Saturday, 21 June 2025
NEWS FEED

สมุทรปราการ-ครอบครัวพาณิชย์พิศาล และชมรมโฮบฯ เลี้ยงอาหารคนชรา เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ผศ.แพทย์หญิงเกศริน พาณิชย์พิศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ (18 ม.ค. 68) เวลา 11.00 น. ที่มูลนิธิวัยวัฒนานิวาส สถานสงเคราะห์คนชรา ถนนท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดยทางครอบครัวพาณิชย์พิศาล นำโดย นายอัครนันท์ พาณิชย์พิศาล พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์ พาณิชย์พิศาล นางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธาร และคณะเจ้าหน้าที่ชมรมโฮปฯ 

จัดกิจกรรมโดยการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้สูงอายุและคนชรา ภายในสถานสงเคราะห์คนชรามูลนิธิวัยวัฒนานิวาส นอกจากนี้ ยังได้มอบขนมปังปี๊บ พร้อมทั้งเงินอีกจำนวนหนึ่งมอบให้แก่คนชรา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 47 ปี ผศ.แพทย์หญิงเกศริน พาณิชย์พิศาล 

ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายอัครนันท์ พาณิชย์พิศาล และนางธัญยธรณ์ พาณิชย์พิศาล อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุน ชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธาอีกด้วย ภายในกิจกรรมครั้งนี้ มีครอบครัววรัณวงศ์เจริญ นายธนิตพงษ์-นางทิพย์ประภา วรัณวงศ์เจริญ พร้อมด้วย คณะกรรมการ สมาชิกชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา คณะสื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมกิจกรรมสร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุและคนชราในสถานสงเคราะห์คนชราแห่งนี้อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

กองทัพภาคที่ 3 จัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล เนื่องในวันกองทัพบก และกองทัพไทย

เมื่อวันที่ (18 ม.ค 68) ที่ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้จัดพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล วันกองทัพไทย ซึ่งเป็นวันที่ระลึกในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาของพม่า และทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา โดยถือเอาวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี เป็นวันกองทัพบก และกองทัพไทย ตามการคำนวณจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ระบุว่า พระองค์กระทำยุทธหัตถี ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จ.ศ. 954 คำนวณได้ ตรงกับวันที่ 18 มกราคม 2135 ในการนี้ กองทัพภาคที่ 3 จึงได้ประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ประจำปี 2568 เนื่องในวันกองทัพไทย ณ ลานอเนกประสงค์ ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอดีตวีรมหากษัตริย์ และเหล่าทหารที่ได้เสียสละชีวิต เพื่อปกป้องรักษาอธิปไตย และแผ่นดินไทย อีกทั้ง ยังเป็นวันที่ทหารใหม่ทุกนาย จะได้เปล่งสัจจะวาจาปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลอันศักดิ์สิทธิ์ แสดงถึงความพร้อมเป็นทหารของชาติโดยสมบูรณ์ ที่มีเกียรติศักดิ์ศรี และอุดมการณ์อันแน่วแน่

นอกจากนี้ การสวนสนาม ยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง มีระเบียบวินัย และความสง่างาม พร้อมทั้งเป็นการย้ำเตือนให้ทหารทุกคนได้ตระหนักถึงภาระหน้าที่เพื่อประเทศชาติ และประชาชน โดยมี พลโท กิตติพงษ์  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ประธานในพิธี พันเอก  ประสาน  เห็นประเสริฐ ผู้บังคับกองผสม ตำแหน่งปกติ รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบบที่ 4 กล่าวรายงาน และนำประธานตรวจพลสวนสนาม และรับความเคารพ เชิญธงชัยเฉลิมพลเข้าปะรำพิธี ประธานนำกล่าวปฏิญาณตน และอ่านโอวาทของ พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เชิญธงชัยเฉลิมพลกลับเข้าประจำแถว และสวนสนาม สำหรับกำลังพลที่สวนสนามในวันนี้ จัดจากหน่วยทหารในพื้นที่ จ.พิษณุโลก รวม 4 กรมสวนสนาม และ 1 กองพัน  สวนสนามยานยนต์

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

‘วินทร์ เลียววาริณ’ ชี้!! นักการเมืองไทย ยกตัวอย่าง สิงคโปร์ มาแค่เปลือก เพราะไม่คิดจะศึกษา ตั้งธงแล้วว่า จะเปิดบ่อน ที่เหลือ ค่อยไปว่ากันทีหลัง

(18 ม.ค. 68) ‘วินทร์ เลียววาริณ’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และนักเขียนรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘กาสิโน’ โดยมีใจความว่า ...

