Saturday, 21 June 2025
NEWS FEED

'รมว.ทส.-เฉลิมชัย' แจงสภา ยก 6 มาตรการแก้ปัญหา 'ช้างป่า' พร้อมปรับปรุงหลักเกณฑ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ย้ำวัคซีนคุมกำเนิด ไม่ใช่ทำหมัน ชี้เป็นการแก้ระยะยาวให้คนอยู่ร่วมกับช้างได้

เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.68) เวลา 13.00 น. ที่อาคารรัฐสภา ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ตอบกระทู้ถามทั่วไป กรณีปัญหาภัยจากช้างป่า บุกรุกที่ทำกินของประชาชน โดย สส. ผู้ถามกระทู้ ได้กล่าวขอบคุณ และชื่นชม ดร.เฉลิมชัย ว่า “ขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย รมว.ทส. ที่ให้ความสำคัญในการมาตอบกระทู้ในสภา เพราะปัญหาเดียวกันนี้ เคยตั้งกระทู้ถามในการประชุมในสมัยที่แล้ว แต่รัฐมนตรีคนเก่าไม่ได้มาตอบเหมือน รมว.ทส. คนปัจจุบัน

ต่อกระทู้ถามที่ว่า มีแนวทางในการแก้ปัญหาช้างป่าอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร

ดร.เฉลิมชัย กล่าวตอบว่า ในฐานะ รมว.ทส. อยากให้มีเวทีสร้างความเข้าใจปัญหาคนกับช้างป่า ตั้งแต่มาเป็น รมว.ทส. มีหน้าที่รักษาชีวิตประชาชน และหน้าที่อนุรักษ์ช้างไปพร้อมๆกัน ตนมีแนวคิดอยากจะให้คนอยู่ร่วมกับช้างได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย วันนี้มีช้างป่าจำนวน 4,000 กว่าเชือกก่อให้เกิดความเสียหาย จากสถิติทั้งการเสียชีวิต การบาดเจ็บ ของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ยังไม่นับรวมความเสียหายภาคการเกษตร  เป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวง ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งช้างมีอัตราการเกิด 7-8 % หากปล่อยไปอีก 10 ปีจะมีช้างป่าเพิ่มเป็นเท่าหนึ่งคือ 8,000 กว่าเชือก หากไม่เร่งแก้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ซึ่งวันนี้ตนได้ประสานงานกับคณะกรรมการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร และได้เชิญเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เข้ามาคุยว่าต้องเร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง ระดมความคิดหามาตรการอะไรบ้าง ที่สามารถดำเนินการแก้ไขตรงนี้ได้

รมว.ทส. กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 คณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง  ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกมนตรี เป็นประธาน และมีนายวราวุธ  ศิลปอาชา รมว.ทส.ขณะนั้น เป็นรองประธาน มีอธิบดีกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้เป็นเลขานุการ ทำหน้าที่ในการที่จะบูรณาการความร่วมมือ จัดการแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม ซึ่งในการประชุมครั้งนั้น มีมาตรการ 6 ข้อ ตนได้นำมาตรการทั้ง 6 ข้อนั้น มาดูว่ามีตรงไหนที่ไม่ได้ดำเนินการ และไม่รีบดำเนินการ โดย มาตรการ 6 ข้อ ประกอบด้วย

1.การเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่อาหารให้ช้างป่า เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง อาจมีบางฝ่ายมองว่าคนรุกป่า แต่ตนมองว่าปัญหามีไว้แก้ไข

2.การสร้างแนวการช้างป่า ที่ผ่านมามีการทำแนวรั้ว รั้วไฟฟ้า ทำแนวขุดคู ทำเป็นกำแพงกั้น แต่ไม่สามารถกันช้างป่าได้ เพราะ1. ช้างมีพัฒนาการ 2. งบประมาณที่ได้รับไม่ต่อเนื่อง ไม่เพียงพอ ยกตัวอย่าง พื้นที่ปัญหามีความยาม 50 กิโลเมตร แต่ทำได้เพียง 20 กิโลเมตร มีช่องว่าง 30 กิโลเมตรก็ไม่สามารถเป็นแนวกันช้างได้ 

3. การจัดชุดเฝ้าระวัง ผลักดันช้างป่า ซึ่งตรงนี้เครือข่าย มีทั้งอาสา เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ และในจำนวนผู้เสียชีวิตที่ก็เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ หลายท่านทั้งบาดเจ็บ และเสียชีวิต

4.การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่าออกมาสร้างความเดือดร้อน ทั้งเรื่องของเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน กองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่า

5.การจัดการพื้นที่รองรับช้างป่าอย่างยั่งยืน เราได้ดำเนินการในส่วนของ 5 กลุ่มป่า 1.กลุ่มป่าตะวันออก 2.กลุ่มป่าตะวันตก และกลุ่มป่าแก่งกระจาน 3.กลุ่มป่าคลองเขาสก 4.กลุ่มป่าเขาเขียวน้ำหนาว 5.กลุ่มป่าดงพญาเย็น เขาใหญ่

