดล้างแบบขุดรากถอนโคน 

“วันนี้มาดูการปฏิบัติการในพื้นที่จอมเทียนซอย 3 และ จอมเทียนซอย 11 หารือกับหน่วยราชการและภาคเอกชนในพื้นที่ถึงสภาพปัญหา ร่วมหารือการปฏิบัติของตำรวจทุกหน่วยในพื้นที่พัทยา หารือเพื่อทราบปัญหา สนับสนุนให้กำลังใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และขอย้ำว่าต่อไปนี้ใครจะมาใช้พื้นที่จุดนี้ หรือจุดไหนในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นแหล่งค้ายาเสพติด แหล่งกบดาน แหล่งซ่องสุมไม่ได้ ตำรวจภูธรภาค 2 จะมีปฏิบัติการอย่างเข้มข้น ไม่ยอมให้ปรสิตมาเกาะกินทำลายความสงบสุขของประชาชน” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

ทั้งนี้ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ จว.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 1 – 17 มกราคม 2568 จับกุม 229 คดี ผู้ต้องหา 231 คน ยึดของกลางยาเสพติดเคตามีน 150 กก. ยาบ้า กว่า 76,000 เม็ด อายัดทรัพย์กว่า 8,300,000 บาท

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง"ซับน้ำตาชาวใต้"จัดงบกว่า 15.5 ล้านบาท ฟื้นฟูหลังน้ำลดผู้ประสบอุทกภัย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค มอบเงินช่วยเหลือกรณีบ้านพังทั้งหลัง และช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิต 8 จังหวัดภาคใต้

ระหว่างวันที่ (2 - 20 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ห่วงใยผู้ประสบอุทัยภัยภาคใต้ มอบหมายให้ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์  พร้อมด้วย แผนกบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ จัดทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 8 จังหวัดภาคใต้ ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำลด ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และชุมพร โดยแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช และน้ำปลา รวมจำนวน 30,200 ชุด ๆ ละ 450 บาท มอบเงินสงเคราะห์กรณีบ้านเรือนที่เสียหายจากอุทกภัย หลังละ12,000 บาท จำนวน 66 หลังคาเรือน และมอบเงินสงเคราะห์ค่าฌาปนกิจให้แก่ญาติผู้เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท จำนวน 59 ราย รวมงบประมาณไม่ต่ำว่า 15.5 ล้านบาท โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งมูลนิธิสงเคราะห์ 14 จังหวัดภาคใต้ และ สมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัด เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือ

เมื่อเกิดอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมบรรเทาสาธารณภัย พร้อมเรือท้องแบน และ โรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารกล่อง พร้อมถุงยังชีพ ชุดยาเวชภัณฑ์ และอาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้น หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท ทั้งนี้ กรณีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สมุทรปราการ -“อรัญญา” รุกหนัก!! นำทีมแพรกษาก้าวหน้า ลงพื้นที่หาเสียงถนนคนเดินประชาชนจำนวนมากส่งเสียงเชียร์

นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ผู้สมัครนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา หมายเลข 1 พร้อมด้วยคณะสมาชิกในนามกลุ่มแพรกษาก้าวหน้า

ลงพื้นที่หาเสียงภายในชุมชนหมู่บ้านรุ่งทวี หมู่บ้านพูลทรัพย์ และปิดท้ายที่ถนนคนเดินในเขตพื้นที่ตำบลแพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ โดยมี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมลงพื้นที่ช่วยหาเสียง 

ซึ่งการลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ยังได้พบกับกลุ่มผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรปราการ นำโดย นายสุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้สมัครนายก อบจ. หมายเลข 1 และผู้สมัคร ส.อบจ. สมุทรปราการ นำโดย นายสมเกียรติ ทองเหลือ ผู้สมัครหมายเลข 2 เขตเลือกตั้งที่ 11 

โดยทางด้าน นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำทีมกลุ่มแพรกษาก้าวหน้าลงพื้นที่หาเสียงอย่างต่อเนื่องโดยมีพี่น้องประชาชนในชุมชนต่างมารอให้กำลังใจ พร้อมทั้งชู้ป้ายหาเสียง แจกแผ่นพับแนะนำตัวผู้สมัคร และชูนโยบายในการบริหารงานและแผนพัฒนาท้องถิ่นของกลุ่มแพรกษาก้าวหน้า ในสโลแกน เคียงข้าง สร้างเมือง สร้างคน

โดยทางด้านนโยบายประกอบไปด้วย ผลักดันการศึกษาคุณภาพสำหรับเด็กท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาและโครงการแลกเปลี่ยน ส่งเสริมหลักสูตรอาชีวะให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ต่อยอดโรงเรียนผู้สูงอายุด้วยหลักสูตรสุขภาพ ด้านเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีปรับปรุงระบบงานเทศบาล พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อการเข้าถึงเทคโนโลยีของชุมชน

ด้านเศรษฐกิจ ต่อยอดศูนย์ OTOP ด้วยการพัฒนาสินค้า การตลาด สนับสนุนการขายสินค้าออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มเฉพาะ อบรมผู้ประกอบการท้องถิ่นด้านการตลาดและการเงิน 

ด้านคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวและปลูกต้นไม้ในชุมชน สร้างสวนสาธารณะให้เป็นพื้นที่ใช้งานสำหรับทุกวัย ส่งเสริมการจัดการขยะครบวงจร 