นักคิดนักเขียน อัลแบร์ กามูส์ เคยเขียนว่า "คนที่ขาดความกล้าหาญจะสามารถหาปรัชญามารองรับมันเสมอ"

เมื่อขี้เกียจก็หาเหตุผลมาขี้เกียจ

เมื่อจะโกง ก็หาเหตุผลมาโกง

เมื่อจะหาแดกจากพนัน ก็หาเหตุผลมาหาแดกจนได้

นักการเมืองไทยพยายามมาหลายสิบปีแล้วที่จะสร้างบ่อนถูกกฎหมายให้ได้ ข้ออ้างเดิมๆ คือหาเงินมาพัฒนาชาติ ข้ออ้างล่าสุดก็คือสิงคโปร์ทำแล้ว ถ้าไม่ดีสิงคโปร์คงไม่ทำ(มั้ง)

ผมอยู่ที่สิงคโปร์ตอนเขาประกาศทำบ่อน ประชาชนทั้งประเทศไม่เห็นด้วย รวมทั้งบิดาแห่งชาติ ลีกวนยู 

ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน ขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นพนัน โชคดีที่ต่อมาพ่อของเขาเปลี่ยนนิสัย และเลิกพนันไปตลอดชีวิต

ลีกวนยูไม่เคยเล่นพนัน และต่อต้านเรื่องนี้ เมื่อมหาเศรษฐีฮ่องกง Stanley Ho ผู้เปิดบ่อนที่มาเก๊าขอเปิดบ่อนที่สิงคโปร์ ลีกวนยูปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
แต่ลีกวนยูเปลี่ยนใจ ยอมสร้างบ่อน

ลีกวนยูบอกว่าเขาเปลี่ยนใจในจุดยืนเรื่องสร้างบ่อน เพราะมองเห็นว่าลำพังการเป็น first world city ไม่พอแล้วในศตวรรษใหม่ สิงคโปร์ขาดแรงดึงดูดพอสำหรับนักท่องเที่ยว สิงคโปร์ยังต้องพึ่งนักท่องเที่ยว และสิงคโปร์ก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจ นอกจากเมืองสะอาด

ตอนนั้นสิงคโปร์อยู่ในขาลง ลีกวนยูบอกว่าในเรื่องท่องเที่ยว สิงคโปร์สู้เมืองไทย มาเลเซีย ฮ่องกงไม่ได้ จำเป็นต้องหาจุดขายใหม่ เพื่อที่จะอยู่รอด เมื่อลีกวนยูประกาศสร้างบ่อน เขาเสียเครดิตไปเยอะ เพราะคนทั้งประเทศต่อต้าน

แต่ลีกวนยูสัญญาว่าจะคุมเข้ม ไม่ทำให้พลเมืองติดพนันอย่างเด็ดขาด (gambling inducement) และจะสร้างระบบมาคุม เวลาลีกวนยูบอกว่าจะสร้างระบบมาคุม ทุกคนก็เชื่อได้ว่าเขาทำได้จริง ด้วยกฎเหล็กเข้มข้นกว่าไทยเราล้านล้านเท่า 

การสร้างบ่อนของสิงคโปร์มีกฎระเบียบมากมาย และที่สำคัญคือระบบการตรวจสอบของเขาแน่นหนารัดกุม ไม่มีรูรั่ว ไม่มีคอร์รัปชัน ไม่มีทุจริตเชิงนโยบาย