6. แก้ปัญหาอัตราการเพิ่มของช้าง 7- 8% หรือ 10% ในพื้นที่ที่มีอุดมสมบูรณ์ที่ทำให้อัตราการเกิดของช้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พื้นที่ที่อยู่ และเป็นอาหารกลับมีอยู่เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม

“เมื่อปริมาณช้างมากขึ้น ขอบข่ายของการเดินหาอาหารของช้างป่าก็จะขยาย มากขึ้น จนเข้าสู่พื้นที่ภาคการเกษตรของประชาชน เราจึงมีมาตรการว่าหากเราจะดำเนินการ1-5 ได้ผล เราต้องมีการควบคุมประชากรของช้างป่าให้อยู่นิ่งก่อน เพื่อที่จะได้ดำเนินการในเรื่องของการเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มพื้นที่อาหาร การดำเนินการกั้นรั้ว แนวรั้ว ตั้งโครงการอาสา หรือผลักดันช้างโดยเจ้าหน้าที่ถึงจะดำเนินการได้” รมว.ทส.กล่าว

รมว. ทส. กล่าวต่อว่า ดังนั้นจึงมีการคิดค้นวัคซีนเพื่อคุมกำเนิดช้าง (ไม่ใช่การทำหมัน)  เพื่อให้รอบการเกิดของช้างน้อยลง จะได้จัดการปัญหาอย่างอื่นได้ และวัคซีนตัวนี้ได้รับการรับรองแล้วว่าไม่มีอันตราย โดยทดลองใช้กับช้างบ้าน มีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน “การดำเนินการก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะดำเนินการในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดเสียก่อน การดำเนินการตรงนี้จะสามารถใช้กับช้างเพศเมียที่เคยมีลูกแล้วเท่านั้น  วัคซีนจะไปมีฤทธิ์ในการควบคุมฮอร์โมน สามารถควบคุมได้ 7 ปี ซึ่งเชื่อว่าใน 7 ปี เราจะสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าเพิ่มพื้นที่อาหารเพื่อแก้ปัญหาช้างได้ดีขึ้น ดีกว่าปล่อยให้ปริมาณช้างขยายไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุม”รมว. ทส. กล่าว

รมว. ทส. กล่าวอีกว่า วันนี้นอกจากติดตามการดำเนิน 6 มาตรการแล้ว ยังมีการ เพิ่มอาสาสมัครและนำเทคโนโลยีโดยบินโดรนตามแนวป่ากับแนวพื้นที่ประชาชน เพื่อให้รู้การเคลื่อนไหวของช้างป่าว่าช้างมีการเคลื่อนออกมาจากป่าวันไหน ชุดปฏิบัติการและชุดอาสาจะเข้าไปผลักดันช้างได้ทันท่วงที 

ต่อกระทู้ถามว่า มีแนวทางในการที่จะปรับหลักเกณฑ์การชดเชยเยียวยาให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างไร 

ดร.เฉลิมชัย กล่าวตอบว่า ในส่วนของการเยียวยาจะมีทั้งหมด 3 ประเภท 1.การเยียวยาเรื่องการบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือ เสียชีวิต 2.การเยียวยาความเสียหายภาคการเกษตร 3.เป็นส่วนที่กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการสงเคราะห์ช่วยเหลือสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งอาสาสมัครที่เข้ามาดำเนินการในส่วนของการช่วยผลักดันช้างและเฝ้าระวังช้าง

“การเยียวยามีหลักเกณฑ์ในการดำเนินการเป็นภาพรวม เราไม่สามารถที่จะแยกได้ว่าช้างก่อให้เกิดความเสียหาย จะต้องเยียวยาเป็นจำนวนเท่านั้น เท่านี้ วัวกระทิง หรือ สัตว์ต่างๆ ก่อให้เกิดความเสียหายจะต้องมีความเสียหายชดเชยเท่ากับเท่านี้ เท่านั้น ทำไม่ได้ เพราะในระบบราชการถูกกำหนดไว้เป็นระเบียบว่าในกรณีที่เกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ จากสัตว์ป่า  ถูกกำหนดชัดเจนว่าจะได้รับการเยียวยาประเภทละ ซึ่งแต่ละประเภทไม่เท่ากัน เป็นไม้ยืนต้นเท่าไหร่ เป็นพืชล้มลุกเท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้ผมขอรับไปเพื่อจะปรึกษาว่าเราจะสามารถเพิ่มค่าชดเชยตรงนี้ให้กับพี่น้องประชาชนที่รับผลกระทบได้หรือไม่ ตนทราบดีว่าบางครั้งเงินชดเชยเยียวยาที่ได้ไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ราชการก็ไม่สามารถจะให้เกินไปกว่ากำหนดในระเบียบได้ ผมยอมรับว่าเป็นความหนักใจของคนทำงาน แต่จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหาทางแก้ไขว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง”ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ดร.เฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของการได้รับบาดเจ็บก็จะมีประกาศหลักเกณฑ์ และการช่วยเหลือความเยียวยาจากผลกระทบจากสัตว์ป่า พ.ศ. 2567 ที่จะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่าทุกชนิด ก็จะมีกำหนดไว้เป็นระเบียบว่าในกรณีเช่นนี้สามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง ในส่วนของกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีเงินอนุรักษ์ขอใช้จ่ายเงินอนุรักษ์สัตว์ป่า ประเภท ข. ที่จะดำเนินการให้ในส่วนของผู้บาดเจ็บ ทุพพลภาพ อัมพาต สูญเสียแขน สายตา ตาบอดสองข้าง รายละ 100,000 บาท

