Wednesday, 8 May 2024
NEWS

‘ดร.ธรณ์’ เปิดภาพ ‘ปะการังไทย’ ยุคโลกร้อนทะเลเดือด เศร้าใจ!! ภัยทางธรรมชาติทำลายความสวยงามท้องทะเลไทย

(29 เม.ย. 67) ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศน์ทางทะเล และรองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ ระบุว่า นี่คือปะการังไทยในยุคทะเลเดือด เป็นปะการังหน้าตาประหลาด ทำงานในทะเลมาเกือบ 40 ปี ผมไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน จนมาถึงยุคนี้แหละ

เดิมทีเป็นปะการังก้อนสีสันงดงาม เป็นที่อยู่ของกุ้งน้อยปูเล็ก หอยมือเสือและดอกไม้ทะเล ยังมีปลาพ่อปลาแม่และปลาน้อย อาศัยปะการังเป็นบ้าน เป็นที่คุ้มภัย

เมื่อ 5-6 ปีก่อน ผลของโลกร้อนเริ่มรุนแรง น้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น น้ำลดต่ำผิดปรกติ แดดแรง ปะการังเริ่มฟอกขาว

แต่พวกเธอพยายามสู้ ฟื้นขึ้นมาได้ แต่บนหัวเริ่มตายเพราะโดนแดดเต็ม ๆ ที่พอมีชีวิตคือด้านข้าง หากเป็นทะเลภาวะปรกติ ฟอกขาวหนหนึ่งแล้วหายไป 7-8 ปี ปะการังด้านข้างจะลามขึ้นมาบนหัว ทำให้ทั้งก้อนกลับมามีชีวิต

แล้วทะเล 5-6 ปีที่ผ่านมาปรกติไหม?

คำตอบคือไม่ น้ำร้อนแทบทุกปี ปะการังฟอกขาวเป็นประจำ มากบ้างน้อยบ้าง แต่พวกเธออ่อนแอลง แทนที่ปะการังด้านข้างจะลามขึ้นมาด้านบน กลับกลายเป็นหดหายเสียพื้นที่ลงไปเรื่อย ๆ จนค่อนก้อนกลายเป็นปะการังตาย ปะการังจิ๋วที่เพิ่งลงเกาะใหม่ เธอยังพยายามสู้ เติบโตเป็นปะการังก้อนน้อยบนซากของรุ่นก่อน แล้วก็มาถึงช่วงนี้ น้ำร้อนจี๋ 32-34 องศาติดต่อกันมา 3-4 สัปดาห์ปะการังที่เหลือเพียงน้อยนิดฟอกจนขาวจั๊วะ โอกาสรอดแทบไม่มี เพราะน้ำยังไม่มีท่าทีว่าจะเย็นลง ฝนยังไม่มา ปะการังก้อนน้อยที่อยู่บนหัว สู้มาหลายปี มาบัดนี้เธอก็ฟอกขาวเช่นกัน

จุดจบปะการังก้อนนี้คือตายทั้งก้อน ก้อนเก่าและก้อนใหม่ ไม่มีกุ้งน้อย ไม่มีปูเล็ก ไม่มีปลาพ่อแม่ลูก ไม่มีชีวิตสุขสันต์ใต้ทะเลไทย ไม่มีความสวยให้คนมาดู ไม่มีบ้านสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ท้องทะเลอีกต่อไป

ตายๆๆ ไม่ใช่ก้อนเดียว แต่เป็นพันก้อน หมื่นก้อน แสนก้อน ล้านก้อน ตำนานหลายล้านปีของระบบนิเวศยิ่งใหญ่ที่สุดในท้องทะเล สวยและหลากหลายที่สุดในโลก มาถึงบทอวสาน ภาพนี้เพื่อนธรณ์ส่งมาจากชุมพร วันนี้ แต่ยังมีอีกหลายที่ ชลบุรี ระยอง เรื่อยไปจนถึงตราด หรือเลยลงไปทางใต้ สมุย พะงัน เราพบปะการังประหลาดได้ทั่วไป

ปะการังที่ร่อแร่ใกล้ตาย มาถึงจุดสุดท้ายในปีที่ทะเลเดือดสุด ตายทั้งก้อน ไม่มีโอกาสฟื้นคืนกลับมา ที่แค้นสุดคือเราได้แค่มองดูเธอตาย ไม่มีทางช่วย ไม่มีหนทางอื่นใด มันคือโลกร้อนทะเลเดือด มันคือภัยพิบัติครั้งใหญ่สุดของท้องทะเล และมันจะแรงยิ่งขึ้น ๆ ในอนาคต นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าปะการังในโลกจะพินาศเกือบหมดสิ้นในอีก 30 ปีข้างหน้า แต่ทะเลไทยอาจไม่นานขนาดนั้น โดยเฉพาะในอ่าวไทย แค่นี้ก็ตายไปเยอะแล้ว และจะยิ่งตายเยอะ ตราบใดที่อุณหภูมิน้ำยังไม่ลดลง

ตายๆๆ จนหมดท้องทะเล

อ่านถึงประโยคนี้ ผมรู้ดีว่าเพื่อนธรณ์เศร้า แถมเป็นความเศร้าที่แทบไร้หวัง แต่พรุ่งนี้ยังมี แล้วเราจะเบือนหน้าหนีเธอไหม ?

ไม่ต้องโทษคนอื่น ไม่ต้องเหลียวมองคนข้าง ๆ ว่าจะทำหรือไม่ ? ก็แค่ถามใจตัวเอง เราจะทำเช่นไร ? ก็แค่ถามใจตัวเอง…

หมายเหตุ - ทำอย่างไรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ทุกท่านทราบดี ลดขยะ ลดน้ำทิ้ง ไม่กินฉลาม ปลานกแก้ว สัตว์หายาก ไม่ให้อาหารปลา เก็บขยะ ฯลฯ เป็นเรื่องที่พวกเรารู้ดีอยู่แล้ว สนับสนุนผู้ประกอบการที่ดี ไม่สนับสนุนคนที่เอาเปรียบธรรมชาติ ช่วยคนที่พยายามสู้เพื่อรักษาป่าไม้ ทะเล และโลก ก็แค่ทำต่อไปและทำให้มากขึ้น มากๆๆ

'สื่อนอก' เผย!! อากาศร้อนจัดคร่าชีวิตคนไทยไปแล้วหลายสิบราย พร้อมดันสถิติการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ 36,356 เมกะวัตต์

(29 เม.ย.67) รายงานข่าวของบลูมเบิร์ก อ้างอิงข้อมูลของกระทรวงพลังงาน ระบุว่า อุปสงค์ไฟฟ้าแตะระดับ 36,356 เมกะวัตต์ ในช่วงค่ำวันเสาร์ (27 เม.ย.) ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลของประเทศ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (22 เม.ย.) ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาของไทย ระบุว่าทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ได้รับคาดหมายว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีอากาศร้อนสุดในประเทศ สามารถวัดอุณหภูมิได้สูงสุดถึง 44 องศาเซลเซียส ในบางพื้นที่ในวันอาทิตย์ (28 เม.ย.)