จุดหมายของรัฐสิงคโปร์คือหาเงินจากนักท่องเที่ยว และไม่ยั่วยุให้พลเมืองติดพนัน คนสิงคโปร์จะเข้าบ่อนต้องจ่ายครั้งละ S$150 หรือสามพันเหรียญต่อปี และเมื่อเล่น ไม่ขยายวงเงินพนันให้เด็ดขาด

นักการเมืองไทยยกตัวอย่างสิงคโปร์มาแค่เปลือก ไม่ได้ศึกษาลึก เพราะไม่คิดจะศึกษา ตั้งธงแล้วว่าจะเปิดบ่อน ที่เหลือค่อยไปว่ากันทีหลัง

เราไม่ต้องมีสมองระดับไอน์สไตน์ก็คิดได้ว่า การยกบ่อนใต้ดินขึ้นมาบนดิน ไม่ได้ทำให้บ่อนใต้ดินหายไป ทุกอย่างเซมเซม แต่มีช่องหาแดกเพิ่มขึ้น (อย่างถูกกฎหมาย)

เราไม่ต้องมีสมองระดับไอน์สไตน์ก็คิดได้ว่า เมื่อทุกประเทศหรือทุกเมืองใหญ่ในโลกมีบ่อน บ่อนก็จะไม่ใช่จุดขายอีกต่อไป

เราไม่ต้องมีสมองระดับไอน์สไตน์ก็คิดได้ว่า อนาคตของเด็กไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อเราปลูกฝังทัศนคติว่า ไม่ต้องทำงานก็รวยได้

เรากำลังสร้างคนในชาติให้เห็นว่าเงินคือคำตอบเดียวในจักรวาล เงินคือพระเจ้า

แต่เงินแค่ไหนจึงจะพอ?

หลังจากสร้างบ่อนถูกกฎหมายแล้วเราจะทำอะไรต่อ? ตั้งกระทรวงยาเสพติดแห่งชาติเพื่อหาเงินช่วยชาติ? ตั้งกระทรวงโสเภณีแห่งชาติเพื่อหาเงินช่วยชาติ? ตั้งกระทรวงมือปืนแห่งชาติเพื่อหาเงินช่วยชาติ? ตั้งกระทรวงศาสนาพาณิชย์เพื่อหาเงินช่วยชาติ?

เราสามารถเปลี่ยนภาพอบายมุขจากดำเป็นขาวในนามของชาติได้เสมอ

รักชาติจนน้ำตาสอ! รักชาติแล้วอิ่มจริงๆ!!

จริงอย่างที่ อัลแบร์ กามูส์ ว่า คนเราสามารถหาปรัชญามารองรับความเลวร้ายที่จะทำเสมอ

วินทร์ เลียววาริณ

‘โฆษกรัฐบาล’ ยัน!! สถานบันเทิงครบวงจร ไม่ได้เน้น ‘กาสิโน’ ยก!! ‘สิงคโปร์’ สร้าง ‘มารีน่าเบย์’ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้คึกคัก

(18 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ ‘เสียงจากใจไทยคู่ฟ้า’ ว่า ในเรื่องของสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งเวลาออกกฎหมายจะต้องผ่านคณะรัฐมนตรี ก็ได้มีการพิจารณา 3 ประเด็นหลักคือ 1. รับทราบรายงานที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่าในแต่ละปีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอื่นๆ มีสถิติการจับกุมการพนันผิดกฎหมายทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก 2. แม้มีการจับกุมการพนันออนไลน์ใต้ดินจำนวนมาก แต่พบว่ามีเงินไหลไปนอกประเทศจำนวนมาก และ 3.มีการจัดทำสถานบันเทิงครบวงจรจำนวนมาก รอบๆ ประเทศไทย และประเทศอื่นๆ

