Wednesday, 8 May 2024
NEWS

ปทุมธานี 'บิ๊กแจ๊ส' ลาออกจากนายก อบจ. เพื่อประโยชน์ของประชาชน

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีชี้แจงกรณียื่นหนังสือลาออกต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ยืนยันทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนเต็มที่แล้ว

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า เหตุผลอันดับแรกคือผมเองได้หารือเกี่ยวกับปัญหาน้ำหลาก เพื่อที่จะป้องกันได้อย่างไร จังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่นครสวรรค์ลงมา สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี เราจะคุยกันตลอดในช่วง 2 ถึง 3 ปีที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมากจนก็เกือบจะแย่ แล้วช่วงฤดูน้ำหลากที่จะถึงนี้ปริมาณน้ำคาดว่าจะมากกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งทางปทุมเราสู้มาตลอดเวลาสามปีเพื่อให้จังหวัดปทุมธานีไม่จมน้ำ เราได้มีการประสานพูดคุยกันตลอดเพื่อเตรียมการตั้งรับ เมื่อได้พูดคุยกันทุกจังหวัดหากเข้าการเลือกตั้งตามปกติ ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธันวาคม เมื่อหมดวาระแล้ว ก่อนหมดวาระ 6 เดือนเราจะช่วยเหลือประชาชนไม่ได้เลย อะไรก็ต้องอยู่ในกฎกติกาหมด เบิกจ่ายไม่ได้ ยิ่ง 3 เดือนสุดท้ายยิ่งแย่ใหญ่เลย เราจึงตัดสินใจด้วยกันในฐานะประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง ทุกคนจึงมีความเห็นว่าหากเราช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ เราจะอยู่ทำไม่ เมื่ออยู่แล้วทำอะไรไม่ได้ ซึ่งเราคาดว่าปีนี้น้ำจะเยอะ นี่คือเหตุผลหลัก เป็นเหตุผลที่ต้องออกก่อน ผมเองจะออกพร้อมกัน 3 จังหวัด โดยทาง นครสวรรค์ และอ่างทอง เราได้คุยกันโดยผมได้ยื่นใบลาออกมีผลตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ส่วนจังหวัดอื่นๆเดี๋ยวคงตามมาอีก เพราะเมื่อเข้าสู้ 180 วันจะเริ่มระวังตัวกัน และข้อกฎหมายยุบยิบ

ประเด็นที่สอง สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือเรื่องวัคซีน ที่ฉีดให้พี่น้องประชาชนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ผมได้บทเรียนจากสถานการณ์โควิด-19 เราได้นำซิโนฟาร์มมาฉีดให้พี่น้องประชาชน นำนวัตกรรมใหม่ๆมา เป็นจังหวัดเดียวเลยที่สู้มาตลอด แล้วนำร่องมีการตั้งโรงพยาบาลสนาม เมื่อมีการระบาดไข้หวัดใหญ่ในพื้นที่ปทุมธานีเป็นอันดับหนึ่งในพื้นที่สุขภาพเขตที่ 4 ผมต้องขอบคุณท่านสาธารณสุขจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด จนมีการจัดซื้อวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดให้พี่น้องประชาชน ขณะนี้มีการระดมฉีด ซึ่งทางสาธารณสุขคาดว่าจะระบาดอย่างรุนแรงที่สุดในช่วงต้นฤดูฝน จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมต้องลาออกก่อน 

ส่วนอีกประเด็นเราจะมีงานพระราชพิธี งานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ในการจัดแข่งเรือยาวประเพณีที่เป็นประเพณีของจังหวัดปทุมธานี เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากล้นเกล้ารัชกาลที่ 10 พระราชทานถ้วยรางวัลถึง 3 ถ้วย สมเด็จพระราชินีอีก 1 ถ้วย เราจัดมาแล้ว 2 ปี กำหนดไว้วันที่ 5 ธันวาฯ หากผมไม่ออกก่อนในวันที่ 19 ธันวาฯจะครบ มันใกล้เลือกตั้งทันที ผมจะทำอะไรไม่ได้จัดอะไรก็ไม่ได้ งานที่เป็นหน้าตาของปทุมธานีจะเสียหาย ภายในงานไม่ได้มีเพียงแข่งเรือยาวอย่างเดียวแต่จะมีการแสดงสินค้าโอทอป เศรฐกิจจะต้องหลั่งไหลเข้ามา 

และประเด็นสุดท้ายเพราะว่าการเลือกตั้ง สว.ที่จะถึงนี้ เนื่องจากผมเป็นประธานสมาพันธ์นายก อบจ.ภาคกลาง 25 จังหวัด การเลือกตั้ง สว.ครั้งนี้มีกติกายุบยิบ กติกาที่ไม่เคยมีมาก่อน ประชาชนไม่ได้เลือก สว.ไม่ได้มาจากประชาชน สว.จะมาจากการเลือกกันเองของคนบางกลุ่ม มีหลายๆคนที่ประสานมาหาผมเนื่องจากผมมีสายสัมพันธ์กับประธานสมาพันธ์ฯ อีก 3 ภาค เพื่อที่จะให้ผมช่วยเหลือในการล็อบบี้ได้ กฎหมายมันแรงมาก ถึงขนาดตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต และมีจำคุก 1 ถึง 10 ปี หากใครที่มีส่วนกับการฮั้ว ผมจึงคิดว่าเราเลือกตั้งนี้ ผมไม่ยุ่ง ผมวางตัวเป็นกลางทางการเมืองจริง ๆ และเมื่อลาออกครั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้มีผล จะเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ผมก็จะลงอีก หรือหากเป็นคนอื่น เขาก็จะบริหารและใช้เวลาเต็มที่และเริ่มต้นใหม่ในการที่จะดูแลพี่น้องประชาชนต่อไปไม่ต้องมากังวลกับอะไร เหล่านี้คือเหตุผลที่ผมลาออก ที่ทำเพื่อประชาชน