ทั้งนี้ บลูมเบิร์ก ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขของไทย ได้ออกคำแนะนำให้ประชาชนอยู่แต่ในที่ร่มและหลีกเลี่ยงการทำงานกลางแจ้งต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เพราะยอดผู้เสียชีวิตอันเนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัด ได้เพิ่มขึ้นเป็นราว 30 รายทั่วประเทศในปีนี้ ขณะที่ตลอดทั้งปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตอันเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศร้อนจัดเพียงแค่ 37 ราย

ดัชนีความร้อน (Heat Index) ของกรุงเทพฯ มาตรวัดอุณหภูมิที่ร่างกายคนเรารู้สึกตามความสัมพันธ์กันระหว่าง อุณหภูมิและความชื้นพุ่งเหนือ 52 องศาเซลเซียส ระดับที่เป็นอันตรายอย่างมาก ในวันเสาร์ (27 เม.ย.) จากข้อมูลของศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ที่เรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งนี้ได้มีการออกถ้อยแถลงแบบเดียวกันนี้มาอย่างต่อเนื่องทุกวันนับตั้งแต่วันที่ 20 เมษายนเป็นต้นมา ตามรายงานข่าวของบลูมเบิร์ก

อ้างอิงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา บลูมเบิร์กระบุว่าอุณหภูมิสูงสุดเท่าที่เคยวัดได้ในไทย อยู่ที่ 44.6 องศาเซลเซียส ในปี 2016 และ 2023 

'รูปภาพ-สเตตัสข้อความ' ใน Facebook สร้างเงินได้แล้ว ไม่จำกัดแค่ 'วิดีโอ' ค่าเฉลี่ย 1,000 Like ได้ 100 บาท หวังกระตุ้นกำลังใจคนทำคอนเทนต์

ไม่นานมานี้ เพจ 'Money Better' ได้โพสต์การอัปเดตและรายละเอียดของ 'ยอดไลก์' ใน Facebook ที่ล่าสุดสามารถสร้างรายได้เป็นโบนัสแก่ 'คนที่ทำคอนเทนต์' ในรูปแบบของ 'รูปภาพ' และ 'สเตตัสข้อความ' จากปกติจะเกิดรายได้แค่ 'คนที่ทำวิดีโอเท่านั้น' ว่า...

>> วัตถุประสงค์หลักของโปรแกรมนี้
- เป็นการจูงใจให้คนทำคอนเทนต์โพสต์เนื้อหาคุณภาพบนเฟซบุ๊กมากขึ้น
- สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและน่าสนใจ
- แสดงให้เห็นว่าเฟซบุ๊กให้ความสำคัญกับคอนเทนต์เนื้อหาดี และ สนับสนุน คนทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ

>> คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโปรแกรมนี้
- อายุ 18 ปีขึ้นไป 
- ปฏิบัติตามนโยบายการสร้างรายได้ของเฟซบุ๊กผ่านแล้ว
- เป็นคนทำคอนเทนต์ที่มีผลงานบนแพลตฟอร์ม Facebook อยู่แล้ว
- ต้องได้รับเชิญจาก Facebook เท่านั้น (แอดเองก็ได้รับเชิญนะฮ่าๆ)

>> นโยบายการจ่ายเงิน
- คำนวณจากการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ เช่น การรับชม, ไลก์, แสดงความคิดเห็น, แชร์
- ยิ่งคอนเทนต์มีผู้มีส่วนร่วมสูง คนทำคอนเทนต์ก็จะได้รับค่าตอบแทนมากขึ้น
- ตอนนี้ Facebook ยังไม่เปิดเผยสูตรคำนวณค่าตอบแทนอย่างชัดเจน

***แต่แอดลองคำนวณดูเล่นๆ แล้ว ถ้าหากว่าเราได้ 1,000 ไลก์ (ใน FB) จะได้อยู่ที่ประมาณ 100 บาท (ซึ่งแอดคำนวณเล่นๆ นะครับ อาจจะยังไม่ชัดเจน)

>> ผลตอบแทนโดยประมาณ
- ส่วนใหญ่จะได้รับประมาณ 10-20 ดอลลาร์ต่อวัน (370-740 บาท)

ปล.ซึ่งในส่วนนี้แอดก็ไม่มั่นใจว่ามันชัวร์หรือเปล่า แต่แอดก็ได้ประมาณราวๆ นี้เช่นกัน

- ยิ่งมีผู้ติดตามเยอะ ยิ่งมีโอกาสได้รับค่าตอบแทนสูงกว่า
- ไม่มีเพดานรายได้จำกัด ขึ้นอยู่กับปริมาณคอนเทนต์และผู้มีส่วนร่วม 

หรือ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ยิ่งขยันโพสต์ ก็ยิ่งได้ตังค์

หลังจากที่แอดได้อ่านนโยบายใหม่ของ Facebook ที่สนับสนุน Content Creator มากขึ้น

แอดเองต้องขอชื่นชม Facebook ที่ออกนโยบายนี้ ที่พยายามส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มคนที่ทำคอนเทนต์สายรูปภาพ และข้อความมากๆ

เพราะแอดก็ได้รับประโยชน์จากจุด ๆ  นี้เช่นกัน ทำให้มีกำลังใจในการทำ Content เพิ่มมากขึ้นจริงๆ แบบชัดเจน 

เพราะปกติแล้วสำหรับ Content Creator สายรูปภาพ, ข้อความ เราจะไม่ได้รับรายได้จากการโพสต์ เหมือนสาย VDO 

เราต้องหารายได้จากช่องทางอื่นๆ แทน เช่น สปอนเซอร์, การสนับสนุนจากแบรนด์ หรือ ขายสินค้าของตัวเอง หรือแม้จะเป็นการทำ Affiliate Marketing ก็ตาม

แต่เมื่อล่าสุด Facebook ได้มีการออกมาสนับสนุน Content Creator สายรูปภาพ และ ข้อความด้วย

ทำให้ Content Creator สายนี้ มีรายได้เข้ามาเพิ่มอีก 1 ช่องทาง ช่วยให้มีแรงขับเคลื่อนและกำลังใจในการทำเนื้อหาดีๆ เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น