“ที่สำคัญเราไม่ได้เห็นว่า ทำไมต่างประเทศเขาทำแล้วเราต้องทำ แต่ถ้าเราไม่ทำเราก็จะควบคุมอะไรไม่ได้ ธุรกิจใต้ดิน ธุรกิจค้ามนุษย์ การจ้างงานไม่อยู่ในระบบ เงินทองไหลออกนอกประเทศ เกิดความวุ่นวายขายปลาช่อนกันเยอะแยะมากมายตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมาเพราะฉะนั้นการทำสถานบันเทิงครบวงจรนั้น จึงไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของกาสิโนอย่างเดียว แต่หมายความถึงสถานที่ท่องเที่ยว ยกตัวอย่าง อ่าวมารีน่าเบย์ ประเทศสิงคโปร์ สมัยก่อนคนไปสิงคโปร์ ก็ไปเที่ยวสวนนก ไปเดินแถวถนนออชาร์ด เหมือนสุขุมวิทบ้านเรา เดินชอปปิงร้อนก็ร้อน ไม่มีอะไรจะเที่ยว ก็ทำมารีน่าเบย์ ขึ้นมา มีทั้งสปอร์ต คอมเพล็กซ์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีจุดถ่ายรูป มีโรงแรมที่พัก และมีกาสิโนเพียง 10%”

นายจิรายุ ยังกล่าวต่ออีกว่า วันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศไทยเดินทางมา 10-20 ปี แล้วสิ่งเหล่านี้กลายเป็นสภาพปัญหามากมาย หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจากนี้ จะต้องส่งเรื่องไปยังรัฐสภา เพื่อบรรจุวาระรับหลักการ ซึ่งจะมีการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ว่าตกลงแล้วจะเอากฎหมายฉบับนี้หรือไม่ ซึ่งถ้ารับหลักการก็ต้องตั้งกรรมการวิสามัญ ซึ่งมีทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ที่จะมาร่วมกันพิจารณารายละเอียดรายมาตราว่า จะเขียนกติกาอย่างไร จะให้คนไทยเข้าได้หรือไม่ หากเข้าได้ควรจะเป็นลักษณะอย่างไร หรือหากเข้าไม่ได้ควรจะเป็นลักษณะอย่างไร ดูเรื่องผลกระทบต่างๆ เงินทองจะเป็นแบบไหน อย่างไร ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน และถ้าอยู่ในกรอบนั้น แล้วลงมติวาระ 3 ก่อนจะส่งต่อไปที่สมาชิกวุฒิสภา จากนั้นก็ส่งกลับมาที่รัฐสภาแล้วประกาศใช้ นี่คือสิ่งที่ที่จะต้องลงรายละเอียด ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยอีก 6 เดือน

‘โฆษกทัพบก’ ขอหลักฐานเพิ่ม ปม ‘แสตมป์ อภิวัชร์’ ถูกนายทหารข่มขู่ ลั่น!! หากผิดจริง มีบทลงโทษแน่

(18 ม.ค. 68) จากกรณี นักร้องหนุ่มชื่อดัง ‘แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข’ และภรรยาถูกคุกคามจากซาแซง จนหายหน้าไม่รับงานอยู่เป็นปี เพื่อไปสู้คดีจนชนะ แต่เรื่องกลับไม่จบ เพราะก็ยังถูกคุกคามและข่มขู่จากพ่อของคู่กรณีที่บอกว่าเป็นนายพล

ล่าสุด วันนี้ มีรายงานว่า ‘พ.อ.ฐิต์รัชช์ สมบัติศิริ’ โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า

กองทัพบก จะดำเนินการตรวจสอบ แต่ก็อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมหากเป็นเรื่องที่มีความร้ายแรงและเป็นจริง กองทัพบกก็จะดำเนินการต่อให้

ทั้งนี้ตนเชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนตัว หากฟังจากที่ ‘แสตมป์’ ออกมาเปิดเผย แต่หากเป็นทหารที่ยังอยู่ในประจำการหากมีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมก็จะต้องมีการสอบสวนทางวินัยและมีบทลงโทษ

และหากทาง ‘แสตมป์’ ต้องการให้กองทัพบกตรวจสอบก็ขอให้ส่งข้อมูลมา เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ในสาธารณะยังไม่มีความชัดเจน พร้อมยืนยันว่ากองทัพบกพร้อมให้ความเป็นธรรม