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพี่น้องประชาชนตามชุมชนต่างๆ ที่มารอให้การต้อนรับ พร้อมทั้ง มอบดอกกุหลาบให้แก่ นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และอวยพรขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ 

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สงขลา-เลือกนายก อบจ.สงขลา “เงินไม่มากามาเป็น” ชาวบ้านขู่  “นายทุน” เงินอยู่กับใคร ให้คนนั้นไปลงคะแนน 

(20 ม.ค. 68) แถม “ลดราคา” จากเสียงละ 500 เป็น 300 ในการเลือกตั้ง ลดราคาการ”ขนคน” ไปฟังการปรายศรัย” จาก 300 เป็น 200 และ 100 ตามสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ผู้สื่อข่าว ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของการเมืองท้องถิ่น การหาเสียงของ ผู้สมัคร นายก อบจ. และ ส.อบจ. หรือ สจ. ในแต่ละเขตเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้เหลือเพียง 10 วันสุดท้าย ก็ที่จะมีการ เข้าคูหาหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ 2568 พบว่า ยังคงเป็นการแข่งขันของ 3 ทีมใหญ่ คือ ทีมพรรคประชาชน ที่มี นายนิรันดร์ จินดานาค เป็น ผู้สมัคร นายก อบจ. หมายเลข 2 นายประสงค์ บริรักษ์ หมายเลข 3 และ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม หมายเลข 5 ซึ่งก่อนหน้านี้ นิดาโพล ได้มีการสำรวจ พบว่า คะแนนของหมายเลข 5 ยังนำหมายเลข 2 และ 3 อยู่ เล็กน้อย แต่ที่น่าสังเกตคืนยังมีผู้ที่ไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครอีกเกือบ ร้อยละ 30 ที่ยังเป็น ตัวแปร ในการเลือกตั้ง นายก อบจ.ในครั้งนี้

ผู้สื่อข่าว ที่ เกาะติด ความเคลื่อนไหวของ การเลือกตั้งในพื้นที่รายงานว่า ทีมของผู้สมัครเริ่มจัดให้มีเวทีการหาเสียง ในอำเภอรอบนอกของจังหวัดสงขลา เช่น อ.สิงหนคร .สทิงพระ .จะนะ ,นาทวี เพื่อ หาเสียง กับประชาชน โดยบอกถึง นโยบาย ที่จะบริหารท้องถิ่น หากได้รับการเลือกตั้ง  โดย บางทีมยังใช้วิธีการเดิมๆ นั้นคือให้ ผู้สมัคร สจ. ในพื้นที่ ขนคนมาฟังการปราศรัย เพื่อให้เห็นว่ามีประชาชนให้การสนับสนุนจำนวนมาก มีการจ่ายเงินให้ผู้มาฟังปราศรัย ตั้งแต่ หัวละ 100 บาท 200 บาท และ 300 บาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การจ่ายเงินให้คนมาฟังการปราศรัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ น้อยกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะอยู่ที่หัวละ 300 บาท ส่วน หัวคะแนน ที่นำคนมาร่วมเวลาจะได้ค่าตอบแทนหัวละ 200 บาท แต่ถึงจะจ่ายไม่มาก ประชาชน ส่วนหนึ่ง ก็ยังคงมาร่วมเวที เพราะสภาพของความยากจน ที่เงิน 100 หรือ 200 บาท ก็มีความหมาย

หัวคะแนน ของทีมใหญ่รายหนึ่ง ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า มีการ เก็บรายชื่อ ของผู้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนแล้ว โดยมีการ บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ  โดยการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของรายชื่อ และมีการแจ้งให้เจ้าของรายชื่อทราบว่าจะมีการ ซื้อเสียงๆละ 500 บาท หลังจากที่มีการตรวจสอบรายชื่อแล้ว โดยประชาชนส่วนหนึ่ง ยอมที่จะรับ 500 บาท ในการไปใช้สิทธิ์ให้กับ ผู้สมัครที่เป็น หัวหน้าทีม แต่มีส่วนหนึ่งมีการต่อรองว่า ถ้าจ่าย หัวละ 500 บาท จะเลือกผู้ที่สมัคร สจ. ที่เป็นคนในพื้นที่ ที่ชาวบ้านรู้จัก แต่จะไม่เลือก หัวหน้าทีม ที่ตนเองไม่รู้จัก ถ้าจะให้เลือกทั้ง ผู้สมัครนายก อบจ. และผู้สมัคร สจ. ต้องจ่าย 1,000 บาท ในขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งให้ข้อมูลว่า ขณะนี้มีเพียง ทีมเดียว ที่ หัวคะแนน มาเก็บรายชื่อเพื่อ ซื้อเสียง ส่วนทีมอื่นๆ ยังไม่มีการมาติดต่อ ดังนั้นต้องรอก่อนว่าทีมไหนให้ มากกว่า ก็จะเลือกทีมนั้น 

ในขณะเดียวกัน ก็มีการปล่อยข่าวว่า  นายทุนได้นำเงินไปให้กับ ผู้นำท้องถิ่น และ ผู้นำท้องที่ เพื่อใช้ในการซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ทำให้ ประชาชน ในพื้นที่ ที่ทราบข่าวว่า และ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ถ้าเงินที่ให้ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ไม่ถึงมือชาวบ้าน ก็ให้ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ไปเลือก เจ้าของเงินแทน ส่วนชาวบ้านจะไม่ไปเลือก

