Wednesday, 8 May 2024
NEWS

'ชาวเน็ต' แหกหน้าหนุ่ม หลังโพสต์มั่วเรื่องรถไฟไทย ทั้งขนาดรางไม่เชื่อมจีน-มาเลย์ และ 'ทางคู่' ที่มิใช่ 'รางคู่'

(3 พ.ค. 67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Chen Tai Shan' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า..."ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ….ประเทศไทยไม่ยอมทำรางรถไฟขนาดมาตรฐานที่สามารถเชื่อมกับโครงข่ายทั้งจีนและมาเลเซีย แต่ไปเอารางคู่แทน (ใช้เงินเยอะกว่าโครงข่ายแบบรถไฟความเร็วสูงด้วยนะ FYI)"

ก็ทำให้มีผู้สันทัดกรณีเข้ามาตอบคำถามเชิงความรู้แก่ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนดังกล่าว อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Wanwit Niampan ที่ได้โพสต์ข้อความตอบกลับไปว่า...

คุณไม่มีความเข้าใจเรื่อง Railway 101 เลย ขนาดทางรถไฟในโลกนี้มีมากกว่า 10 ขนาด แต่ขนาดที่มีจำนวน 'ต่อ กม. มากที่สุด' คือ 1.435 เพราะใช้เป็นเครือข่ายหลักในยุโรป และต่อมาประเทศที่มีการวางระบบโดยยุโรป และมีขนาดประเทศกว้างก็ถูกนำมาใช้ เช่น จีน, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ ซึ่งทางกว้างขนาด 1.435 มีชื่อว่า European Standard Gauge แปลว่า 'ขนาดความกว้างมาตรฐานยุโรป' แต่ไม่ได้หมายความว่ามันคือ มาตรฐานโลก

กรณีรถไฟความเร็วสูง ทำไมไม่ใช้ 1.435?

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ใช้รถไฟความเร็วสูงเชิงพาณิชย์ประเทศแรก ซึ่งญี่ปุ่นใช้ทางกว้าง 1.067 (ขนาดที่มีระยะทางเป็นอันดับ 3 ของโลก) และไม่สามารถทำความเร็วได้ ประกอบกับมีทางโค้งและทางภูเขาเยอะ จึงต้องตัดทางใหม่เพื่อ Shinkansen โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จึงมีทางรถไฟทั้ง 1.067 และ 1.435

จากนั้นประเทศที่ผุดรถไฟความเร็วสูงมาใหม่ จึงยึดที่ 1.435 (รวมถึงยุโรปที่ใช้ 1.435 ไปเลย เพราะจะได้อัปเกรดทางเดิมได้โดยไม่ต้องสร้างเพิ่ม แต่รถจะวิ่งสูงสุดแค่ 210-230 บนทางเดิม)

สำหรับต้นทุน รถไฟความเร็วสูง 'สูงกว่ารถไฟทางคู่' ครับ มันคนละเทคโนโลยีกัน

ข้อต่อมา ทำไมต้องทำทางคู่

อันนี้แหละคือ โครงข่ายที่สมบูรณ์ที่สุดในการเข้าถึง 'พื้นที่เล็ก' แบบ INtercity รถไฟความเร็วสูงเป็นแค่ option ที่เสริมมาหลังจากที่โครงข่ายปกติมี capacity ที่สูง (เช่น โตเกียว-โอซาก้า ในยุคนั้นที่มี traffic สูงมาก และทางเดิมไม่พอกับปริมาณความต้องการ ประกอบกับมีการติดต่อกันระหว่างสองเมืองที่มีแบบตลอดแบบ Business ซึ่งกรณีนี้รถไฟความเร็วสูงมันได้ทำหน้าที่ 'เสมือนทางด่วน' ของรถยนต์ และทางรถไฟธรรมดามันคือ ทางหลวงระหว่างเมือง

ถ้าให้คุณเข้าใจง่ายที่สุด...
- รถไฟธรรมดา = ถนนหลวง
- รถไฟความเร็วสูง = ทางด่วน

ถนนหลวงที่มีแค่ 1 เลน มันจะขับคล่องไม่ได้ มันก็ต้องขยายเลน เพราะไม่ใช่ทุกเมืองที่ต้องใช้ทางด่วน ไม่ใช่ทุกปลายทางที่ต้องขึ้นทางด่วน

นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตจำนวนมาก ที่ได้อ่านข้อความดังกล่าวของ 'Chen Tai Shan' ต่างก็คอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันว่า "คนโพสต์ยังแยกไม่ออกระหว่างขนาดความกว้างของราง กับ การทำทางคู่ ไม่ใช่รางคู่ รถไฟมันใช้รางคู่อยู่แล้ว" / "เมื่อคนไม่มีความรู้ไปพูดมั่ว ๆ เรื่องรถไฟ" / "ก่อนมีความเห็นควรมีความรู้ก่อน"

ส่วนเจ้าตัว เมื่อถูกชาวเน็ตท้วงติง ก็ออกมาโพสต์ตอบว่า... "เข้าใจครับและขอบคุณสำหรับความรู้ที่ให้ทุกท่านทราบในที่นี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ผู้บริหารผมไม่ขอพูดอะไรต่อครับ"

‘กมธ.อุตฯ’ ยื่นร่าง พ.ร.บ. เพิ่มโทษอาญาทิ้ง ‘กาก-สารพิษ’ จำคุก 5 ปี และปรับเพิ่มจาก 2 แสนบาทเป็น 1 ล้านบาท

(3 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร และ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงผลการประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า สำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง นั้น กมธ.อุตสาหกรรม มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม ประกอบด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และนายอำเภอบ้านค่าย จ.ระยอง

นายอัครเดช บอกต่อว่า เหตุเพลิงไหม้โรงงานดังกล่าวกินระยะเวลา 3-5 วัน ซึ่งสร้างมลภาวะในพื้นที่ชุมชนรอบโรงงานอย่างรุนแรง และได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยลงทะเบียน 601 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้จะสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว 100% แต่ยังมีกลุ่มควันเกิดขึ้นบางส่วนในอาคาร 4 และอาคาร 3 มี Aluminum Dose จำนวน 5 ตัน ซึ่งเป็นลาวาและพร้อมที่จะปะทุ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง และดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชน ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในที่เกิดเหตุ

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ประชาชนที่อยู่โดยรอบพื้นที่เกิดเหตุได้รับก๊าซพิษ และตรวจวัดพบว่าค่าสารหลายตัวเกินมาตรฐาน ดังนั้นสภาพอากาศรอบโรงงานช่วงนี้ยังไม่ปกติ กมธ.อุตสาหกรรม จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง และอย่าให้มีเหตุเพลิงไหม้ซ้ำอีก” นายอัครเดช กล่าว

นอกจากนี้ นายอัครเดช กล่าวต่อว่า สำหรับความเชื่อมโยงระหว่างโรงงานจังหวัดระยองกับโรงงานจังหวัดอยุธยานั้น ตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ อ.ภาชี ตนและกมธ.อุตสาหกรรมยังไม่ทราบ เพราะเพลิงไหม้เกิดขึ้นในช่วงเย็น แต่ได้รับทราบว่าโรงงานทั้ง 2 แห่งมีความเชื่อมโยงกัน โดยเมื่อช่วงต้นปีได้ลงพื้นที่อำเภอภาชี เพราะได้รับการร้องเรียนจาก สส.ในพื้นที่ โดยพบว่ามีการเก็บสารอันตรายจำนวนมากไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานได้สั่งปิดโรงงาน ต่อมาก็มีเหตุเพลิงไหม้โดยมีสาเหตุคล้ายการวางเพลิง ดังนั้นในวันที่ 15 พ.ค.2567 ที่จะถึงนี้ กมธ.อุตสาหกรรม จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าไม่ปกติ

