Sunday, 19 May 2024
NEWS

เพชรบูรณ์ มทบ.36 จัดงานครบรอบวันสถาปนา 40 ปี เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมและเชิดชูเกียรตินายทหารผู้กล้า

วันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 พร้อมด้วยประธานชมรมแม่บ้านกองทัพบก มณฑลทหารบกที่ 36 นำคณะข้าราชการนายทหาร และ กำลังพลจากมณฑลทหารบกที่ 36 จัดงานวันสถาปนาหน่วยครบรอบปีที่ 40 ซึ่งตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม ของทุกปี โดยมีพล.ต.วิทยา แก้วพรม รองแม่ทัพภาค 3 เป็นประธานในพิธี มีพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับกำลังพลผู้ล่วงลับไปแล้วและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย รวมทั้งมอบทุนการศึกษาแก่บุตรกำลังพลในสังกัด ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 ค่ายพ่อขุนผาเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีนายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ดร.เสกสรร นิยมเพ็ง นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ ดร.ประทิน นาคสำราญ นายก อบต.สะเดียง หัวหน้าส่วนราชการและกำลังพลร่วมในพิธี

สำหรับ มณฑลทหารบกที่ 36 จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2523 ตามคำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ลับที่ 98/23 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2523 โดยแยกกำลังบางส่วนจากจังหวัดทหารบกพิษณุโลก จัดตั้งเป็น "จังหวัดทหารบกส่วนแยก” บรรจุกำลังพลและยุทโธปกรณ์ตาม อฉก. หมายเลข 6010 เรียกนามหน่วยว่า "จังหวัดทหารบกพิษณุโลก (ส่วนแยกที่ 2 เพชรบูรณ์)” เป็นหน่วยในอัตราของจังหวัดทหารบกพิษณุโลก มีภารกิจสนับสนุนทางการส่งกำลังบำรุงต่อหน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดพิจิตร มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 เป็นต้นมา ต่อมาในปี พ.ศ.2527 ได้แปรสภาพหน่วยเป็น "จังหวัดทหารบก” ตามคำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ลับ 116/27 ลงวันที่ 9 พ.ค.2527 บรรจุกำลังพล และยุทโธปกรณ์ตาม อฉก. หมายเลข 5440 เรียกนามหน่วยว่า "จังหวัดทหารบกเพชรบูรณ์” คำย่อ "จทบ.พ.ช.” จนกระทั่งในปี พ.ศ.2533 ทบ. ได้มีคำสั่ง ทบ. (เฉพาะ) ลับ ที่ 103/33 ลง 12 ก.ค. 2533 ให้ปรับจากหน่วยใช้ อฉก. เป็นหน่วยใช้ อจย.บรรจุกำลังพลและยุทโธปกรณ์ตาม อจย.หมายเลข 51-301 (ลง 5 ส.ค. 2531) ประเภท จังหวัดทหารบก ชั้น 1 เป็นหน่วยขึ้นตรงต่อ มทบ.31 ปัจจุบันตั้งเป็น มณฑลทหารบกที่ 36 มีที่ตั้งหน่วยอยู่ภายในค่ายพ่อขุนผาเมือง ตำบล สะเดียง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยให้รับผิดชอบพื้นที่ 2 จังหวัด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดพิจิตร ปัจจุบันมี พลตรีวัชรพงศ์ แก้วแจ้ง เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36

‘ดร.คณิศ’ เผย เหตุผลที่ ‘OKMD’ อยู่รอดมา 20 ปี เพราะการทำงานขององค์กรมีประโยชน์ต่อสังคม

เมื่อวานนี้ (8 พ.ค. 67) ที่ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์กรมหาชน) หรือ OKMD จัดงาน 20 years of Thailand Knowledge Creation: Past and Future

โดยบรรยากาศเวลา 13.00 น. น.ส.ปานบัว บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายมณฑล ประภากรเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักพิมพ์มติชน เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของ OKMD โดยมี ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ OKMD พร้อมด้วย นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) ร่วมให้การต้อนรับ ท่ามแขกผู้มีเกียรติคับคั่ง

ต่อมาเวลา 14.10 น. เริ่มเสวนา หัวข้อ ‘20 years of Thailand knowledge creation: Past’ นำโดย พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และอดีตรองนายกรัฐมนตรี,พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพล อดีตผู้อำนวยการ OKMD, ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ อดีตประธานกรรมการ OKMD

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ อดีตประธานกรรมการ OKMD กล่าวว่า Brain Based Learning หรือขบวนการการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ไม่ใช่การศึกษาโดยตรง การเรียนรู้เป็น Alternative (ทางเลือก) ประคองระบบการศึกษา การเรียนรู้ตอนนี้และในอนาคต จะไม่ใช่การเข้าห้อง การพัฒนาสมองของคนแต่ละยุคไม่เหมือนกัน อย่าหวังให้เด็กเก่งเหมือนผู้ใหญ่เป็นไปไม่ได้ เลยไปทำโครงการอบรมกับแรงงานในโรงงาน และเกษตรกร

ดร.คณิศ กล่าวว่า งานของ OKMD มีอยู่ 3-4 ขั้นตอน 1.ทำงานวิจัยเชิงวิชาการให้ผลการศึกษามาก่อน จากนั้น Crack ให้เป็นหลักสูตรที่ทำได้จริง แล้วไปทำ Sandbox แล้วนำไปขยายผล ซึ่งต้องใช้กระทรวงต่างๆ ที่เป็นองค์กรหลัก เป็นผู้ขยายผล

“เข้าใจว่าคำว่า 20 ปี ผ่านขบวนการนี้มา ทำให้ OKMD TK Park มิวเซียมสยาม อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้” ดร.คณิศ กล่าว

ดร.คณิศ กล่าวว่า พล.อ.เอก ประจิน พูดถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง ‘เขาส่งมือสังหารมานะ วันนั้นเกือบแย่แล้วนะ’ จะมีการนำ OKMD ไปอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ TK Park ไปอยู่กระทรวงวัฒนธรรม TCDC ไปอยู่กระทรวงพาณิชย์ เป็นเรื่องที่แปลกมาก ตอนที่ตนเข้ามาทำงานตรงนี้เจอกระแสการเมืองแรงมาก คุณไม่รู้ว่าอนาคตจะเจออีกหรือไม่ แต่โชคดีที่ พล.อ.เอก ประจิน อยู่ไม่งั้นจะวุ่นวายกว่านี้ รวมถึงมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่ช่วยองค์กรไว้