และจากการติดตาม ข่าวสารในโซเชียล พบว่า มีการต่อรองว่า ถ้าไม่ได้เสียงละ 1,000 บาท จะไม่ไปใช้สิทธิ์ และหากให้ดีในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำต้องมีการจ่ายให้ประชาชนเสียงละ 2,000 บาท ซึ่งสร้างความฮือฮาในหมู่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังพบว่ามีการลงในโซเซียล ว่าจะไป โนโวต เพราะไม่เชื่อมั้นในผู้สมัครว่าจะทำตามนโยบายที่นำเสนอต่อประชาชน

รายงานจากแหล่งข่าว ที่ใกล้ชิดกับผู้สมัครแจ้งว่า มีการจ่ายเงินให้ สจ.เขตในทีมๆละ 2 ล้านบาท เพื่อใช้เป็น ปัจจัย ในการ หาเสียงในแต่ละเขตเลือกตั้ง ทั้งในส่วนของ นายก อบจ. และของ สจ. ซึ่งมีการจ่ายไปแล้ว 1 ล้าน ส่วนอีก 1 ล้าน จะจ่ายก่อนสัปดาห์ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ในขณะที่ ผู้สมัคร สจ. ในบางอำเภอ อยู่ระหว่างการ เก็บรายชื่อของประชาชนผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ซึ่งต้องมีการ ซื้อเสียง ตั้งแต่ 10,000 ถึง 13,000 คน  ถ้าต้องจ่ายเสียงละ 1,000 ต่อหัว ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าเขตละ 5 ล้านบาทขึ้นไป จึงมีการต่อรองกับ หัวคะแนน ให้เหลือเสียงละ 500 และ 300 บาท ในบางพื้นที่ เพื่อที่จะไม่ต้องใช้เงินถึง 5 ล้านบาท ในการ เลือกตั้งครั้งนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า บางทีมที่ไม่ใช้เงินในการขนคนมาฟังการปราศรัย จะมีคนมาร่วมเวทีครั้งละ 500 คนขึ้นไป แต่เป็น ประชาชน ที่ตั้งใจมา ส่วนทีมที่มีการ จ่ายเงิน ให้ประชาชนมาร่วมฟังการหาเสียง จะมี ประชาชน มาร่วมฟังการหาเสียง ตั้งแต่ 5,000 -7,000 คน ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ทุกคนที่มา จะเลือกทีมของผู้มาหาเสียงหรือไม่

ที่น่าสังเกตคือมี 2 ทีมของผู้สมัคร ที่ใช้เครื่องมือของ “โซเชียลมีเดีย” ในการ หาเสียง และมีการ สำรวจคะแนนนิยมเป็นระยะๆ เพื่อการวางแผน ในการ เข้าถึงประชาชน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งโดยภาพรวมการ จัดเวทีปราศรัย ทำให้มีเงินสะพัดในแต่ละพื้นที่ ส่วน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ก็ได้รับ อานิสงส์ ในการมีส่วน บริหาร จัดการ การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ และ สุดท้าย เงินจะสะพัดด้วยการ จ่ายซื้อเสียงใน 3 วันสุดท้าย ก่อนวันลงคะแนนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์

แหล่งข่าว กล่าวว่า เงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการ “ซื้อเสียง” มาจาก ธุรกิจบ่อนออนไลน์ ที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมาย และมี นายทุน และ ผู้สมัคร บางคน ที่อยู่ในธุรกิจดังกล่าว และที่เป็นข่าวฮือฮาการเลือกตั้งครั้งนี้คือ มีนักการเมืองบางคน ประกาศที่จะ ล้ม อดีต สจ.ใน อ.นาหม่อม จ.สงขลา เพื่อให้แพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ ทั้งหมดคือภาพรวมของการ เลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดในครั้งนี้ ซึ่ง ประชาชน ส่วนหนึ่งใน จังหวัดสงขลา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า อยากให้ กกต.จังหวัดสงขลา ส่ง เจ้าหน้าที่ ออกติดตาม การ ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ที่เกิดขึ้น

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘ติ๊ก ชิโร่’ บินจากใต้มางาน ศพ ‘น้องจูเนียร์’ เสียชีวิตรายที่ 2 หลังนอนโคม่า 3 เดือน พ่อจี้เจรจาเยียวยา

(20 ม.ค. 68) ‘ติ๊ก ชิโร่’ บินจากใต้มางาน ศพ “น้องจูเนียร์” เหยื่อเมาขับ หลังตายตามพี่สาวเป็นศพที่ 2 ระบุมาไม่ทันรดน้ำศพเพราะเครื่อง ดีเลย์ ชี้ยอดเยียวยาจาก 9 ล้านบาท เป็น 24 ล้านบาท มากเกินไป ยันหากเจรจาในราคาที่พอใจทั้ง 2 ฝ่ายจะขายบ้านบางหลังรถบางคันเยียวยาแน่นอน ขณะที่ พ่อ 2 ศพพี่น้องกังวลโร่พบเพจดังเป็นสื่อกลางช่วย ทั้งกรณีเยียวยาไม่เป็นธรรมรวมถึงพฤติกรรมย้อนแย้ง ขณะที่ตำรวจจ่อเรียกตัวนักร้องดังแจ้งข้อหาเพิ่ม