ผมรู้สึกสบายๆอยู่แล้ว เพราะตอนที่ผมเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารจังหวัดปทุมธานี ผมก็ไม่เคยคิดที่มาเป็นนายก อบจ. เพราะมีน้อง ๆ ผอ.จากหลายโรงเรียน และผู้นำท้องถิ่นรวมถึงประชาชนเป็นจำนวนมาก มาพูดคุย เพื่อต้องการให้ช่วยกันพัฒนาการศึกษา และพัฒนาเมืองปทุมธานีให้รุ่งเรืองเทียบเที่ยงกับจังหวัดอื่นๆชั้นนำของประเทศ เมื่อเข้ามาแล้วก็มีโครงการที่ต่อเนื่อง ผมจึงไม่เคียดในการที่ลาออก และเลือกตั้งใหม่ใน 60 วัน แต่เราต้องคิดถึงประชาชนเป็นหลักเท่านั้นเอง ผมมองเพียงว่าประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับคืออะไร มันมีมากกว่ามหาศาล กับเวลาอีก 7 ถึง 8 เดือน เราลาออกไม่ได้ยึดติด ผมไม่ได้กังวลอะไร โดยเหตุผลที่สำคัญคือฤดูน้ำหลาก เรื่องโรคระบาด และการแข่งขันเรือประเพณีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปทุมธานี

'กรมธุรกิจพลังงาน' กำชับปั๊มฯ หมั่นเช็กจุดเสี่ยง ไม่ให้น้ำปนเปื้อนในน้ำมัน ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและทรัพย์สินของ ปชช.

(2 พ.ค. 67) นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า จากกรณีการเติมน้ำมันแล้วกลายเป็นน้ำ ในพื้นที่ อ.หนองปรือ จ.กาญจนบุรี กรมธุรกิจพลังงานได้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงและเก็บตัวอย่างน้ำมันมาตรวจสอบคุณภาพ และแจ้งความดำเนินคดีกับปั๊มน้ำมันดังกล่าวในความผิดฐานการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีลักษณะหรือคุณภาพแตกต่างจากที่อธิบดีประกาศกำหนด ตามข้อกฎหมายด้านคุณภาพและความปลอดภัย หากพบน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้คุณภาพ มีโทษตามมาตรา 48 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากพบน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้คุณภาพ มีปริมาณเกิน 200 ลิตร จะเข้าข่ายเป็นการปลอมปนน้ำมัน มีโทษตามมาตรา 49 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ ทางกรมฯ ได้กำชับผู้ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมัน ตรวจสอบจุดเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีน้ำปนในน้ำมัน โดยการปนเปื้อนของน้ำในน้ำมันดังกล่าวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การปนเปื้อนของน้ำระหว่างขั้นตอนการขนส่งหรือจัดเก็บ และการรั่วไหลของน้ำเข้าไปในถังน้ำมัน 

อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันจะต้องมีการบริหารจัดการน้ำมันในถังเก็บน้ำมันให้เหมาะสม ตรวจวัดน้ำก่อนการรับน้ำมันจากรถขนส่ง และตรวจวัดปริมาณน้ำในถังเก็บน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและทรัพย์สินของประชาชน

‘อัยยวัฒน์’ จัดให้!! ติดต่อนัดทีมรักบี้เลสเตอร์ ดึงช่วยพัฒนาวงการรักบี้ไทยไปสู่ระดับโลก

วงการกีฬารักบี้ไทยกำลังจะมีข่าวดี เมื่อ ‘อุปนายกเจ๋ง’ พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร อุปนายกสมาคมกีฬารักบี้ ริเริ่มแนวคิดหาพันธมิตรสโมสรรักบี้ต่างประเทศ เพื่อช่วยพัฒนาวงการรักบี้ไทย โดยได้ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ ที่มีใจรักกีฬาเป็นทุนเดิม ให้การสนับสนุนสมาคมรักบี้จัดการนัดทีม ‘เลสเตอร์ไทเกอร์’ ยอดทีมรักบี้ของเมืองเลสเตอร์ ซิตี้ ให้เป็นการด่วน

เมื่อ ‘บิ๊กต้น’ พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ นายกสมาคมกีฬารักบี้ทราบข่าวก็ดีใจมาก พร้อมกับบอกว่า “เป็นเรื่องที่ดีของวงการรักบี้ไทย ต้องขอขอบคุณ พล.อ.อ.มนัท ที่ได้ดำเนินงานประสานในเรื่องดังกล่าวและผมขอมอบหมายงานนี้เพื่อสานต่อความตั้งใจที่จะพัฒนาวงการรักบี้ของ พล.อ.อ.มนัท และถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีต่อวงการรักบี้ไทย ที่จะได้มีสโมสรระดับอาชีพของประเทศอังกฤษ มาร่วมพัฒนานักกีฬาไทย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการต่อยอดให้นักรักบี้ไทยไปสู่ระดับโลก ต้องขอขอบคุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ที่เข้ามาช่วยติดต่อทีมรักบี้ของเมืองเลสเตอร์ในครั้งนี้”

ส่วน พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือสมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในการเป็นคนกลางประสานติดต่อยอดทีมรักบี้ของเมืองเลสเตอร์ อย่าง ‘เลสเตอร์ไทเกอร์’ ซึ่ง ตนจะเดินทางไปอังกฤษเพื่อพูดคุยทำข้อตกลงในเรื่องการช่วยพัฒนาวงการรักบี้ไทยในวันที่ 3 พ.ค.นี้

พล.อ.อ.มนัท ยังเผยต่อว่า การพูดคุยในครั้งนี้หากทีมเลสเตอร์ไทเกอร์ตกลงที่จะช่วยพัฒนาก็ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ของวงการรักบี้ไทยเลยทีเดียว ซึ่งแผนงานที่วางไว้คือการตั้งอะคาเดมี่รักบี้เลสเตอร์ไทเกอร์ที่สนามกีฬากองทัพอากาศ เพื่อจะได้เป็นเซนเตอร์ในการฝึกรักบี้ของเยาวชนไทย ส่วนระดับสโมสรในไทยนั้นก็จะทำการคัดเอานักกีฬาที่มีความสามารถส่งไปฝึกซ้อมเพื่อหาประสบการณ์เพิ่มเติมที่ประเทศอังกฤษ โดยจะเน้นไปที่การฝึกทักษะและร่างกาย รวมทั้งส่งไปเข้าแคมป์ทำกิจกรรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องกีฬารักบี้