หากดูในแง่จำนวนเงินที่จะได้รับ แม้อาจ ยังไม่ได้มหาศาลในตอนนี้ แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นดีเลย สำหรับคนทำคอนเทนต์ที่กำลังมองหาช่องทางสร้างรายได้เสริมใหม่ๆ นอกเหนือจากช่องทางรายได้ที่มีอยู่แล้ว 

เราแค่ทำแบบเดิมในทุกๆ วัน แต่เรากลับมีรายได้เพิ่มเข้ามาอีก 1 ช่องทาง

มันก็ต้องดีอยู่แล้ว ถูกต้องไหมครับฮ่าๆ

โดยรวมแล้ว การเปิดตัวโปรแกรมสร้างรายได้ของ Facebook ในครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในก้าวที่สำคัญของ Facebook ที่จะมาเป็น Game Changer สำหรับคนที่ทำคอนเทนต์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้นอย่างมหาศาลเลย

'รมว.ปุ้ย' เริ่มเดือด!! หลังสารเคมีโรงงานที่อยุธยารั่ว 3 ครั้งติดต่อกัน ลั่น!! อย่าให้เกิดอีก หวั่น!! 'ปชช.ผวา-ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวถูกฉุด'

จากเหตุสารเคมีรั่วไหลในพื้นที่โรงงานบริษัทเอกอุทัย อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงเย็นวันที่ 27 เม.ย.67 ซึ่งเป็นการรั่วครั้งที่ 3 ของโรงงานดังกล่าว สร้างความหวาดผวาให้กับชุมชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงสถานพยาบาลและสถานีตำรวจ 

เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตนสั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงาน ให้เร่งหาสาเหตุและแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ตลอดจนภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยเพิ่งจะได้รับการยกย่องจาก นิตยสาร CEOWORLD ให้เป็นอันดับ 1 ประเทศน่าเยี่ยมชมที่สุดประจำปี 2024

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นกังวลที่สุด และไม่อยากให้เกิด คือ การเกิดเพลิงไหม้คล้ายกรณี บริษัทแวกซ์กาเบจ ที่ราชบุรี โกดังเก็บสารเคมีที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา และ บริษัทวินโพรเสส ที่ จ.ระยอง ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อน หวาดกลัว และปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ 

"ดิฉันจึงได้สั่งการให้ปลัดอุตฯ และอธิบดีกรมโรงงาน เร่งหาตรวจสอบหาสาเหตุจากต้นตอ และดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่สบายใจ และกำชับให้หามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก โดยเฉพาะโรงงานเก็บกากอุตสาหกรรมที่เป็นสารเคมีหรือวัตถุอันตรายที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ และต้องรายงานทุกระยะ" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว 

อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ม.รามคำแหง คว้ารางวัล UNESCO/IOC-WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024

รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และนายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น (WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024) จากคณะอนุกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยสมุทรศาสตร์ภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตก (IOC Sub Commission for the Western Pacific: IOC-WESTPAC) ภายใต้องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เพื่อเชิดชูนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ทางทะเล มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตก ปัจจุบัน IOC-WESTPAC ประกอบด้วย 22 ประเทศสมาชิก เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย ฯลฯ

พิธีมอบรางวัล UNESCO/IOC-WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ภายในงานประชุมวิชาการนานาชาติ 2nd UN Ocean Decade Regional Conference & 11th WESTPAC International Marine Science Conference ภายใต้หัวข้อ “Accelerating Ocean Science Solutions For Sustainable Development” ระหว่างวันที่ 22 – 25 เมษายน 2567 ณ โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติฯ

นาย Wenxi Zhu หัวหน้าสำนักงาน IOC-WESTPAC ซึ่งเป็นองค์กรประสานงานของ UNESCO ในภูมิภาค กล่าวถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลและชายฝั่ง สุขภาพของระบบนิเวศในมหาสมุทร การพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงิน และการดำเนินงานของประเทศไทยภายใต้ทศวรรษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยวิทยาศาสตร์ทางมหาสมุทรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นับเป็นก้าวสำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก IOC-WESTPAC มอบรางวัล Outstanding Scientist Award ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2014 ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานยอดเยี่ยม 5 ท่าน และในปี ค.ศ. 2017 จำนวน 3 ท่าน สำหรับในปี ค.ศ. 2024 IOC-WESTPAC พิจารณาคัดเลือกนักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานวิจัยดีเด่น และเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการพัฒนาวิทยาศาสตร์มหาสมุทรในภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตกอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง จำนวน 5 ท่าน ดังนี้

1) Dr. Zainal Arifin, National Research and Innovation Agency, Indonesia
2) Dr. Thamasak Yeemin, Ramkhamhaeng University/Marine Science Association of Thailand
3) Dr. Daoji Li, East China Normal University, China
4) Dr. Vo Si Tuan, GEF/UNEP South China Sea SAP Project/ Institute of Oceanography, Vietnam
5) Dr. Gil Jacinto, University of the Philippines, the Philippines
 
รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน นักวิทยาศาสตร์ไทยที่ได้รับรางวัลนี้ เป็นผู้ที่ได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาเกือบสี่ทศวรรษในการทำงานด้านชีววิทยา นิเวศวิทยา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงพื้นที่คุ้มครองทางทะเล มีประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการจัดการ การอนุรักษ์ และการวิจัย เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Asia Pacific Coral Reef Society และเป็นประธานการจัดประชุมวิชาการ Second Asia Pacific Coral Reef Symposium เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร International Society for Reef Studies (ISRS) นายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย และทำงานให้กับองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง ตลอดจนหน่วยงานระดับภูมิภาค ระดับประเทศ หน่วยงานระดับท้องถิ่น และองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อวางแผนและดำเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เช่น ASEAN-Australia Economic Cooperation Program on Marine Science Project, UNEP/GEF Project on Reversing Environmental Degradation Trends in the South China Sea and Gulf of Thailand, Global Coral Reef Monitoring Network, International Coral Reef Initiative, International Maritime Organization, United Nations Development Programme, German Corporation for International Cooperation GmbH, ASEAN Center for Biodiversity, Too Big To Ignore Project: Global Partnership for Sustainable Fisheries Research, COBSEA Working Group on Marine and Coastal Ecosystems ฯลฯ

รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ได้รับเชิญให้เป็น Keynote Speaker, Invited Speaker และ convenor ของการประชุมนานาชาติจำนวนมาก เช่น International Coral Reef Symposium, International Marine Conservation Congress, Asian Marine Biology Symposium, Pacific Science Congress, IMBeR West Pacific Symposium ฯลฯ เป็น project leader ของ IOC-WESTPAC Program on the Coral Reef Resilience to Climate Change and Human Impacts เป็นประธาน และผู้ร่วมจัด First, Second and Third Summer Schools for IOC/WESTPAC-CorReCAP Project และสนับสนุนการดำเนินงานของ IOC-WESTAPAC มาอย่างต่อเนื่อง เป็นบรรณาธิการรับเชิญของวารสาร Deep-Sea Research Part II (ELSEVIER), Coral Reefs under the Climate and Anthropogenic Perturbations (CorReCAP): An IOC/WESTPAC Approach เป็นบรรณาธิการ และผู้เขียนในหนังสือ: Coral Reefs of the World Vol. 14 (Springer) - Coral Reefs of the Western Pacific Ocean in a Changing Anthropocene และมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ทั้งในวารสารระดับชาติและระดับนานาชาติจำนวนมาก

ด้วยการอุทิศตนอย่างแน่วแน่ในสาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาเกือบสี่ทศวรรษ และเป็นแบบอย่างของนักวิจัยที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง มีผลงานที่โดดเด่น ทำให้ได้รับการยอมรับและความเคารพอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่ในวงการวิทยาศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในระดับนานาชาติด้วย รศ.ดร.ธรรมศักดิ์ ยีมิน จึงสมควรได้รับรางวัล UNESCO/IOC-WESTPAC Outstanding Scientist Award 2024

'ผู้โดยสาร' โวย!! เจอที่นั่งชั้นธุรกิจการบินไทยปรับเอน-นอนไม่ได้ 'ผจก.เที่ยวบิน' รับ!! เสียมาเดือนกว่า แต่ไม่เข้าใจทำไมยังปล่อยขาย

(28 เม.ย. 67) นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตนักการเมือง รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหารบริษัท นิว เอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ NEPS ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ การเดินทางด้วย เครื่องบินของสายการบินไทย ชั้นธุรกิจ โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ผมมีกำหนดการพาลูกค้าไปดูงานที่ปักกิ่ง โดยตั้งใจอุดหนุนการบินไทย เลือกเดินทางชั้นธุรกิจ จำนวน 6 ท่าน มูลค่าตั๋วหลายแสนบาท
และแจ๊คพ็อตก็เกิดขึ้นกับผม ระหว่างเดินขึ้นเครื่อง ทางฝ่ายภาคพื้นเข้ามาแจ้งว่า 2 ที่นั่งของผมและลูกค้าผมเสีย ไม่สามารถปรับเอน หรือปรับนอนได้แม้แต่น้อย และเอาเงินใส่ซองมาให้ 5,500 บาท พร้อมให้เซ็นยินยอม เสมือนปิดปาก (ปกติราคาค่าตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจไปปักกิ่งเที่ยวละ 33,000 บาท)

เมื่อขึ้นเครื่องฯ หัวหน้าผู้จัดการบนเที่ยวบินได้เดินมาขอโทษและแจ้งว่า 

“สองที่นั่งนี้เสียมาเดือนกว่าแล้ว และพวกเราก็แจ้งแล้วว่าอย่าปล่อยตั๋ว และไม่เข้าใจว่าทำไม การบินไทยยังขายตั๋ว 2 ที่นั่งนี้ เพราะสุดท้ายพวกผมก็ต้องเป็นคนรับหน้า โดนลูกค้าต่อว่า”

และเชื่อมั้ยครับว่า นี่คือครั้งที่สองของผม ที่โดนแบบนี้ในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน
ฉะนั้นเมื่อขนาดข้อความจากหัวหน้าลูกเรือยังไปไม่ถึงผู้บริหารการบินไทย และสินค้ายังเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งนี้ผมจึงเลือกไม่เขียนเอกสาร Complain แบบที่เคยทำอีกต่อไป เพราะพวกคุณคงจะเพียงรับมันแล้วซุกไว้ใต้โต๊ะอีก จึงตัดสินใจเขียนโพสต์นี้เปิดผนึกถึงผู้บริหารการบินไทย

โปรดอย่าเอาคำว่ารักคุณเท่าฟ้า ให้เป็นเพียงวาทกรรม โกหกปลิ้นปล้อน หลอกลวง > ผมในฐานะผู้โดยสารเลือกเดินทางกับการบินไทย เพราะคาดหวังในสินค้า และบริการของการบินไทย และอยากอุดหนุนสายการบินของชาติ

แม้ค่าตั๋วคุณแพงกว่าคนอื่น ผมก็ยังซื้อและอุดหนุน แต่ผู้บริหารคุณกลับไม่มีจิตใจที่เอาความสะดวกสบายของลูกค้าเป็นตัวตั้งเลย

เพราะหากคุณคิดถึงหัวใจของลูกค้า คุณจะไม่มีทางขายตั๋วสินค้า defect เหล่านี้ และมันตอกย้ำถึงการไร้ Service Mind ของผู้บริหารอย่างมาก เพราะคิดแต่จะขายๆๆๆ เอารายได้เข้าบริษัทอย่างเดียว แม้สินค้าจะเจ๊ง ลูกน้องจะเตือน ก็ช่างมัน

ฉะนั้นวันนี้ผมจะเป็นผู้โดยสารที่จะขอไม่รับเงินค่าชดเชย และไม่เซ็นเอกสารยินยอมใดๆทั้งสิ้น

> เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารท่านอื่นต้องมาเจออะไรแบบนี้
> เพื่อไม่ให้นทท.ที่มาเที่ยวไทย ต้องเจอสินค้าที่พัง
> เพื่อให้คุณรู้จักรับฟังเสียงของลูกเรือมากกว่านี้
> เพื่อให้คุณหยุดหลอกลวง โฆษณาเกินจริง โดยต้องพัฒนาและตรวจเช็คสินค้าให้ดีกว่านี้

1.) ผมจะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายกับผู้บริหารการบินไทย เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริหารชุดนี้แสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก เพราะเคยเขียน report complain แล้ว > แต่ไม่แก้ไข พนักงานบนเครื่องตกเป็นแพะ > ผู้บริหารองค์กรไม่เคยต้องรับผิดชอบใดๆ
2.) ผมจะดำเนินการร้องเรียนคณะกรรมาธิการคมนาคม ให้ตรวจสอบสินค้าที่เป็น defect ของเครื่องการบินไทย รวมถึงแนวทางป้องกันแก้ไข / จากที่ผมได้พูดคุยสอบถามพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ทราบว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้ประจำหลายเที่ยวบิน ไม่ว่าจะเก้าอี้เสีย, IFE เสีย หรืออุปกรณ์อื่นๆเสีย จนลูกเรือเอือมระอา ต้องโดนผู้โดยสารต่อว่า เสียความรู้สึกทั้งพนักงานและผดส. และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการบินไทยอย่างมาก
> ช่วยการบินไทยประหยัดเงินค่าชดเชย  
> เอาผู้บริหารที่ห่วยแตกลาออกยกชุด  
> เงินสายการบินชาติอยู่ครบ พร้อมได้คนใหม่ที่ดีกว่ามาบริหารแทน  

