Friday, 20 June 2025
NEWS FEED

สมุทรปราการ-พิธา ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สมุทรปราการ

(21 ม.ค. 68) ณ ตลาดแบล็คมาเก็ต ถนนสุขุมวิท ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง สมุทรปราการ  นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมด้วยทีม สส.พรรคประชาชน ลงพื้นที่หาเสียงช่วย ดร.นพดล สมยานนทนากุล ผู้ลงสมัครนายก อบจ.สมุทรปราการ และช่วยหาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.อบจ.สมุทรปราการ นอกจากนี้ได้ขึ้นปราศรัยแนะนำตัวผู้สมัครในแต่ละเขต 

โดยมีชาวสมุทรปราการ ต่างสวมเสื้อสีส้ม เดินทางมาร่วมรับฟังการปราศรัยก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยก่อนที่นายพิธาจะขึ้นเวที ช่วงเวลา 15.00 น. ได้เดินทางไปที่บริเวณตลาดปากน้ำ เเละได้พบปะพูดคุยกับชาวสมุทรปราการ เพื่อขอคะแนนเสียง จากพ่อค้าแม่ค้าและผู้ที่มาเดินซื้อของที่ภายในตลาดแห่งนี้ ซึ่งระหว่างลงพื้นที่ต่างมีบรรดาแฟนคลับเข้ามาขอถ่ายรูปและมอบดอกไม้ให้กับนายพิธาเป็นจำนวนมาก

จนเวลา 18.30 น. เจี๊ยบ อมรรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้ขึ้นปราศรัยเชิญชวนให้ออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงให้มากก่อนที่จะกล่าวถึงนโยบายของพรรคต่อไป

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

รมว.ยุติธรรม เยี่ยมเรือนจำกลางชลบุรี ตรวจเยี่ยมกิจกรรมเยี่ยมญาติใกล้ชิดในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมส่งเสริมศักยภาพเพื่อคืนสู่สังคม

(22 ม.ค.68) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมและคณะผู้แทนจากหน่วยงานภายนอก นำโดย นาย ธนนท์ พรรพีภาส รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นำคณะเดินทางไปยังเรือนจำกลางชลบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินกิจกรรมเยี่ยมญาติใกล้ชิด ในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 24 มกราคม 2568 เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ต้องขังคืนสู่สังคม 

โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูผู้ต้องขัง ผ่านความสัมพันธ์จากสถาบันครอบครัว ที่ครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณค่า

ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง จากผู้ต้องขัง จำนวน 499 ราย และญาติที่เข้าเยี่ยมกว่า 1,550 ราย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งให้การต้อนรับ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

(22 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย คณะกรรมการมูลนิธิฯ ให้การต้อนรับ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย พร้อมด้วย นายอู๋ จื้อ อู่ อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตฯ และคณะ ที่ได้เข้าพบคณะกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2568 พร้อมเยี่ยมชมภารกิจมูลนิธิฯ ภารกิจด้านบรรเทาสาธารณภัย และอุปกรณ์ด้านกู้ชีพ กู้ภัย ฯลฯ โดยมี คณะผู้บริหาร และพนักงานมูลนิธิฯ ร่วมให้การต้อนรับ ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชันและสายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

'โชรส์เบอรี' เปิดหลักสูตร 'ฮั่นชิง' เน้นสอนภาษาจีน-อังกฤษ ค่าเทอมเริ่ม 6 แสนบาทต่อปี เผยผู้ปกครองพร้อมจ่ายเพียบ

(22 ม.ค.68) ในยุคที่ ภาษา กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีโลก โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส ได้ประกาศเปิดตัว 'โปรแกรมฮั่นชิง' (Hanqing Bilingual Pathway) หลักสูตรใหม่ที่เน้นการเรียนรู้สองภาษา คือ จีนกลางและอังกฤษ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ปกครองและแนวโน้มของโลก