ตำรวจไทยสุดยอด!!! เจอเด็กญี่ปุ่นแล้ว สถานทูตญี่ปุ่นมารับตัวกลับประเทศโดยปลอดภัย

(18 ม.ค.68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร.) เปิดเผยว่า กรณีเยาวชนชายชาวญี่ปุ่นที่หายตัวไป ญาติไม่สามารถติดต่อได้หลังจากเดินทางมาประเทศไทยนั้น ล่าสุดตำรวจพบตัวแล้ว และได้ประสานทางการญี่ปุ่นรับตัวกลับประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สร้างความยินดีกับครอบครัวและชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าครอบครัวเยาวชนชายคนหนึ่งร้องขอความช่วยเหลือกรณีเยาวชนดังกล่าวเดินทางมายังประเทศไทยแล้วไม่สามารถติดต่อได้ ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยช่วยตรวจสอบ ต่อมา พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพดส.ตร. เร่งตรวจสอบจนพบเยาวชนชายดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่า ก่อนเกิดเหตุเยาวชนชายชาวญี่ปุ่นได้เล่นเกมออนไลน์เกมหนึ่ง ซึ่งสามารถเล่นได้กับผู้อื่นแบบสาธารณะ จนกระทั่งสนิทสนมกับบุคคลหนึ่งในเกม และถูกชักชวนมายังประเทศไทย เยาวชนชายคนดังกล่าวจึงเดินทางมายังประเทศไทยโดยไม่แจ้งให้ทางครอบครัวทราบ จากนั้นทางครอบครัวไม่สามารถติดต่อได้ จึงขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น และตำรวจญี่ปุ่น ก่อนมีการประสานกับตำรวจไทยให้ช่วยติดตามตรวจสอบ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพดส.ตร.ได้ติดตามจนพบตัวเยาวชนดังกล่าว โดยใช้เวลาเพียง 1 วัน หลังได้รับแจ้ง และได้ประสานสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยให้รับตัวกลับประเทศโดยปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อย

ล่าสุดทางสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โดย พ.ต.อ.นาโอโตะ วาตานาเบะ ผู้ช่วยทูตตำรวจญี่ปุ่น , นายซาโต้ โทโมโนริ เลขานุการโท และกงสุล และ นายพิสิฏฐ์ ไม้ประเสริฐ ผู้ช่วยกงสุล ได้เข้าพบ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เพื่อแสดงความขอบคุณในการให้ความช่วยเหลือติดตามตัวเยาวชนชายชาวญี่ปุ่น จนกระทั่งสามารถพากลับประเทศอย่างปลอดภัยในเวลาอันรวดเร็ว 

ทั้งนี้ รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับข้าราชการตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องดูแลนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด โดย พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพดส.ตร. และตำรวจทุกพื้นที่ ทุกหน่วยงาน ใส่ใจในการช่วยเหลือทุกกรณีอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นอุทาหรณ์สำหรับเยาวชนไทยด้วย จึงขอฝากเตือนเด็กและเยาวชนให้ระมัดระวังการติดต่อพูดคุยกับบุคคลแปลกหน้าในเกมออนไลน์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อาจมีผู้ไม่หวังดีชักชวนให้ทำเรื่องที่ไม่สมควรได้ และขอฝากพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้คอยดูแลบุตรหลานในการเล่นเกม หรือใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างระมัดระวัง และให้คำแนะนำที่ถูกต้อง เหมาะสมแก่บุตรหลาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เป็นอันตราย หรือเดือดร้อนเป็นภัยกับตัวเอง

โฆษก ตร.แจง การแต่งตั้ง พ.ต.อ.ไพรัตน์ฯ รอง ผบก.อก.ภ.9 เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ โดยหน่วยเสนอเป็นผู้เหมาะสม ยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะพรากสิทธิ์ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งตรวจสอบทุกมิติ หากพบมีมูลทางวินัยพร้อมจะดำเนินการต่อไป