National knowledge Center หรือศูนย์การเรียนแห่งชาติเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะทำกันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่จะก่อตั้งที่สามย่าน สภาพัฒน์ฯ สวนลุมพินี ก่อนที่จะมาตั้งที่กองสลาก ถ.ราชดำเนินกลาง ความต่อเนื่องเหล่านี้เป็นประวัติศาสตร์ 20 ปี ถ้าพวกเราไม่ได้ทำ ก็คงไม่มาถึงวันนี้ ‘เชื่อว่ารากยิ่งลึกต้นไม้ยิ่งสูง’

ดร.คณิศ กล่าวว่า มีเรื่องนึงที่ทำให้ OKMD หลุดพ้นมาได้ คือการทำงานกับชุมชน สิ่งที่ทำให้อยู่รอดคือ ต้องเป็นประโยชน์กับประชาชน ถ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน คนก็ลืม มีการแนะนำให้มีการกระจายงานออกไปต่างจังหวัด ต้องไปทุกกลุ่ม

“วันก่อนดีใจลงไปที่โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น จ.สงขลา มีนักเที่ยวไปกันเยอะแยะ สิ่งเหล่านี้อยู่กับพวกเรา มันทำให้พวกเราได้เข้าใจว่าการอยู่ในสังคมต้องมีประโยชน์ ส่วนเรื่องการบริหารเชื่อว่าองค์กรต้องมีความต่อเนื่อง ถ้ายิ่งมีเครือข่ายมากก็ยิ่งช่วยทำงาน” ดร.คณิศกล่าว

ดร.คณิศ กล่าวว่า สำหรับความอยู่รอดของ OKMD เรารองบประมาณไม่ได้ ภารกิจที่ทำยิ่งใหญ่มาก การทำงานร่วมกับเอกชนเป็นเรื่องสำคัญ การจัดการแฟชั่นวีคที่เชียงใหม่ OKMD ใช้เงิน 30% เอกชนใช้เงิน 70% อีกทั้งการตั้งกองทุนก็ไม่เหมาะสม เพราะเมื่อมีเงินเยอะ ก็ถูกรัฐบาลดึงไปใช้ รวมถึงเทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนชีวิตพวกเรา

‘รถบรรทุก’ ชนคานกั้นความสูง ‘แยกพญาไท’ ส่งผลรถติดยาวถึง ถ.พระราม 9 แยกรามคำแหง

(9 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกชนคานจำกัดความสูง ที่ถนนศรีอยุธยา ขาเข้า จากแยกหมอเหล็ง-แยกศรีอยุธยา ที่เชิงทางขึ้นสะพานข้ามแยกพญาไท ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ปิดการจราจร 2 ช่องทาง ดำเนินการเคลื่อนย้าย การจราจรติดขัด

ต่อมาเมื่อเวลา 07.29 น. เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายรถและโครงหลังคาออกได้แล้ว และอยู่ระหว่างเก็บกวาดสิ่งของที่ตกหล่น และล้างทำความสะอาดถนน

ทั้งนี้ เพจ สวพ.91 ยังได้ระบุอีกว่า “รถชนที่กั้นความสูงแยกพญาไท ถนนศรีอยุธยา ขาเข้า
ยังไม่พ้นกีดขวาง ท้ายสะสมถนนพระราม 9 แยกรามคำแหง”

‘Gen-Y’ แบกหนี้อ่วม!! หลังปรับเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% อึ้ง!! Q1/67 หนี้เสียพุ่ง!! 6.4 หมื่นลบ. - หนี้ต้องจับตา 1.2 หมื่นลบ.

(8 พ.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘Surapol Opasatien’ ของนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร โพสต์ข้อความแสดงความเป็นห่วงถึงหนี้บัตรเครดิต หลังสถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิต ปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา ว่า…

ข้อมูลไตรมาสที่ 1/2567 เกี่ยวกับสินเชื่อบัตรเครดิตจากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ พบว่า ตัวเลข​ ณ​ เดือนมีนาคม​ 2567​ ยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด​ 24 ล้านใบ เป็นเงิน​ 5.5 แสนล้านบาท เติบโต​ 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ถ้าเทียบจากสิ้นปี​ 2566​ หดตัว​ 5.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ)

ส่วนตัวเลขบัญชีสินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น​หนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล (Non-Performing Loan หรือ NPLs)​ ค้างชำระเกิน​ 90 วันจะมีจำนวน​ประมาณ​ 1 ล้านบัตรเศษ คิดเป็นยอดเงิน​ 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตนเริ่มไม่สบายใจ พอมาดูยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention Loan หรือ SM) ที่กำลังจะเป็นหนี้เสีย พบว่ามีจำนวนบัตรที่ชำระหนี้ได้แบบตะกุกตะกัก​ ติด ๆ ขัด ๆ​ 1.9 แสนบัตร​ คิดเป็นจำนวนเงิน​ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 32.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

"มาถึงตรงนี้เริ่มตาโตแล้วครับว่า​ แค่สามเดือนแรกของการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำ ทำไมมันเกิดการกระโดดในหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ​ ตามต่อไปดูว่าแล้วมันโตจากปลายปี​ 2566​ เท่าใดก็พบว่า​เติบโตถึง​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ต้องระวังว่ามันจะไหลเพิ่ม​ ไหลแรงกว่าเดิมหรือไม่ นอกจากปัญหาค่าครองชีพแล้ว​ รายได้ไม่ฟื้นตัว​ เปราะบางจนนุ่มนิ่ม​ มันสะท้อนแล้วว่าชำระหนี้สินเชื่อนี้ได้ลำบากมากขึ้น​" นายสุรพล ระบุ

ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร กล่าวต่อว่า เมื่อนำข้อมูลบัตรเครดิตที่เป็นยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จำนวนเกือบ 2 แสนใบ เป็นบัตรที่เปิดมานานเท่าใด​ พบว่าเปิดบัตรมาไม่เกิน​ 2 ปี​ มีจำนวน​ 3.6 หมื่นใบ อยู่ในมือคนเจนวาย (Generation Y หรือผู้ที่เกิดปี 2524-2539) จำนวน 2.3 หมื่นใบ เปิดมามากกว่า​ 2 ปี แต่ไม่เกิน​ 4 ปี มีจำนวน​ 3.9 หมื่นใบ​ อยู่ในมือ​คนเจนวาย จำนวน 2.7 หมื่นใบ เจนเอ็กซ์ (Generation X หรือผู้ที่เกิดปี 2508-2523) จำนวน 9.2 พันใบ เปิดมามากกว่า​ 4 ปีแต่ไม่เกิน​ 6 ปี มีจำนวน​ 4.5 หมื่นใบ​ อยู่ในมือคน​เจนวาย จำนวน​ 3 หมื่นใบ​ เจนเอ็กซ์​ จำนวน 1.2 ​หมื่นใบ คำถามก็คือ​ หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จะไหลต่อเป็น​หนี้เสียอีกเท่าใด​ การกำหนดให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก​ 5% เป็น​ 8% และ​ 10% ตามลำดับ​ ช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้จริงหรือไม่ ตามเป้าประสงค์มาตรการ