อแมนดา เดนนิสัน ครูใหญ่และครูผู้บริหารรุ่นก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี เปิดเผยว่า หลักสูตรฮั่นชิงจะเริ่มเปิดการเรียนการสอนในปี 2568 โดยรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้น Early Years 1-2 (อายุ 3-4 ปี) หลักสูตรนี้จะมีการจัดสัดส่วนการเรียนการสอนเป็น ภาษาอังกฤษ 45% ภาษาจีน 45% และภาษาไทย 10% สอนโดยครูผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณวุฒิเทียบเท่ากับใบรับรองการสอนของประเทศอังกฤษ

“โปรแกรมนี้มุ่งเน้นการปูพื้นฐานวิชาการให้กับเด็กตั้งแต่อายุยังน้อย โดยมุ่งหวังให้เด็กมีทักษะภาษาที่แข็งแกร่งในระดับเจ้าของภาษา” เดนนิสันกล่าว พร้อมเสริมว่า “ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่มีการใช้แพร่หลายทั่วโลก ขณะที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล การเรียนรู้สองภาษานี้จะช่วยเปิดโอกาสและสร้างความได้เปรียบในอนาคต”

สำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมโปรแกรมฮั่นชิง จะต้องเรียนจนจบระดับ Year 6 (เทียบเท่าประถมศึกษาปีที่ 6) โดยโรงเรียนตั้งเป้าหมายให้เด็กมีความสามารถด้านภาษาจีนในระดับ HSK 3-4 และพร้อมสำหรับการเรียนหลักสูตร IGCSE และ A-Level ในระบบการศึกษาอังกฤษ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขันในตลาดแรงงานระดับโลก

ผู้ปกครองให้ความสนใจสูง ค่าเทอมเริ่มต้น 6 แสนบาทต่อปี หลักสูตรฮั่นชิงได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้ปกครอง โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่มองว่าการเรียนรู้ 3 ภาษา ได้แก่ ไทย จีน และอังกฤษ จะช่วยสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูก ในขณะที่ผู้ปกครองชาวจีนยังคงให้ความสนใจในหลักสูตรภาษาอังกฤษล้วนมากกว่า

ค่าเล่าเรียนสำหรับโปรแกรมฮั่นชิงมีราคาใกล้เคียงกับหลักสูตรภาษาอังกฤษ ได้แก่

Early Years 1: 662,100 บาทต่อปี

Early Years 2: 697,200 บาทต่อปี

Years 1-2: 783,300 บาทต่อปี

Years 3-4: 840,300 บาทต่อปี

Years 5-6: 869,400 บาทต่อปี

โรงเรียนยังมีแผนในอนาคตที่จะเปิดคอร์สสอนภาษาจีนสำหรับผู้ปกครอง รวมถึงขยายไปยังกลุ่มบุคคลทั่วไปที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย การเปิดตัวโปรแกรมฮั่นชิงครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี ในการพัฒนาการศึกษาเพื่อรองรับโลกยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนและการแข่งขันสูง

อยุธยา - คณะบริหารธุรกิจฯ ราชมงคลสุวรรณภูมิ เป็นเจ้าภาพจัดโครงการสัมมนาและการแข่งขันทักษะวิชาการ 9 มทร. ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด 'R-Innovator สร้างนวัตกรด้วยนวัตกรรม'

(22 ม.ค.68) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ได้จัดโครงการสัมมนาและการแข่งขันทักษะวิชาการด้านบริหารธุรกิจ 9 มทร. ครั้งที่ 12 ภายใต้แนวคิด 'R-Innovator สร้างนวัตกรด้วยนวัตกรรม' โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุวุฒิ ตุ้มทอง รองอธิการบดี และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย เอมอักษร คณบดีคณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ นายวัชระ  กระแสร์ฉัตร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้การต้อนรับ คุณสุชาดา ซางแทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน ณ หอประชุมไพศาลสโมสร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์พระนครศรีอยุธยา วาสุกรี

ในการจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในศาสตร์ด้านบริหารธุรกิจ และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคณาจารย์และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งทั่วประเทศ งานดังกล่าวจัดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 โดยปีนี้ มทร.สุวรรณภูมิ ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมระหว่างวันที่ 22-24 มกราคม 2568