“เราทราบว่า โรงงานทั้ง 2 แห่ง มีความเชื่อมโยงกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกันลักษณะใดจะทราบในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้ รวมถึงจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างไรได้บ้าง เพราะเกรงว่าจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบกันอีก” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า กมธ.อุตสาหกรรม ได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขให้โรงงานอุตสาหกรรม เรื่องการทิ้งกากอุตสาหกรรม หรือสารเคมีตามกฎหมาย ซึ่งเดิมจะไม่มีโทษปรับ จึงทำให้ผู้ประกอบการไม่เกรงกลัว จึงได้เพิ่มความผิดอาญาโดยให้จำคุก 5 ปี และจากเดิมปรับ 200,000 บาท เพิ่มเป็น 1,000,000 บาท เพื่อให้ผู้ประกอบการเกิดความเกรงกลัวต่อการกระทำความผิดกฎหมาย

“การเกิดเพลิงไหม้นั้น เป็นการเลี่ยงกฎหมายใหม่หรือไม่ ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกต เราจึงมีความเป็นห่วง และต้องให้หน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าไปตรวจสอบโรงงานที่มีกากของเสียทุกแห่ง” นายอัครเดช ย้ำ

สำหรับปัญหาดังกล่าว นายอัครเดช ย้ำว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรมเพียงแห่งเดียว โดยต้องมีความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน และหลายกระทรวงที่ต้องเข้าไปช่วยกันดูแล ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งปัญหานี้ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งตนได้เรียนท่านนายกรัฐมนตรีไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก

เชียงใหม่-คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด “ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจร แห่งเดียวในภูมิภาค

คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด “ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจรแห่งเดียวในภูมิภาค ด้วยสเต็มเซลล์จากผู้อื่นที่ไม่ใช่พี่น้องในผู้ป่วยผู้ใหญ่”รองรับการบริการที่เป็นเลิศ

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจร แห่งเดียวในภูมิภาค หลังปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีให้ทันสมัยขึ้น เพื่อรองรับการให้บริการและการวิจัยที่เป็นเลิศ โดยมี ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นประธานในพิธีเปิด ณ ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ชั้น 11 อาคารศรีพัฒน์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้ปรับปรุงศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ทั้งโครงสร้างด้านสถาปัตยกรรม ระบบไฟฟ้าสื่อสาร ระบบสุขาภิบาล ระบบปรับอากาศ ระบายอากาศ และระบบก๊าซทางการแพทย์ เพื่อให้เป็นห้องปลอดเชื้อปลูกถ่ายไขกระดูกที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งห้องปลูกถ่ายเซลล์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ ใช้ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด มีความทันสมัยและปลอดภัยสูง เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น 

โดยเป็นลักษณะห้องแยกแบบปลอดเชื้อความดันบวก เครื่องกรองอากาศ มีการปรับอุณหภูมิและความชื้นจำนวน 10 ห้อง และห้องแยกแบบปลอดเชื้ออีก 1 ห้อง ที่มีลักษณะเป็นห้องทั้งความดันบวกและความดันลบ สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ภายในห้องผู้ป่วยได้มีการตกแต่งอย่างสวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เนื่องจากผู้ป่วยที่เข้าทำการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่มากกว่า 1 เดือน ดังนั้นห้องผู้ป่วยจึงต้องตกแต่งอย่างสวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อช่วยลดความเครียดจากการรักษาเป็นระยะเวลานาน

ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.ประกอบไปด้วยหน่วยย่อย ได้แก่ หอผู้ป่วยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หน่วยคัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด และหน่วยเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดด้วยความเย็น โดยปรับปรุงขึ้นใหม่จากพื้นที่หอผู้ป่วยเคมีบำบัดขนาดสูงเดิม ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 และได้มีการพัฒนาการรักษาผู้ป่วยที่มากขึ้นตามลำดับ ทั้งให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอื่น ๆ ที่หลากหลาย 

เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบ leukemia ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง รวมถึงโรคอื่น ๆ อีกทั้งยังพัฒนาชนิดของการปลูกถ่ายที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยให้การรักษาผู้ป่วยเด็กรายแรกในปี 2562 ต่อมาได้ทำการปลูกถ่ายด้วยสเต็มเซลล์ผู้อื่นจากพี่น้อง (sibling allogeneic stem cell transplantation) ในปี 2562 และปลูกถ่ายด้วยสเต็มเซลล์จากผู้อื่นที่ไม่ใช่พี่น้อง (matched unrelated donor allogeneic stem cell transplantation) ในปี 2564

นอกจากนี้ในปี 2564 ยังได้รับการรับรองการพัฒนาเพื่อก้าวสู่การรับรองเฉพาะโรค/เฉพาะระบบ (Program Disease Specific Certification; PDSC) จากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ด้วยพันธกิจและจุดมุ่งหมายของการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดแบบบูรณาการระดับมาตรฐานสากล โดยจุดเน้นของศูนย์เพื่อให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคที่เจ็บป่วย รวมถึงโรคมะเร็งต่าง ๆ ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ พัฒนาทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา มีอัตราการรอดชีวิตเทียบเท่ากับต่างประเทศ ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในการเป็น “โรงเรียนแพทย์ในดวงใจ เพื่อยกระดับสุขภาพและสุขภาวะที่ยั่งยืนของมนุษยชาติ”

นภาพร/เชียงใหม่ 

“บิ๊กราญ” รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. สั่งระดมทุกหน่วยปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศ ห้วงเมษามหาสงกรานต์ จับผู้ต้องหา 321 คน ยึดทรัพย์กว่า 369 ล้านบาท

วันนี้ 3 พ.ค. 67 พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานแถลงผลการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย ทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ พร้อมระบุว่า การปราบปรามยาเสพติดในทุกพื้นที่เป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เน้นการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อตัดวงจรและท่อน้ำเลี้ยง รวมทั้งทำลายเครือข่ายยาเสพติดทุกระดับทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. ให้ทุกหน่วยทำงานเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่และสืบสวนขยายผล ทุกคดี เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติดเอง รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่ายทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ ซึ่งหน่วยที่ปฏิบัติการประกอบด้วย ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 , กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ส. ร่วมปฏิบัติในทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเข้าตรวจค้น 703 เป้าหมาย และเป้าหมายจับ 209 หมายจับ ผลการปิดล้อมสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 142 คดี 143 คน จับกุมคดียาเสพติดรวม 421 คดี ผู้ต้องหา 465 คน ตรวจยึดยาเสพติดคือยาบ้า 11,833,925 เม็ด, ไอซ์ 936 กก. ,คีตามีน 0.591 กก, เฮโรอีน 22 กก., ยาอี 2 เม็ด และ อิริมินไฟท์ 80 เม็ด ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ เงินสด 5,652,429 บาท, อาวุธปืน 47 กระบอก มูลค่า 1,751,501 บาท, เครื่องกระสุนปืน 418 รายการ มูลค่า 15,404 บาท,สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน/ที่ดิน 76 รายการ มูลค่า 157,690,380 บาท, ทองรูปพรรณ 74 รายการ มูลค่า 4,981,358 บาท, รถยนต์ 191 รายการ  มูลค่า 13,898,000 บาท, รถจักรยานยนต์ 199 รายการ มูลค่า 13,902,890 บาท โทรศัพท์ 199 รายการ มูลค่า 2,413,239 บาท สมุดธนาคาร 96 รายการ และ อื่นๆ อาทิ เงินสดในบัญชีธนาคาร, เรือประมง, เรือหางโหง, คอมพิวเตอร์, Notebook, พระเครื่อง, นาฬิกา และ วิทยุสื่อสาร รวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ 172 รายการ มูลค่า69,460,752 บาท ตรวจยึดทรัพย์สินทั้งสิ้น 1,520 รายการ รวมมูลค่า 369,765,953 ล้านบาท

ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า จากผลการปฏิบัติในห้วง 20 วัน ของการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย จะเห็นว่าตำรวจทั่วประเทศได้รุกอย่างหนักเป็นรูปธรรม ทำจริง จับจริง และยึดจริง จนทำให้เครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญที่กระจายอยู่หลายพื้นที่สั่นสะเทือน โดยในขณะนี้ สำนักตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายเน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อยซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในห้วง 7 เดือน ที่ผ่านมา (ต.ค. 66 – เม.ย.67) สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ถึง 61,196 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จำนวน 15,976 ราย หรือเพิ่มขึ้น 35.33 % ขณะเดียวกันได้เน้นการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ทำให้สามารถสกัดกั้นจับกุมยาบ้าปริมาณ 100,000 – 500,000 เม็ด จับกุมได้ 149 คดี เพิ่มขึ้น 21 คดี คิดเป็น 16.41 %, ยาบ้าตั้งแต่ 500,000 เม็ด จับกุมได้ 137 คดี เพิ่มขึ้น 52 คดี คิดเป็น 61.18 % ทั้งนี้ สามารถตรวจยึดยาบ้ารวม 522,555,662 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 166 ล้านเม็ด คิดเป็น 47.56 %, ยาอี 115,665 เม็ด เพิ่มขึ้น 15,514 เม็ด คิดเป็น 15.49 %, ยึดไอซ์ 8,407 กก. เพิ่มขึ้น 390 กก. คิดเป็น 4.84 %, ยึดคีตามีน 3,807 กก. เพิ่มขึ้น 879 กก. คิดเป็น 30.02 %, ยึดเฮโรอีน 649.27 กก. เพิ่มขึ้น 223 กก. คิดเป็น 52.33 % และ ยึดโคเคน 20 กก. เพิ่มขึ้น 10 กก. คิดเป็น 95.32 % รวมทั้งเน้นการยึดทรัพย์สินซึ่งสามารถตรวจยึดทรัพย์สิน รวมมูลค่า 4,862,700,7475 บาท

'รมว.ปุ้ย' เชื่อ!! เหตุเพลิงไหม้อยุธยาเป็นการวางเพลิงทำลายหลักฐาน สั่ง!! เฝ้าระวังเข้มงวด หวั่น!! ผู้ก่อเหตุใช้ 'ภาชีโมเดล' เป็นต้นแบบ

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์เพลิงไหม้ และแนวทางการแก้ปัญหากากอุตสาหกรรม พื้นที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ใน 4 จุด ได้แก่...

จุดที่ 1 โกดังเก็บสารเคมี ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ค.67

จุดที่ 2 เทศบาลตำบลภาชี เพื่อมอบอาหาร น้ำและของใช้จำเป็นให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบกว่า 100 คน โดยในจุดนี้ รมว.อุตสาหกรรม ได้กล่าวคำขอโทษที่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ พร้อมกับสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่า จะเร่งดำเนินกำจัดสารเคมีโดยเร็วที่สุด 

จุดที่ 3 บริษัท ซันเทค เคมิคอล แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด เพื่อกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เฝ้าระวังจะเกิดเหตุสารเคมีรั่วและเกิดเหตุเพลิงไหม้ 

จุดที่ 4 บริษัทเอกอุทัย ที่เกิดเหตุสารเคมีรั่วไหล จนชาวบ้านได้รับผลกระทบทั้งชีวิตความเป็นอยู่ สัตว์เลี้ยง และพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย  

จากนั้น รมว.ปุ้ย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยระบุว่า เบื้องต้นทุกคนเชื่อว่าการเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บสารเคมีอันตราย เป็นการลอบวางเพลิงเพื่อเผาทำลายหลักฐาน ดังนั้นจึงได้กำชับอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังเนื่องจากเกรงว่า ผู้ประกอบการนายทุน จะถือโอกาสนำกรณีของอำเภอภาชี ไปเป็นต้นแบบในการเผาทำลายของกลางอีก  

"ดิฉันได้สั่งการให้มีการปรับการบริหารจัดการ เรื่องการกำจัดกากสารเคมี จากนี้ไปจะต้องทำเป็นระบบ ให้เข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง ที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลเรียบร้อยแล้ว และต่อจากนี้ไป กระทรวงอุตสาหกรรมจะทำงานแบบบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันทำงาน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบกับประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งความเป็นอยู่ สัตว์เลี้ยง พืชผลทางการเกษตร ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ดังนั้นต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด ผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะนี้ซ้ำอีก" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ปปส.ภาค1 จัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเครือข่ายสื่อมวลชน เพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้ การดำเนินงานการลดความรุนแรงของปัญหาจิตเวชจากยาเสพติดในพื้นที่ อ.สามโก้ จ.อ่างทอง

สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค1 ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีบทบาทในการประสานส่งเสริม สนับสนุนการจัดกิจกรรมในระดับพื้นที่ รวมถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารการดำเนินงานลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดในทุกมิติ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด สำนักงาน ปปส.ภาค 1 ได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเครือข่ายสื่อมวลชน เพื่อเน้นกลไกลสร้างการรับรู้การดำเนินงานการลดความรุนแรงของปัญหาจิตเวชจากยาเสพติด ในพื้นที่ ปปส.ภาค 1 ประจำปี พ.ศ.2567 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรมสุพร แกรนด์ โฮเต็ล อ่างทอง และศึกษาดูงานในพื้นที่อำเภอสามโก้ และอำเภอเมืองอ่างทอง เพื่อสร้างการรับรู้การดำเนินงานลดความรุนแรงของปัญหาจิตเวชจากยาเสพติดในพื้นที่ภาค 1 เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและเกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ปปส. ภาค 1 

โดยมี นายวชิระ โชติรสเศรนี นายอำเภอสามโก้ เป็นประธาน , นางจีระพรรรณ  กาญจนประดิษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 1 และนายชาตรี จันแรง ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์และอำนวยการ สำนักงาน ปปส. ภาค1 พร้อมคณะผู้จัดโครงการฯ และเครือข่ายสื่อมวลชนสนับสนุน เผยแพร่และรณรงค์ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับจังหวัด หมู่บ้าน/ชุมชน/ประชาสัมพันธ์จังหวัด/สื่อมวลชน จาก 9 จังหวัดในพื้นที่ภาค 1 รวมจำนวน 100 คน เข้าร่วมประชุมฯ

โดยพื้นที่ภาค 1 มีเป้าหมายการดำเนินงาน 2 จังหวัด 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง และอำเภอวังม่วงจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา ผู้มีอาการทางจิตจากยาเสพติดโดยการบำบัดรักษาและพื้นฟูสภาพจิตใจด้วยกลไกการขับเคลื่อน งานในระดับพื้นที่รวมถึงการพัฒนาศักยภาพทักษะการทำงานของเจ้าหน้าที่จากหน่วยภาคีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อนำไปสู่หมู่บ้านชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

จากนั้นลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ที่บำบัดที่ได้หายป่วยโดยการบำบัดได้ประกอบอาชีพเช่นการค้าขายอาหารตามสั่งและประกอบอาชีพด้านเกษตรจำนวน 2 ราย และในช่วงบ่ายของวันที่ 30 เม.ย.67 นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เป็นประธานปิดโครงการฯ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในกระบวนการบำบัดผู้ติดยาเสพติด /ผู้ติดยา/ผู้มีอาการทางจิต /เฝ้าติดตามและดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัวต้องให้ความใกล้ชิดบุตรหลานให้มากขึ้น 