"ความจริงคนเรามีบัตรเครดิตได้หลายใบ​ การเพิ่มอีก​ 3% ของยอดหนี้ในแต่ละใบ​ คนไม่เคยเป็นหนี้อาจนึกไม่ออกว่าจะหมุนหาจากไหนไปจ่ายได้​ และประการสุดท้าย ค่าใช้จ่ายทั้งหลายมันเริ่มเพิ่มอย่างชัดเจน เช่น​ ไข่ไก่​ ผักบางชนิด​ น้ำมันก็เริ่มขยับ​ เป็นต้น​ การท่องตำราแก้ปัญหากับการท่องยุทธ​จักรแบบเดินเผชิญสืบ​ มันใช้ใจที่ต่างกัน​ ตัวอย่างเรื่องนี้คือหนังชีวิตจริง​ แต่ถ้ามองเป็นหนังอานิเมะ​ มันก็อาจผิดเพี้ยน​ ต้องกลับมาดูกันเพราะแค่​ 3 เดือนกลิ่นมันแรงแบบโตขึ้น​ 32.4% เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา มันไม่ธรรมดานะครับ​ ตั้งโจทย์ผิด​ แต่ตอบโจทย์​ที่ผิดได้ถูก​ ผลลัพธ์​ผลผลิตมันจะผิดเพี้ยนไปหรือไม่​ วันนี้ฝนตกแล้ว​ ฝนหลังฝุ่นที่ร้อนระอุย่อมสวยงามเสมอ" นายสุรพล ระบุ

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ สถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิต ปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา และจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำ ให้ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้าง กระทั่งได้ออกมาตรการลดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิต โดยให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจกำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำของยอดคงค้างทั้งสิ้น สำหรับปี 2566 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 สำหรับปี 2567 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 และตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10

เพราะความหมาย 'พอเพียง' ที่ถูกตีความจนผิดเพี้ยน สร้างความสับสนให้ผู้คนคิด "ใครจะไปทำได้-ใครจะทำก็ทำไป"

(8 พ.ค. 67) จากเพจ 'Moneyland.biz' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีมุก ‘พอเพียง’ ที่เป็นกระแสดรามาจากเวทีเดี่ยวสเปเชียล จนสร้างความไม่พอใจแก่คนไทยหลายๆ คนไว้ว่า...

จากกรณีที่คุณโน้ส อุดมเล่นมุกโดยมีการเอาคำว่าพอเพียงมาเล่น ทำไมถึงสร้างความโกรธเคืองไม่พอใจให้กับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในบ้านเมือง

ใครมาแตะคำว่า 'พอเพียง' ไม่ได้เลยเหรอ?

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ดูเดี่ยวสเปเชียลแล้ว และก็ขำสนุกพี่โน้สทั้งรายการ แต่ต้องยอมรับว่าคำว่าพอเพียง ก็ทำให้ผมไม่สบายใจเช่นกัน ที่มันไม่สบายใจนั้น ไม่ใช่ว่าแตะคำ ๆ นี้ไม่ได้ จริง ๆ คนทั้งโลกควรแตะคำ ๆ นี้ให้มากด้วยซ้ำ (เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม) 

ประเด็นคือเพราะพี่ใช้คำว่า 'พอเพียง' มาเอาฮาโดยใช้ความหมายของคำนี้แบบ 'ผิด ๆ' ซึ่งผลกระทบจากการใช้แบบผิด ๆ ของพี่ มันไม่ใช่แค่ขำแล้วจบ มันมีอิทธิพลต่อคนที่ได้ดูด้วยความไม่เข้าใจไปไกลกว่านั้น 

นอกจากนี้ คำนี้ก็เป็นคำที่คนไทยรู้กันดีว่ามาจากคำสอนของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ มุกนี้ของพี่จึงไม่ต่างจากการออกมาประกาศกับคนทั้งประเทศว่า ที่พระองค์สอนไว้ ใครจะทำก็ทำไป ฉันทำไม่ได้ แล้วมันสามารถส่งผลชี้นำให้คนทั้งประเทศที่ยังไม่เข้าใจคิดตามได้ว่า ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพอเพียง (ในแบบเข้าใจผิด ๆ) เช่นกัน เพราะพี่โน้สเหมือนเป็นตัวแทนเสียงของคนในสังคมมาเป็นสิบปีแล้ว จากเดี่ยวของพี่ตั้งแต่เดี่ยว 1 ผมดูพี่ผมก็ขำ ไม่ได้โกรธ เพราะผมคิดในแง่ดีว่าพี่คงแค่คิดน้อยไป และเพราะไม่เข้าใจ คนเราพอไม่เข้าใจมันก็เอาไปใช้ผิด ๆ โดยไม่ตั้งใจ แต่พี่ก็สมควรมาก ๆ ที่จะโดนตำหนิในเรื่องนี้ เพราะความคิดน้อยของพี่

เนื่องจาก...ในหลวง ร.๙ ราชาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก พยายามจะให้ประชาชนเข้าใจคำนี้ เพื่อการเติบโตที่แข็งแรงมั่นคงของคนไทยและทั้งประเทศ

แต่ถูกพี่เอาคำนี้มา Make Joke เพราะไม่เข้าใจ แล้วก็ส่งผลกระทบต่อในทางทัศนคติต่อบรรดาคนที่ไม่เข้าใจที่ดูพี่เป็นสิบ ๆ ล้านคน 

ซึ่งต้องยอมรับว่าพี่โน้สมีอิทธิต่อคนรุ่นนี้มากกว่าในหลวง ร.๙ ที่ทรงไม่อยู่แล้วแน่นอน

คน ๆ นึงทำงานหนักด้วยความสละตลอดชีวิต เพื่อหวังให้ประชาชนของเขาเข้าใจคำ ๆ นี้ เพื่อตัวประชาชนเองและประเทศชาติ

แต่คนอีกคนนึง เล่นมุกกับคำ ๆ นี้ 10 นาที ในวิดีโอที่คนดูได้ทั้งประเทศ แล้วสามารถส่งผลชี้นำวิธีคิดที่มีต่อคำ ๆ นี้ให้ถูกละเลยได้เลย เพราะมีพี่โน้สเป็นตัวอย่าง

คำว่า 'พอเพียง'

คือ ปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ประกอบไปด้วย...