"ในด้านการพัฒนาเยาวชนนอกจากจะมีอะคาเดมี่แล้ว ผมก็ยังมองไปยังโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ซึ่งเป็นโรงเรียนในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการคัดเด็กๆที่มีความสามารถเข้ามาอยู่ในอะคาเดมี่ ที่เราจะติดต่อเอาโค้ชจากต่างประเทศมาฝึกสอน หรือ อาจจะส่งเด็กๆไปฝึกซ้อมที่อังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการที่สมาคมรักบี้ไทยกำลังจะก้าวไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เด็กๆได้รับโอกาสไปเปิดประสบการณ์ และนักกีฬาที่มีความสามารถได้รับโอกาสไปฝึกซ้อมยังต่างประเทศ" พล.อ.อ.มนัท กล่าว

สำหรับทีมรักบี้เลสเตอร์ไทเกอร์ หรือฉายา ‘เดอะไทเกอร์’ เป็นทีมรักบี้เก่าแก่ของประเทศอังกฤษมีอายุมากถึง 143 ปี ปัจจุบันอยู่ในลีกพรีเมียร์ชิพรักบี้ของอังกฤษ มี แดน แมคเคลลาร์ เป็นผู้ฝึกสอน มีสนามเหย้าชื่อว่า เวลฟอร์ดโร้ด สเตเดี้ยม ที่มีความจุ 25,849 ที่นั่ง โดยฤดูกาลที่ผ่านมาจบอันดับ 3 ของตาราง ส่วนในฤดูกาลปัจจุบันตอนนี้รั้งอันดับ 8 ของตาราง ผลงานที่ผ่านมาเคยคว้าแชมป์ลีก 11 สมัย รองแชมป์ลีก 7 สมัย เป็นแชมป์ยุโรป 2 สมัย และ รองแชมป์ยุโรป 3 สมัย

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ส่งกระเช้าเยี่ยมตำรวจจราจรที่ได้รับบาดเจ็บ จากการเข้าระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งตรงข้ามสถานีรถไฟหัวลำโพง

วันนี้ (2 พฤษภาคม 2567) เวลา13.30น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หน.คณะทำงานด้านเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าเยี่ยมพร้อมมอบกระเช้าเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ ประวะโข รอง สว.(จร.) งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2 บก.จร. ณ โรงพยาบาลตำรวจ หลังเข้าระงับเหตุชายคลั่งอาละวาดทุบรถประชาชน บริเวณหน้าปั๊มแก๊สตรงข้ามสถานีรถไฟหัวลำโพง ริมคลองผดุงกรุงเกษม กรุงเทพมหานคร จนถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บด้วยอาวุธมีด เมื่อวานนี้

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ตนรู้สึกชื่นชมและเป็นห่วง ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่ ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ไปปฏิบัติหน้าที่แต่ระหว่างทางนั้นมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนร้องของความช่วยเหลือ ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ จึงได้หยุดรถลงมาระงับเหตุ จนได้รับบาดเจ็บตามที่ปรากฏออกข่าวไปแล้วนั้น  โดยวันนี้ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ได้ทราบเรื่องดังกล่าว จึงฝากชื่นชมกับการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยนึกถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีมากสำหรับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พร้อมมอบหมายให้ตนมาเยี่ยมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ

ด้าน ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่ผู้บังคับบัญชาส่งกระเช้าและกำลังใจมาให้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ในระหว่างเข้าระงับเหตุ ตนได้มีสติทุกขณะ เพราะเกรงว่าชายคลุ้มคลั่งคนดังกล่าวจะเข้าทำร้ายประชาชนบริเวณใกล้เคียง ซึ่งก่อนที่ตนจะโดนทำร้าย ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ จนกระทั่งพลเมืองดีที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ได้เข้ามาร่วมช่วยควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้

เบื้องต้นอาการบาดเจ็บของ ร.ต.ท.พงศ์รัตน์ฯ ดีขึ้นตามลำดับ พบมีบาดแผลบริเวณศีรษะ 2 จุด แผลเย็บ 5 เข็ม และ 6 เข็ม ซึ่งทางแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจยืนยันว่าอาการโดยทั่วไปไม่มีอะไรน่ากังวล ไม่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายในเย็นวันนี้

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จัดกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 10 ครบรอบ 72 พรรษา

วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์  และนางธิวัลรัตน์ อังกินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 1 จังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วย หน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน จังหวัดเพชรบุรี ทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ รายการสถานีประชาชน สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

ร่วมกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ และอุปกรณ์ เพื่อช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 13 ราย ณ บริเวณชั้น 1 อาคารสำนักงานจัดหางาน ตำบลบ้านหม้อ อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี และอีก 2 รายที่บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ ที่อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ  72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ จำนวน 10 คัน และวอล์คเกอร์ช่วยเดิน จำนวน 5 ตัว ได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบให้กับ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ตามที่ได้รับการประสานจาก หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพชรบุรี ผู้รับมอบจำนวน 13 ราย ประกอบไปด้วย มอบรถเข็นวีลแชร์ 8 คัน ได้แก่ นางทองหยิบ คำนำ นางนะ นาคสุก นางสาวสระอาง ใหม่แท้ นางเยี่ยม อยู่จันทร์ นางละออง ยิ้มแย้มศรี นางยุพดี คงแคล้ว นายถวิล หลวงไก และนางเลียม สังข์ศิริ และวอล์คเกอร์ช่วยเดิน จำนวน 5 ตัว ได้แก่ นางมาลี เทียนบรรทัด นายถาวร เลิศนิรันดร์  นางสาวประทุม หมื่นสวัสดิ์ นายอัมพร สว่างอารมณ์ และนายอัทชัย อาริยะ นอกจากนี้ยังได้ไปมอบรถเข็นวีลแชร์ที่บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ ณ อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี

เป็นจำนวน 2 คัน ได้แก่ นายวินัย แครใหญ่ และนายบุญส่ง กล่ำกล่อมจิตร ทั้ง 15 ราย เป็นกลุ่มเปราะบาง มีฐานะยากจน และประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน มอบกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป

สาวเซ็ง!! ถูกเขียนรถ ‘ปิดทางออก’ หลังไปเที่ยวงานขึ้นถ้ำรับร่อ ถาม? “มีสิทธิ์อะไรทำแบบนี้” ทั้งที่จอดในจุดจอด-มีคนโบกรถให้

(2 พ.ค. 67) ผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ ‘Pitrapon Phonphet’ ได้โพสต์ภาพและวิดีโอพร้อมข้อความระบุว่า…

"ไปเที่ยวงานประจำปี ขึ้นถ้ำรับร่อ เจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณมีสิทธิอะไรหรือใช้สิทธิอะไรในการกระทำเช่นนี้ เหตุเกิดเวลา 19:55 น. วันที่ 01/05/67 แล้วแบบนี้ใครจะรับผิดชอบคะ เสียความรู้สึกสุด ๆ มาเห็นรอยเขียนที่บ้านตอนลงจากรถแล้ว ให้โอกาสทักมาคุยก่อนนะคะ ก่อนที่เรื่องจะยาวไปมากกว่านี้

#ของของคุณคุณก็รักก็หวง เราก็เช่นกัน #จอดในที่ ที่เค้าให้จอด มีคนโบกรถเรียบร้อย รถข้าง ๆ ก็มีคนอยู่ที่รถ"

‘รมว.ปุ้ย’ ยัน!! ไม่เคยกดดัน ‘จุลพงษ์’ จนเป็นเหตุให้ลาออก 'อธิบดีกรมโรงงานฯ' แต่กดดันให้ทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ที่เกิดปัญหาซ้ำ ไม่เว้นแต่ละวัน

เมื่อวานนี้ (1 พ.ค.67) จากกรณีข่าวการลาออกของ นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ซึ่งได้แจ้งในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นประธาน ซึ่งมีวาระพิจารณาใน 2 เรื่องสำคัญ คือ กรณีเพลิงไหม้สารเคมีของกลาง ของ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด จ.ระยอง และกรณีการลักลอบขนย้ายกากแร่ตะกอนแคดเมียมจาก จ.ตาก ไปยัง จ.สมุทรสาคร จนถูกกระจายไปยัง จ.ชลบุรี และเขตบางซื่อ กรุงเทพฯ โดยก่อนจบการประชุม ปรากฏว่า นายจุลพงษ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ต่อไปคงจะไม่ได้มาแล้ว เนื่องจากได้ยื่นหนังสือลาออกต่อนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว โดยการลาออกครั้งนี้ เป็นการยื่นหนังสือลาออกก่อนเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ 

กรณีสื่อมวลชน ระบุว่า การลาออกดังกล่าว ส่วนหนึ่งเนื่องจากนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่พอใจต่อการทำงาน กดดัน และต้องการย้าย นายจุลพงษ์ โดยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้านั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ตนไม่เคยกดดันให้นายจุลพงษ์ ลาออก แต่กดดันให้ทุกคนทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชน เพราะปัญหามีมาทุกวัน วน ๆ ซ้ำ ๆ แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้สักที

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ที่ผ่านมาเวลาเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ตนก็จะให้กำลังใจคนทำงาน และจะถามความคืบหน้าไปยังไลน์กลุ่มผู้บริหารโดยตลอด อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ตนก็ยังไม่ได้รับรายงานการลาออกของนายจุลพงษ์ จากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมแต่อย่างใด

'อธิบดีสวธ.' แจ้งกำหนดการพิธีศพ 'คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ' ศิลปินแห่งชาติผู้เทิดทูนสถาบัน ถึงแก่กรรมอย่างสงบ สิริอายุ 93 ปี

เมื่อวานนี้ (1 พ.ค. 67) นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานว่า คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช 2555 ถึงแก่กรรมอย่างสงบ เมื่อวันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2567 สิริอายุ 93 ปี มีกำหนดพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 16.00 น. และสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 7 วัน ในระหว่างวันที่ 2-8 พฤษภาคม 2567 เวลา 18.00 น. ณ ศาลา 9 วัดโสมนัสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร

อธิบดี สวธ. กล่าวว่า นอกจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติ จะขอพระราชทานเพลิงศพแล้ว ยังให้การช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมวัฒนธรรม โดยนางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม มอบหมายให้กองกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ดำเนินการจัดสวัสดิการช่วยเหลือ ได้แก่ มอบเงินช่วยเหลือเมื่อเสียชีวิต เพื่อร่วมการบำเพ็ญกุศลศพจำนวน 20,000บาท ค่าเครื่องเคารพศพ จำนวน 3,000บาท และเงินช่วยเหลือค่าจัดพิมพ์หนังสือเผยแพร่ผลงาน เมื่อเสียชีวิตเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 150,000 บาท ตามระเบียบสวัสดิการของศิลปินแห่งชาติ

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จะดำเนินการกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ สำหรับ วัน เวลา สถานที่ จะแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอีกครั้งในโอกาสต่อไป

สำหรับประวัติชีวิตและผลงาน คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ เกิดวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2474 ที่กรุงเทพมหานคร เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาจนจบชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ จากนั้นเข้าศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสำเร็จปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต และได้ศึกษาต่อที่คณะครุศาสตร์อีก 1 ปี ได้รับอนุปริญญาครุศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาได้ทุนไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ได้รับประกาศนียบัตรบรรณารักษศาสตร์ คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ เข้ารับราชการที่กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ และได้ก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ ดำรงตำแหน่งผู้บริหารตามลำดับ จนเกษียณอายุราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร

คุณหญิงกุลทรัพย์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2530 ตติยจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2534 และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ The Order of The Precious Crown, Butterly จากประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม สาขาวรรณศิลป์ ประเภทวิชาวรรณกรรมร้อยกรอง