เมื่อวันที่ 19 ม.ค.68 กรณี นายศิริศักดิ์ หรือมนัสนันท์ นันทเสน หรือ ติ๊ก ชิโร่ ศิลปินนักร้องชื่อดังขับรถตู้ชนรถ จยย. 3 พี่น้อง โดย น.ส.เทียนพร หรือเมจิ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 28 ปี เสียชีวิตคาที่ นายจักรภัคร หรือจูเนียร์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปี 2 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งร่างกระเด็นตกสะพาน อาการสาหัส ส่วนอีกคนที่นั่งไปด้วยปลอดภัย เหตุเกิดถนนสุขาภิบาล 5 ช่วงสะพานข้ามถนนเทพรักษ์ แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 10 ต.ค.67 ขณะที่ตำรวจดำเนินคดีเมาแล้วขับหลังผลเลือดพบปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนด ขณะที่ศิลปินดังขอเยียวยาชดใช้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ล่าสุด นศ.ปี 2 เหยื่อเมาขับ “ติ๊ก ชิโร่” ดับอีกศพ โดยเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 ม.ค. ที่ทำการเพจสายไหมต้องรอด ซอยสายไหม 38 นายจีรวัฒน์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 56 ปี พ่อผู้เสียชีวิต เข้าพบนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ระบุว่า ไม่ได้รับการเยียวยาใดๆจากนายศิริศักดิ์ หรือมนัสนันท์ นันทเสน หรือติ๊ก ชิโร่ คู่กรณี หลังขับรถชนลูกสาวและลูกชายเสียชีวิต

นายจีรวัฒน์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 56 ปี กล่าวว่า ที่ผ่านมาอยู่ระหว่างเจรจาพูดคุยกับติ๊ก ชิโร่ มา แต่ไม่ได้ข้อสรุปและอยากเห็นความจริงใจจากติ๊ก ชิโร่ มากกว่านี้ เห็นว่าที่ผ่านมาส่งแต่ตัวแทนมาพูดคุยและยืนกรานจะต่อสู้คดีชั้นศาล แม้จะรับสารภาพชั้นพนักงานสอบสวนก็ตาม วันนี้สูญเสียลูกไป 2 คน กังวลจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องเงินเยียวยานอกจากค่างานศพแล้วไม่ได้แม้แต่บาทเดียว มีเพียงแต่ออกค่าใช้จ่ายตอนดูแลน้องจูเนียร์ที่ศูนย์ฟื้นฟูขณะที่ยังมีชีวิตประมาณ 82,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายตามจริง หลังออกจากโรงพยาบาลอยู่ศูนย์ฟื้นฟู น้องจูเนียร์มีอาการดีขึ้น แต่เมื่อวานนี้น้องปวดท้องรุนแรงนำตัวส่งโรงพยาบาลภูมิพล และเสียชีวิตช่วง 14.00 น. ก่อนนี้ติ๊ก ชิโร่ ได้ส่งตัวแทนเจรจาเสนอว่า มีที่ดินอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ถ้าขายได้จะได้เงิน 4-5 ล้านบาท แล้วจะนำเงินมาให้ สอบถามไปที่น้องสาวติ๊ก ชิโร่ เพื่อจะขอดูที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

ด้านนายเอกภพกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อเป็นกังวลเรื่องการเสนอชดใช้ด้วยที่ดินนั้น คุณพ่อไม่ทราบว่าที่ดินมีจริงหรือไม่จะขายได้เท่าใดมีรายละเอียดอย่างไร เรื่องนี้อยากให้พี่ติ๊ก ชิโร่ออกมาพูดคุยด้วยตนเอง ไม่ใช่ส่งตัวแทนมาพูดคุย อย่างน้อยที่สุดการเยียวยาจะเป็นเหตุบรรเทาโทษได้และการพูดคุยซึ่งหน้าจะตกลงได้รู้เรื่องกว่า

พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.สน.คันนายาว เปิดเผยว่า ขณะนี้มอบหมายพนักงานสอบสวนขอผลการชันสูตรพลิกศพจากนิติเวชแล้ว จะพูดคุยกับครอบครัวน้องจูเนียร์ว่าประสงค์จะเรียกค่าเสียหายเพิ่มหรือไม่ เพื่อที่จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาเจรจากันใหม่ หากเจรจากันไม่ได้จะส่งฟ้องทันที รวมทั้งเตรียมที่จะเพิ่มข้อกล่าวหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายกับติ๊ก ชิโร่ เพื่อส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการต่อไป

ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่ศาลา 8 วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ที่ตั้งศพนายจักรภัทร ศิวพรพิทักษ์ หรือน้องจูเนียร์ อายุ 21 ปี มีญาติพี่น้องและเพื่อนน้องผู้ตายทยอยมาร่วมพิธีรดน้ำศพท่ามกลางความโศกเศร้า มีสื่อมวลชนจำนวนมากปักหลักหน้าศาลา 8 เพื่อเฝ้าดูว่า ติ๊ก ชิโร่ จะมาร่วมงานศพน้องจูเนียร์หรือไม่

นายจีรวัฒน์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 56 ปี พ่อผู้เสียชีวิตกล่าวว่า ช่วงเวลา 11.00 น. วันนี้ส่งไลน์แจ้งไปยังติ๊ก ชิโร่ ให้ทราบว่า น้องจูเนียร์เสียชีวิตแล้ว ติ๊กชิโร่ส่งไลน์กลับมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวและแจ้งว่าขณะนี้อยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เตรียมบินกลับมาร่วมงานรดน้ำศพและสวดศพช่วงเย็นวันนี้ ครอบครัวตนไม่ได้คาดหวังว่าจะมาหรือไม่ ถ้าจะมาร่วมงานศพครอบครัวก็ยินดี แต่ถ้าไม่มาก็ไม่เป็นไร ทั้งนี้ เข้าใจได้ว่าอาจจะเดินทางมาไม่ทันก็เป็นได้

