Friday, 6 June 2025
NEWS

‘กรณ์’ คาใจผู้ว่าฯ กทม. พยายามแก้ กม. เอื้อสร้างตึกสูง ลั่น!! อย่าเอาใจ ‘นายทุนอสังหาฯ’ ให้มากเกินไป

(18 พ.ค. 68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

การทำงานของ กทม. แถวบ้านผม หลายวันที่ผ่านมา กทม. สร้างความประทับใจในการทำงานอยู่หลายงานครับ

1. ปรับปรุงกระจกจราจรในมุมอันตรายภายใน 2 วันจากที่ชาวบ้านแจ้งไปทาง  traffy fondue

2. มาลอกคลอง 2 วันก่อนฝนตกหนัก (โดยไม่มีใครร้องขอ) คลองนี้เป็นคลองระบายนํ้าสำคัญจากสาทรผ่านไปออกเจ้าพระยา และกลายวันที่ผ่านมาที่ฝนตกหนักมากนํ้าระบายออกอย่างดี

3. ซ่อมใหญ่ท่อระบายนํ้าในซอยเย็นอากาศ 3  ด้วยระบบการทำงานที่ดีมาก คือ ขุด-ปรับปรุงจนเสร็จทีละจุด ไล่ไปตามซอย ขณะนี้มาถึงท่อกลางซอย แต่ช่วงต้นซอยที่ขุดไปก่อนได้มีการปรับปรุงและซ่อมคืนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำงานเร็ว เท่าที่เห็น มีคนงานทำอยู่ทุกวัน

ผมไม่รู้จริงๆว่างานเหล่านี้สำนักงานเขต (ยานนาวา) เขาทำกันเอง หรือเป็นนโยบายหรือการกำกับของท่านผู้ว่าฯ แต่เมื่องานดี ผมขอชม เพราะพองานไม่ดี ทั้งผู้ว่าฯ (ทุกยุค) และเจ้าหน้าที่ กทม. จะมีคนพร้อมด่าเสมอ

อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญที่ผมยังคาใจกับท่านผู้ว่าเสมอคือเรื่องความพยายามแก้กฎหมายเพื่อเอื้อการสร้างตึกสูง และเพื่อลบล้างความผิดที่สำเร็จแล้ว

กทม. หลายยยุคที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยเรื่องการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย บางครั้งศาลพิพากษาแล้ว แต่ กทม. ก็ไม่มีการดำเนินการตามคำสั่งศาล ประชาชนเสียเปรียบเพราะเมื่อสร้างไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

เรื่องงานจิปาถะสำคัญ แต่เรื่องผังเมือง เรื่องกฎหมาย และเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เอาใจนายทุนอสังหาเกินไปก็สำคัญมากครับ หากผู้ว่ามีความชัดเจนเรื่องนี้จะดีมาก

‘รองเลขานายกฯ’ ชี้เป้า!! เครือข่าย ‘เว็บพนัน’ เตรียมส่งข้อมูล ‘ผบ.ตร.-บช.ก.’ ลุยล้างบาง

(18 พ.ค. 68) นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีอดีตพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม และอดีตเจ้าคณะภาค 14 ถูกดำเนินคดีฐานยักยอกเงินวัด เพื่อนำไปเล่นพนันออนไลน์ ว่า เรื่องพนันออนไลน์เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่เข้าไปถึงทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนของสังคม นำไปสู่อาชญากรรมต่างๆตามมาอย่างที่ได้เห็นกัน ปัญหานี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างมาก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

นายณณัฏฐ์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ตนได้รับมา พบว่า กลุ่มทุนพนันออนไลน์ในประเทศไทย นอกจากเว็บไซต์ใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศอย่างเครือข่าย UFA888 แล้ว ก็ยังมีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์อื่นๆที่แฝงตัวอยู่ตามจังหวัดหัวเมืองต่างๆทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อแตกต่างกันไป และเนื่องจากเป็นการกระทำผิดในรูปแบบออนไลน์ จึงทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับพื้นที่ที่จะปราบปรามให้เด็ดขาด เพราะเคยสั่งปิดไป ก็กลับมาเปิดได้อีกด้วยชื่อใหม่ ลำพังทรัพยากรของตำรวจในพื้นที่อาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับส่วนกลางด้วย