เป็นเวลากว่า 60 ปี ที่ท่านได้สร้างสรรค์ผลงานด้านวรรณศิลป์ อันประกอบด้วยบทกวีนิพนธ์ และสารคดี แต่ละประเภทจำนวนกว่า 1,000 บท ผลงานส่วนใหญ่เป็นบทร้อยกรองอาศิรวาทราชสดุดี และสารคดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดจนพระราชวงศ์ทุกพระองค์ในโอกาสมหามงคลต่าง ๆ คุณหญิงกุลทรัพย์ ท่านมีความสามารถในการแต่งฉันทลักษณ์ทุกประเภท และรักษาขนบในการประพันธ์อย่างเคร่งครัด เพื่อสืบทอด รักษา มรดกวัฒนธรรมทางวรรณศิลป์ของชาติสืบไป

นอกจากนี้แล้วยังร่วมประพันธ์คำร้องบทเพลงเฉลิมพระเกียรติหลายเพลง คุณหญิงกุลทรัพย์ เป็นผู้มีอุดมการณ์สูงส่งในการรักษาภาษาและวรรณคดีไทย มีความรักชาติรักแผ่นดินอย่างแรงกล้า และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด ผลงานของคุณหญิงกุลทรัพย์ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองจึงไม่เพียงแสดงคุณค่าทางวรรณศิลป์ แต่ยังปลูกฝังจิตสำนึกให้ตระหนักถึงคุณค่าของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยอีกด้วย คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช 2555

ยังไม่จบ!! ดรามาค่าข้าวไข่ดาว 2 ฟอง 70 บาท ลุกลาม คนกินโพสต์เดือด 'ไม่ได้กินฟรี' ตีราคาให้ 50 บาท อีก 20 เป็นส่วนต่าง

(2 พ.ค.67) กลายเป็นประเด็นขึ้นมาจากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ 'Sakda Dismanopnarong' ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านกลุ่ม 'พัทยา' ระบุว่า...

"เราก็ลำบากลูกหิวข้าว จะประหยัด เจอร้านริมทาง สั่งข้าวไข่ดาว 2 ฟองจานนี้ 70 บาท (เฉพาะค่าข้าวไข่ดาวไม่รวมน้ำ) ร้านข้าวต้ม ลุงดอนใจดี"

หลังเรื่องนี้ถูกสื่อในสังคมออนไลน์นำไปเสนอ ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ไปสัมภาษณ์เจ้าตัวก็ได้รับคำตอบว่าที่ตนโพสต์เพราะรู้สึกว่าราคาดังกล่าวแพงเกินจริง อยากให้ทางร้านขอโทษและขอเงินคืนจากค่าข้าวไข่ดาว 70 บาท

ขณะที่นายถาวร อายุ 60 ปี เจ้าของร้านที่ถูกระบุก็ได้รับคำชี้แจงว่า ข้าวไข่ดาว 2 ฟองทางร้านคิดในราคาเดียวกับข้าวราดอาหารตามสั่งทั่วไป คือราคา 70 บาท แต่หากเป็นกับข้าวจะคิดราคาที่จานละ 100 บาท พร้อมยืนยันเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีลูกค้าคนไหนแสดงความไม่พอใจ และไม่เข้าใจว่าประเด็นดรามาที่เกิดขึ้นผู้โพสต์ไปต้องการอะไร

ล่าสุดทางด้านของผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Sakda Dismanopnarong' ก็ได้มีการโพสต์ข้อความอีกครั้งระบุว่า ขอจบเรื่องไข่ดาวเพียงแค่นี้ และไม่ขอรับคำขอโทษจากเจ้าของร้านแล้ว ส่วนเรื่องเงินก็ไม่ต้องโอนมาโดยบอกว่าขอมอบให้เป็นค่าทำศพของเจ้าของร้านแทน โดยข้อความที่เจ้าตัวโพสต์ระบุว่า... 

"กรณีเรื่องข้าวไข่ดาว ผมขอให้จบแค่นี้นะครับ เครียดมาพอสมควร คำขอโทษจากดอนผมก็ไม่ขอรับแล้ว

ส่วนเรื่องค่าไข่ที่ผมอยากได้คืน ผมตีราคาไข่สองใบนั้น เป็น 50 บาท ดอนไม่ต้องโอนคืนให้ ผมขอมอบเงินส่วนต่าง 20 บาทนี้ เป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในงานฌาปนกิจของดอน แล้วแต่ว่าจะนำไปใช้วันไหนก็ตามใจ ผมขอร่วมทำบุญเป็นคนแรก

ปล.ขออภัยที่ร่วมทำบุญแค่ 20 ตอนนี้มีไม่มาก 
ปล.2 ขอฝากถึงดอนอีกเรื่องที่ดอนให้สัมภาษณ์ว่า "เห็นหิวมาอุตส่าห์ทำให้กิน" ขอตอบดอนว่ากูจ่ายตังค์ ไม่ได้ขอแดกฟรี

ส่วนเรื่องหางาน ผมขอหางานทำด้วยตัวเอง จะไม่รับโอกาสหรือความช่วยเหลือจากใครทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้เกิดดรามาว่าฉวยโอกาสจากเหตุการณ์นี้ ขอบคุณทุกคนที่อยากจะช่วยมากครับ แขนขา มือเท้าผมยังมีครบ ไม่อยากรบกวนใคร" 

ตำรวจช่วยบรรเทาภัยแล้ง “รรท. ผบ.ตร.” สั่งการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน “ผบช.ตชด.” ให้ ตชด.ทั่วประเทศ ส่งรถบรรทุกน้ำ คลายทุกข์ คลายร้อนให้ประชาชน พร้อมลงพื้นที่ร้อยเอ็ดตรวจเยี่ยม ตชด.23 ช่วยชาวบ้าน

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( ผบช.ตชด. )  เดินทางตรวจเยี่ยมกำลังพล ชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 23 ( กก.ตชด.23 )  ที่นำรถบรรทุกน้ำสะอาด ออกแจกจ่ายบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้กับพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ชุมชนวัดบ้านป่ายาง และหมู่บ้านข้างเคียง  เทศบาลตำบลขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด  