ด้วยความปรารถนาดี
ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส

นาวิกโยธิน-อเมริกา บุกพัทยาคืนแรก ยังไม่คึกคักคาดพรุ่งนี้แน่นพัทยา

จากกรณี เมื่อคืนวันที่ 26 เมย 67 นาวิกโยธินอเมริกัน กว่า 6,000 นายจากกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่ 9  ( CSG – 9 ) เรือธง USS Theodore Roosevelt (CVN 71 ) และกองบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน (CVW ) ที่ 11 รวม 6,000 กว่านาย จะจอดเทียบท่าที่ ท่าเรือแหลมฉบังเพื่อพักผ่อนประจำปี เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และจุดมุ่งหมายหลักที่กลุ่มนาวิกโยธินต้องการไปเที่ยวคือเมืองพัทยา เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ทำให้นักธุรกิจสถานบริการต่างยิ้มรับกับการเข้ามาในครั้งนี้ เพราะคาดว่าจะมีการจับจ่ายเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท ในช่วงนี้แน่นอน

จากการลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ ย่านวอล์กกิ้งสตรีทพัทยาใต้ พบว่าบรรดาทหารอเมริกันต่างกระจัดกระจายกันเข้าใช้บริการสถานประกอบการ ต่างๆ เป็นกลุ่ม เช่น อะโกโก้ และบาร์เบียร์บ้างเนื่องจากบาร์เบียร์ มีมากมายทำให้ดูว่าไม่คึกคักเหมือนก่อน อาจจะเป็นเพราะคืนนี้ เป็นคืนแรกยังมีทหารนาวิกโยธิน อเมริกัน ยังคงไม่ขึ้นฝั่งก็เป็นได้ 

นายสุนทร ( ขอสงวนนามสกุล) เจ้าของอะโกโก้ ภายในวอล์กกิ้งสตรีท กล่าว่า ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นต้นมา นักธุรกิจย่ำแย่มาตลอด พอเมืองพัทยาจัดสงกราต์ ทำให้ภาคธุรกิจลืมตาอ้าปากได้บ้าง และการยกลขึ้นบกของทหารอเมริกัน ในครั้งนี้ยิ่งทำให้ชาวพัทยายิ้มออกได้เต็มที่ เพราะคาดว่าเงินจะสะพัดหลายร้อยล้านบาทแน่นอน ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยว และอยากให้ชาวพัทยา เป็นเจ้าบ้านที่ดีดูแลนักท่องเที่ยวให้ดีเขาจะได้ประทับใจ บอกต่อเป็นผลดีแก่การท่องเที่ยวพัทยา

ด้านคุณไก่ เจ้าของอะโกโก้ และคุณคริส ผู้จัดการ ได้ให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวว่า เศรษฐกิจของพัทยาดีขึ้น รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่มีทหารอเมริกันเข้ามาท่องเที่ยวในพัทยา และร้าน XS อะโกโก้ มีความคึกคักเป็นอย่างมาก ที่ทหารอเมริกันได้มาท่องเที่ยวที่ร้านของตน ส่วนในเรื่องรายได้นั้นมีความฟื้นฟูต่อเนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจชาวพัทยาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกล่าวขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวพัทยา

คุณลิซ่า แฮมิลตัน นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน เมืองพัทยา กล่าว่าผู้ประกอบการสถานบันเทิงเมืองพัทยาตื่นเต้นที่ทหารอเมริกันยกพลขึ้นบกเมืองพัทยาเพราะคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากมายเหมือนอดีตที่ผ่านมา แต่กลายเป็นทหารเหล่านั้นเปลี่ยนพฤติกรรมไปเดินตามชายหาดหรือเดินจับจ่ายตามห้าง อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน หรือเพราะกฎระเบียบของทางฝ่ายรักษาความปลอดภัยของทางอเมริกันเองก็เป็นได้ เพราะครั้งนี้มีระยะเวลาจำกัดในการอยู่บนบก เพราะกลัวจะเกิดเหตุทหารเมา และก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันทำให้สร้างความเดือดร้อนต่อส่วนรวมก็เป็นไปได้ แต่ต้องรอดูวันต่อไปอีกที

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

‘อิรัก’ ออกกฎหมายต่อต้าน LGBTQ  โทษจำคุกสูงสุด 15 ปี แค่ส่งเสริมก็ถือว่าผิด 

(28 เม.ย. 67) รัฐสภาอิรักผ่านกฎหมายลงโทษผู้ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันโดยมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี ในความเคลื่อนไหวที่รัฐสภาอิรักระบุว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาคุณค่าทางศาสนา

เอกสารสำเนากฎหมายระบุว่า กฎหมายนี้มีเป้าหมาย เพื่อปกป้องสังคมอิรักจากความเสื่อมทรามทางศีลธรรมและกระแสการเรียกร้องให้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศที่กำลังครอบงำโลก

กฏหมายนี้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคมุสลิมนิกายชีอะห์หัวอนุรักษ์ ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภาอิรัก

กฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการค้าประเวณีและการรักร่วมเพศ” กำหนดให้บุคคลใดที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน จะต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปีและสูงสุด 15 ปี และต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 7 ปีสำหรับใครก็ตามที่ส่งเสริมการรักร่วมเพศหรือการค้าประเวณี

กฎหมายยังกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงเพศทางชีวภาพถือเป็นอาชญากรรม และลงโทษคนข้ามเพศและแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเปลี่ยนเพศ โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี

เดิมร่างกฎหมายดังกล่าวเสนอให้มีโทษประหารชีวิตด้วย แต่ได้รับการแก้ไขก่อนที่จะผ่านการพิจารณา ภายหลังการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสหรัฐฯ และชาติยุโรป

ก่อนหน้านี้ อิรักไม่ได้กำหนดความผิดทางอาญาต่อกิจกรรมทางเพศของคนเพศเดียวกันอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีการใช้มาตราศีลธรรมที่กำหนดไว้อย่างหลวม ๆ ในประมวลกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดเป้าหมายกลุ่ม LGBTQ และเคยเกิดกรณีที่ชาว LGBTQ ถูกกลุ่มสังหารเช่นกัน