ในส่วนบาดเจ็บทั่วไปจ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ในการรักษาจำนวนไม่เกิน 300 บาทต่อวัน ไม่เกิน 180 วัน กรณีเสียชีวิตได้ 100,000 บาทเป็นต้น ซึ่งตรงนี้จะมีเงินกองทุนที่จะไปดำเนินการให้   ตนได้เชิญเจ้าหน้าที่ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาหาหรือว่าเราจะสามารถทำอย่างไรที่จะดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้มากกว่านี้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเคลื่อนที่เร็วต่างๆมีหน้าที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยหน้าในการผลักดันช้างเหล่านั้น ก็ได้รับผลกระทบอัตราการเสี่ยงสูงตรงนี้กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช  ก็จะดูแลในส่วนของการทำประกันให้กับบุคลากรเหล่านั้นเพื่อที่จะได้ทำงานด้วยความสบายใจว่าเมื่อมีการได้รับบาดเจ็บ จะมีการตอบแทนจากภาครัฐเพิ่มขึ้น

“ทั้งหมดเป็นมาตรการที่เราได้ดำเนินการอยู่ ระเบียบต่างๆ ก็มีใช้มานาน เพราะฉะนั้นราคาสิ่งที่ตอบแทนอาจจะไม่สอดคล้องตามความเป็นจริงมากนัก แต่ระเบียบต่างๆถูกออกมาใช้ เพื่อใช้กับทั้งประเทศ เมื่อถูกใช้สำหรับทั้งประเทศ การแก้ไขแต่ละเรื่องจึงมีผลกับงบประมาณรวมกับของทั้งประเทศเหมือนกัน ก็จะเป็นภาระกับงบประมาณพอสมควร แต่ว่าอย่างไรก็ตามเห็นว่าควรมีการชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบมากกว่านี้ ผมขอยืนยันว่าจะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป และจะใช้เงินกองทุนของกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจะเร่งดำเนินการทันที เพราะถ้าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าปัญหานี้จะเป็นปัญหาระดับชาติ และจะไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ในแนวแนวต่อของป่าอย่างเดียวจะลามมาถึงในเขตเมือง เขตภาคการเกษตรที่อยู่ในเมืองมากยิ่งขึ้น”ดร.เฉลิมชัย กล่าว

โฆษกตร. แจงยิบปมเลื่อน ‘พ.ต.อ.ศิรสัณห์’ ขึ้นเป็น ‘ผู้การกาฬสินธุ์’ ชี้ เรื่องคดียิงวัดพระแก้วยุติแล้ว

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงแต่งตั้ง 'พ.ต.อ.ศิรสัณห์' เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนพัวพันคดียิงวัดพระแก้ว เป็นผู้บังคับการจังหวัดกาฬสินธุ์ เผยมีคุณสมบัติครบถ้วน

เมื่อวันที่ (16 ม.ค. 68) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในตำแหน่งสูงขึ้นและหมุนเวียนระดับรอง ผบช.-ผบก. ว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์กฎหมายที่พิจารณาให้ข้าราชการตำรวจมีการโยกย้าย เมื่อมีมติ ก.ตร.เห็นชอบก็จะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

โฆษก ตร. กล่าวว่า ในส่วนที่มีข่าวปรากฏตามโซเชียลในกรณีคุณสมบัติของ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ที่ได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรกาฬสินธุ์ ต้องขอชี้แจงว่าที่ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ ถูกตั้งคณะกรรมการวินัยและถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ผลการสอบสวนวินัยเป็นที่ยุติได้รับกลับเข้ารับราชการเมื่อปี 53 มีความเจริญก้าวหน้ามาเรื่อยในตำแหน่ง ผกก. ได้รับหน้าที่การดูแลพื้นที่สถานีตำรวจขนาดใหญ่ มีความเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและเรื่องของปริมาณงานจำนวนมาก

พล.ต.ท.อาชยน กล่าวอีกว่า เมื่อมีวาระการแต่งตั้งห้วงที่ผ่านมา ทางต้นสังกัดได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ สามารถได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นและเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ อยู่ในกลุ่มที่ทางหน่วยเสนอมา เพราะฉะนั้นในเรื่องกระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการมีการคัดเลือกสอดคล้อง จึงได้รับการคัดเลือกในตำแหน่งที่สูงขึ้น ขณะนี้เป็นรักษาการผู้บังคับการจังหวัดกาฬสินธุ์ ทุกเรื่องของการแต่งตั้งเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ

กรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตามที่มีกระแสข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า มีการเสนอชื่อ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ชื่อเดิม ศุภชัย ผุยแก้วคำ ผู้ต้องหาในคดียิงวัดพระแก้วในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง สมัยกลุ่มคนเสื้อแดง นปช.ปิดล้อมกรุงเทพฯ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรกาฬสินธุ์นั้น ต้องตรวจสอบข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ และผ่านการประชุม ก.ตร.ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันศุกร์และเสนอโปรดเกล้าฯ ในวันนี้จริงหรือไม่