พล.ต.ท.ยงเกียรติ ฯ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ) สั่งการให้ ตชด.ระดมสรรพกำลังเข้าบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเผชิญอากาศร้อนจัด ส่งผลให้หลายจังหวัด ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อน และเผชิญกับสถานการณ์ภัยแล้ง ตนจึงได้สั่งการให้ ผกก.ตชด.ทุกหน่วยทั่วประเทศ จัดกำลังพล และรถบรรทุกน้ำ ออกให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนที่ประสบภัยแล้ง แจกจ่ายน้ำแก่ประชาชน อย่างทันท่วงที และเหมาะสมเพียงพอ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนในเบื้องต้น ให้มีน้ำใช้อุปโภค บริโภค  และให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและส่วนราชการในพื้นที่ เข้าให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ศรชล. / ศคท.จว.สป.ร่วมกิจกรรมจิตอาสา เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อ 1 พ.ค. 67 น.อ.ทิฆัมพร สมนึก รอง.ผอ.ศรชล.จว.สป. จัด จนท.ศรชล / ศคท.จว.สป.
เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล วันฉัตรมงคล ณ.ริมคลองสำโรง ข้างเทศบาลตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 

โดย นาย ศุภมิตร ชิณศรีผู้ว่าราชการจังหวัด มอบหมายให้  นายวัฒนา เจริญจิต  นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นประธานในพิธี  

‘แม่บ้านไทย’ รับ!! 100 ล้าน จากเจ้านายฝรั่งเศสที่ลาโลก ตอบแทนความดี-ความซื่อสัตย์ หลังทำงานมากว่า 17 ปี

(2 พ.ค. 67) จากกรณี นางแคทเทอร์รีน อายุ 59 ปี แหม่มสาวนักธุรกิจชาวฝรั่งเศส เจ้าของวิลล่าให้เช่าบนเกาะสมุย ใช้ปืนจบชีวิตริมสระน้ำในวิลล่าหรู ก่อนตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมด 100 ล้าน ให้แม่บ้านคนสนิท หลังทราบป่วยเป็นมะเร็ง เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานจบชีวิตเองเครียดจากโรคร้าย แต่ยังคงเป็นปริศนา เนื่องจากก่อนเธอจะยิงตัวตาย วงจรปิดมุมสระน้ำจุดที่เธอยิงตัวตายมุมกล้องได้ถูกกดลงทำให้ไม่เห็นนาทียิง รวมถึงก่อนหน้านี้วิลล่าของเธอเคยถูกคนร้ายบุกมาขโมยทรัพย์สินมาแล้ว

ล่าสุด รายการลุยชนข่าว ได้ไปพบ ป้าติ๋ม ชาว อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร แม่บ้านคนสนิทของผู้ตายแล้ว เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ได้รู้จักกับนางแคทเทอร์รีน มากว่า 17 ปีแล้ว โดยเพื่อนของนางแคทเทอร์รีนได้แนะนำให้ตนเองไปสมัครทำงานเป็นแม่บ้านที่ห้องเช่าของคุณแคทเทอร์รินก่อน จากนั้นนางแคทเทอร์รีนก็ได้ขยายธุรกิจจากห้องพักให้เช่า มาสร้างรีสอร์ต สร้างวิลล่า ธุรกิจเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตนเองก็ได้เป็นแม่บ้านคอยช่วยนางแคทเทอร์รีนมาตลอด

จนล่าสุดเมื่อ 12 ปีก่อน นางแคทเทอร์รีนได้มาซื้อที่ดินบนเกาะสมุย โดยจดทะเบียนเป็นบริษัท เพื่อสร้างวิลล่า จำนวน 5 หลัง และสร้างบ้านวิลล่าหลังนี้ไว้พักอาศัยเอง ตอนนั้นมีนางแคทเทอร์รีน คุณวินเซ่น (สามีเก่า) และตนเอง ซึ่งเป็นแม่บ้าน มีกันเพียง 3 คน มาช่วยกันดูแลในการสร้างวิลล่าหลังนี้ และทำพิธียกเสาเอกด้วยกัน

ก่อนเกิดเหตุช่วงเช้าของวันที่ 28 เมษายน ตนเองยังได้ เดินทางมาทำความสะอาดบ้านให้กับนางแคทเทอร์รีน ตามปกติถึงแม้เป็นวันหยุดก็ตาม หลังจากนั้นช่วงบ่ายตนเองได้ขอไปทำบุญที่วัดใกล้วิลล่า เนื่องจากเป็นวันเกิดตนเองพอดี นางแคทเทอร์รีนยังอวยพร ‘แฮปปี้เบิร์ธเดย์’ บอกตนเองมีความสุขมาก ๆ นะ อวยพรให้กับตนเองอยู่เลย

กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 29 เมษายน คนงานทำความสะอาดสระน้ำ ซึ่งเดินทางไปที่วิลล่า ได้โทรศัพท์มาหาและบอกว่านางแคทเทอร์รีนนอนเลือดไหลอยู่บนวิลล่าใกล้สระน้ำ ตนเองตกใจมากและรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปดูด้วยความเป็นห่วง

แต่เมื่อไปถึงก็พบว่า นางแคทเทอร์รีน เจ้านายที่ตนเองรักได้เสียชีวิตแล้ว โดยมีบาดแผลถูกยิงที่บริเวณขมับ ส่วนกล้องวงจรปิดถูกกดลงให้มองไม่เห็นในที่เกิดเหตุ จากนั้นเพื่อนคนงานอีกคนซึ่งเป็นคนสวนได้เดินทางมาด้วย จึงเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่า มีปืนวางอยู่ข้างตัวของคุณแคทเทอร์ริน

ก่อนรีบแจ้งตำรวจทันที เปิดดูไลน์ปรากฏว่า ก่อนจะเกิดเหตุนางแคทเทอร์รีน ยังได้ส่งข้อความทางไลน์มาให้ตนเองเพื่อสั่งเสียไว้ทั้งหมด คล้ายกับทำพินัยกรรมไว้

โดยในข้อความเท่าที่ตนเองและเพื่อนของนางแคทเทอร์รีน ที่มาเปิดเซฟพร้อมกันได้อ่าน ระบุประมาณว่า นางแคทเทอร์รีน ได้ยกบ้านวิลล่าหลังนี้พร้อมที่ดิน รวมถึงที่ดินเปล่าข้างวิลล่า จำนวน 2 ไร่ , รถยนต์หรู เครื่องประดับ แหวน เพชร ซึ่งอยู่ในตู้เซฟ และเงินสดที่อยู่ในธนาคารอีก ไม่รู้จำนวน โดยยกให้ตนเองทั้งหมด