พ่อ 2 พี่น้องที่สังเวยชีวิตจากการเมาแล้วขับกล่าวต่อว่า การเจรจาครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นนั้นเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นการเจรจาขณะที่น้องจูเนียร์ยังมีชีวิต ถ้าหากติ๊กยังมีเจตนาที่จะพูดคุยเรื่องการเยียวยาในตอนนี้ที่น้องเสียชีวิตไปแล้ว ครอบครัวยินดี ส่วนเรื่องความจริงใจของติ๊กที่จะช่วยเหลือครอบครัวหรือไม่ เรื่องนี้ตอบแทนติ๊กไม่ได้ สำหรับเรื่องคดีไม่ทราบว่ารายละเอียดสำนวนคดีจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ รวมทั้งจะดำเนินคดีถึงที่สุดหรือไม่ ขอให้ปล่อยไปตามกระบวนการทางกฎหมาย เนื่องจากหลังจากนี้สำนวนคดีจะเข้าสู่ชั้นอัยการตามขั้นตอน

สำหรับงานสวดพระอภิธรรมศพน้องจูเนียร์ 3 คืน ตั้งแต่วันที่ 19-21 ม.ค.68 เวลา 18.00 น. และฌาปนกิจวันที่ 22 ม.ค. เวลา 14.00 น.

ต่อมาเวลา 18.23 น. หลังพระสวดอภิธรรมเสร็จสิ้น ติ๊ก ชิโร่ พร้อมเพื่อนอีก 2 คน เดินทางมาที่งานศพพร้อมกล่าวแสดงความเสียใจกับพ่อน้องจูเนียร์พร้อมบอกว่ามาช้าเพราะเครื่องดีเลย์ จากนั้นได้เข้าไปกราบศพและกลับมานั่งพูดคุยกับครอบครัวผู้สูญเสีย โดยกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเรื่องการเยียวยาผู้เสียชีวิต เนื่องจากวันนี้ไม่อยากทำให้บรรยากาศครอบครัวน้องจูเนียร์รู้สึกว่าตนเดินทางมาทำอะไรไม่ดีให้กับครอบครัว ส่วนรายละเอียดทั้งหมดที่สื่อมวลชนอยากรู้จะนัดแถลงข่าวในครั้งต่อไป

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าจะเดินทางมาที่วัด ติ๊ก ชิโร่ เปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า หลังเกิดเหตุช่วยค่าทำศพไปประมาณ 1 แสนบาท กลุ่มเพื่อนๆร่วมใส่ซองอีกกว่า 7 หมื่นบาท ส่วนค่ารักษาน้องจูเนียร์ ได้ออกค่าใช้จ่ายให้ตามจริงและโอนไปอีก 1 แสนบาท หลังจากน้องจูเนียร์ออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ที่ศูนย์พักฟื้น ตนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด และยังตกลงกับพ่อน้องจูเนียร์ว่า จะจ่ายให้เดือนละ 5 หมื่นบาททุกเดือน หากเดือนไหนค่าใช้จ่ายแค่ 3 หมื่น ก็เหลืออีก 2 หมื่น เดือนหน้าก็เติมไปอีกแค่ 3 หมื่น หากเดือนไหนเกิน 5 หมื่นจะเพิ่มตามจริง หลังเกิดเหตุยังพาพ่อแม่น้องจูเนียร์ไปที่บ้านตนเพื่อให้สบายใจว่าไม่หนีไปไหน ส่วนที่ตนไม่ได้ไปพบตอนตำรวจเรียกเพราะติดงานร้องเพลงต่างจังหวัด

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) ยังเอากระเช้าไปให้พี่ชายพ่อน้องจูเนียร์ และพูดคุยกันดีๆอยู่ก่อนที่น้องจูเนียร์จะเสีย ลุงน้องจูเนียร์ยังบอกว่าน้องอาการดีขึ้น สุดท้ายมีการเรียกค่าเยียวยาครั้งแรก 9 ล้านบาท แล้วมาเพิ่มเป็น 24 ล้าน นั่นหมายถึงช่วงที่น้องจูเนียร์ยังไม่เสีย มองว่ามากเกินไป หากตกลงได้ที่ 1-2 ล้าน ยังพอหาเงินได้ ตนบอกกับพ่อน้องว่าจะขายที่ดินต่างจังหวัดได้เงินมา 4-5 ล้านบาทจะให้ไปก่อน อีกอย่างช่วงนี้ยังไม่ได้เงินจากการลงทุนร้านอาหารอีก 2 ล้านบาท ถ้าได้เงินก้อนนี้มาจะเยียวยาไปก่อนเช่นกัน หากเจรจากันในราคาที่พอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายได้ จะขายบ้านบางหลังและรถบางคันนำเงินมาเยียวยาผู้เสียหายอย่างแน่นอน

ขอเรียนเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร

 