“ผมจึงขอร้องเรียน พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ตรวจสอบรายชื่อตำรวจที่เสนอโปรดเกล้าฯ ว่า มีรายใดมีประวัติพัวพันการยิงวัดพระแก้ว ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นห้องพระของในหลวง และเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติหรือไม่ และถ้ามีประวัติพัวพันดังกล่าวสมควรที่จะเสนอขึ้นโปรดเกล้าฯ หรือไม่” นายวัชระ กล่าว

สำหรับ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ หรือชื่อเดิม ศุภชัย ผุยแก้วคำ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 48 เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผกก.สภ.เมืองพัทยา สน.บวรมงคล และยังเป็นสามีของ นางจุรีพร สินธุไพร อดีตรองนายก อบจ.ร้อยเอ็ด ปี 2552 เป็นแกนนำคนเสื้อแดงพัทยา และมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

โดยเมื่อปี 2553 พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาร์พีจีใส่วัดพระแก้ว และถูกตั้งกรรมการวินัยร้ายแรง พร้อมถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แต่ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษในยุคที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดี มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาผลสอบวินัยเป็นที่ยุติ จึงได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง

ชาวไร่มันเฮ! ”พิชัย“ จับมือผู้นำเข้ายักษ์ใหญ่จีนสั่งซื้อมันสำปะหลังไทย กว่า 9.8 แสนตัน ร่วม 8,000 ล้านบาท ดูดซับหัวมันสด 3 ล้านตัน ดึงราคามันทั้งระบบ

วันที่ (16 ม.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาการซื้อขาย (Purchasing Order) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างผู้ประกอบการไทย และบริษัท COFCO BIOTECHNOLOGY CO.,LTD หน่วยงานนำเข้ายักษ์ใหญ่การค้าสินค้าเกษตรแดนมังกร ซึ่งจัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายเจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาแห่งสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยและภาคเอกชน เข้าร่วมงาน ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูดซับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศ ส่งสัญญาณบวกให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งระบบและดึงราคามันสำปะหลังของเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังให้สูงขึ้น

นายพิชัย กล่าวว่า ปีที่แล้วมันสำปะหลังราคาดีมากมีการซื้อตั้งแต่ต้นฤดูกาล ปีนี้ราคาไม่ค่อยดีกระทรวงพาณิชย์ได้พยายามแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ได้มีการติดต่อกับสถานทูตจีนมาโดยตลอด ซึ่งตนและผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย(นายหาน จื้อเฉียง) มาช่วยแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบ จนมาถึงวันนี้มีการเริ่มต้นซื้อมันสำปะหลัง เชื่อว่าจะทำให้ราคามันสำปะหลังของไทยพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งเป้าเบื้องต้นที่ 2.5 บาท/กก. และอยากให้ถึง 3 บาท/กก.ในอนาคต และจะร่วมมือกับสถานทูตจีนต่อไปในเรื่องการส่งออกโค ข้าว และทุเรียน เพื่อให้การค้าของไทยราบรื่น

ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ให้ความสำคัญกับเกษตรกรไทยอย่างยิ่ง ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งผลักดันขยายตลาดการส่งออกสินค้าเกษตร เพื่อกระตุ้นความต้องการสินค้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในต่างประเทศ อันจะส่งผลต่อการยกระดับราคาสินค้ามันสำปะหลังให้สูงขึ้น เพิ่มรายได้และช่วยให้ความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยดียิ่งขึ้น

โดยการลงนามสัญญาซื้อขายและ MOU ระหว่างบริษัท COFCO BIOTECHNOLOGY CO.,LTD และผู้ประกอบไทยในครั้งนี้ที่มีมูลค่า ถึง 3,489 ล้านบาท ปริมาณ 540,000 ตัน คิดเป็นปริมาณหัวมันสดถึง 1.28 ล้านตัน และก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางจัดกิจกรรมปลุกตลาดการค้ามันสำปะหลังในจีน ณ นครเซี่ยงไฮ้ และนครเฉิงตู เมื่อวันที่ 6-8 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอยากสูงมีการลงนาม MOU ซื้อขายสินค้ามันปะหลังไปแล้วมูลค่าร่วม 5,314.95 ล้านบาท ปริมาณถึง 440,000 ตัน คิดเป็นปริมาณหัวมันสดกว่า 1.68 ล้านตัน และเมื่อรวมกันทำให้สามารถสร้างความต้องการซื้อมันสำปะหลังไทยได้ถึง 980,000 ตัน มูลค่าร่วม 8,083 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถดูดซับหัวมันสดในประเทศได้กว่า 2.96 ล้านตัน หรือเกือบ 3 ล้านตัน

การลงนามซื้อขายมันสำปะหลังกับจีนครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านราคาและตลาดให้แก่เกษตรกรและผู้ส่งออกมันสำปะหลังของไทย ว่าผลผลิตของตนจะมีตลาดรองรับ ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกรและการจัดพิธีลงนามดังกล่าวยังถือเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ ไทย - จีน ในวาระครบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2568 นี้อีกด้วย