ราชา ยูเนส รองผู้อำนวยการฝ่ายสิทธิ LGBTQ ขององค์กรฮิวแมนไรต์สวอตช์ กล่าวว่า “การที่รัฐสภาอิรักผ่านกฎหมายต่อต้าน LGBT ถือเป็นการตอกย้ำประวัติการละเมิดสิทธิของกลุ่ม LGBTQ ที่น่าตกใจของอิรัก และส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”

ด้าน ราซอว์ ซาลิฮี จากแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล บอกว่า “การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของ LGBTI ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และทำให้ชาวอิรักตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งชีวิตของพวกเขาถูกไล่ล่าทุกวัน”

ในปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหญ่ ๆ ของอิรักได้วิพากษ์วิจารณ์สิทธิของ LGBTQ มากขึ้น โดยธงสีรุ้งมักถูกเผาในการประท้วงโดยกลุ่มมุสลิมนิกายชีอะห์อนุรักษ์นิยม

ปัจจุบัน มีมากกว่า 60 ประเทศที่กำหนดความผิดทางอาญาสำหรับพฤติกรรมของคนรักเพศเดียวกัน ขณะที่มีกว่า 130 ประเทศรับรองหรือเปิดกว้างต่อความรักทุกรูปแบบ

เปิดข้อมูล ฟาดใส่ คนให้ร้าย ทำลายประเทศชาติ จากคลิป ‘กระxรี่อยู่ไหน’ ชี้ชัด!! ทหารสหรัฐฯ ตั้งใจมา ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เพลิดเพลินกับซอฟต์พาวเวอร์

(28 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง’ ได้โพสต์ข้อความ ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อชี้แจง กรณีมีผู้ที่เล่นสนุกด้วยความคึกคะนอง ไม่สนใจความเสียหายของประเทศไทย ทำคลิป  ‘กระxรี่อยู่ไหน’ ดูหมิ่นประเทศไทย โดยได้ให้ข้อมูลอีกมุม ระบุว่า ...

คนที่เล่นมุก " กระxรี่อยู่ไหน, Soft power พัทยา " หนูขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ เผื่อจะคิดอะไรได้บ้าง

บนเรือรบสหรัฐมีทหารและเจ้าหน้าที่รวมกว่า 6,000 คน เป็นผู้หญิง 1 ใน 3 หรือประมาณ 2,000 คน และ มีผู้หญิงไทย ที่ได้กรีนการ์ดเป็นทหารประจำการบนเรือด้วยค่ะ

เรือรบลำนี้ไม่ได้เทียบท่ามากว่า 4 เดือน ทำให้บางครอบครัวของทหาร บินมาไทยเพื่อหวังได้เจอหน้าทหาร ที่เป็นลูกหรือสามีตามแต่ละครอบครัว

ทหารส่วนใหญ่จึงตั้งใจมาพักผ่อน ท่องเที่ยวและเพลิดเพลินกับซอฟต์พาวเวอร์ทางวัฒนธรรมจริงๆ ได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวที่เขารัก

ดังนั้น การจะเล่นมุกเพื่อความสนุกปากหรือความสะใจ ตีขลุมว่ามา6พันคนแล้วจะมาเที่ยวผู้หญิงอย่างเดียวมันเป็นการไม่ให้เกียรติทั้งคนของเขาและผู้หญิงไทยเองด้วยค่ะ

ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีทหารไปเที่ยวผู้หญิง แต่การชี้นำไปแต่เรื่องเหยียดเพศ เหยียดอาชีพ แบบนี้หนูว่ามันไม่ได้เป็นผลดีกับประเทศชาติเลย

ถ้าไม่รักประเทศ ขอให้คิดถึง ผู้หญิงไทยที่ทำงานบนเรือด้วยค่ะ พวกเธอจะรู้สึกอย่างไรที่พยายามทำชื่อเสียงให้ประเทศ แต่คนในชาติบางคนพยายามเหยียบย่ำเธอให้จมดิน ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณภาพ Defense Info TH

ดนตรีในสวน ‘เฉลิมพระเกียรติในหลวง ร.10’ วันนี้ที่ ‘สวนรถไฟ’ จัดอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้ปชช. ได้สัมผัสกับ บทเพลงพระราชนิพนธ์

(28 เม.ย. 67) ทุกวันที่ 28 ของทุกเดือน ตลอดปี พ.ศ.2567 คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 กำหนดให้จัดกิจกรรมดนตรีในสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยความร่วมมือของกรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร รวมถึงเหล่าศิลปิน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมรับฟังบทเพลงอันไพเราะและทรงคุณค่า

เช่น เพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และบทเพลงทั่วไป ในบรรยากาศสวนสวยใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดปีมหามงคล และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ

โดยในวันที่ 28 เม.ย.2567 กิจกรรมดนตรีในสวน มีกำหนดจัดขึ้น ณ สวนวชิรเบญจทัศ หรือ สวนรถไฟ ประชาชนสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป นอกจากบทเพลงจากวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีกลุ่มศิลปินนำโดย คุณโฉมฉาย อรุณฉาน และศิลปินรุ่นใหม่ จากการประกวดในรายการเพลงเอกร่วมขับร้องบทเพลงอันไพเราะ เช่น ธัช กิตติธัช แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 1 แบ๊งค์ เฉลิมรัฐ จุลโลบล แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 2 เซม ภานุรุจ พงพิทักษ์กุล แชมป์รายการเพลงเอกซีซัน 3 และ โอ๋ ชุติมา แก้วเนียม ผู้ร่วมประกวดรายการเพลงเอกซีซัน 2

ในปีมหามงคลนี้ ทางคณะกรรมการฯ ก็ขอเชิญชวนประชาชนคนไทย ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยเข้าร่วมกิจกรรมที่รัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนทั่วประเทศ พร้อมใจจัดขึ้นตลอดทั้งปีนี้

สำหรับการจัดกิจกรรมดนตรี นับเป็น Soft Power สาขาหนึ่ง จาก 11 สาขา ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และเป็นสื่อกลางที่สร้างความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติ ช่วยส่งเสริมความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุขภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์

‘กรมอุตุ’ โต้ข่าวปลอม เมืองไทยร้อน ถึงเดือนกันยาฯ แจง!! กลางเดือนพฤษภาฯ จะเริ่มมีฝนตก มาคลายร้อน 