3 ห่วง 2 เงื่อนไข

3 ห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน
2 เงื่อนไข คือ ความรู้ คุณธรรม

ถ้าเอาให้สรุปแบบสั้นที่สุดก็คือ ทางสายกลาง ต้องมีความรู้และคุณธรรมอยู่ด้วย

เราทำอะไร พอประมาณกับตัวของเรา มีเหตุผลที่สมเหตุผลในการทำ มีภูมิคุ้มกันหรืออาจเรียกว่ามีแผนสำรอง แต่เราจะไม่สามารถคิดทำ 3 อย่างนี้ได้ถูกต้องเลย ถ้าเราไม่มีความรู้ แต่ความรู้อย่างเดียว แล้วไม่มีคุณธรรม เราก็จะทำโดยไม่สนว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร สิ่งที่เราทำให้ประโยชน์ต่อเราแต่ไปทำร้ายใครหรือไม่

หนึ่งในตัวอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าทุกคนในโลกมีความพอเพียง (มี 3 ห่วง 2 เงื่อนไข) โลกจะไม่มาถึงปัญหาการสู้รบหรือปัญหาโลกร้อนอย่างทุกวันนี้

ทั้งภาคธุรกิจ และประชาชน ถ้าแคร์ว่า สิ่งที่เราทำ ส่งผลถึงชั้นบรรยากาศโลกอย่างไร สุดท้ายจะเกิดผลอย่างไร มากกว่าการสนแค่ผลประกอบการ การเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจ ความสุขสบายของตัวเอง ปัญหาโลกร้อนจะไม่เกิด เป็นต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีสักคำพูดที่บอกว่าต้องอยู่อย่างจน ๆ ลำบาก ๆ หรือต้องอยู่ชนบท ไม่มีสักคำว่าให้ทำเกษตรกรรม ไม่มีคำไหนที่บอกว่า ห้ามรวย

ถ้าเข้าใจคำว่าพอเพียง ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ถ้าคน ๆ นั้นต้องการจะร่ำรวย เขาจะร่ำรวยได้แบบมั่นคงเสียอีก และจะไม่ทำร้ายใครเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง ไม่ทำร้ายโลกเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง คิดดูว่าถ้าทั้งโลกเป็นแบบนี้ โลกนี้จะน่าอยู่แค่ไหน

- MONEYLAND -

*ขออนุญาตนำคำอธิบายเพิ่มเติมในคอมเมนต์มาใส่ไว้ในโพสต์ เพื่อให้คนที่เพิ่งได้มาอ่านมีความเข้าใจคำว่าพอเพียงมากขึ้นนะครับ

คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า คนบางคนมีไม่พอด้วยซ้ำ แล้วจะพอเพียงได้อย่างไร?

จริง ๆ แล้ว คนมีไม่พอที่เข้าใจความพอเพียง จะสามารถทำให้ตัวเองไม่ลำบากกว่าเดิม รวมทั้งสามารถใช้ความพอเพียงช่วยเป็นฐานในการถีบด้วยเองขึ้นมาให้มีมากขึ้นจนมีพอได้ด้วย

เช่น ตัวเองหาเงินได้วันละไม่ถึงร้อย ก็จะไม่เอาเงินไปใช้จ่ายอะไรที่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มีเหตุผล ไม่เกินตัว และเมื่อเป็นได้อย่างนี้ ก็สามารถที่จะถีบตัวเองให้ขึ้นมามีพอ ได้ง่ายกว่าคนที่มีไม่พอ แต่เอาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อของฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่ตัวเองไม่มีศักยภาพที่จะทำแบบนั้น 

เช่นนั้น หากเข้าใจคำว่าพอเพียงตามที่ผมได้อธิบายไว้ จะเข้าใจได้ว่า ไม่ว่าจะรวยสักแค่ไหน หรือยากจนสักแค่ไหน ก็สามารถมีความพอเพียงได้ เพราะพอเพียง คือการทำทุกอย่างในชีวิต (รวมทั้งสร้างฐานะสร้างการเติบโต) ให้สอดคล้องตามอัตภาพของตัวเอง อย่างมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ มีคุณธรรม 

นั่นคือประโยชน์ของการมีความพอเพียง

และมีแต่คนที่ไม่เข้าใจเท่านั้นที่จะบอกว่า การที่ตนเองอยู่ชนบทไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ได้ คือ ตนเองไม่พอเพียง เพราะการอยู่อย่างลำบากได้ อยู่อย่างจนได้ ไม่ใช่ความหมายของคำว่า พอเพียง ตามที่อธิบายไปแล้วข้างต้น

และคนที่ไม่เข้าใจหลายคน เข้าใจว่าการหาเงินกับความพอเพียงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ถ้าเข้าใจความพอเพียง จะเข้าใจครับว่าการเงินก็สามารถพอเพียงได้ จึงมีหลักปรัชญา 'เศรษฐกิจ' พอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องการเงินล้วน ๆ

ยกตัวอย่าง การมีเงินสำรองฉุกเฉิน 6 เดือน ก็ถือเป็น ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ห่วงของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

การลงทุนขยายธุรกิจ ตามความพร้อมและศักยภาพของธุรกิจ และไม่ลงทุนเกินตัว นั่นคือ การรู้จักตน รู้จักประมาณตน และทำอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ห่วง หลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยไม่ทำจนไปตัดทางทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็ก ๆ คือการมีคุณธรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยมีการศึกษาก่อนจนมีความรู้มากพอที่จะใช้ในการขยายธุรกิจให้สำเร็จ ก็คือ 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

คำว่า 'พอเพียง' เดี่ยว ๆ มีความหมายเดียวกับคำว่า 'พอเพียง' ใน 'เศรษฐกิจพอเพียง' กล่าวคือเป็นการนำหลักคิดความพอเพียงมาใช้ในเศรษฐกิจหรือการเงิน

ศึกษาให้เข้าใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการดำเนินชีวิตของเราครับ นี่คือสมบัติอันล้ำค่า ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทิ้งไว้ให้เราและโลกนี้

เพจ '2475 Dawn of Revolution' ถูกรุมรีพอร์ตโพสต์หนังสือการ์ตูน คาด!! เพราะเนื้อหาอิงหลักฐาน อาจเบิกเนตรผู้คนจากผู้แหกตา

(8 พ.ค. 67) เพจ '2475 Dawn of Revolution' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

เปิดเฟซมา ตกใจ เจอหน้าต่างเด้งเตือน
ว่าเพจโดนลบโพสต์ เพราะมีคนไปรีพอร์ตข้อหาสแปม 
ก็เลยใช้สิทธิ ‘วีโต้’ คัดค้านกลับไป 
จนเฟซบุ๊ก คืนโพสต์กลับมา 

เฮ้ออออ ขอพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการหน่อยสิครับ 😆

📣📣📣 เปิดพรีออเดอร์ 🔥🔥🔥
หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ 
ดัดแปลงจาก ภาพยนตร์แอนิเมชัน
ปกแข็ง เย็บกี่ ขนาด A5  พิมพ์สี่สี ทั้งเล่ม
จำนวน 440-480 หน้า