ทางด้าน นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายสำคัญในการสนับสนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรของไทย เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มมากขึ้น ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น กรมการค้าต่างประเทศจึงได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ซึ่งผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยกว่า 700,000 ครัวเรือน สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศในแต่ละปีมากกว่า 100,000 ล้านบาท โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังไปยังประเทศจีน มีปริมาณมากกว่า 3.8 ล้านตัน มูลค่ากว่า 53,000 ล้านบาท ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น แอลกอฮอล์ อาหารคน อาหารสัตว์ กาว กระดาษและอื่นๆ ซึ่งตลาดจีนที่เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่สุดของประเทศไทย จึงให้ความสำคัญในการขยายโอกาสการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสัมปะหลังของไทยไปยังจีนเพิ่มมากขึ้น       

รำลึกพระคุณครู เนื่องในวันครูแห่งชาติ 16 มกราคม

น้อมกราบครู
- ครูดวลและครูวรรโณ ดำดี พ่อแม่ผู้เป็นครูคนแรกของชีวิต และเป็นแบบอย่างความเป็นครูให้กับลูก ๆ และลูกศิษย์

- ครูหมาด ดำดี ปู่ผู้เป็นครูหนังตะลุง 
- ครูชั้นเด็กเล็ก รร.อิศรานุสรณ์ จ.กระบี่
- ครูชั้นประถม รร.โภคาพาณิชย์นุกูล มูลนิธิ จ.กระบี่
- ครูชั้นมัธยม รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

- ครูปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ครูเรือเยาวชน โครงการเรือเยาวชนอาเซียน (The Ship for South-East Asian Youth Program)
- ครูด้านการพูด ศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพ อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ และครูนักพูดนักบรรยายในวงการวิทยากรทุกท่าน ฯลฯ

- ครูปริญญาโท การจัดการภาครัฐและภาคเอกชนมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)
- ครูประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านการเมืองการปกครอง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
- ครูปริญญาเอก การพัฒนาและการปฏิรูปองค์การดุษฎีบัณฑิต (DODT : Doctor of Organization Development and Transformation) มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ซีบู (Cebu Doctors' University) ประเทศฟิลิปปินส์

- ครูปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
- ครูกวี อาทิ ครูเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, ครูภิญโญ ศรีจำลอง, ครูประสิทธิ์ โรหิตเสถียร, ครูประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (อุชเชนี), ครูประยอม ซองทอง, ครูสถาพร ศรีสัจจัง ฯลฯ

- ครูคีตา อาทิ ครูดนู ฮันตระกูล, ครูบรูซ แกสตัน ฯลฯ
- ครูเพลงพื้นบ้าน อาทิ ครูชินกร ไกรลาศ, ครูหวังเต๊ะ, ครูแม่ประยูร, ครูแม่ศรีนวล, ครูแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์, ครูบรรหาร ศิษย์หอมหวล, ครูทองเจือ โสภิตศิลป์ ฯลฯ
- ครูเพลงลูกทุ่ง อาทิ ครูเจนภพ จบกระบวนวรรณ, ครูประจวบ วงศ์วิชา, ครูมนต์ เมืองเหนือ, ครูลพ บุรีรัตน์, ครูประยงค์ ชื่นเย็น, ครูศักดา ฟ้าประทาน ฯลฯ

- ครูในทางธรรม อันมีพระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นองค์ปฐมบรมครู และพระอริยสงฆ์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกนามผู้สืบทอดหลักธรรมคำสอนในบวรพระพุทธศาสนาที่สอนให้เข้าใจในความจริงของชีวิต

- และทุก ๆ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ ที่มิอาจเอ่ยนามได้หมดในที่นี้ รวมทั้งสรรพวิทยาที่ได้อ่านได้ฟังได้เรียนรู้จากทุกๆ ท่านในโลกออนไลน์ที่เป็นครูให้ผมโดยท่านอาจไม่รู้ตัว ฯลฯ ตลอดจน ‘ครูพักลักจำ’ และ ‘สรรพตำรา’ ทุก ๆ เล่ม ด้วยความรำลึกและสำนึกอยู่เสมอว่าทุก ๆ ท่านคือครูของผมครับ...
กราบขอบพระคุณครับคุณครู

อภิชาติ ดำดี
๑๖ ม.ค. ๒๕๖๗

ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ 'ในหลวง – พระราชินี' ทรงเสียพระทัย ฝากความห่วงใยครอบครัว 2 ครู ตชด. พลีชีพจากเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ ผู้ว่าฯ พัทลุง เชิญตะกร้าสิ่งของพระราชทาน มอบแก่ครอบครัว ด้าน ผบช.ตชด. ยกย่อง พ.ต.ท.สุวิทย์ 'ครู ตชด.ผู้ยิ่งใหญ่'

(16 ม.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่ บ้านเลขที่ 84 หมู่ 7 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เชิญตะกร้าสิ่งของพระราชทาน มอบครอบครัวของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ รร.ตชด.บ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 ตำบลศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จว.นราธิวาส และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ บุตรชาย ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ในพื้นที่ อ.ศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส

ในการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้เชิญกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  ที่ทรงเสียพระทัยและห่วงใย แก่ครอบครัวของครู ตชด. ทั้ง 2 นาย มากล่าว เป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว สร้างความปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ในโอกาสนี้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เข้าร่วมพิธี

พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวงทรง รอง ผบ.ตร. ได้แสดงความอาลัยต่อการจากไปของครู ตชด. ทั้ง 2 นาย ได้พูดคุยให้กำลังใจและมอบเงินบำรุงขวัญให้แก่ครอบครัว และได้นำความห่วงใยและความเสียใจของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ต่อครอบครัวครู ตชด. ทั้ง 2 นาย

ด้าน พล.ต.ท.นิตินัย กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของตำรวจทั้ง 2 นาย ที่พลีชีพจากเหตุการณ์ครั้งนี้ สำหรับ พ.ต.ท.สุวิทย์ หรือ ตชด.จะเรียกกันว่า 'ครูสุวิทย์' ถือเป็นเพชรน้ำงามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะ พ.ต.ท.สุวิทย์ เป็นตำรวจที่อุทิศตนมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ครู ตชด. ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความเสียสละ ทำหน้าที่ทั้งตำรวจ และครู ตชด.ในพื้นที่ชายแดนเสี่ยงภัยด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท เพื่อดูแลให้การศึกษา สร้างชีวิตที่ดีแก่เด็กผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีความกล้าหาญ ไม่คิดย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยง ควรค่าแก่การเชิดชูสดุดี ซึ่งยืนยันได้ด้วยรางวัลเกียรติยศเชิดชูเกียรติ และผลงานมากมาย อาทิ รางวัลครูดีเด่น, รางวัลครูใหญ่ดีเด่น, รางวัลพระราชทาน 'สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี', รางวัล 'ผู้ปิดทองหลังพระ' ในงานคนค้นฅน อวอร์ด ครั้งที่ 9

“เนื่องในโอกาสวันครู 16 มกราคม 2568 ปีนี้ ขอยกย่องครูสุวิทย์ เป็น 'ครู ตชด.ผู้ยิ่งใหญ่' มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่โดยแท้ เป็นแบบอย่างของครู ตชด.ผู้เสียสละอย่างแท้จริง เป็นที่รักของนักเรียน ชาวบ้าน และเพื่อนร่วมงาน ขณะเดียวกันเนื่องในวันครูปีนี้ขอชื่นชม ยกย่อง ครู ตชด.ทั้ง 2,354 นาย ในโรงเรียน ตชด. 222 แห่ง ทั่วประเทศ ที่ทุกท่านเสียสละ อุทิศตนทำหน้าที่ครู และตำรวจในเวลาเดียวกัน ด้วยความเสียสละ ตั้งใจ อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารเพื่อให้ความรู้ ให้โอกาส สร้างชีวิตที่ดีให้แก่เด็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงขอยกย่องครู ตชด.ทั่วประเทศ เป็น 'ครูผู้พิทักษ์และสร้างโอกาส' ขณะเดียวกันขอส่งกำลังใจให้ครู ตชด.ทั่วประเทศ มีขวัญกำลังใจที่ดีในการปฏิบัติงาน โดยพร้อมสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน ให้ภารกิจของโรงเรียน ตชด.สำเร็จลุล่วง” ผบช.ตชด.กล่าว

จากนั้น พล.ต.อ.ไกรบุญ และ ผบช.ตชด. จะได้เดินทางไปยังศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) จว.ยะลา เพื่อติดตามความคืบหน้าคดี และให้กำลังใจตำรวจ ตชด. โดยเฉพาะครู ตชด.ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ฯ ต่อไป

ขอนแก่น - 'มข.' กระชับสัมพันธ์ เครือข่ายสื่อมวลชน 2568 ชื่นมื่น พร้อมเผยแพร่องค์ความรู้สู่ ปชช.

ขอบคุณสื่อมวลชน ที่ได้มีบทบาทในการสื่อสารผลงานวิชาการ และนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยสร้างขึ้น นับเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทางวิชาการ บนพื้นที่สื่อส่วนกลาง ให้รับรู้ในวงกว้าง ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน ตลอดจนการเผยแพร่วัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆ  จากการได้รับการสนับสนุน จากเครือข่ายสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เติบโตก้าวหน้าในทุกด้าน ด้านภาพลักษณ์ ได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากสังคม

ค่ำวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่ ห้องจัดเลี้ยง ชั้น 3 โรงแรมบายาสิตา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดโครงการ 'มข.ส่งมอบความสุขเครือข่ายสื่อมวลชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568' โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน  พร้อมด้วย รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รักษาราชการแทนรองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์,อาจารย์ณัฐสมล ธนกุลรังสฤษดิ์ รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายกฎหมายและสื่อสารองค์กร,นายชุมพร พารา ผู้อำนวยการกองสื่อสารองค์กร ตลอดจนเจ้าหน้าที่และบุคลากร ,นายชาญสิทธิ์ ฝางชัยภูมิ นายกสมาคมช่างภาพ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ จังหวัดขอนแก่น ,นายเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น ,นายเจริญ เพ็งมูล นายกสมาคมสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น ,นายหมวดตรีชูไทย วงศ์บุญมี ประธานชมรม-นักข่าวนักหนังสือพิมพ์ และนักจัดรายการจังหวัดขอนแก่น ร่วมกิจกรรม ในการนี้ มีสื่อมวลชนด้านโทรทัศน์ สื่อมวลชนด้านวิทยุกระจายเสียง สื่อมวลชนด้านหนังสือพิมพ์ และ สื่อออนไลน์ ที่ลงทะเบียนเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก 