'ครู' ระบาย!! นักเรียนเจอร้อนแค่นี้ 'ทนไม่ได้-จะทำอะไรกิน' ลั่น!! เป็นห่วงอนาคตเด็กไทย ไม่รู้โตขึ้นจะเป็นยังไง

กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์ หลังเพจ ‘สมัครงาน สอบราชการ’ มีการเปิดเผยข้อความครูท่านหนึ่งได้ระบายความในใจถึงนักเรียนว่า…

“งง เด็กนักเรียนสมัยนี้มันเป็นอะไร เข้าแถวตากแดดร้องเพลงชาติ สวดมนต์ และฟังครูให้โอวาส บ่นกันว่าร้อน ถ้าเข้าแถวตากแดดฝึกความอดทนแค่นี้ ยังไม่ได้ โตขึ้นพวกเธอจะเรียนจบสูง ๆ หรือทำงานดี ๆ ได้ยังไง

สมัยครูเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แดดแรงกว่านี้อีกยังทนกันได้ แต่สมัยนี้ โดนแดดนิด ๆ หน่อย ๆ บ่นว่าร้อน ตำหนิติติงอะไรก็ไม่ค่อยได้ ผู้ปกครองก็เรื่องเยอะ ถ้าเรื่องเยอะกันนักทำไมไม่สอนเองจะส่งให้เข้าโรงเรียนทำไม เป็นห่วงอนาคตเด็กไทยสมัยนี้ ไม่รู้โตขึ้นจะเป็นยังไง”

งานนี้เมื่อข้อความดังกล่าวแชร์ออกไป ทำเอาชาวเน็ตจำนวนไม่น้อย เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์สนั่น ถึงประเด็นดังกล่าว โดยคอมเมนต์บางส่วน ดังนี้

-แดด 40° ให้บ่นหน่อยค่าาา
-ครูไม่รู้จักภาวะโลกเดือดเหรอครับ
-ตากแดด จะทำให้เรียนจบสูง ๆ ได้ทำงานดี ๆ หรอคะ

-การอดทนกับความร้อน ไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานเลย
-แดดสมัยก่อนกับแดดสมัยนี้ มันคนละเรื่องกันนะค่ะครู

-1. ตัวเองลำบาก ไม่จำเป็นที่คนต้องลำบากแบบตัวเอง
2. เด็กที่อื่นที่ไม่เข้าแถวกลางแดด แต่ประสบความสำเร็จ มีเยอะแยะ แดดไม่ใช่ปัจจัยต่อความสำเร็จ
3. การถูกบังคับ ไม่ใช่ หนทางที่ดีเสมอไป
4. ถ้าตากแดดดีจัง ทำไมครูไปลงมาตากแดดด้วยกัน
5. แดดยุคนี้ 40 องศา + ฝุ่น pm อันตรายต่อสุขภาพ
6. แจ้งข่าวผ่าน homeroom ได้ครับ

สิ่งที่ท้ายที่อยากจะพูดคือ เด็ก ๆ ไปโรงเรียน เพื่อหาความรู้ครับ ไม่ได้ไปเพื่อโดนอำนาจนิยมกดขี่ ถ้าระบบการศึกษาที่ผ่านมา พาประเทศมาได้แค่นี้ เปลี่ยนบ้างก็ดีครับ ให้โรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยของเด็ก ๆ เถอะ

นอกจากการเปรียบเทียบยุคสมัยของครูและเด็ก บางคนก็มองไปถึงการยกเลิกการเข้าแถวร้องเพลงชาติ รวมไปถึงเครื่องแบบนักเรียน ที่ไม่สัมพันธ์กับสภาพอากาศร้อนของบ้านเรา

ขณะเดียวกัน หลายคนยังตั้งคำถามถึงมาตรการการดูแลของโรงเรียน ในขณะที่โรงเรียนอื่น ๆ หรือหลายประเทศ เริ่มผ่อนคลาย คำนึงถึงความปลอดภัย ผลกระทบต่อสุขภาพของนักเรียน โดยการยกเลิกการเรียน ในช่วงร้อนระอุไปแล้วด้วย

'ไทยสมายล์ บัส' ช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชน เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ขึ้นรถเมล์ฟรี ตลอดปี 2567

(3 พ.ค. 67) คุณกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด หรือ TSB ผู้นำในธุรกิจบริการรถและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า TSB ได้เล็งเห็นถึงปัญหาค่าครองชีพของครัวเรือนที่ยังคงปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน อีกทั้งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้กำลังจะเข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียนปีการศึกษาใหม่ ประจำปี 2567 ส่งผลให้ผู้ปกครองหลายคนต้องเผชิญภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบ และช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ทาง TSB จึงได้พิจารณานโยบายยกเว้นค่าโดยสาร สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถเมล์พลังงานไฟฟ้าของไทย สมายล์ บัส โดยให้สิทธิเฉพาะเด็กแรกเกิด จนถึงเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี จากปัจจุบันที่มีอัตราการจัดเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 10-15-20-25 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันนี้ 2 พฤษภาคม 2567 ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการจะใช้สิทธิดังกล่าว ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน หรือ บัตรประจำตัวนักเรียนที่สามารถระบุตัวตนและอายุของผู้ถือบัตรนั้น ๆ ส่วนเด็กแรกเกิดหรือเด็กเล็ก บัสโฮสเตสจะพิจารณายกเว้นค่าโดยสารให้โดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนทั่วไป สามารถใช้บัตรโดยสาร HOP Card เพื่อจ่ายค่าโดยสารในราคาสุดคุ้มแบบ Daily Max Fare เหมาจ่ายค่าโดยสาร 40 บาทตลอดทั้งวัน ไม่จำกัดสาย ไม่จำกัดเที่ยว หรือหากเดินทางเชื่อมต่อเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ค่าโดยสารเหมาจ่าย 50 บาทตลอดทั้งวัน ไม่จำกัดสาย ไม่จำกัดเที่ยว สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัตรโดยสาร HOP Card สามารถซื้อผ่าน 3 ช่องทางจำหน่ายคือ Shopee Lazada และ Line : @tsbofficial ของไทย สมายล์ บัส

'อัษฎางค์' ยกย่องคอมเมนต์ชาวเน็ต ผู้กระจ่างในประเด็น 'ท่านอ้น' เคารพในความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แต่ไม่เลยเถิดจนนำไปสู่ความแตกแยก

(3 พ.ค. 67) เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

“เรื่องท่านอ้น 
ขอแบบเคลียร์ ๆ ชัด ๆ ตรงประเด็นไม่ต้องอ้อมค้อม

มีคอมเมนต์ที่แสดงความคิดเห็นได้ถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์ที่ผมเขียนโพสต์เรื่องเหล่านี้หลายท่าน หนึ่งในนั้นคือท่านนี้...