(18 ม.ค.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อโซเชียล กรณีการแต่งตั้ง พ.ต.อ.ไพรัตน์ หรือ พงศ์รัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผู้บังคับการอำนวยการ ตำรวจภูธรภาค 9 (รอง ผบก.อก.ภ.9) เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็น ผู้บังคับการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจราย พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ฯ เป็นการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจวาระประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ที่เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นการปฏิรูประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้กระบวนการแต่งตั้งเกิดความโปร่งใสเป็นไปตามหลักของ “อาวุโสและความรู้ความสามารถ”

พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ฯ จัดอยู่ในกลุ่มอาวุโสร้อยละ 50 ซึ่งทางตำรวจภูธรภาค 9 ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดเสนออยู่ในบัญชีผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น โดยการพิจารณาว่าข้าราชการตำรวจรายใดมีความเหมาะสมที่จะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นนั้น จะมีกระบวนการพิจารณาตามลำดับชั้นจากระดับกองบังคับการ แล้วเสนอไปยังกองบัญชาการ โดยกรณี พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ฯ นั้น ผบก.อก.ภ.9 ได้เสนอให้คณะกรรมการระดับกองบัญชาการได้พิจารณาว่าเป็นผู้เหมาะสม ไม่ขัดคุณสมบัติที่จะสามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้ โดยคณะกรรมการระดับกองบัญชาการเห็นพ้องกับข้อมูลที่ผู้บังคับการเสนอ

อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ได้พูดถึงกรณีการแต่งตั้ง พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ฯ นอกเหนือจากอาวุโสและความรู้ความสามารถแล้ว ยังจะต้องพิจารณาในเรื่องของประวัติการรับราชการและความประพฤติอีกด้วย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการถูกดำเนินการทางวินัยหรือต้องหาคดีอาญาแล้ว ปรากฏว่ายังไม่มีการรายงานตนต้องคดีหรือมีการรายงานจากหน่วยต้นสังกัดมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณา พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ฯ ในเรื่องของความประพฤตินั้น จากข้อมูลพบว่าถูกศาลจังหวัดพัทยาออกหมายจับ ที่ จ.430/2567 ลง 19 สิงหาคม 2567 ในความผิดฐาน เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ทำให้มีการพิจารณาต่อไปว่าเหตุในการออกหมายจับดังกล่าวนั้น เกิดจากการกระทำผิดโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันจะทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาในการบังคับใช้กฎหมายของประชาชนเสื่อมถอยลง หรือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่อย่างไร  

ผลการประชุมพิจารณาหารือพบว่า การพิจารณาข้าราชการตำรวจรายใดดำรงตำแหน่งสูงขึ้น จึงต้องพิจารณาจากประโยชน์ที่จะเกิดกับราชการควบคู่ไปกับการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ของข้าราชการตำรวจที่กฎหมายได้รับรองไว้ด้วย เมื่อกระบวนการทุกขั้นตอนรวมถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของข้าราชการตำรวจครบถ้วน และยังไม่ปรากฎ หรือมีเหตุทางกฎหมายที่จะพรากสิทธิของ พ.ต.อ.พงศ์รัตน์ฯ ที่กฎหมายได้รับรองไว้ จึงต้องคัดเลือกแต่งตั้งตามที่หน่วยเสนอ ตามสิทธิ ระเบียบ กฎหมาย และกฎที่เกี่ยวข้อง  

อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะไม่ละเลยในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้น หากผลของการดำเนินการดังกล่าวนำไปสู่การดำเนินการทางวินัยก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ในปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเป็นจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ไปตามลำดับก่อน

'อลงกรณ์' ชี้ 'คาสิโน-พนันออนไลน์' คือเศรษฐกิจบาปและวัฒนธรรมสีเทา 'กัดเซาะบ่อนทำลายหลักนิติรัฐและคุณธรรมของประเทศ'

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ้คเรื่อง”เศรษฐกิจบาป(Sin Economy) และวัฒนธรรมสีเทา “วันนี้เกี่ยวโยงประเด็นที่รัฐบาลจะเปิดบ่อนคาสิโนในเอนเตอเทนเม้นต์ คอมเพล็ก(Entertainment Complex)และการพนันออนไลน์แบบถูกกฎหมายโดยมีข้อความดังนี้