(28 เม.ย. 67) ตามที่มีสื่อสังคมออนไลน์ ได้เผยแพร่และแจ้งเตือน วิกฤตโลกอากาศสุดขั้วไทยร้อนต่อถึงเดือนกันยายน นั้น กรมอุตุนิยมวิทยาขอชี้แจงว่า

ฤดูร้อนของประเทศไทย โดยปกติจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ของทุกปี รวมระยะเวลาราว 2 เดือนครึ่ง โดยในช่วงนี้เป็นช่วงที่โลกเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์จะทำมุมตั้งฉากกับเขตโซนร้อนพอดี (เนื่องจากประเทศเราอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมาก)

โดยเฉพาะเดือนเมษายน บริเวณประเทศไทย ดวงอาทิตย์จะอยู่เกือบตรงศีรษะในเวลาเที่ยงวัน ทำให้ได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์เต็มที่ ในช่วงฤดูร้อน ทิศทางลมมีความแปรปรวน บางวันลมมีกำลังอ่อน ประกอบกับมักมีหย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมอยู่เป็นประจำ จึงทำให้อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว โดยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด อุณหภูมิบางวันสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส

แต่พอเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงประมาณกลางเดือนตุลาคม ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลมที่มีความชื้นพัดปกคลุมประเทศไทย ลมนี้ยังช่วยระบายอากาศร้อน และทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของอากาศคลายความร้อนลงได้

ดังนั้นเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงปลายของฤดูฝน โดยปกติจะมีฝนตกชุกเกือบทุกภาคของประเทศไทย อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศจะไม่สูงนัก เนื่องจากมีฝนตก ความชื้นสูง มรสุมมีกำลังแรง สถานการณ์ความร้อนจะคลื่คลายลง จึงไม่เกิดวิกฤตโลกอากาศสุดขั้วไทยร้อนถึงกันยายน

หากมีสภาพอากาศที่คาดว่าจะมึความรุนแรงและมีผลกระทบ กรมอุตุนิยมวิทยา จะออกประกาศให้ทราบทันที และขอให้ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศเป็นระยะๆ

‘บีทีเอส’ เร่งเยียวยา ผู้โดยสาร 3 รายที่ติดลิฟต์ ‘สถานีแบริ่ง’ พร้อมรับผิด ขอปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เพื่อให้ ‘สะดวก-ปลอดภัย’ 

(28 เม.ย. 67) บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้เปิดเผย ถึงกรณีผู้โดยสารติดลิฟต์ของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แบริ่ง (E14) ในช่วงเวลา 17.21 น. ของเมื่อวานนี้ (27 เม.ย.)ว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลให้มีผู้โดยสารจำนวน 3 ราย ติดอยู่ภายในลิฟต์ ทางเจ้าหน้าที่ของสถานีจึงได้ดำเนินการประสานงานไปยังฝ่ายซ่อมบำรุงเพื่อเร่งแก้ไขในทันที

ทั้งนี้ได้เตรียมการปฐมพยาบาล และช่วยเหลือผู้โดยสาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานได้เร่งดำเนินการแก้ไขลิฟต์ และช่วยเหลือผู้โดยสารทั้ง 3 ราย ออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่พบว่าผู้โดยสารมีอาการอ่อนเพลีย จึงได้ดำเนินการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ณ ห้องปฐมพยาบาลของสถานีแบริ่ง เมื่อผู้โดยสารมีอาการดีขึ้นจึงได้เดินทางต่อไป

บริษัทฯ กราบขออภัยผู้โดยสาร ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการเยียวยาผู้โดยสารทั้ง 3 ราย และจะปรับปรุงระบบการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวก และปลอดภัยกับผู้โดยสารมากที่สุด

ทั้งนี้หากผู้โดยสารพบเห็น หรือประสบเหตุลิฟต์ขัดข้องสามารถแจ้ง ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บีทีเอส
โทรศัพท์ 02 – 617- 6000 Line official : @btsskytrain

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนสายใต้สะดือ ต้องระวัง 4 ภัยมิจฉาชีพ ที่พุ่งเป้ามาที่คุณ

วันนี้ (28 เมษายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพที่มีเป้าหมายเป็นบรรดาหนุ่มสาวสายใต้สะดือ หรือผู้ที่มีชื่นชอบในพฤติกรรมกามารมณ์ โดยใช้กลวิธีต่าง ๆ ในการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน หรือแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากผู้เสียหาย

ซึ่งภัยมิจฉาชีพที่พุ่งเป้ามาที่บรรดาสายใต้สะดือ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 รูปแบบ ดังต่อไปนี้

1. “หลอกโอนเงินค่าซื้อ-ขายบริการทางเพศ” มักจะมาในรูปแบบเพจหรือกลุ่มลับนัดซื้อ-ขายบริการทางเพศ เมื่อติดต่อไปก็จะชักชวนให้เลือกคู่นอน โดยมีภาพหญิงสาวให้เลือกหลายคน เมื่อเหยื่อตัดสินใจเลือกแล้ว คนร้ายจะให้ติดต่อเพื่อนัดหมาย โดยจะใช้กลอุบายต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อโอนเงินให้ก่อน เช่น ต้องจองเวลา ต้องจ่ายค่าห้อง ต้องจ่ายค่าเดินทาง หรือถ้าโอนเงินมาก่อนจะได้รับโปรโมชันพิเศษ เป็นต้น

2. “หลอกถ่ายคลิปลามกอนาจาร” มักจะมาในรูปแบบบัญชีหนุ่มหล่อสาวสวย คุยสร้างความสัมพันธ์ จากนั้นจะชักชวนให้วิดีโอคอลขณะสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง หากหลงเชื่อก็จะถูกบันทึกภาพขณะทำกิจกรรมดังกล่าว จากนั้นมิจฉาชีพก็จะส่งคลิปมาข่มขู่เพื่อเอาทรัพย์สิน แลกกับการไม่เผยแพร่คลิปวิดีโอ

3. “หลอกชวนมีเพศสัมพันธ์” มักจะมาในรูปแบบบัญชีหนุ่มหล่อสาวสวย คุยสร้างความสัมพันธ์ จากนั้นจะนัดให้ไปร่วมหลับนอน ซึ่งเมื่อพบตัวจริงอาจไม่ตรงกับรูปในโปรไฟล์ หรือถ้าแย่กว่านั้น อาจตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ เช่น การชิงทรัพย์ ลักทรัพย์ การข่มขืน หรือการแอบถ่ายคลิปขณะมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น