ไฮไลต์สำคัญในงานมีการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ทั้งหมด 12 รายการ จาก 21 หน่วยงานที่เข้าร่วมแข่งขัน ได้แก่:
1. สร้างผู้ประกอบการนวัตกรรม
2. นวัตกรสื่อสร้างสรรค์
3. R-Innovation: นวัตกรรมสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
4. นวัตกรสร้างสรรค์สู่สากล
5. นวัตกรผู้นำการเปลี่ยนแปลง
6. ต้นแบบอัจฉริยะสร้างนวัตกร
7. นวัตกรสายเกมเมอร์
8. นวัตกรการตลาดดิจิทัล
9. การแข่งขันทักษะทางบัญชี 9 มทร. ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
10. การประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ
11. '2 ทศวรรษ มทร.: สืบตำนาน สานรักษา คุณค่ามรดกโลก'
12. ตลาดสร้างผู้ประกอบการ

และความพิเศษของรางวัล คือรางวัลชนะเลิศในแต่ละกิจกรรมได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงนามในโล่รางวัล เพื่อยกย่องความสำเร็จของผู้ชนะ

งานครั้งนี้ไม่เพียงเสริมสร้างทักษะด้านบริหารธุรกิจ แต่ยังเน้นการพัฒนานวัตกรที่พร้อมสร้างสรรค์อนาคตอย่างยั่งยืน ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ มทร. ทั้ง 9 แห่ง ในการร่วมมือสร้างความก้าวหน้าให้กับประเทศ

กมธฯ การพัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา รับหนังสือจากผู้พิการ เพื่อให้ช่วยผลักดันการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานราชการ

เมื่อวานนี้ (21 ม.ค.68) เวลา 10.00 นาฬิกา ณ ลานรับเรื่องราวร้องทุกข์ ศาลาแก้ว อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และความหลากหลายทางสังคม วุฒิสภา นำโดย นางวราภัสร์ ไพพรรณรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการ และนายสมหมาย ศรีจันทร์ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้ร่วมรับหนังสือเรื่อง การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานราชการ จากนายยงยุทธ แสงพรหม เลขาธิการสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย และนายณรงค์ ไปวันเสาร์ นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก พร้อมคณะ เพื่อขอให้หน่วยงานของรัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมายในการจ้างงานคนพิการครบตามที่กฎหมายการจ้างงานคนพิการกำหนด การประกอบอาชีพของคนพิการในด้านอื่น ๆ รวมทั้งการคุ้มครองแรงงานของคนพิการตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ขอให้รัฐบาลจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการให้เกิดความเป็นธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ พร้อมขอให้รัฐบาลจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการตามสภาพเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และขอให้รัฐบาลส่งเสริมสนับสนุนการเล่นกีฬาของคนพิการ โดยเฉพาะการจัดสวัสดิการให้กับนักกีฬาพิการให้มีความเหมาะสม มีความเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐบาลสนับสนุนการสร้างอาชีพให้กับนักกีฬาพิการให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

ด้าน นางวราภัสร์ ไพพรรณรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า จะรับเรื่องดังกล่าวนี้ไว้พิจารณา และจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันในเรื่องต่าง ๆ ตามข้อเรียกร้องของผู้พิการตามหน้าที่และอำนาจของวุฒิสภาต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งขับเคลื่อนป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ มุ่งแก้ปัญหายาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ

(22 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานอนุกรรมการป้องกัน ปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ โดยมี พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส., นายทิพเมษฐ์ สังขวรรณะ ผอ.ปปส.ภาค 1, นายไกรเลิศ ดาวเรือง ผอ.ปปส.ภาค 7, นายโชติพันธ์ จุลเพชร ผอ.ปปส.ภาค 8, พ.ต.ท.นริช สอนดิษฐ ผอ.ปปส.ภาค 9, นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด และผู้แทนกรมการปกครอง พร้อมผู้แทนหน่วย บช.น., ภ.1, ภ.7, ภ.8, ภ.9, บช.ตชด. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 ตร.

พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพร้อมในการตอบสนองนโยบายรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวดในทุกมิติ บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการเยียวยาฟื้นฟู คืนคนดีสู่สังคม อันเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ได้กำชับให้ทุกฝ่ายสืบสวน หาข่าว ติดตามสถานการณ์ยาเสพติด เส้นทางการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน พื้นที่พักคอยตามแนวชายแดน เส้นทางการลำเลียงยาเสพติด ตั้งแต่พื้นที่ต้นทาง พื้นที่พักคอยตอนใน ไปจนถึงพื้นที่ปลายทางนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดมาตรการในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดแบบเหลื่อมเวลาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งเส้นทางหลัก ทางรอง ทางหลบเลี่ยงและเส้นทางโครงข่ายใยแมงมุม เพื่อกำหนดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุม โดยยึดถือตาม SOP อย่างเคร่งครัด เน้นการทำงานแบบบูรณาการ ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ ประสานความร่วมมือผู้ให้บริการระบบขนส่งโลจิสติกส์ ทั้งภาครัฐและเอกชน บันทึกข้อมูลผู้ส่งพัสดุทุกครั้ง พร้อมร่วมตรวจสอบการลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางบริการ
ขนส่งสินค้า หรือพัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติด
ใช้เป็นช่องทางในการลักลอบลำเลียงยาเสพติด

โดยในห้วงหลังจากนี้จะลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมติดตามและขับเคลื่อนการปฏิบัติ ณ ด่านตรวจยาเสพติด และจุดปฏิบัติการสำคัญในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ต้องมีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรมและเป็นที่ประจักษ์ของประชาชนและสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดในทุกมิติ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชื่นชมพยาบาลตำรวจสาว ช่วยชายสูงวัยหมดสติสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า ขณะเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ยกย่องเป็นแบบอย่างที่ดี 

(22 ม.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับทราบถึงกรณี ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ช่วยเหลือชายชาวญี่ปุ่นหมดสติในสถานีรถไฟใต้ดินกินซ่า จนปลอดภัย ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น จนเป็นที่ชื่นชมของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก และล่าสุดสภาการพยาบาลได้โพสต์ชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ในการทำความดีด้วยหัวใจ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยทันที ด้วยจิตอาสา ถือเป็นแบบอย่างของการใช้ความรู้ความสามารถในวิชาชีพพยาบาลให้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ สร้างความสุขให้สังคม

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 12.00 น. ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารี เขียวสลับ พยาบาล (สบ 1) กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล กลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ ได้ให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุเพศชาย หมดสติล้มลงกับพื้น บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินสายกินซ่า สถานีอาซากูซะ เมืองโตเกียว ขณะเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ทักษะทางวิชาชีพในการประเมินอาการ ระดับความรู้สึกตัวและสัญญาณชีพ ชายสูงอายุไม่รู้สึกตัว คลำชีพจรไม่ได้ จึงทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) และแจ้งขอเครื่อง AED จากเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อเครื่อง AED มาถึง ได้หยุด CPR และติดแผ่น Paddle AED เตรียมใช้เครื่อง AED ชายสูงอายุได้กลับมามีชีพจร จึงไม่ได้ทำการ shock ไฟฟ้าหัวใจ ต่อมาเจ้าหน้าที่กู้ชีพมาถึงที่เกิดเหตุ และนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขอชื่นชม ว่าที่ ร.ต.ท.หญิง สุนารีฯ ที่ใช้จิตวิญณาณความเป็นพยาบาลวิชาชีพ และจิตวิญญาณของการเป็นข้าราชการตำรวจ ไม่นิ่งดูดายในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มไม่ว่าชนชาติใด สถานที่ใด แม้ไม่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยกย่องการปฏิบัติ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับข้าราชการตำรวจและประชาชนต่อไป