**โดยส่วนตัว ผมไม่ได้รู้สึกยินดี ยินร้าย หลงใหล ได้ปลื้มหรือเกลียดชัง ต่อตัวท่านอ้นเลยนะครับ

**แต่ที่มาออกมาเสี่ยงโพสต์บทความต่าง ๆ เพราะเห็นคนไทยกลุ่มหนึ่ง คิดและทำอะไรเกินเลย และเลยเถิดไปมาก

**คนไทยบางกลุ่มแทบจะทำตัวเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้ง หรือพูดตรง ๆ ว่าทำตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง โดยการแต่งตั้งคุณอ้น ให้เป็นเจ้า ให้เป็นรัชทายาทไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไปกดดันเบื้องสูง ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ทั้งโดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เพราะฉะนั้น ผมจึงเสี่ยงชีวิตตัวเองออกมาเตือนสังคม

**อย่าคิดว่าผมจงเกลียดจงชังท่านอ้น ผมเปล่าเลย สมัยก่อนตอนท่านทั้ง 4 ยังเป็นเด็ก ๆ ผมเคยรู้สึกสงสาร เห็นใจท่านทั้ง 4 ด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ท่านไม่ได้ต้องการความสงสารแล้ว

บางคนแทบไม่รู้จักหรือลืมประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเป็นไปของครอบครัวท่านด้วยซ้ำ

เช่นหนึ่งในคอมเมนต์ตัวอย่างนี้ นำท่านอ้นไปเปรียบเทียบกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นการมิบังควรอย่างยิ่ง ขนาดในหลวงรัชกาลที่ 10 พระองค์ยังไม่นำพระองค์ท่านไปเทียบรัชกาลที่ 9 เลย 

อย่านำใครไปเปรียบเทียบกับในหลวง ร.9 นะครับ ไม่มีใครสร้างสมบารมีได้เทียบเท่ากับพระองค์ท่าน 

คำที่ว่า ไม่มีใครคิดว่ารัชกาลที่ 9 จะได้ครองราชย์ นั้นเพราะท่านมีพี่ชายคือรัชกาลที่ 8 

รัชกาลที่ 8 เป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 รัชกาลที่ 9 เป็นรัชทายาทลำดับที่ 2 มาตั้งแต่แผ่นดินรัชกาลที่ 7 แล้วเพราะพระราชบิดาของท่านเป็นเจ้าฟ้าที่เป็นรัชทายาท และพระมารดาเป็นภรรยาเจ้าที่ไดัรับการสมรสพระราชทาน

แม่ของท่านอ้นยิ่งเทียบไม่ได้กับสมเด็จย่า

สมเด็จย่าเป็นภรรยาหลวง ส่วนอีกท่านคือ ขออนุญาตพูดภาษาชาวบ้านว่า ท่านไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นภรรยาหลวง ไม่ได้เป็นภรรยาเจ้า ซึ่งพูดกันตรง ๆ ไปเลยตามข้อเท็จจริงว่า ทั้งครอบครัวและคนไทยทั้งประเทศ ไม่ยอมรับ สุดท้ายด้วยความเป็นตัวของตัวท่านเอง ทำให้ท่านต้องเลิกลาและต้องไปอยู่ในต่างประเทศ อันนี้ไม่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นหรือให้ร้ายนะครับ แต่เป็นข้อเท็จจริง 

ส่วนเรื่องลูก ๆ นั้น ชาวเราทั้งหลายพูดกันหนาหู โดยว่ากันว่า พ่อก็ถามแล้วว่า ลูกจะเลือกอยู่กับใคร พวกลูก ๆ ก็เลือกอยู่กับแม่ ลูกทิ้งพ่อ ไม่ใช่พ่อทิ้งลูก นะครับ (ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีผิดไม่มีถูกนะครับ)

ที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ก็ด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการปกป้ององค์พระมหากษัตริย์ ที่ถูกคนนินทาว่าร้าย และชอบไปคิดว่าพ่อใจร้ายทิ้งลูก ความจริงมันตรงกันข้ามนะครับ

ที่ต้องพูดกันตรง ๆ ขนาดนี้ เพราะสังคมไทยกำลังจะเลยเถิดไปกันใหญ่โตมาก

ท่านอ้น ท่านจะมาเที่ยว หรือมาอยู่เมืองไทย จะมีแฟน จะมีภรรยา มีครอบครัว จะหย่า จะเลิก จะไม่เลิก หรือไม่อย่างไร ไม่มีปัญหาใด ๆ ผมไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไร ใด ๆ ทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน

แต่ที่ผมเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ เพราะมีคนไทยบางกลุ่มที่ คิดและทำอะไรเลยเถิดเกินไปมาก

หรืออาจจะพูดตรง ๆ ได้ว่า มีบางคนบางกลุ่ม กำลังใช้ท่านอ้นเป็นเครื่องมือทำมาหากินของตนเอง หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า โหนท่านอ้น โหนเจ้าหากิน

โปรดได้เข้าใจเจตนารมณ์ของผมให้ถูกต้องด้วยครับ

ถ้าเจอตัวท่านอ้น ผมก็คงเหมือนคนไทยทั่วไป คือ สามารถกราบไหว้ ท่านได้ด้วยใจเคารพในความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข

แต่ที่ผมเคลื่อนไหว เพื่อสะกิดหรือเตือนสติพี่น้องชาวไทยด้วยกัน ว่าท่านกำลังคิดและทำบางอย่างเลยเถิดมากเกินไป การที่ท่านทั้งหลายไปพูดถึงความเป็นไปได้ที่ท่านอ้นจะเป็นรัชทายาท คือการไปกดดันในหลวงหรือไม่

การใช้คำว่า ทรงพระเจริญ หรือที่เห็นบ่อยๆ ที่คนชอบนำมาโพสต์โดยการเน้นย้ำซ้ำ ๆ อยู่เสมอ ด้วยการเขียนหรือการโพสต์ว่า ท่านอ้นเป็นพระโอรส ซึ่งนั้นคือการมีจุดประสงค์แอบแฝง ในการอ้างเบื้องสูง เพื่อใช้เกิดเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งยวด

โปรดได้เข้าใจเจตนารมณ์ของผมให้ถูกต้องด้วยครับ

อัษฎางค์ ยมนาค

'มโหฬาร' ตำรวจ ปส. แถลงผลจับกุมและปูพรมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายรายสำคัญ ยึดยาบ้ากว่า 33 ล้านเม็ด

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ                          

วันนี้ 3 พ.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการสกัดกั้นเครือข่าย ยาเสพติดรายใหญ่ (นักบินตายแทน) ในห้วงเทศกาลสงกรานต์ได้จำนวน 8 เครือข่าย ผู้ต้องหา 22 คน ตรวจยึดยาบ้า 32,386,000 เม็ด และ ไอซ์ 4.5 กก. ตรวจยึดรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุได้ 15 คัน และ รถจักรยานยนต์ 2 คัน ยึดทรัพย์รวม 5,620,000 บาท โดยจะเรียงลำดับจากหน่วยที่มีการตรวจยึดปริมาณยาเสพติดจำนวนมากที่สุด ตามลำดับดังนี้

1. บก.ปส.3 
คดีแรก ตำรวจ กก.2. บก.ปส.๓ สืบสวนทราบว่าจะมีกลุ่มเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่  เพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ โดยใช้รถพิกอัพ กระทั่งกลางดึกวันที่ 19 เม.ย.67 พบรถพิกอัปเป้าหมาย 3 คัน บรรทุกสิ่งของลักษณะเป็นกระสอบจำนวนมาก บริเวณกระบะท้ายรถพิกอัป 2 คัน และขับติดตามกันเป็นขบวนมุ่งหน้า ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ โดยมีรถจักรยานยนต์หลายคันขับนำทาง ในทิศทางหลบเลี่ยงด่านตรวจยาเสพติดแก่งปันเต๊า ต.แม่นะ อ.เชียงดาว กระทั่งเวลา 01.40 น. ของวันที่ 20 เม.ย.67 สามารถจับกุม นายวิจิตร ได้ที่ริมถนนโยธาธิการเชียงใหม่ ต.อินทขิล อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ ตรวจค้นรถพิกอัปพบยาบ้ารวมจำนวน 14,648,000 เม็ด ส่วนผู้ต้องหา 1 คน ที่อาศัยความมืดหลบหนีไปได้ สามารถรถติดตามจับกุมที่บริเวณภายในเทศบาลตำบลอินทขิล ต.อินทขิล อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ คือ นายโกเอ๋อ