4. “หลอกขายภาพ-คลิปลามก” มักจะมาในรูปแบบบัญชีหนุ่มหล่อสาวสวย เพจคนกลางซื้อขาย หรือกลุ่มลับต่าง ๆ ชักชวนพูดคุย อ้างว่าถ้าจ่ายเงินให้ จะส่งภาพและคลิปลามกของตนเองหรือหนุ่มสาวในสังกัดให้ดู แต่เมื่อจ่ายเงิน กลับได้แค่ภาพทั่วไป ไม่ได้ภาพและคลิปลามก จากนั้นคนร้ายหลอกเรียกเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  อ้างว่าเป็นค่าประกันความเสี่ยงต่าง ๆ จนเหยื่อได้รับความเสียหายจำนวนมาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในรูปแบบดังกล่าว และขอให้คอยสอดส่องบุตรหลานของท่านและบุคคลในครอบครัว ที่เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘นิด้าโพล’ เผย ปชช. ไม่เชื่อ ‘พ.ร.บ.กลาโหมฯ’ จะป้องกันรัฐประหารได้ มองเหตุการณ์ยึดอำนาจปี 57 ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ของประเทศไทย 

(28 เม.ย. 67) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง หยุดรัฐประหาร! ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 22-23 เมษายน 2567 โดยเมื่อถามถึงความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมจะช่วยป้องกันการรัฐประหาร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 51.83 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 25.73 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 12.52 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 6.72 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 3.20 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

และเมื่อถามถึงความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับการทำรัฐประหารในปี 2557 จะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 61.83 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 8.24 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 6.11 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 3.44 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘สาวจีน’ เข้าขอบคุณ ‘สนง.กฎหมายดีทีแอล’ ช่วยทวงความยุติธรรม หลังถูกสามีผลักตกหน้าผา หวังฮุบสมบัติ เมื่อ 5 ปีก่อน

(27 เม.ย. 67) คุณมัทนา มูลจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสำนักงานกฎหมายดีทีแอล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Matthana Moonjan’ ถึงกรณีหญิงนักท่องเที่ยวชาวจีน เข้ามาแสดงความขอบคุณที่เคยได้ช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย หลังรอดชีวิตจากการถูกสามีผลักตกหน้าผา โดยระบุว่า...

“ดีใจที่เขายังจำเราได้ และกลับมาขอบคุณเราอีกครั้ง เนื่องด้วยคดีนี้เราทำตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา ต่อสู้เอาความยุติธรรมมาให้เขาให้ได้มากที่สุด ๆ ตื้นตันมากที่เขากลับมาขอบคุณพร้อมทั้งมอบ ธงเชิดชูความดีให้กับทางสำนักกฎหมายดีทีแอลของเรา”

คุณมัทนา ระบุอีกว่า “วันนั้นกับสภาพจิตใจของคนต่างชาติที่ถูกกระทำแล้วไม่ไว้ใจใครเลย ระแวงไปหมดทุกอย่าง หาที่พึ่งไม่ได้ สุดท้ายมาขอความช่วยเหลือจากสำนักงานกฎหมายดีทีแอล เราทำให้เขาไว้ใจ ทำให้เขาอุ่นใจ ทำให้เขาสบายใจ และเชื่อมั่นกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และร่วมฝ่าฟันอุปสรรคกับเขาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลชั้นฎีกาสุดท้าย ได้ผลที่ตัวคุณหวางหนานเอง พอใจกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และชื่นชมกับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยที่ให้ความยุติธรรมและช่วยเหลือเขา”

“ในครั้งนี้เขายังพูดอีกว่าสิ่งที่เขาอยากจะทำคืออย่าให้ข่าวสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอาไปแปดเปื้อนกับความดีของประเทศไทยที่มีอยู่ เพราะในประเทศไทยก็ยังมีความยุติธรรมและก็มีคนเชื่อถือได้ คนที่ช่วยเหลือคนที่มีจิตใจดีถึงทำให้เขาได้ความยุติธรรมมาจนถึงทุกวันนี้” คุณมัทนาระบุ

คุณมัทนาระบุทิ้งท้ายว่า “ยืนหยัดในการเรียกร้องชื่อเสียงของประเทศไทยในด้านบวกกลับขึ้นมา เพราะเราคือคนไทยคนหนึ่งและเป็นสิ่งเดียวที่เราคนไทยทุกคนสามารถช่วยกันทำได้” 

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน นางหวาง ชาวจีนจากเมืองเจียงซู ซึ่งตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนมาเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี พร้อมกับนายยู เสี่ยวตง ผู้เป็นสามี เช้าวันที่ 9 มิ.ย. 2562 ได้พลัดตกหน้าผาอเล็กซานเดอร์มหาราช ความสูง 34 เมตร ลงไปถูกต้นไม้เบื้องล่าง ก่อนร่างกระแทกพื้น ทำให้กระดูกต้นขาซ้ายหัก กระดูกเข่าแตกทั้งสองข้าง แขนซ้ายหัก ไหปลาร้าซ้ายหัก กระดูกเชิงกรานหัก ตาขวาช้ำ และมีบาดแผลตามใบหน้า ส่วนบุตรในครรภ์เสียชีวิตในเวลาต่อมา เพราะผลกระทบจากการที่นางหวางกินยาระหว่างรักษาตัว 

ทีแรกนางหวังยืนยันว่าไม่ได้ทะเลาะกับสามี แต่ที่ตกลงไปเพราะหน้ามืดจากอาการตั้งครรภ์ ขณะที่นายยูอ้างว่าได้แยกตัวไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีก็ไม่พบภรรยา และได้ยินเสียงรถพยาบาล จึงตามมาดูและรู้ว่าภรรยาตกลงไปแล้ว

แต่ภายหลังนางหวางให้การกับตำรวจว่า นายยู สามีตั้งใจจะฆ่าโดยผลักตกมาจากหน้าผาเพราะหวังจะฮุบสมบัติ แต่ที่ไม่บอกแต่แรกเนื่องจากเกรงว่าสามีจะทำร้ายตนและลูกในท้อง และยังให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนอย่าง เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ระบุว่า ระหว่างที่ยืนบนหน้าผา นายยูค่อย ๆ หอมแก้ม นางหวังหลับตาเคลิ้ม ก่อนที่นายยูจะกล่าวว่า "ลงนรกไปซะ" แล้วผลักนางหวังลงจากหน้าผา ที่ผ่านมานายยูแสร้งทำเป็นร่ำรวย แต่กลับสร้างหนี้สินมากมายเพราะติดการพนัน เคยให้นางหวางช่วยใช้หนี้ 2 ล้านหยวน แต่นางหวางให้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้หามาเอง เพื่อนเคยเตือนให้ระวังตัว แต่ด้วยรักและไว้ใจจึงมาเที่ยวด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top