โอนเงินสั่งจองได้ที่ 
ธนาคารกสิกรไทย 
ชื่อบัญชี  บจก.นาคราพิวัฒน์ 
เลขที่บัญชี 1518061840

💝 สั่งจองหนังสือ โดยส่งข้อมูลตามแบบฟอร์มได้ที่ 
https://forms.gle/Ls647MmQh39qmXYD8

** หากจองผ่าน Form ไม่ได้ ให้ติดต่อทาง inbox เพจนะครับ **

‘พีระพันธุ์’ รับมอบพวงมาลัยขอบคุณจาก ‘ส.ต.ต.พิจักษณ์’ หลังได้ช่วยเหลือเรื่องสูติบัตร จนเข้าเรียนนายร้อยได้สำเร็จ

(8 พ.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ส.ต.ต.พิจักษณ์ ทองใสเกลี้ยง เข้าพบ และมอบพวงมาลัยเพื่อขอบคุณนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ช่วยติดต่อประสานงาน ในกรณีที่ตนขาดคุณสมบัติ และเอกสารบางอย่าง ในการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ

“สูติบัตรของผม ไม่ปรากฏบิดาโดยกำเนิด จึงไม่มีเอกสารเอาไปยื่นต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งต้องเข้ารายงานตัว วันที่ 10 พ.ค. 2567 และรายตัวต่อโรงเรียนเตรียมทหาร 12 พ.ค. 2567 ซี่งท่านพีระพันธุ์ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประสานกับทางโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ให้พิจารณาคุณสมบัติของผมอีกที”

ส.ต.ต.พิจักษณ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทางครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจทำให้ขาดเอกสารแบบตน ซึ่งก็จะเป็นการปิดกั้นโอกาสเด็กรุ่นใหม่ในการเป็นทหาร ตำรวจ ทั้งนี้ ตนอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีความชอบ และมีญาติเป็นตำรวจด้วย จึงตั้งใจเข้าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

ด้านนายพีระพันธุ์ รับพวงมาลัย พร้อมกล่าวอวยพรและให้สัมภาษณ์ว่า ส.ต.ต.พิจักษณ์ ได้มาขอความช่วยเหลือหลังจากที่เป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ แต่ก็มาเกิดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ตนจึงได้เชิญแม่ ส.ต.ต.พิจักษณ์ มาพูดคุย และให้คนไปตรวจสอบในพื้นที่ ก็เชื่อได้ว่าพ่อ ของ ส.ต.ต.พิจักษณ์ เป็นคนไทยแน่นอน มีตัวตนจริง เพียงแต่ตามตัวไม่เจอ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่รู้จักดี จึงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง และได้ให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปช่วยดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง  

"ก็ต้องขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นต้นทาง ในการให้ข้อเท็จจริง รวมถึงรักษาการ ผบ.ตร. ที่ดูแลเป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานต่าง ๆ ก็ให้ความเป็นธรรมที่ถูกต้อง จึงขอให้น้องประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลประชาชน ตัวเองเคยผ่านเรื่องเดือดร้อนมาเยอะ วันนี้จะมีโอกาสดูแลคนอื่นแล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าจากกรณีนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีการแก้กฎหมายหรือกฎระเบียบ เพราะหน่วยต้นสังกัด คือตำรวจ ตรวจสอบหมดแล้ว

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็น”สมรภูมิ” ของ”ยาเสพติด”

ล่าสุดจับได้ 8จ ล้านบาท  ดังนั้นการแก้ปัญหายาเสพติดยังเป็น”งานหนัก” ของ”ทวี สอดส่อง”  รัฐมนตรียุติธรรม หลังรับตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง นโยบายแรกๆของที่”ทวี” ลงพื้นที่และกล่าวกับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ การ”แก้ปัญหายาเสพติด” ที่เป็นปัญหา”ความทุกข์” ของประชาชน และเป็นปัญหาของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ “ยาเสพติด” ที่ “ผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน” ครึ่งหนึ่ง” ถูก ขบวนการค้ายาเสพติด ลำเลียงมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่ง จำหน่าย ในพื้นที่ ส่วนหนึ่ง ส่งไปยังประเทศที่สาม โดยผ่านทางแนวตะเข็บจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน จ.นราธิวาส สงขลา และ สตูล เข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ก่อนที่จะอาศัย เส้นทางขนส่ง จาก มาเลเซีย ไปยังประเทศต่างๆ ตามความต้องการของ ขบวนการ ผู้ค้ายาเสพติดระดับโลก “ผมเป็นหนี้บุญคุณของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เลือกผมและ สส.ของพรรคประชาติเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ดังนั้นผมจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นความทุกข์ร้อนของคนในพื้นที่ ซึ่งมีความเดือดร้อนมากมาย ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน  เรื่องอาชีพ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร และ อื่นๆ  แต่เรื่อง”ยาเสพติด” เป็นเรื่องของความ”ทุกข์ใจ” สำหรับ ครอบครัวที่มีผู้ติดยาเสพติด และชุมชนที่มีผู้ติดยาเสพติด ซึ่งวันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นี้คือ บางช่วง บางตอน ที่” ทวี” ได้”สื่อสาร” กับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ”สื่อสาร”กับ”สื่อ” ที่ติดตาม รายงานข่าว ในการลงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้และนี่คือที่มาของ”โครงการแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง” ทวี” กล่าวทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเพื่อ พบปะกับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ผ่านมา” ตำรวจ ,ทหาร, ปกครอง ,ปปส, และ หน่วยงานราชการมากมาย ได้เข้าไปทำการแก้ปัญหา ยาเสพติด กันมาโดยตลอด แต่ ปัญหายาเสพติด นอกจากไม่ลดลง ยังเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ผู้เสพ ผู้ขาย และ จำนวน ยาเสพติด ที่ลำเลียงจากประเทศเพื่อน เข้ามายังประเทศไทย ทำให้รู้ว่า ยาเสพติด “ไม่กลัวทหาร ,ไม่กลัวตำรวจ, ไม่กลัว พรบ.ฉุกเฉิน ,ไม่กลัว กฎอัยการศึก, เพราะถ้ากลัว ป่านนี้ยาเสพติดคงจะ ถูกปราบปรามหมดไปจากประเทศแล้ว ในอดีต ยาเสพติด กลัวผู้นำศาสนา  แต่ ในปัจจุบัน ก็ไม่แน่ใจ เพราะใน” ปอเนาะ, ในโรงเรียนสอนศาสนา, ก็มีผู้ที่ติดยาเสพติด ดังนั้นโครงการ แก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน จึงเป็นอีก”ทางเลือกหนึ่ง” ของการแก้ปัญหายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการให้ประชาชน ในชุมชน หมู่บ้าน ตำบล  ร่วมกันคิดและการ”ออกแบบ” การแก้ปัญหายาเสพติด และ กระทรวงยุติธรรม ให้การสนับสนุน งบประมาณ ตาม แผนงาน โครงการ ที่ผ่านการร่วมคิดร่วมทำด้วยกัน