“พิชัย” โชว์วิชั่นที่ดาวอส ประกาศไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนจากนานาประเทศในอุตสาหกรรม AI, Data Center และ PCB พร้อมร่วมมือสมาชิกอาเซียนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

(22 ม.ค. 68) นายพิชัยฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมงานเสวนาหัวข้อ Leaving Asia’s Comfort Zone ภายในงาน WEF 2025 ที่ดาวอส เพื่อแสดงมุมมองการปรับตัวของไทยจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI และยังใช้โอกาสนี้แสดงความพร้อมที่จะเป็นหมุดหมายดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยี AI, Data Center และอุตสาหกรรม PCB และจะร่วมมืออย่างเต็มที่กับทุกภาคส่วนและนานาประเทศ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะไปพร้อมกัน

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมการเสวนา (Panelist) ในหัวข้อ Leaving Asia’s Comfort Zone ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส โดยงานเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2025 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแลกเปลี่ยนในประเด็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อนำพาประเทศเข้าสู่ยุคอัจฉริยะและสร้างความสามารถทางการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก ร่วมกับนายกันคิมยอง (Gan Kim Yong) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ และประธานบริษัทด้านกฎหมายและเทคโนโลยีการเงินชั้นนำของโลก

นายพิชัยฯ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการปรับตัวให้เท่าทันกับยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรภายในประเทศให้มีทักษะประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ได้เต็มที่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์กล่าวเห็นด้วยที่ประเทศไทยมีศักยภาพและชื่นชมที่มีบทบาทสำคัญบนเวทีอาเซียนในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะการผลักดันการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจทัลอาเซียน หรือ DEFA นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การปรับตัวให้เข้าสู่ยุค AI ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น

พร้อมทั้งให้มุมมองว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างการพัฒนากำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้เพียงพอ และการลงทุนในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอย่างการลงทุนในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) และอุตสาหกรรม PCB ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อน เนื่องจากมีความสำคัญในการเป็นแหล่งจัดเก็บข้อมูลอันมหาศาลที่ช่วยให้ AI มีความฉลาด หรือ Intelligence มากขึ้น ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความสนใจจากบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนด้าน AI และ Cloud Computing ภายในประเทศ เช่น บริษัท G42 จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นายพิชัยฯ ยังได้กล่าวถึงการยกระดับทักษะ (upskill) และการเพิ่มพูนทักษะ (reskill) ด้าน AI ให้แก่แรงงานได้เท่าทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แม้กระทั่งการพัฒนาทักษะ AI ให้กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือให้ประชากรกลุ่มนี้สามารถปรับตัวและไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในประเทศเช่นกัน แต่ก็ยังต้องการดึงดูดบุคลากรด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงที่เป็นกลุ่ม Digital Nomad ให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกแก่กลุ่มคนเหล่านี้ ทั้งอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง 5G ระบบสาธารณสุข healthcare ที่ดีรวมถึงแหล่งพักผ่อนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง พร้อมกล่าวปิดท้ายว่า การเสวนานี้ถือเป็นโอกาสที่ตนได้แสดงความพร้อมของไทยในการเปิดรับความร่วมมือและการลงทุนจากนานาประเทศในอุตสาหกรรม AI ตลอดจนอุตสาหกรรม Data Center และ PCB และจะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะสมาชิกอาเซียนให้ก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะไปพร้อมกัน

นักวิชาการ เทียบปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไทย - เกาหลีใต้ ชี้ ‘ผู้ว่ากรุงโซล’ มีอำนาจสั่งการเด็ดขาด ต่างจาก ‘ผู้ว่า กทม.’