คดีที่ 2 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนทราบว่า นายหน่อคำ พร้อมพวก จะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ ไปส่งต่อให้กับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง โดยการอำพรางด้วยพืชผลทางการเกษตร ตำรวจจึงจัดชุดเฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 7 เม.ย.67 เวลา 22.50 น. พบ บริเวณกระบะท้ายของรถยนต์ที่เฝ้าระวังมีการบรรทุกกล้วยน้ำว้าดิบมาเต็มคันรถ ขับมุ่งหน้าไปทาง จว.ลำพูน ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 00.15 น. ก่อนถึงด่านตรวจแม่ทา ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ประมาณ 300 เมตร เจ้าหน้าที่พบรถต้องสงสัยชะลอความเร็วและจอดชิดข้างถนน จากนั้นนายหน่อคำ ได้ลงมาจากรถและมีรถยนต์ขับมารับตัวแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเวลา 01.30 ของวันเดียวกัน ตำรวจสกัดจับรถเก๋งได้ที่ด่านตรวจแม่ทา ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ - ลำปาง ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา ตรวจค้นรถพิกอัป พบยาบ้ารวม 5,800,000 เม็ด  

คดีที่ 3 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.๓ สืบสวนจนทราบว่า นายสมศักดิ์ พร้อมพวก จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ชายแดน จว.เชียงใหม่ ไปส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์ ตำรวจจึงเฝ้าระวังความเคลื่อนไหว กระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 19 เม.ย.67 พบรถยนต์ที่เฝ้าระวัง 2 คัน ขับนำกันไปตามถนนหมายเลข 11 (ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลำปาง) มุ่งหน้า จว.ลำพูน และตำรวจสกัดจับรถยนต์ 1 คัน ได้บริเวณด่านตรวจแม่ทา ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จว.ลำพูน ภายในรถพบ นายสมศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่ รับสารภาพว่าในรถมียาเสพติดจริง จึงนำตำรวจไปตรวจค้นพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในรถจำนวน 95 แพค รวม 558,000 เม็ด และเวลาประมาณ 17.30 น. ของวันเดียวกัน ตำรวจติดตามรถยนต์อีก 1 คัน และได้จับกุมนายสมรักษ์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่ จากตำรวจได้ขยายผลไปตรวจยึดยาเสพติด คือยาบ้า 2,442,000 เม็ด และไอซ์ น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม ได้ที่บ้านเลขที่ 7/2 หมู่ 7 ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ต่อมาวันที่ 21 เม.ย.67  เวลา 14.00 น. ขยายผลจับกุม นายเอื้อน และ น.ส.ณชนก ซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเครือข่ายได้อีก 2 คน บริเวณถนนกระดานป้าย - ดงจังหัน หมู่ 2 ต.เนินขี้เหล็ก อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์ รวมยาบ้า 3,000,000 เม็ด ไอซ์ 4.5 กิโลกรัม

คดีที่ 4 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 สืบสวนจนพบว่าได้มีเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติด นำของมาพักคอยในพื้นที่ อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ เพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนของประเทศ ตำรวจจึงเฝ้าดู กระทั่ง วันที่ 29 มี.ค.67 ทราบว่าจะส่งมอบยาเสพติดช่วงดึกของวันเดียวกัน จนพบนายเหยา ขับรถยนต์ต้องสงสัยออกมาจากบ้านหนองเต่า ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ลักษณะบรรทุกสิ่งของมีน้ำหนัก โดยมีนายจะหา ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตามหลังออกมาด้วย ก่อนไปจอดบริเวณแยกตลาดน้ำใจ ถนนเลี่ยงเมืองฝาง หมู่ 7 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ตำรวจจึงแสดงตัวขอตรวจค้นทันที ขณะนั้น นายเหยา ได้เปิดประตูรถวิ่งหลบหนีไปได้ ขณะเดียวกันตำรวจอีกส่วนหนึ่งได้เข้าสกัดรถจักรยานยนต์ ของนายจะหา และนำตัวมาตรวจค้นรถยนต์พบยาเสพติด 20 กระสอบ เป็นยาบ้ารวม 2,000,000 เม็ด   

คดีที่ 5 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.๓ พบความเคลื่อนไหมของ นายณรงค์ศักดิ์ และพวก จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ จว.เชียงใหม่ ไปส่งในพื้นที่ อ.บ้านตาก จว.ตาก โดยใช้รถตู้ กระทั่งวันที่ 31 มี.ค.67 พบรถต้องสงสัยขับอยู่บนถนนพหลโยธินบริเวณหน้าโรงพยาบาลบ้านตาก เลี้ยวขับไปตามเส้น อ.บ้านตาก - อ.แม่ระมาด  ไปจอดอยู่ภายในบริเวณวัด พระบรมธาตุตาก วัดหลวงพ่อทันใจ) จากการเฝ้าดูของตำรวจ พบนายณรงค์ศักดิ์ ลงมาจากรถฝั่งคนขับเดินมาเปิดประตูด้านข้างห้องผู้โดยสาร จากนั้นรื้อผนังรถตู้ภายในห้องโดยสาร แล้วหยิบสิ่งของออกจากจุดที่รื้อลักษณะเป็นก้อนห่อหุ้มด้วย ฟรอยสีเงิน ส่งให้ น.ส.นิตยา ใส่ลงลังกระดาษสี่เหลี่ยมภายในห้องโดยสารรถตู้ ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบยาบ้ารวม 698,000 เม็ด  

คดีที่ 6 จากการเฝ้าระวังบุคคลเป้าหมายของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 คือ นายจักรพันธ์ กับพวกพบว่าจะใช้รถกระบะตู้ทึบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.เชียงราย ลงไปพื้นที่ภาคกลาง จนวันที่ 25 เม.ย.67 พบความเคลื่อนไหวของ นายจักรพันธ์ ขับรถยนต์เข้าพักที่รีสอร์ท ในพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย และพบรถกระบะตู้ทึบ 3 คัน เข้าพักที่เดียวกัน จากนั้นวันที่ 27 เม.ย.67 ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดได้มาเข้าพักในพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย กระทั่งออกเดินทาง ในเช้าวันที่ 28 เม.ย.2567       ชุดจับกุม จึงประสานกำลังตำรวจประจำด่านตรวจปูแกง สภ.พาน ทำการหยุดรถเพื่อตรวจสอบและจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 คน ตรวจค้นรถ พบยาบ้า 300,000 เม็ด ที่ ระหว่างนั้นได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง อ.งาว เข้าจับกุม นายจันทวาส ซึ่งทำหน้าที่ขับรถยนต์สำรวจเส้นทางล่วงหน้า ได้บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท.งาว  

2. บก.ปส.2 

คดีที่ 7 ตำรวจ กก.1 บก.ปส.2 ได้ขยายผลเครือข่าย Vuitton และพบว่ายังมีรถในเครือข่ายที่ใช้ลำเลียงยาเสพติด ตำรวจจึงเฝ้าติดตามเครือข่ายดังกล่าว จนวันที่ 28 มี.ค.67 พบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ฒษ-35xx กทม. ซึ่งจะเดินทางจากพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขึ้นไปยังพื้นที่ภาคอีสาน ด้าน จว.บึงกาฬ จึงสะกดรอยติดตาม ต่อมา วันที่ 29 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายวิ่งบน ถ.ชยางกูร ในพื้นที่ ต.ชัยพร อ.เมืองบึงกาฬ  จว.บึงกาฬ แล้วใช้เส้นทางมุ่งหน้ากลับเข้าพื้นที่ตอนในโดยใช้เส้นทางรองผ่าน จว.บึงกาฬ - จว.สกลนคร - จว.อุดรธานี - จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคาม โดยระหว่างการติดตามพบว่ารถคันดังกล่าวมีการใช้ถนนเส้นทางรองเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งเวลา 01.20 น. ของวันที่ 30 มี.ค.67 ขณะที่ติดตามรถเป้าหมายจนถึงบริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจร บ้านวังยาว ถ. ถีนานนท์ ต.เกิ้ง อ.เมืองมหาสารคาม จว.มหาสารคาม ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อจับกุมพบ นายหัสดี คนขับ และ นายพอเจตน์ นั่งข้างคนขับ ตรวจค้นด้านหลังกระบะ พบยาบ้า 5,250,000 เม็ด วางอยู่ท้ายรถ สอบถามผู้ต้องหา สารภาพว่าถูกว่าจ้างให้ขับรถยนต์ไปลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.บึงกาฬ ไปส่งยังพื้นที่ภาคกลาง จว.สมุทรปราการ 