ซึ่งคาดว่า ทรัพย์สินทั้งหมดมีมูลค่าเกือบ 50 ล้านบาท ที่คุณแคทเทอร์รินยกให้กับตนเอง และอีกส่วน คือ วิลล่าจำนวน 2 หลัง ได้มอบให้กับ คุณวินเซ่น สามีเก่าของนางแคทเทอร์รีน

นอกจากนี้ นางแคทเทอร์รีนยังได้สั่งเสียให้ช่วยดูแลแมวอีก 3 ตัวที่เธอรักมาก ๆ ให้ตนเองดูแลต่ออีกด้วย ตอนนั้นตนเองตกใจมากที่ได้อ่านพินัยกรรมที่ระบุไว้ และไม่คิดว่านางแคทเทอร์รีนจะทำแบบนี้

ป้าติ๋มยังบอกอีกว่า นางแคทเทอร์รีน ยังได้โอนเงินค่าจ้าง ค่าอินเทอร์เน็ตจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟทั้งหมดแล้ว รวมถึงโอนเงินจำนวน 5 แสนบาท ให้กับตนเองเพื่อเป็นค่าทำศพด้วยซึ่งตนสัญญาจะจัดงานให้ดีที่สุด และจะไม่ลืมพระคุณของคุณแคทเทอร์รินเลย

โดยหลังจากนี้ ตนเองยังไม่ได้คิดว่า จะเอาวิลล่าหลังนี้ไปทำอะไรต่อ แต่คงไม่ขายแน่นอน เช่นเดียวกับรถหรูที่คุณแคทเทอร์รินยกให้ ถึงแม้ตนเองจะขับไม่เป็นก็ตาม

ส่วนสาเหตุที่นางแคทเทอร์รีนตัดสินใจฆ่าตัวตายคิดว่าน่าจะเกิดจากความเครียด เนื่องจากที่ผ่านมา เธอจะตัดพ้อกับตนเองอยู่ตลอดว่าตัวเองเจ็บป่วยและทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้นางแคทเทอร์รีนป่วยเป็นโรคริดสีดวง ก่อนจะกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งตนเองยังเชื่อมั่นว่า ที่เธอทำนั้นคงอยากไปอย่างสงบ

ล่าสุดทีมข่าวยังได้ข้อความที่นางแคทเทอร์รีน ได้พิมพ์สั่งเสียไว้ ซึ่งถือเป็นพินัยกรรมสุดท้ายก่อนที่เธอจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง โดยในข้อความ ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส ได้ระบุมีใจความสำคัญประมาณว่า ถึงติ๋ม (แม่บ้าน)

“ถนนของฉันสิ้นสุดแล้วที่นี่ ฉันคิดอย่างจริงใจว่าคุณเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเลือกคุณให้เป็นผู้ดำเนินการของฉัน ไม่มีอะไรซับซ้อน สำเนาพินัยกรรมของฉันจะอยู่ในตู้นิรภัยของฉัน ฉันอยากจะเผาศพและเอาขี้เถ้าของฉันไปไว้บนเกาะ”

ส่วน บริษัท จี.วี.เอ็น.อี จำกัด (มะพร้าว) ซึ่งเป็นวิลล่าที่มีทั้งหมดของฉัน เหลืออีก 2 หลัง ขอคืนให้แฟนเก่าของฉันและบัญชีธนาคารอีกบางส่วน ขอให้คุณส่งมอบแมว ทั้ง 3 ตัวที่ฉันรัก

ฉันขอมอบโทรศัพท์เครื่องนี้ ซึ่งไม่มีรหัสผ่านให้คุณด้วย ฉันชำระค่าสมัครสมาชิกไว้แล้ว เป็นเวลาหลายเดือน และโปรดแจ้งบุคคลต่อไปนี้ในฝรั่งเศส ว่าฉันตายแล้ว ได้แก่ Valerie Miton เพื่อนของฉันในฝรั่งเศส , Martine Valnet เพื่อนของแม่อุปถัมภ์ของฉัน , Stephane Nemarq อดีตสามีของฉัน , Chantal Magnan ลูกพี่ลูกน้องของแม่ และ Marie Christine Loup ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ฝั่งแม่

พร้อมทั้งยังมีการเล่าถึงความทุกข์ทรมานของอาการป่วย ขณะที่ภาพจากกล้องวงจรปิด ภายในวิลล่า ก่อนเกิดเหตุวันที่ 28 เมษายน เวลาประมาณ 11 โมง ผู้ตายนั่งหน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กพิมพ์ข้อความบางอย่าง คาดว่าเป็นการพิมพ์พินัยกรรมเพื่อเป็นการสั่งเสีย

จากนั้นเดินเข้าไปภายในบ้าน และได้ใช้ไม้ถูพื้นกดกล้องวงจรปิดที่อยู่ในที่เกิดเหตุก้มลง เพื่อไม่ให้เห็นภาพ ก่อนที่จะพบเสียชีวิต

ศรชล.ภาค 1 นำกำลังพลฯ เข้าร่วมกิจกรรม Big Cleaning Day เฉลิมพระเกียรติฯ

1 พร้อมกำลังพลฯ เข้าร่วมกิจกรรม Big Cleaning Day จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฏาคม 2567 ณ ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม (หลังเก่า), ลานหน้าศาลหลักเมืองจังหวัดสมุทรสงคราม และสวนสุขภาพเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม

โดยมี นายศิริศักดิ์ ศิริมังคะลา ผอ.ศรชล.จังหวัดสมุทรสงคราม/ผวจ.สมุทรสงคราม เป็นประธานมนพิธี

ชาวโซเชียลชื่นชม ‘หนุ่มฝรั่งใจดี’ แจก ‘หมวกกันน็อค’ ฟรี เผย!! เคยมีปมประสบอุบัติเหตุ ‘ห่วงใยเด็ก-อยากทำเพื่อสังคม’ 