พิธีการเริ่มจาก รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล รักษาราชการอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวเปิดงาน ว่า ปีนี้เป็นวาระพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 61 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็น 61 ปี ที่เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์งานในทุกพันธกิจ เพื่อพัฒนาสังคม และประเทศชาติในทุกมิติ การจัดงาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่งมอบความสุข เครือข่ายสื่อมวลชน ในวันนี้ จึงนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญ ที่เราจะได้ยกระดับความสัมพันธ์มากขึ้น และร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อสังคมและประเทศชาติ

“ขอบคุณสื่อมวลชน ที่ได้มีบทบาทในการสื่อสารผลงานวิชาการ และนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยสร้างขึ้น นับเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทางวิชาการ บนพื้นที่สื่อส่วนกลาง ให้รับรู้ในวงกว้าง ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน ตลอดจนการเผยแพร่วัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆ  จากการได้รับการสนับสนุน จากเครือข่ายสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เติบโตก้าวหน้าในทุกด้าน ด้านภาพลักษณ์ ได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากสังคม ด้านความร่วมมือ ก็ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อันเป็นที่ปรากฏผล แห่งความสำเร็จตลอดมา”

ภายหลังอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวขอบคุณสื่อมวลชนเป็นการมอบรางวัลแก่ผู้โชคดี ต่อจากนั้น ตัวแทนสื่อมวลชนได้กล่าวแสดงความรู้สึกระหว่างสื่อมวลชน ที่มีต่อมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังเสร็จช่วงพิธีการ เป็นการแสดงวงดนตรี สลับด้วยการจับรางวัลให้กับสื่อมวลชนที่ร่วมงาน ที่โชคดี ตลอดจนจัดกิจกรรม ประกวดการแต่งกายชาย/หญิง ภายใต้ธีมสายมู ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความตื้นเต้น ดีใจ สนุกสนาน ชื่นมื่นตลอดงาน

'เผ่าภูมิ' เผย 'เงิน 10,000' เฟสสอง โอน 27 ม.ค. เช็คสิทธิ 22 ม.ค. ผ่านทางรัฐ แนะรีบผูกพร้อมเพย์ รัฐโอนซ้ำให้ 3 ครั้ง

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน แก่ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ดังนี้

1. เป็นผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' สำเร็จ (ลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สำเร็จ) ที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 (เกิดก่อนหรือในวันที่ 16 กันยายน 2507) และมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 
1.2 ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
1.3 ไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
1.4 ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่าง ผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
1.5 ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

2. ตรวจสอบสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' ได้ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 68 เป็นต้นไป โดยกรอกบัญชีผู้ใช้หรือเลขประจำตัวประชาชน (Username) และรหัสผ่าน (Password) เพื่อ 'เข้าสู่ระบบ' และกด 'ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน' โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อเข้าสู่หน้าแสดงผลผู้มีสิทธิโครงการฯ

3. ผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินในโครงการฯ จะได้รับเงิน 10,000 บาท ผ่านบัญชีเงินฝากที่ผูกพร้อมเพย์
กับเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น (ไม่สามารถรับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับเบอร์โทรศัพท์ได้) ซึ่งสามารถผูกกับบัญชีเงินฝากของธนาคารใดก็ได้โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นธนาคารของรัฐ ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 22 ม.ค. 68 เพื่อรอรับการจ่ายเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68

4. ควรตรวจสอบกับธนาคารด้วยว่าบัญชีพร้อมเพย์ดังกล่าวยังคงมีสถานะปกติที่สามารถรับเงินโอนได้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68

5. ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 28 มีนาคม และ 28 เมษายน 68

สตูล นาวาเอก ธนพล  กล่อมนาค รองผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง 1 ลงตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ของกำลังพล

นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยาน และรักษาฝั่งที่ ๔๕๒ให้การต้อนรับ นาวาเอก พงษ์ศักดิ์ รามนุช ผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง นาวาเอก ธนพล กล่อมนาค รองผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (๑) และ นาวาโท อนุวัฒน์ อายุยืน ผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำพื้นที่ ๑ เนื่องในโอกาสเดินทางมาตรวจเยี่ยม กำลังพลสนับสนุนหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ ๔๕๒ พื้นที่เกาะปูยู และเกาะยาว จังหวัดสตูล เพื่อตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ของกำลังพล รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้อง ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกล สร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลในหน่วยเฉพาะกิจที่ปฏิบัติงานตรวจตราในพื้นที่ชายแดน