3. บก.สกส.
คดีที่ 8 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ ตำรวจ บก.ขส. สืบทราบว่า นายปานวิไชย ซึ่งมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด และนายอำพล จะร่วมกันลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว ด้าน จว.หนองคาย นำมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล กระทั่งช่วงดึกของวันที่ 26 เม.ย.67 ตำรวจได้จับกุม นายปานวิไชย ได้ที่บริเวณริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้า  

‘ดร.หิมาลัย’ ลงพื้นที่ตรวจสอบ เคสปั๊มเติม ‘น้ำมันผสมน้ำ’ ให้ลูกค้า ชี้ ให้เป็นไปตาม กม. พร้อมกำชับพลังงานทั่วประเทศตรวจเข้ม

‘เสธหิ’ ที่ปรึกษา รมว.พลังงาน ชี้เคสปั๊มเติมน้ำมันผสมน้ำให้ลูกค้า ยกเป็นอุทาหรณ์ ส่วนคดีก็ว่าไปตามกระบวนของกฎหมาย พร้อมขอให้พลังงานจังหวัดแจ้งความดำเนินคดี ส่วนพนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนเพื่อหาความจริงเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม

จากกรณีนางสมนึก สิทธิการณา พลังงานจังหวัดกาญจนบุรี เข้าพบ ร.ต.ท.ทัศเทพ เพร็ชศรี รอง สว. (สอบสวน) สภ.หนองปรือ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีเจ้าของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งตั้งอยู่ท้องที่ ต.สมเด็จเจริญ อ.หนองปรือ จ.กาญจนบุรี ในข้อกล่าวหา กระทำผิดตาม พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 มาตรา 25 วรรค 3 และมาตรา 50 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 48 และ 49

ขณะที่น้องชายเจ้าของปั๊มให้การว่าน้ำมันดีเซล B7 ที่บีบออกจากหัวจ่ายเพื่อให้ลูกค้าเมื่อวันที่ 22 เม.ย.เป็นน้ำมันที่มีน้ำเจือปนอยู่จริง ตามคลิปที่ผู้เสียหายไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก โดยมีพนักงานเป็นผู้บีบตัวอย่างลงในแกลลอน ทางปั๊มเองไม่ทราบว่าสาเหตุที่มีน้ำเจือปนในน้ำมันเกิดจากสาเหตุใด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธหิ ที่ปรึกษาเดินทางมาตรวจสอบและติดตามความคืบหน้ากรณีข้างต้น โดยมีนางนิภา ศรแก้ว ผู้อำนวยการกองคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง นายอัครเดช ศุกระกาญจน์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กรมธุรกิจพลังงาน และนางสมนึก สิทธิการณา พลังงานจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกับ พล.ต.ต.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้บังคับการศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 (ผบก.ศพฐ.7) พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7

พ.ต.อ.สรวิชญ์ บัวกลิ่น ผกก.สภ.หนืองปรือ พ.อ.ทวี ดอนวิจิตร หัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง กอ.รมน.จังหวัดกาญจนบุรี ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่พบว่ามีน้ำปนในน้ำมันดีเซลบี 7 ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของประชาชน และกำชับให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตรวจสอบและดูแลเรื่องคุณภาพ รวมถึงปริมาตรน้ำมันให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อให้ประชาชนไม่ได้รับความเดือดร้อน

พร้อมกันนี้ กองคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงได้เก็บตัวอย่างน้ำมันเพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน โดยมีน้องชายเจ้าของปั๊มพาตรวจสอบ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ ดร.หิมาลัย เปิดเผยภายหลังตรวจสอบว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เนื่องจากประชาชนได้จ่ายเงินค่าน้ำมันไปแล้ว ประชาชนต้องอยากได้น้ำมันที่มีคุณภาพและปริมาณที่ครบถ้วนตามจำนวนเงินที่จ่ายไป

หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่จะต้องลงมาตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ ซึ่งขณะนี้ท่านรัฐมนตรีท่านทำงานอยู่หลายอย่าง เช่น ในระดับนโยบายท่านทำในเรื่องการปรับโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับน้ำมันที่มีความเป็นธรรม แต่ขณะเดียวกันเมื่อมาถึงระดับของประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็ต้องการให้ประชาชนได้รับสินค้าที่ตรงตามคุณภาพและปริมาณของน้ำมันตามที่ได้ระบุไว้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ

สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอยากให้เจ้าที่ที่เกี่ยวข้องมีการตื่นตัว โดยพลังงานจังหวัดทุกจังหวัดจะต้องมีนโยบายแนวทางการตรวจสอบให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนและประชาชนที่ร้องเรียนเพราะถือว่าช่วยเป็นหูเป็นตาให้ทางราชการ ซึ่งทางราชการต้องรีบเข้าไปแก้ไข ต้องฝากไปยังพลังงานจังหวัดทุกจังหวัดว่าต่อไปเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนแล้วจะมีวิธีการอย่างไรที่จะดำเนินการให้ผู้ร้องได้รับความพึงพอใจ และจะมีวิธีการอย่างไรเพื่อที่จะหาความจริงมาตอบประชาชนให้ได้

โดยการเดินทางมาในครั้งนี้ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันเป็นอย่างดี เพื่อที่จะร่วมกันหาทางออก และหาคำตอบให้ประชาชนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นการเจตนาหรือไม่เจตนา เพราะหากมีการพลั้งเผลอหรือบกพร่องตรงไหนผู้ประกอบการจะต้องไปทำการแก้ไข ในส่วนของคดีให้ว่ากันไปตามกฎหมาย โดยพลังงานจังหวัดมีหน้าที่แจ้งความดำเนินคดี ส่วนพนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนเพื่อหาความจริงเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ประกอบการหรือไม่นั้น คงยังตอบไม่ได้ ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายเบื้องต้น ตนยังไม่ทราบว่าข้อกฎหมายเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวน รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดก่อนว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนเกี่ยวกับความหนักเบาของพฤติกรรม

ซึ่งในข้อกฎหมายมีอยู่แล้ว ต่อไปลักษณะของการที่จะเพิ่มโทษอะไรต่าง ๆ ทางผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้วินิจฉัยร่วมกัน แต่ขณะนี้ข้อกฎหมายที่มีอยู่จะต้องบังคับใช้ให้มีความยุติธรรมกับประชาชนและต้องให้ความยุติธรรมกับผู้ประกอบการด้วยว่าเขามีเจตนาอย่างไร ซึ่งต้องฝากไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงต่อไป

ในส่วนนโยบายขณะนี้รัฐมนตรีกำลังดำเนินการแก้ไข เช่น ตอนนี้ได้ให้มีการแจ้งต้นทุนน้ำมัน เพื่อเวลาที่รัฐบาลขอความร่วมมือหรือควบคุมราคาน้ำมันต่าง ๆ จะได้ทราบต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริง ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการแจ้งต้นทุนราคาน้ำมันมาก่อนเลย ทำให้เราไม่สามารถทราบราคาต้นทุนน้ำมันที่แท้จริงได้ ต่อไปเมื่อรัฐบาลสามารถทราบราคาต้นทุนที่แท้จริงได้ จะทำให้รัฐบาลสามารถดูแลประชาชนได้ดีและมีความเป็นธรรมมากขึ้น