(1 พ.ค. 67) นับเป็นอีกหนึ่งไวรัลที่หลายคนพากันเข้าไปคอมเมนต์ ชื่นชมอย่างล้นหลามเลยก็ว่าได้ กับคลิปภาพ ที่ชายต่างชาติยื่นรอ รถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านมาและมีเด็กนั่ง เมื่อเห็นก็จะโบกเรียก มอบหมวกกันน็อคอย่างดีให้กับเด็ก สร้างความประทับใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองรวมถึงผู้ที่เข้ามารับชมคลิปดังกล่าวเป็นอย่างมาก 

โดยสมาชิกติ๊กต๊อก ชื่อ @savvyrickbrown มีผู้ติดตามกว่า 35,600 คน ได้โพสต์คลิปวีดีโอ พร้อมเขียนข้อความแปลไทยว่า หมวกกันน็อคหนึ่งใบปกป้องอนาคต #savvyrickbrown #แสดงความรัก #หมวกกันน็อค #พัทยา #ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ภายหลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตจำนวนมาก เข้ามาแสดงความคิดเห็น

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังที่บริเวณชายหาดจอมเทียนพบกับ Mr. Savvy Rick Brown สัญชาติอเมริกา วัย 57 ปี เจ้าของแอคเคาท์ติ้กต้อก ได้มีการพูดคุยถึงแรงบันดาลใจในการจัดทำการแจกหมวกกันน็อคให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ พัทยา โดยเปิดเผยว่า ได้อยู่ในประเทศไทย มา 1 ปี 6 เดือน ใช้ชีวิตช่วงวัยเกษียณ ได้มีการแจกหมวกกันน็อคให้กับเด็กๆเป็นประจำ เพราะอยากให้เด็กได้รับความปลอดภัยจากการสัญจร ที่นั่งรถมากับผู้ปกครอง ที่ผ่านมามักจะเห็นเด็กไทย ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ไม่ค่อยสวมหมวกกันน็อค บางรายอาจจะขาดแคลนทุนทรัพย์ และความตั้งใจที่อยากจะทำเพื่อสังคม 

อีกทั้ง ยังได้เล่าย้อนไปในวัยเด็กว่า เคยผ่านการประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถจักรยานยนต์ เพราะถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้สวมใส่หมวกกันน็อค ทำให้ป่วยเป็นโรค PTSD (Post-traumatic Stress Disorder) หรือ ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ ซึ่งก็เป็นภาวะความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังพบเหตุการณ์ความรุนแรงที่ประสบด้วยตนเอง ซึ่งตัวเองก็ได้ต่อสู้กับโรคนี้ในช่วงวัยเด็กค่อนข้างที่จะหลายปี จนกลับมามีชีวิตที่ปกติอีกครั้ง กรณีที่เคยประสบกับเรื่องร้ายมาแล้วก็เรียกได้ว่าตัวเองค่อนข้างเข้าอกเข้าใจและห่วงใยเด็กๆ เป็นอย่างมาก จึงอยากจะทำเพื่อเด็กๆ และสังคม

ส่วนในการแจกหมวกกันน็อค และนำภาพมาลงโพสที่บัญชีแอปพลิเคชั่น Tik tok นั้น ตัวเองได้ลงมือทำสิ่งนี้ไปแล้วเป็นเวลากว่า 6 เดือน ด้วยการลงทุนเอง ส่วนคุณภาพของหมวกกันน็อคก็เป็นสินค้าที่ได้มาตรฐาน ผ่านการทดสอบความปลอดภัยมาแล้ว ซึ่งก็ได้รับการตอบรับ และสนับสนุนอย่างดี จากชาวโซเชียลมีเดีย และจากบ้านเกิดที่สหรัฐฯ รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ที่เข้ามาร่วมบริจาคหมวกกันน็อคสนับสนุนด้วยเช่นกัน ซึ่งตั้งเป้าหมาย อยากจะเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อแจกจ่ายหมวกกันน็อคให้ถึงกว่าล้านใบ ตนเองยินดีที่จะทำเพื่อสังคมไทย เพราะรัก และชื่นชอบประเทศไทย เพราะคนไทยมีปฏิสัมพันธ์ นิสัยที่ดีต่อกัน

‘โจ มณฑานี’ โพสต์เฟซ ‘การแต่งรถแบบไทย’ ชี้!! นี่คือกระแสที่กำลังมาแรง เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้

(1 พ.ค. 67) ‘โจ มณฑานี ตันติสุข’ นักจัดรายการวิทยุ พิธีกร สื่อมวลชนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ การแต่งรถแบบไทยๆ ที่ชนะใจเพื่อนบ้าน โดยได้ระบุว่า ...

เมื่อ THAI CULTURE แผ่อิทธิพลสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ถึงขั้นตั้งกลุ่มไทยคัลเจอร์ และพากันตกแต่งของรักด้วยธงชาติไทย วิถีไทย และที่สำคัญที่สุด-รูปแรกเลยค่ะ #ทรงพระเจริญ 

มันคืออะไรกันนะ ไปดูกันเลยค่ะ!

พี่โจชอบช่องยูทูบ #ส่องโลกคอมเมนต์ มากเพราะแอดไม่นำเสนอคอมเมนต์ด่าเพื่อนบ้านแต่เลือกนำเสนอข้อมูลเจ๋งๆของไทยที่เพื่อนบ้านชื่นชม พร้อมหาข้อมูลเสริมมาให้ด้วย
คลิปแบบเค้ายอดวิวจะไม่เยอะเท่าคลิปด่ากันไปกัน แต่มันมีคุณค่ามากเลยค่ะ

และคลิปนี้คือการนำเสนออิทธิพลการแต่งรถแบบไทยๆที่ชนะใจเพื่อนบ้าน มากถึงขนาดตั้งกลุ่มรักวัฒนธรรมไทย แต่งรถแบบไทย และเรียกชื่อรถกระบะไฮลักซ์แต่งแบบไทยว่า THAI LUX-ไทยลักซ์ และสร้างความสำเร็จทางธุรกิจให้กับกิจการแต่งรถแบบไทยจนได้ไปตั้งธุรกิจที่ประเทศเหล่านั้นด้วย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top