"….เศรษฐกิจบาป" (Sin Economy) หมายถึงเศรษฐกิจและตลาดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ถือเป็นความผิด เช่น การพนัน หวยเถื่อน สุรา ยาสูบ งานบริการทางเพศ การค้ามนุษย์และสินค้าและหรือบริการที่มีปัญหาด้านจริยธรรมและผลกระทบทางสังคม

"sin economy" typically refers to the economic activities and markets related to vice industries, such as gambling, alcohol, tobacco, sex work, and other morally questionable goods and services. หนึ่งในตัวอย่างเศรษฐกิจบาปได้แก่การพนัน เช่นกาสิโน และการพนันออนไลน์

ความพยายามล่าสุดในการจัดตั้งเอนเตอเทนเมนต์คอมเพล็กซ์โดยมีบ่อนคาสิโนเป็นศูนย์กลางของการดึงดูดการลงทุนหรือการเปิดให้มีการพนันออนไลน์อย่างถูกต้องด้วยข้ออ้างว่าต้องการเอาธุรกิจสีเทามาอยู่บนดินโดยจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องพิจารณาให้ถึงแก่น

ในมุมมองของผมเรื่องของเศรษฐกิจบาปไม่ใช่แค่ประเด็นธุรกิจหรือเศรษฐกิจแต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่กระทบรากฐานทางวัฒนธรรมและสังคมของประเทศ
คำถามคือเราพร้อมจะนำวัฒนธรรมบาปหรือวัฒนธรรมสีเทามาเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างนั้นหรือ

หลักของประเทศคือหลักนิติรัฐและหลักคุณธรรม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมยึดหลักนี้มาโดยตลอด

ดังนั้น เมื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าประเทศนี้ปีนี้ 50 ปี 100 ปีและต่อไป ประเทศของเราจะยังยืนอยู่ในหลักนิติรัฐและหลักคุณธรรมหรือไม่ หรือจะกัดเซาะบ่อนทำลายรากฐานประเทศด้วยเศรษฐกิจบาปและวัฒนธรรมสีเทาเพียงเพราะ เราอับจนและไม่มีทางเลือกอื่นในการพัฒนาประเทศแล้วหรือ หรือหมดหนทางสร้างรายได้แล้วหรือ หรือไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายจนต้อง ศิโรราปกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม และเราพร้อมจะเปลี่ยนประเทศเป็นเศรษฐกิจบาป สังคมสีเทาวัฒนธรรมสีเทากระนั้นหรือ ช่วยกันตอบนะครับ เพราะประเทศนี้เป็นของทุกคน

อโกด้า เผย!! ‘กรุงเทพฯ’ คว้าจุดหมายปลายทาง ยอดนิยมอันดับ 1 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ

(18 ม.ค. 68) อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ‘กรุงเทพฯ’ ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้งในฐานะจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน สำหรับนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยากสัมผัสบรรยากาศแห่งความสุขในวันตรุษจีนที่ประเทศไทย

นอกจากนี้ ข้อมูลการค้นหาที่พักบนแพลตฟอร์มอโกด้าในช่วงเดือนธันวาคมของปีที่แล้วยังระบุว่า ‘โตเกียว’ คือจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในหมู่นักเดินทางชาวไทยที่ตั้งใจจะใช้เวลาช่วงวันตรุษจีนในต่างประเทศ

สำหรับนักเดินทางชาวไทยที่วางแผนจะใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษจีนในประเทศ กรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาล โดยมีพัทยาและเชียงใหม่ขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในอันดับถัดมา ด้วยการค้นหาที่เพิ่มขึ้นมากถึง 38% และ 55%

อย่างไรก็ตามในปีนี้ ‘ขอนแก่น’ ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีอัตราการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 2,964% เทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ อีกด้วย