ซึ่ง สามเดือนที่ผ่านมาที่ได้ ขับเคลื่อน โครงการ แก้ปัญหายาเสพติด โดยคณะทำงานที่เป็นภาคประชาชน มี พล.อ.วิชาญ สุขสง เป็นหัวหน้าคณะทำงานด้าน “ยุทธศาสตร์ “ และ คณะที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน นักวิชาการ และ องค์กรต่างๆ มี ตำบลต่างๆ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาสาเข้ามาเป็น “ตำบลอาสา” แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว 60 ตำบล มีการประชุมเพื่อกำหนด”ยุทธศาสตร์” เพื่อการ “ปฏิบัติการ” มีการนำตัวแทนของประชาชน”ตำบลอาสา ๆละ 2 คน จำนวน 120 คน ไป ศึกษาดูงาน”ตำบลต้นแบบ” ของการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ จ.ลพบุรี และ จ.นนทบุรี และ ขณะนี้ ให้ทุกตำบล เขียนโครงการ เพื่อของบประมาณ เพื่อ ปฏิบัติการ แก้ปัญหายาเสพติด ให้เป็นผลสำเร็จ ตามแผนที่ประชาชนในตำบลอาสา แต่ละตำบล ได้ร่วมกันประชุมร่วมกันคิดรวมกัน ออกแบบ และหลังจากที่มีการให้ งบประมาณ กับทุกตำบลที่เข้าร่วมโครงการ ตำบลอาสา แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว ทั้ง 60 ตำบล จะเริ่มปฏิบัติการทันทีสำหรับสถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวกับการระบาดของยาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้  เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี  ได้มีการแถลงข่าวการจับกุม ยาเสพติดรายใหญ่ เป็นยาบ้า 1.400,000 เม็ด และ ยาไอซ์ 350 กิโลกรัม  ได้ผู้ต้องหา 4 คน รถยนต์จำนวน 3 คัน โดยมูลค่าของกลางที่จับได้อยู่ที่ 80 ล้านบาท ทั้งหมดรับว่า จะลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่สำคัญยาบ้าวันนี้ราคาเม็ดละ 5 บาทเท่านั้นนี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่มีการจับกุม ยังไม่รวมคดี ยาเสพติด อีกมาหมาย ที่ถูก จับกุม และที่ หลุดรอด ไปได้ ที่มี มากกว่าหลายเท่า สถานการณ์ของ ยาเสพติด ที่ ทะลักเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ที่มีการทำ สงคราม ทำให้ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต้องการใช้เงินเพื่อทำสงครามภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนยาเสพติดจึงทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นๆ และถ้าติดตามการจับกุมกลุ่มผู้ค้า จะพบว่าเป็นคนจาก จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นจำนวนมาก และจากคำให้การหลังถูกจับกุม ไม่ว่าจะถูกจับที่ภาคไหนของระเทศไทย ทุกคนจะให้การว่า นำยาเสพติดเหล่านั้นมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้  

ดังนั้น จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะไม่มีโรงงาน ผลิตยาเสพติด แต่เป็น “ตลาดใหญ่ของยาเสพติด” เป็น”สมรภูมิ” ของการค้ายาเสพติด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การปราบปรามยาเสพติด การที่จะ”เอาชนะ” ขบวนการค้ายาเสพติด” และการที่จะเอา”ผู้ขาย” และ”ผู้เสพ” ออกจาก”หมู่บ้าน ตำบล” ตามนโยบาย”การแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน” ที่เป็นนโยบายของกระทรวงยุติธรรมภายใต้การ”กำกับดูแล” ของ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็น”ความหวัง” ของคนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นภารกิจที่”ท้าทาย” ครั้งสำคัญของ”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นอย่างยิ่ง

‘นักวิชาการ’ ชี้!! ข้าวเก่าค้าง 10 ปี เชื้อราเพียบ ใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานรับเคราะห์เต็มๆ

(8 พ.ค.67) รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิย์ กินข้าวค้างสต๊อก 10 ปีโชว์ว่ายังนุ่มนวลพร้อมนำออกประมูล ว่า…

จากกรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรัปทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่า ข้าวนั้นทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ

1.ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่าง ๆ (รวมถึงข้าว) ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับที่โรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชจะต้องไม่เกิน 12% เพราะพวกนี้สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่ในกระสอบป่าน โอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน

หากจะเก็บไว้นานกว่านี้ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing)* อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13 °C ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว*

2.กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็น วางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมน้ำกลับ ความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่าง ๆ
3.แม้จะรมยาแต่สถาพการวางทับกระสอบ รมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะข้าวที่เอามาหุงแสดง ขณะล้างฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าว ด้วง
4.การที่เมล็ดข้าวมีความชื้น ส่งเสริมการเติบโตของมอด แมลงต่าง ๆ* หลักฐานประจักษ์ขณะซาวข้าว (15 ครั้ง ตามข่าว ซึ่งข้าวปกติเราล้างไม่ถึง 3 ครั้ง)
5. การมีมอดแมลง มูลของแมลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเจริญของเชื้อรา และแบคทีเรีย* ทำให้เน่าได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว
6.จากสภาพข้าวที่หุงออกมา จะมีข้าวจำนวนไม่น้อย ที่มีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือเม็ดข้าวที่ขึ้นรา อย่างน้อยต้องตรวจพบสารพิษอะฟลา 1 ตัว ตรวจง่าย ๆ โดยใช้เทคนิค บี จี วาย ฟลูโอเรสเซนท์ (Bright Greenish-Yellow Fluorescent) **ซึ่งสารนี้ทนอุณหภูมิได้ถึง 250°C** และยังจะมีสารพิษอื่น ๆ ตามมาอีกหลายตัว อุณหภูมิข้าวที่เราหุงน้ำเดือด 100°C ไม่สามารถทำลายพิษจากเชื้อราได้ อาจได้แค่แบคทีเรียจากมูลของแมลง