(20 ม.ค. 68) เมื่อเร็วๆ นี้ พระพรหมวชิรเวที (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และนายแพทย์พันธวี คำสาว ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้จัดงานแถลงข่าวการเปิดรับบริจาคสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น เพื่อให้โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2569 พร้อมนำคณะมวลชวนร่วมงานพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป ณ. บริเวณอุโบสถ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร จำนวน 3 องค์ ได้แก่ 'พระสายน์' (จำลองจากพระประธานในพระอุโบสถ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร) และอีก 2 องค์ ประกอบด้วยพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อนำไปประดิษฐาน ที่หอธรรมจินดาสุข โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น (โดยปรับปรุงจากกุฏิที่ท่านเคยมาพำนักจำพรรษา เมื่อครั้งจาริกมาศึกษาธรรมที่กรุงเทพมหานคร ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เชิงนิทรรศการถาวร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้หลักธรรมทางพุทธศาสนา ผ่านเรื่องราววิถีชีวิตหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายพระป่ากัมมัฏฐานของไทย)

โดยพระพรหมวชิรเวที (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กล่าวว่า "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เคยจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม 1 พรรษา เมื่อครั้งจาริกมาศึกษาธรรมที่กรุงเทพมหานคร และเป็นจุดแวะพักตั้งต้น ก่อนจาริกธุดงค์ไปภาคเหนือและตะวันตก และในขณะจำพรรษานั้นท่านได้มอบมรดกธรรมชิ้นสำคัญไว้ คือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ ซึ่งเป็นธรรมบรรยายลายมือของหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นหลักฐานลายมือเพียงชิ้นเดียวที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และกุฏิที่ท่านเคยมาพำนักจำพรรษานั้น ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พิพิธภัณฑ์เชิงนิทรรศการถาวร จัดแสดงธุดงควัตร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้หลักธรรมทางพุทธศาสนา ผ่านเรื่องราววิถีชีวิตหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายพระป่ากัมมัฏฐานขอองไทย และ UNESCO ประกาศยกย่องให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพ โดยพิพิธภัณฑ์เปิดให้ทุกท่านได้เข้าเยี่ยมชมในวันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8:00 – 17:00 น. หยุดวันจันทร์และวันอังคาร โดยมีผู้นำชมและให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน"

ด้าน พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งเป็นประธานโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต นั้นได้กล่าวถึงที่มาของการสร้างโรงพยาบาลหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ว่า "จังหวัดสกลนครมีความผูกพันกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตมาก ท่านมาจำพรรษาอยู่ในวัดป่าที่สกลนครหลายวัด และละสังขารก็ที่วัดป่าสุทธาวาส สกลนครนี่เอง ส่วนพระบรมสารีริกธาตุ อัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็อยู่ที่ 'วัดภูริทัตตถิราวาส' หรือ 'วัดป่าบ้านหนองผือ' ที่สกลนครด้วย...

"ทีนี้ตอนครบรอบ 150 ปี ชาตกาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และพอดีกับที่ท่านได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพของยูเนสโก วัดปทุมวนารามราชวรวิหารจึงริเริ่มแนวคิดที่จะก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ขึ้น โดยตั้งขึ้น ที่บ้านลึมบอง หมู่ 3 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร เป็นโรงพยาบาลสาขาของโรงพยาบาลบ้านม่วง ซึ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น“โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” โดยอาตมาได้ให้โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่จะสร้างนี้ใช้ชื่อว่า “โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ศูนย์พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ (บ้านลึมบอง)...

"ที่โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ศูนย์พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ (บ้านลึมบอง) แห่งนี้ มีการสร้างหอธรรมจินดาสุข เป็นอาคารลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญ จึงมีการหล่อพระประธานคือพระสายน์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปในวัดปทุมวนาราม ขนาดหน้าตัก 40 นิ้ว และรูปเหมือนหลวงปู่มั่น กับหลวงตามหาบัว ขนาด 30 นิ้ว เพื่อนำไปประดิษฐานในหอธรรมแห่งนี้...

"วัตถุประสงค์การก่อสร้าง เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของประชาชน ผู้ป่วยและญาติ รวมถึงบุคลากร  ใช้เป็นสถานที่ในการทำกิจกรรมได้หลากหลาย ทั้งการบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยธรรมะ และเป็นสถานที่ในการประกอบพิธีทางศาสนา และเป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นสาธารณประโยชน์ แก่ผู้ป่วย และชุมชนใกล้เคียง"

ทางด้าน นายแพทย์พันธวี คำสาว ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภุริทัตโต กล่าวถึงประโยชน์ของการมีโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ของ อ.บ้านม่วง ว่า "เนื่องจากอำเภอบ้านม่วงเป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่ พื้นที่ 850 ตร.กม. มีประชากรในพื้นที่ 7หมื่นคน ห่างไกลจากตัวจังหวัด ระยะทาง 130 กม. ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 2 ชม. มีความลำบากในการเดินทางเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ซึ่งอำเภอบ้านม่วงมีโรงพยาบาลหลัก 1 แห่ง คือโรงพยาบาลบ้านม่วง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นโรงพยาบาลขนาด 82 เตียง ดูแลคนไข้ทั้งในอำเภอบ้านม่วงและใกล้เคียง มีความแออัด และประชาชนบางพื้นที่ยังมีความห่างไกลจากโรงพยาบาล เดินทางลำบาก...

"และในการสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แห่งที่ 2 (ศูนย์พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์เวชชานุกูล บ้านลึมบอง) นี้ จะทำให้ลดความแออัดของโรงพยาบาลและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และโรงพยาบาลสามารถเพิ่มศักยภาพการให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้นตามสภาพปัญหาทางสุขภาพในปัจจุบัน"

ในส่วนการดำเนินการก่อสร้างนั้น เมิ่อวันที่ 20 กันยายน 2565 กรมป่าไม้ ได้อนุญาตให้กระทรวงสาธารณสุข ใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ 40 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงอีบ่าง-ป่าดงคำกั้ง-ป่าดงคำพลู ที่บ้านลึมบอง หมู่ 3 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร ให้ดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต  การก่อสร้างได้เริ่มดำเนินการในปี 2566 ปัจจุบัน ได้รับทุนเบื้องต้นในการก่อสร้าง 78.5 ล้านบาท จากผู้มีจิตศรัทธา กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคาร ผู้ป่วยนอก อาคารผู้ป่วยในขนาด 30 เตียง ซึ่งดำเนินการไปแล้วประมาณ 60% และศาลาธรรม ที่มองว่าจะเป็นศูนย์รวมใจของประชาชน และผู้ป่วยในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยทั้งทางกายและใจ ส่วนนี้ดำเนินการใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลได้ดำเนินการของบประมาณสิ่งก่อสร้างเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 37 ล้านบาท ประกอบด้วย ระบบสาธารณูปโภค อาคารที่พักอาศัยของบุคลากร ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน และถนน ภายในโครงการ เพื่อให้องค์ประกอบด้านสถาปัตยกรรม ของโรงพยาบาลมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สำหรับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แห่งที่ 2 มีแผนเปิดให้บริการในปี 2569 โดยคาดหวังว่าจะมีอาคารสถานที่ และอุปกรณ์ที่จำเป็น เพียงพอที่จะให้บริการได้  ในช่วงแรกอาจจะยังไม่ครบสมบูรณ์ 100% แต่ขอให้เพียงพอสำหรับการเริ่มให้บริการ ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่ยังขาด สามารถเพิ่มเติมในภายหลังได้ครับ"

ส่วนเป้าหมายในการให้บริการดูแลผู้ป่วยนั้น นายแพทย์พันธวี คำสาว กล่าวต่อว่า "ทางโรงพยาบาลฯได้มีการประชุมวางแผนร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร เกี่ยวกับแผนการดำเนินงานของโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ แห่งที่ 2 โดยพิจารณาจากสภาพปัญหาทางด้านสุขภาพในพื้นที่ พบว่าแนวโน้มทางด้านประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) เนื่องจากมีอัตราเด็กเกิดใหม่ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คนอายุยืนมากขึ้น แต่เป็นการอายุยืนพร้อมกับการเจ็บป่วยเรื้อรังและความทุพลภาพ คาดว่า ในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า สัดส่วนประชากรวัยทำงานจะลดลง และผู้สูงอายุจะมากขึ้น และอีกปัญหาทางสังคมคือปัญหายาเสพติด ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงได้กำหนดทิศทางการให้บริการของโรงพยาบาลไปที่การดูแลผู้ป่วย 3 กลุ่มหลักคือ ผู้ป่วยระยะประคับประคองหรือระยะสุดท้าย (Palliative care) ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการฟื้นฟูระยะกลาง (Intermediate care) และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ซึ่งจะเป็นจุดเด่นของโรงพยาบาลแห่งนี้ สามารถดูแลผู้ป่วยได้ทั้งภายในอำเภอ และภูมิภาคได้เป็นอย่างดี และตอบสนองต่อสภาพปัญหาด้านสุขภาพอย่างแท้จริง"

ด้านการบริหารจัดการอัตรากำลังบุคลากร จะเป็นการบริหารอัตรากำลังร่วมกับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (แห่งที่ 1) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักของโรงพยาบาล ปัจจุบัน มีบุคลากรอยู่ทั้งสิ้น 320 คน แพทย์ 10 คน พยาบาล 72 คน และสหวิชาชีพอื่นๆ เมื่อเปิดโรงพยาบาลอีกแห่ง ประมาณการไว้ว่าจำเป็นจะต้องมีบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 100 คน ประกอบด้วย แพทย์ 4 คน และพยาบาล 30 คน และสหวิชาชีพอื่นๆ เพื่อให้เพียงพอต่อการให้บริการตามเป้าหมาย ในระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาลนี้ ได้มีการเตรียมความพร้อมบุคลากรที่มีอยู่ ทั้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพ บำบัดและอื่นๆ โดยการส่งฝึกอบรมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในสาขาที่จะเปิดให้บริการ ได้แก่ เวชศาสตร์ยาเสพติด การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ศักยภาพด้านบุคลากร จะเพียงพอและสอดคล้องกับรูบแบบการให้บริการของโรงพยาบาล

ตั้งแต่เริ่มดำเนินการมา ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะประชาชน ชาวบ้านลึมบอง ประชาชนตำบลบ่อแก้ว ประชาชนอำเภอบ้านม่วง และจังหวัดสกลนคร รวมถึงส่วนราชการต่างๆ เมื่อมีกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ ทุกภาคส่วนจะให้ความช่วยเหลือและร่วมมือเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในองค์หลวงปู่มั่น และความสามัคคีของคนในชุมชน

สำหรับอุปกรณ์จำเป็นที่ต้องการรับบริจาค เพื่อให้เปิดดำเนินการได้นั้น การเปิดบริการของโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ แห่งที่ 2 มีความจำเป็นที่จะต้องจัดหา งบประมาณเพื่อจัดซื้อ รถพยาบาล ยานพาหนะ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉิน ระบบออกซิเจนเหลว และอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น มูลค่าโดยประมาณ 47.9 ล้านบาท ซึ่งรายการเบื้องต้นประกอบด้วย...

- รถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ฉุกเฉิน จำนวน 3 คัน คันละ 2,500,000 บาท
- เครื่อง x-ray ทั่วไป ขนาด 500 MA จำนวน 1 เครื่อง 1,700,000 บาท
- เครื่องช่วยนวดหัวใจและฟั้นคืนชีพอัตโนมัติ จำนวน 1 เครื่อง 1,000,000 บาท
- เครื่องอัลตราซาวน์ 1 เครื่อง 930,000 บาท
- เครื่องฝึกการทรงตัว พร้อมอุปกรณ์ยกผู้ป่วย สำหรับฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง 2 เครื่อง เครื่องละ 810,000 บาท
- เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 1 เครื่อง 900,000 บาท

รวมทั้งยานพาหนะและอุปกรณ์อื่นๆ จำนวน 147 รายการ มูลค่าทั้งสิ้น 47,944,960 บาท

และในวันที่ 20 มกราคมนี้ เป็นวันครบรอบ 155 ปี ชาตกาลหลวงปู่มั่นฯ เพื่อเป็นมหาเถรบูชาต่อพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จึงขอเชิญชวน พุทธศาสนิกชน และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคเพื่อจัดหาเครื่องมือแพทย์สำหรับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผ่านระบบ e-donation ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษี ได้ 2 เท่า โดยสามารถบริจาค ได้ที่ บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ชื่อบัญชี 'กองทุนเครื่องมือแพทย์ รพ.พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต' เลขที่บัญชี 020229922839 หรือบริจาค ด้วย mobile application ของธนาคาร โดยสแกน QR code บริจาคผ่านระบบ e-donation โดยตรง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์โทร 0986950325 หรือ line official account @pmhdonation โดยสามารถบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ด้าน คุณพิพัตร ราชปึ ตัวแทนประชาชนในพื้นที่ กล่าวถึงความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ ในการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ว่า "ในนามของตัวแทนชาวบ้านลึมบอง หลังจากทราบว่าจะมีการสร้างโรงพยาบาลในหมู่บ้านลึมบอง ผมและชาวบ้านมีความรู้สึกตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นบุญของชาวบ้านโดยแท้จริง ที่จะมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้และเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น ชาวลึมบองและชาวอำเภอบ้านม่วงมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการของโรงพยาบาล ตั้งแต่เริ่มกระบวนการดำเนินงานผมและชาวบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกับทุกภาคส่วน ดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ และผมมั่นใจว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะเปิดให้บริการได้ตามกำหนดเพื่อดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี"

และในโอกาสครบรอบ 155 ปี ชาตกาลหลวงปู่มั่นฯ ในปีนี้ คุณพสุ ตีรวัชร ผู้บริหารเพจ 'พุทธสายฤทธิ์' ได้ผลิตสารคดีหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ชุด 'ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว' เผยว่า มีแรงบันดาลใจจาก สังคมไทยปัจจุบันเผชิญกับปัญหาความเสื่อมทรามทางศีลธรรม อาชญากรรม และความวุ่นวายต่างๆ การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ง่าย เพราะผู้คนในปัจจุบันไม่ชอบการสอนแบบตรงไปตรงมา และต้องเชื่อหรือมีศรัทธาก่อนจึงจะยอมรับฟัง เพื่อเป็นการยกระดับสังคม ผ่านการเรียนรู้แบบไม่ยัดเยียด ทีมงานจึงมีแนวคิดที่จะสร้างสรรค์สารคดีคุณภาพเพื่อเผยแพร่เรื่องราวของพระอริยะและพระธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนหันมาสนใจปฏิบัติธรรม และแก้ไขปัญหาสังคม

โดยในสารคดีชุด 'ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว' จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตตั้งแต่วันที่ท่านถือกำเนิดจนวันละสังขาร และคำสอนต่างๆ ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญของพุทธศาสนาทั้งในประเทศไทยและระดับโลก ยืนยันได้โดยการยกย่องจากองค์กร UNESCO ตลอดจนลูกศิษย์คนสำคัญของท่านที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนาต่อมา

"จุดเด่นของสารคดีชุดนี้ เรามุ่งหวังที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของท่านในมุมมองที่แปลกใหม่และน่าสนใจ ผ่านสารคดีชุดประกอบเสียงบรรยาย ที่สร้างภาพกึ่งเสมือนจริงจากเทคโนโลยี AI Generated แล้วทำให้วัตถุในภาพสามารถเคลื่อนไหวผ่านเทคโนโลยีล่าสุด จนเกิด Visual ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเพื่อดึงดูดความสนใจ เร้าอารมณ์ สร้างความรู้สึกร่วม พร้อมดนตรีประกอบที่พิถีพิถันเพื่อให้ช่วยยกระดับประสบการณ์การรับชม เพื่อให้ผู้ชมทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าใจและซาบซึ้งในพระธรรมคำสอนของท่านได้" คุณพสุ ตีรวัชร กล่าวในท้ายสุด

รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์โครงการ : คุณจิรายุศ สิทธิพฤกษ์ (แตน) MB. 091-737-2345 / Email : [email protected]

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top