ขณะที่นักเดินทางจากต่างประเทศที่ต้องการจะเฉลิมฉลองปีงูเล็กในประเทศไทย มีจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสามอันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และหาดใหญ่ โดยมีอัตราการค้นหาที่พักพุ่งสูงขึ้นถึง 70%, 80% และ 30% ตามลำดับ โดยนักเดินทางชาวมาเลเซียค้นหาที่พักในประเทศไทยเยอะที่สุดติดกันสองปีซ้อน ส่วนนักเดินทางชาวเกาหลีใต้ค้นหาที่พักในประเทศไทยสำหรับช่วงเทศกาลวันตรุษจีนลดลง และตกลงมาเป็นอันดับที่สาม

ด้านนักเดินทางชาวไทยที่ตั้งใจจะเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนในต่างประเทศ ‘โตเกียว’ ยังคงครองตำแหน่งจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกัน ด้วยการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 66% ในขณะเดียวกัน โซลได้พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับที่สอง ด้วยอัตราการค้นหาที่พักที่เพิ่มมากขึ้นถึง 519% หลังจากที่ไม่ได้ติดอันดับในปีที่ผ่านมา ส่วนโอซาก้าตกจากอันดับสองลงมาเป็นอันดับสาม แต่ก็ยังมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 42% ที่น่าแปลกใจคือ ฮ่องกง ซึ่งเคยอยู่ในอันดับที่สามเมื่อปีที่แล้ว กลับไม่ติดอันดับใด ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของนักเดินทางที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ปิแอร์ ฮอนน์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยจากอโกด้า กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีนถือเป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญมากที่สุดของชาวเอเชีย และเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้เห็นประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเมืองต่าง ๆ เช่น กรุงเทพฯ มีเสน่ห์ที่หลากหลาย รอให้นักเดินทางได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนี้ที่ประเทศไทย หรือเดินทางไปต่างประเทศ อโกด้าพร้อมที่จะนำเสนอสิทธิประโยชน์สำหรับเที่ยวบิน ที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อช่วยให้นักเดินทางได้เริ่มต้นปีงูด้วยความสุขและความทรงจำที่น่าประทับใจ

วันหยุดตรุษจีนเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่และการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเวลานี้จึงเหมาะสำหรับการเดินทางไปรวมตัวพบปะกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ทั้งนี้ ‘ปีงู’ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันเป็นมงคลในการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘งู’ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโชคลาภ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้นักเดินทางปลดเปลื้องสิ่งเก่าและต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบความสวยงามในสถานที่คุ้นเคยอีกครั้ง หรือการออกเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ในช่วงเทศกาลอันแสนพิเศษนี้ การเฉลิมฉลองในปีงูจึงเป็นโอกาสที่จะสร้างความทรงจำใหม่ ๆ เป็นอย่างยิ่ง

ถ้าหากมองถึงจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางชาวเอเชียในช่วงวันหยุดตรุษจีน เมืองต่าง ๆ ในญี่ปุ่นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ โตเกียว ที่คว้าแชมป์เป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยกรุงเทพฯ (ประเทศไทย), โอซาก้า (ญี่ปุ่น), ฟุกุโอกะ (ญี่ปุ่น) และโซล (เกาหลีใต้) สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์และความหลากหลายที่น่าหลงใหลของแต่ละเมืองในการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนี้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตอกย้ำปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”  ชาวจังหวัดเลยอย่างยั่งยืน..มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพผู้ยากไร้ พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชนฟรี

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน  นำทีมลงพื้นที่จังหวัดเลย (จังหวัดที่ 17 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จัดพิธีมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจน จำนวน 28 ครัวเรือน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว และมอบจักรยาน จำนวน 20 คัน ให้แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน 

รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมอบในจังหวัดเลย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น จำนวน 713,430 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยสามสิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายประยูร อรัญรุท รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานในพิธี 

พร้อมด้วย นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชนเป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิสว่างคีรีธรรม จังหวัดเลย เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อาทิ นายวสวิศว์ ศตพิพัฒน์ (ต้น-วสวิศว์) และ นายธวัชชัย คชาอนันต์ (แฮ็ค ชวนชื่น) ร่วมมอบและสร้างสีสันภายในงาน  ณ บริเวณมูลนิธิสว่างคีรีธรรม จังหวัดเลย

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top