(21 ม.ค.68) - ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ผู้ว่ากรุงโซล กับ ผู้ว่ากรุงเทพในวันที่ฝุ่น PM 2.5รุนแรง” มีรายละเอียดดังนี้

1.ประเทศเกาหลีใต้ประสบกับฝุ่น PM 2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูหนาวเช่นเดียวกับประเทศไทย โดยรัฐบาลได้ประกาศให้ฝุ่น PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานจนถึงระดับที่มีผลต่อสุขภาพหรือ "Unhealthy" เป็นภัยพิบัติทางสังคม(Social disaster) ที่ต้องจัดการแก้ไขทันทีโดยกำหนดแผนเร่งด่วนในแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปี 2022 และยังให้มีการใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เรียกว่า “Comprehensive Plan on Fine dust Management” โดยกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น commander สามารถสั่งการลดแหล่งกำเนิดมลพิษในเมืองได้เบ็ดเสร็จและยังสามารถยกเลิกมาตรการดังกล่าวได้เมื่อภัยพิบัติหมดไป

2. ในวันที่คาดว่าคุณภาพอากาศในกรุงโซลมีจะค่าเกินค่ามาตรฐานในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือUnhealthy โดยตามแผนผู้ว่าการกรุงโซลมีอำนาจประกาศให้ประชาชนสามารถใช้ระบบขนส่งมวลได้ฟรี เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินและบนดิน รถ ขนส่งสาธารณะ รถไฟ เป็นต้น ในช่วงเวลาเร่งด่วนตั้งแต่ 05.00น-09.00น.และ ช่วงเวลา18.00 -21.00น. และขอความร่วมมือประชาชนไม่ต้องนำรถยนต์ออกมาวิ่งบนถนนในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งสั่งลดกำลังการผลิตของโรงงานที่ใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง, ตั้งเขตห้ามนำรถยนต์ดีเซลเก่าวิ่งเข้าเมืองตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ย.ถึงเดือน ก.พ., ให้เปลี่ยนรถบัสโดยสารในเมืองต้องเป็นรถยนต์ EVทั้งหมด, สั่งห้ามเผาในที่โล่ง เป็นต้น

ทั้งนี้เกาหลีใต้สามารถพยากรณ์คุณภาพอากาศและคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำอย่างน้อย 5 วันโดยผู้ว่าการกรุงโซลจะประกาศให้ประชาชนทราบและเสนอมาตรการดังกล่าวออกไป

ผู้ว่ากรุงโซลทุกสมัยจะต้องมีนโยบายดังกล่าวอย่างชัดเจน ยึดหลัก "คุณภาพชีวิตของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าเงินตราที่เสียไป(The value of human beings is far greater than that of money)" ถึงแม้จะเสียรายได้มหาศาลก็ไม่เป็นไรแต่มูลค่าสุขภาพอนามัยของประชาชนต้องมาก่อน

3.ปี 2022 เกาหลีใต้ได้จัดการแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศให้ลดลงได้อย่างมาก เช่น ใช้รถเครื่องยนต์และน้ำมันEuro6, เริ่มใช้รถยนต์EV, ยกเลิกสถานประกอบการและโรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง, เพิ่มสวนสาธารณะโดยมีขนาดของพื้นที่สีเขียวเป็นอันดับ 7 ของโลกคิดเป็น 27.8% ของพื้นที่กรุงโซลและมีสวนสาธารณะขนาดต่างๆมากกว่า2200 แห่ง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ ตามทุกวันนี้ก็ยังประสบกับฝุ่นละอองที่พัดข้ามแดนจากประเทศจีนในบางช่วงเวลาเท่านั้นแต่ฝุ่น PM 2.5 ในกรุงโซลในปี 2024 ลดลงถึง 75% สภาพอากาศดีเยี่ยมถึงปานกลาง

4.สำหรับประเทศไทยเจ้าภาพจัดการฝุ่นละอองมีหลายหน่วยงานตามแผนปฏิบัติการของชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเพียงใช้ พ.ร.บ.การสาธารณสุขเรื่องเหตุรำคาญและพ.ร.บ.โยธาและผังเมือง เรื่องการก่อสร้างและปลูกต้นไม้และพ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเท่านั้น ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าภัยจากฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นภัยพิบัติหรือไม่ ที่เหลือเป็นอำนาจของหน่วยงานอื่น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการฝุ่น PM2.5 ได้เหมือนประเทศเกาหลีใต้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top