เห็นเจตนาดีของท่านที่จะหาเงินกลับคืน ขอแนะนำว่า…

1.อย่าขายให้คนหรือสัตว์นำไปบริโภค ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเราจะมีคนป่วยด้วยมะเร็งมากขึ้น สำหรับผู้บริโภคโดยตรง
2.กรณีนำไปเลี้ยงสัตว์ เราจะได้ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ ที่มีสารพิษจากเชื้อราตกค้างในอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
3.การนำไปขายให้แอฟริกา ชื่อเสียงข้าวเน่าเสียของไทยจะกระจายไปทั่วโลก คู่แข่งเราจะได้เปรียบ กว่าเราจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาคงหลายปี เสียตลาดข้าวให้คู่แข่ง โดยเขาไม่ต้องออกแรงเลย และที่สำคัญบาปตกอยู่กับผู้คิด ผู้ขาย แน่นอน
4.ขอแนะนำให้นำข้าวเหล่านี้ ไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสายชู จะดีกว่า สอบถามนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์การอาหารต่อไปค่ะ

หมายเหตุ : การตรวจสอบสารพิษเหล่านี้ มีตามมหาวิทยาลัยที่มีห้องแลปตรวจอาหารทั่วไปหรือกรมปศุสัตว์หรือบริษัทรับตรวจสารพิษในอาหาร

'ไทย สมายล์ บัส' ไล่ออก!! 'กัปตันเมล์-บัสโฮสเตส' ใช้วาจาไม่สุภาพ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อผู้โดยสาร

(8 พ.ค. 67) จากเพจ 'ไทยสมายล์บัส' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ไทย สมายล์ บัส สั่งลงโทษ 'กัปตันเมล์-บัสโฮสเตส' ใช้วาจาไม่สุภาพ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อผู้โดยสาร โดยให้พ้นสภาพการเป็นพนักงานทันที ซึ่งทางบริษัทต้องการยกระดับการให้บริการขนส่งสาธารณะ ที่สะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรกับผู้ใช้บริการทุกคน

ทุกเคสที่ผู้โดยสารพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะของพนักงาน และได้แจ้งร้องเรียนเข้ามาทาง In-box ‘ทางบริษัทได้รับเรื่อง พร้อมทำการตรวจสอบทุกเคส’ หากพบว่ามีความผิดจริง บริษัทจะดำเนินการลงโทษพนักงานตามมาตรการต่อไปโดยไม่มีการเลือกปฎิบัติ

อัปเดต 5 ธุรกิจ ‘เสี่ยโน้ส อุดม แต้พานิช’ อีกหนึ่งบทบาทสำคัญนอกเหนือทอล์กโชว์

(8 พ.ค.67) สำนักข่าวอิศราได้รายงานว่า กลายเป็นประเด็นดรามา-ทอล์ก ออฟทาวน์อีกครั้ง ของ ‘โน้ส-อุดม แต้พานิช’ นักทอล์กโชว์ชื่อดัง

ล่าสุดผ่านเพจ Netflix แอปบริการสตรีมมิ่งชื่อดัง ได้โพสต์คลิปโปรโมตทอล์กโชว์ ‘เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์’ เนื้อหาบางช่วงพูดดึงความพอเพียง เหน็บ ๆ หยิก ๆ สับ ๆ ‘คนรวยลงรถตู้ทำเศรษฐกิจพอเพียง’ สร้างความไม่พอใจแก่คนในสังคม เหล่าคนดังจำนวนมาก บางรายออกมาโพสต์โต้กลับดุเดือดทำนองคราวหน้าคราวหลังอย่าทำเยี่ยงนี้อีก

หากจำกันได้ 2 ปี ก่อนยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วันที่ 11 ตุลาคม 2565 ‘โน้ส’ก็ออกมาทอล์กโชว์ พาดพิงเรื่องกู้เงิน, ผลงาน ฯลฯ แต่ไม่พูดถึงมาหยิกขบประเด็นทุจริตโครงการขนาดใหญ่อย่างกรณีรับจำนำข้าว ฯลฯ จนแฟนคลับลุงบอกว่า ‘โน้สเลือกข้าง’

ในมุมธุรกิจที่เคยนำข้อมูลมารายงานไปแล้ว นักพูดรายนี้ถือหุ้นและ/หรือเป็นกรรมการ 5 บริษัท ได้แก่…

1.บริษัท ลองรวย จำกัด ขายของชำ
2.บริษัท ทุเรียน จำกัด จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม ไอศกรีม และเบเกอรี่
3.บริษัท พอดีพานิช จำกัด ออกแบบผลิตภัณฑ์ รับจ้างการแสดง และเขียนหนังสือเพื่อจำหน่าย 
4.บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด จัดการแสดงทางธุรกิจและการแสดงสินค้า (จัดงานแสดงโชว์ รับจ้างแสดง ถ่ายโฆษณา แสดงแบบ)
5.บริษัท เอ็ม.โอ.ดี.ช็อป จำกัด ออกแบบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก

ผลประกอบการรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิเพียงบริษัทเดียว คือ บริษัทคือ บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด รายได้รวม 28,608,901.97 บาท กำไรสุทธิ 895,887.29 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 99,224,807.71 บาท หนี้สิน 87,180,540.19 บาท กำไรสะสม 7,044,267.52 บาท อีก 4 บริษัทแจ้งผลประกอบการขาดทุน

ผ่านมาเกือบ 2 ปี ในช่วงกระแสเชี่ยว มาอัปเดตสถานะของเขาอีกครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ‘โน้ส อุดม’ ยังมีชื่อเป็นกรรมการและหรือถือหุ้นธุรกิจ 5 บริษัท ที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสำคัญคือ 2 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน

1.บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 2564 รายได้รวม 28,608,901.97 บาท กำไรสุทธิ 895,887.29 บาท รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2565 รายได้รวม 230,817,842.82 บาท กำไรสุทธิ 43,630,419.66 บาท เปรียบเทียบตัวเลข 2 ปี รายได้เพิ่มขึ้น 202,208,941 บาท กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 42,734,532 บาท

2.บริษัท เอ็ม.โอ.ดี.ช็อป จำกัด ออกแบบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 รายได้รวม 29,346.14 บาท ขาดทุนสุทธิ 304,253.57 บาท รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2565 รายได้รวม 16,758,915.14 บาท กำไรสุทธิ 826,789.83 บาท เปรียบเทียบตัวเลข 2 ปี รายได้เพิ่มขึ้น 16,729,569 บาท กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 522,536 บาท

ขณะที่ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลองรวย จำกัด บริษัท ทุเรียน จำกัด และ บริษัท พอดีพานิช จำกัด ผลประกอบการรายได้หลักหมื่นบาท และ 1.4 ล้านบาท ตามลำดับ ขาดทุนสุทธิเหมือนเดิม

สำหรับคนดังที่ร่วมหุ้นกับ ‘โน้ส’ มี นายอัครเดช ยอดจำปา (ก้อง ห้วยไร่ นักร้องลูกทุ่ง หมอลำ) ใน บริษัท ลองรวย จำกัด ด้วย

จากตัวเลขผลประกอบการ เห็นได้ว่า ผ่านไปเกือบ 2 ปี ฐานะทางธุรกิจเจ้าของทอล์กโชว์มั่งคั่งมากขึ้นจาก ‘โน้ส’ เป็น ‘เสี่ยโน้ส’ ไปแล้ว ?