‘พล.ต.ท.ไตรรงค์’ ลุยตรวจสอบเพลิงไหม้ ‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ คาด!! ลุกไหม้จากก้นบุหรี่ที่ดับไม่หมด หลังมีเจ้าหน้าที่ลักลอบสูบ

จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณระเบียงอาคาร 1 ชั้น 6 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นสำนักงานของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ นั้น

คืบหน้าล่าสุด (2 พ.ค. 67) เมื่อเวลา 15.15 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บริเวณชั้น 6 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า “เจ้าหน้าที่กลุ่มงานตรวจสอบที่เกิดเหตุ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้ตรวจสอบต้นเพลิง เป็นจุดที่วางกองวัสดุเก่าที่ไม่ใช้งานแล้ว อาทิ แผ่นกันสาด จุดที่ไฟไหม้สิ่งที่พบมากสุด คือ ก้นบุหรี่ทั้งเก่าและใหม่ กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณดังกล่าว เบื้องต้นตั้งข้อสันนิษฐานว่า เพลิงอาจลุกไหม้มาจากก้นบุหรี่ที่ยังดับไม่หมด และลมพัดมาจากบริเวณบันไดหนีไฟที่มีเจ้าหน้าที่ลักลอบสูบบุหรี่”

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวอีกว่า “ในจุดเกิดเหตุไม่ตรวจพบระบบไฟฟ้า จึงคาดว่าไม่ใช่สาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร และอีกประเด็นเรื่องที่คาดว่าไม่ใช่สาเหตุ คือเรื่องอุณหภูมิความร้อนจากแสงแดด ที่ตกกระทบกับกองวัสดุที่ไม่ใช้งาน ซึ่งจากนี้จะต้องพิสูจน์ทราบโดยละเอียดว่าเกิดจากอะไรต่อไป”

“ทั้งนี้ ช่วงนี้ที่สภาพอากาศร้อนอุณหภูมิสูง ขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนในการจุดธูป จุดเทียน หรือสูบบุหรี่ จะต้องทำการดับให้เรียบร้อยก่อนที่จะออกจากบ้าน ก้นบุหรี่ต้องดับในจุดที่ดับบุหรี่เท่านั้น เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า จะต้องตรวจสอบว่าปิดเรียบร้อยก่อนที่จะเดินทาง ถ้าเป็นไปได้ควรถอดปลั๊กออก เนื่องจากหากเสียบปลั๊กและอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในห้อง อาจจะเสี่ยงต่อการจุดติดไฟได้” พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

'คู่รักชาวเกาหลี' แชร์ประสบการณ์ทำกระเป๋าตังค์หายบนรถเมล์ สุดท้ายได้คืน เพราะพี่ๆ พนักงานบนรถ 'เก็บไว้ให้-พาไปรับคืนถึงที่'

(2 พ.ค. 67) จากเพจ 'BKKWheels' ได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องราวคู่รักเกาหลีที่ได้มาเที่ยวเมืองไทย พร้อมทั้งได้สัมผัสกับน้ำใจของคนไทย ว่า...

บ่อยครั้งที่ผมมักจะเห็น YouTuber ชาวต่างชาติรีวิวประเทศไทย ถึงอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว หรือใด ๆ ต่าง ๆ ก็ตามที่เขาได้พบในประเทศเรา ในตอนสรุปสุดท้ายพวกเขาส่วนใหญ่จะพูดเหมือน ๆ กันว่า แต่สิ่งที่ดีที่สุดในการมาท่องเที่ยวเมืองไทย ก็คือ 'คนไทย'

และคลิปคู่รักชาวเกาหลีจากช่อง Nice Week ก็เช่นกัน ที่แชร์ประสบการณ์ทำกระเป๋าตังค์หายบนรถเมล์แต่ได้คืน ซึ่งในฐานะคนไทยที่ได้ดูคลิปนี้ผมก็รู้สึกทึ่งเหมือนกัน กับสิ่งที่พนักงานรถเมล์สาย 76 ทำให้กับนักท่องเที่ยวทั้งสอง ดูแล้วก็รู้สึกประทับใจและขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคนจริงๆ ที่มอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายนี้ให้กับแขกผู้มาเยือน

>> เรื่องย่อ

นักท่องเที่ยวสองคนได้ทำคอนเทนต์ รีวิวรถเมล์ในกรุงเทพฯ ในรูปแบบต่าง ๆ พวกเขาขึ้นลงรถเมล์อยู่หลายคัน ลองรถร้อน รถเย็น จนนาทีที่ 1:53 ของคลิป พวกเขาพบว่ากระเป๋าตังค์หายไป ซึ่งเขาน่าจะขอความช่วยเหลือ จากพนักงานบนรถเมล์ที่เขานั่งอยู่ คงจะพยายามตามหากันจนนั่งไปจนสุดสาย 

จนกระทั่งน่าจะพบว่ากระเป๋ารถเมล์อีกคันเก็บไว้ให้ คนขับรถเมล์และพนักงานบนรถจึงช่วยขับรถเมล์แบบส่วนตัว พาพวกเขาตามไปรับกระเป๋าตังค์คืนมาได้ ดูแล้วรู้สึกสุดยอดจริง ๆ ในน้ำใจของพนักงานรถเมล์สายนี้ และสายที่เก็บกระเป๋าได้ 

เรื่องผ่านมา 1 เดือนแล้ว แต่ยอดวิวมีเพียง 5 พันกว่าวิวเท่านั้น เลยเอาเรื่องนี้มาแชร์ ในมุมดี ๆ ของรถเมล์ไทยครับ

‘ดร.สมชัย’ โพสต์ข้อความ “ค่าเสียโอกาสประเทศ 500,000,000,000 บาท!”

(2 พ.ค. 67) ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง โพสต์ข้อความพร้อมแสดงความรู้สึกเศร้าผ่านเฟซบุ๊ก ‘Somchai Jitsuchon’ ระบุว่า…

“ค่าเสียโอกาสประเทศ 500,000,000,000 บาท!”

จับคู่รสชาติบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาว่าผสมกันแล้วแซ่บขนาด

(2 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘มึง’ ได้โพสต์รูปเกี่ยวกับ ‘มาม่า’ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่เรามักนิยมรับประทานกัน เพราะรับประทานง่ายและสามารถเลือกสรรวัตถุดิบหรือสูตรต่าง ๆ มาปรุงได้ตามใจชอบ ซึ่งทางเพจก็ได้แนะนำสูตรสำหรับ ‘ผสมมาม่า’ ให้อร่อยและแซ่บคูณสองยิ่งขึ้น ดังนี้…

- มาม่า รสเป็ดพะโล้ คู่กับ มาม่า รสต้มยำกุ้ง
- ไวไว รสหมูสับต้มยํา คู่กับ มาม่า รสน้ำตกหมู
- ยำยำ รสต้มยำทะเลน้ำข้น คู่กับ ยำยำ รสสุกี้
- มาม่า รสเย็นตาโฟต้มยำหม้อไฟ คู่กับ ควิก รสต้มยำมันกุ้ง
- คนอร์ พาสต้า คาโบนาร่า รสเบคอนและแฮม คู่กับ มาม่ารสหมูสับ
- ยำยำ รสต้มยำมันกุ้งน้ำข้น คู่กับ ควิก รสต้มโคล้ง

ทั้งนี้ หลังจากโพสต์ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นทั้งคนที่เคยลองกินแบบผสมสูตร รวมถึงคนที่ไม่เคยและอยากจะลิ้มลองอีกด้วย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top