สถานีเรดาร์ตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยูและ เกาะยาวมึภารกิจตรวจการณ์ทางทะเลโดยเรดาร์เพื่อตรวจและติดตามเรือในทะเลที่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยในภัยต่างๆในพื้นที่ทางทะเลและตะเข็บชายแดนเพื่อแจ้งชี้เป้าและสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยเรือในการพิสูจน์ทราบต่อไป ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาในการซีลชายแดนป้องกันการค้ามนุษย์และป้องกันอาชญากรรมตามแนวชายแดน

“พล.ต.อ.ธัชชัยฯ” เสริมมาตรการคัดกรองเข้มงวดป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ สั่งบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือในระดับสากล

วันนี้ (14 ม.ค. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร.) เป็นประธานการประชุมกำหนดมาตรการป้องกันการถูกหลอกลวงให้ไปทำงานยังประเทศที่สามโดยอาศัยประเทศไทยเป็นทางผ่าน ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท พล.ต.ต.มณฑล บัวจีบ รอง ผบช.ส., พล.ต.ต. ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.กัญชล อินทราราม รอง ผบช.ตชด., พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม., พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., และ พล.ต.ต.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผบก.อก.บช.น. ร่วมประชุม พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่เคยมีการบังคับขู่เข็ญ หรือหลอกลวงให้ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน

โดยประเทศไทยไม่ได้เป็นแหล่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงชาวต่างชาติมาทำงานผิดกฎหมายไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แก๊งหลอกลวงมักจะใช้ประเทศไทยเป็นเพียงจุดผ่านเพื่อพาผู้เสียหายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกระบวนการหลอกลวงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้สั่งการให้ตำรวจทุกภาคส่วนดำเนินการคัดกรอง ป้องกัน ช่วยเหลือ และดำเนินคดีแก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงดังกล่าว พร้อมทั้งให้จัดช่องทางประชาสัมพันธ์แก่ชาวต่างชาติที่มายังประเทศไทย และกำชับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองผู้ที่เข้าประเทศ โดยการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภาครัฐและเอกชน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยังได้สั่งการให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ โดยการ ตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อป้องกันการหลอกลวงข้ามประเทศและเสริมสร้างความร่วมมือในระดับสากล รวมถึงการตรวจสอบและดำเนินการกับรถรับจ้างที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ จะมีการตั้งจุดสกัดตามแนวชายแดน เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบการค้ามนุษย์ ในส่วนของการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการถูกหลอกลวง หากพบเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องจะต้องแจ้งเตือนและรายงานข้อมูลให้ ศพดส.ตร. ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อติดตามและดำเนินการต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จ.สกลนคร แถลงเปิดรับบริจาคสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์

โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ขอเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวการเปิดรับบริจาคสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ แก่โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จ.สกลนคร พร้อมร่วมงานพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2568 เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่ โดยร่วมงานพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป ณ.วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร จำนวน 3 องค์ ในวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2568 ณ วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เวลา 9.00 – 15.00 น.

สำหรับ กำหนดการ ประกอบไปด้วย...
- 09:00 – 09:30 น. >> สื่อมวลชนลงทะเบียน รับแผ่นทองเพื่อเขียน ชื่อ-นามสกุล เพื่อร่วมหล่อพระพุทธรูป
- 09:30 – 09:40 น. >> พิธีกรกล่าวต้อนรับ
- 09.40 – 09.50 น. >> ชม VDO โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่ อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
- 09.50 – 10:30 น. >> วงสนทนา การเปิดรับบริจาคสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น โดย...
1. พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรเวธี (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
2. พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม
ประธานดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
3. นพ.พันธวี คำสาว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
- 10.30 – 10.45 น. >> ร่วมชมตัวอย่างสารคดีหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ชุด 'ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว' พร้อมแนวคิดการสร้างสารคดี โดยคุณพสุ ตีรวัชร 
-10:45 – 11:00 น. >> ถ่ายภาพหมู่
- 11:00 – 11:15 น. >> สื่อมวลชนสัมภาษณ์เพิ่มเติม
- 11:15 – 11:45 น. >> นำคณะสื่อมวลชน ชมพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
- 12:00 – 13:00 น. >> รับประทานอาหารกลางวัน (Lunch Set) พร้อมรับเหรียญหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร
- 13:09 – 15:00 น. >> ขอเชิญเข้าร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป จำนวน 3 องค์ ณ อุโบสถ เพื่อนำไปประดิษฐานที่โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จ.สกลนคร โดยประธานในพิธี พระเดชพระคุณพรหมวชิรเวธี (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
- 15:00 น. >> จบกิจกรรม

สำหรับสื่อมวลชนและผู้สนใจสามารถติดต่อเข้าร่วมงานได้ โทร.098-695-0325 กลุ่มการพยาบาลโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หรือ LINE: @pmhdonation เพื่อจัดเหรียญหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มอบเป็นที่ระลึกให้ต่อไป

ส่วนผู้ประสงค์บริจาคผ่านการโอนเงินได้ที่บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสพกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ชื่อบัญชี 'กองทุนเครื่องมือแพทย์ รพ.พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต' เลขที่บัญชี 020229922839 (สามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top