สืบนครบาล รวบ บัญชีม้ามิจฉาชีพหลอกให้กู้เงินออนไลน์ ใช้อุบายให้โอนค่าค้ำประกันเงินกู้ต่างๆ สุดท้ายสูญเงิน

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร  ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้เสียหายผ่านเพจ สืบนครบาล IDMB ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายกิจประดิษฐ โฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก สส.บช.น., พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. และ พ.ต.ท.สัญญลักษ์ สังขะภักดี สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.
ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.ชาญชัย น่าดู รอง สว.กก.สส.3 ฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ( ชุดปฏิบัติการที่  3/1) ดำเนินการ จับกุมตัว

นายกิจประดิษฐ อายุ 28 ปี ภูมิลำเนา ต.ท่าสัก อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์  

ผู้ต้องหามีหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 117/2566  ลงวันที่  22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์ประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

จับกุมที่ บริเวณทางเดินเท้า ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี

พฤติการณ์การกระทำความผิดได้มีผู้เสียหายเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนแจ้งว่า ขณะอยู่บ้านพักอาศัย ตนได้ค้นหา เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ผ่านเว็ปไซต์ จากนั้นได้พบโฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์ ตนสนใจจึงได้แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋าจึงได้ออกอุบาย ให้ตนโอนเงินไปก่อนเพื่อเป็นการค้ำประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15.06 น. ตนจึงได้โอนเงินจากบัญชีธนาคาร ของตนเองไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ เป็นเงินจำนวน 24,728 บาท ต่อมาไม่ได้รับเงินตามที่ได้กู้ยืมไป จึงขอเงินคืน แต่ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋า กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนเงินให้  หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย เบื้องต้นมีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อถูกหลอกให้โอนเงินไป ซึ่งอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

เบื้องต้นยังพบประวัติการหลอกลวงของผู้ต้องหาใน 
blacklistseller

จากการตรวจสอบในฐานระบบยังพบมีหมายจับอีก 2 หมาย 
1. หมายจับศาลจังหวัดชุมแพที่ 103/2564 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ฉ้อโกง”
2. หมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 321/2565 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนปลอมให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า โดยเมื่อประมาณปี 2564 ด้วยผู้ต้องหาได้รู้จักกับกลุ่มเพื่อนที่พักอาศัยเเถวบ้าน  ได้ว่าจ้างให้ผู้ต้องหาเปิดบัญชีม้า โดยจะได้รับค่าตอบเเทนในการเปิดบัญชีครั้งล่ะ 500 บาท/ต่อครั้ง โดยมิได้ถามว่าจะนำไปใช้อะไร เเละได้นำเงินค่าจ้างดังกล่าวไปใช้ในชีวิตประจำวัน

พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนสำหรับผู้ที่อยากกู้เงิน ต้องค่อย ๆ ตั้งสติและมองหาแหล่งกู้เงินด่วนที่ปลอดภัย หากต้องการกู้เงินออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ ควรมีการตรวจสอบแหล่งกู้เงินออนไลน์ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ และได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องผ่านเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ https://www.bot.or.th/th/license-loan

‘ฮาร์ท สุทธิพงศ์’ ถูกอัยการยื่นฟ้อง ม.112 หลังโพสต์หมิ่นเบื้องสูง ศาลประทับรับฟ้อง!! ให้ประกันตัว 2 แสน - ห้ามออกนอกประเทศ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้นำตัว นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง มายื่นฟ้องต่อศาลในความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

จากกรณี นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง ได้แชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันฯ เกี่ยวกับเรื่องโรคโควิด ช่วง พ.ศ.2564 ทำให้ในเวลาต่อมา นายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับพนักงาน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

โดยศาลรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ483/2567 โดยจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์ 2 แสนบาท ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศยกเว้นได้รับอนุญาต

ทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567

วันที่ 7 พ.ค.67 เวลา 10.00 น. ทัพเรือภาคที่ 1 โดยมี ว่าที่ น.อ.ชิตพงศ์  ช้างงาม ช่วยปฏิบัติราชการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นผู้แทน ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสา จำนวน 10 นาย เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนากับศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี กิจกรรมประกอบด้วยการปลูกป่าชายเลน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกิจกรรมทำความสะอาดบริเวณชายหาด ณ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย ม.2 ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี 
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

#ทัพเรือภาคที่1
#จิตอาสาพระราชทาน
#เทิดทูนสถาบัน_ยึดมั่นระเบียบวินัย_ประชาชนภูมิใจ_ทะเลไทยมั่นคง
#Fit_for_the_Future
 

พิจิตร-มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย หน่วยงานกระทรวงแรงงาน จ.พิจิตร กลุ่มไทยสมายล์ เติมกำลังใจ ให้ผู้พิการและผู้ยากไร้ 

​วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์  ทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ กรุ๊ป  ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ และอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 4 ราย และอีก 2 ราย ณ บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ ที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร   โดย มี นายสมชาติ สุภารี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และหัวหน้าหน่วยราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน จ.พิจิตร ให้การต้อนรับ 

​นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ 
และผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ จำนวน 4 คัน และไม้เท้าพยุงสามขา จำนวน 2 อัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) รวมถึงยังได้รับการสนับสนุนการขนส่งสิ่งของมายัง จ.พิจิตร โดย บริษัท สมบัติทัวร์ จำกัด มามอบให้กับ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ตามที่ได้รับการประสานจาก หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดพิจิตร ทั้งนี้ได้ส่งมอบรถเข็นวีลแชร์ที่ อาคารสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน จังหวัดพิจิตร จำนวน 4 ราย ได้แก่ นางศิริพร บุญยัง (อายุ 39 ปี) นายบรรเจิด บุญเลิศ (อายุ 69 ปี) นางบุญรอด แซ่เจียม (อายุ 81 ปี) และนางถนอมศิลป์ สว่างวงษ์ภักดิ์ (อายุ 82 ปี) นอกจากนี้ยังได้ไปมอบไม้เท้าพยุงสามขา จำนวน 2 ราย ที่บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ ณ บ้านของผู้แจ้งความประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เป็นจำนวน 2 คัน ได้แก่ นายดำ คามวาศรี (อายุ 78 ปี) และนางเกศนีย์ แซ่เจียม (อาย 64 ปี) ซึ่งทั้ง 6 ราย เป็นกลุ่มเปราะบาง มีฐานะยากจน และประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน มอบกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top