“ตนจะนำข้อมูลที่ได้รับมา ไปประสานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบเชิงลึกและมีขอบเขตอำนาจการทำงานครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งแรงในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด และต้องให้ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนได้เสีย” นายณณัฏฐ์ กล่าว

นายณณัฏฐ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการจะทำให้การพนันออนไลน์หมดไปจากสังคม หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถดำเนินการได้เองโดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงานภาครัฐ ถึงจะเห็นผล และที่สำคัญ ต้องทำอย่างเด็ดขาด จริงจังตามที่นายกฯ สั่งการลงมา ไม่เช่นนั้นก็เหมือนการลูบหน้าปะจมูก ผลร้ายจะตกอยู่กับพี่น้องประชาชน 

‘ดร.สุวินัย’ เผย!! วิกฤตเด็ก Gen Z ในยุคดาต้านิยม ชี้!! พ่อแม่เขียนโปรแกรม ทำให้เด็กเปราะบาง

(18 พ.ค. 68) ศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

หากเด็กไทยสมัยนี้โตขึ้นมา โดยไม่เคยได้วิ่งเล่นล้มเข่าถลอก ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีต้นไม้ให้ปีน

มีแต่เพียงหน้าจอมือถือหรือแทบเลตที่คอยบอกว่าใครชอบเขา ใครลืมเขา และเขาดีพอหรือยัง

หากเป็นแบบนี้ จงรู้ไว้เถิดว่า เราไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูก เรากำลัง “เขียนโปรแกรมของเด็ก” ใหม่ทั้งระบบ!

และผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ "เด็กไทยสายพันธุ์ใหม่" ที่วิตกกังวล สับสน และเปราะบางกว่าทุกยุคก่อนหน้านี้มาก

เด็กในยุคดาต้านิยม (dataism) ต่อจากนี้ คงต้องเติบโตในโลกที่ไม่เคยทดสอบกับมนุษย์มาก่อน

1. คลื่นแห่งความทุกข์ที่โหมกระหน่ำแต่วัยเยาว์

เด็กยุคก่อนเคยเติบโตท่ามกลางจักรยาน เพื่อนบ้าน และลานดิน

แต่เด็ก Gen Z เติบโตท่ามกลางฟีดที่ไม่มีวันจบ การแจ้งเตือนที่ไม่เคยหลับ และภาพเปรียบเทียบตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง นี่คือ “ดาวอังคาร” สำหรับวัยรุ่น เป็นพื้นที่ใหม่ที่พัฒนาการมนุษย์ยังไม่เคยถูกทดสอบ ไม่มีระบบนิเวศทางอารมณ์ที่เข้าใจได้ และไม่มีผู้ใหญ่คนไหนรู้วิธีอยู่รอดจริง ๆ

และผลลัพธ์ก็คือเกิดการ “การเขียนโปรแกรม” วัยเด็กครั้งใหญ่ที่ทำให้ อัตราความเครียด ความซึมเศร้า และการทำร้ายตัวเองของวัยรุ่นพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปี 2010–2015

2. โลกออนไลน์เปลี่ยนวัยเด็กไปตลอดกาล

จุดเริ่มต้นของวิกฤตคือช่วงต้นทศวรรษ 2010 ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญ 3 อย่าง:

2.1 การระบาดของสมาร์ตโฟน – เมื่อไอโฟน 4 เปิดตัวในปี 2010 พร้อมกล้องหน้า โลกแห่ง “เซลฟี่” ก็เริ่มต้น

2.2 การครองเมืองของโซเชียลมีเดีย – การมาถึงของ “ปุ่มไลก์” และ “แชร์” ใน Facebook และ Instagram เปลี่ยนพฤติกรรมออนไลน์ให้กลายเป็นสนามประลองการยอมรับ

2.3 การลดลงของการเล่นนอกบ้าน – การเลี้ยงลูกแบบ Overprotective และการหายไปของ “play-based childhood” ทำให้เด็กไม่มีพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อฝึกใจ ฝึกสังคม

เด็กยุคนี้จึงต้องโตในโลกที่มี “หน้าต่างพลังงาน” ส่งสารพลังทำลายสมองเข้าสู่ตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีใครเตือนพวกเขาว่ามันอันตรายแค่ไหน

3. โรคทางใจที่พุ่งไม่หยุด

ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา อัตราโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นอเมริกันเพิ่มขึ้นถึง 150% โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิงวัย 10–14 ปี ที่อัตราทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้นถึง 300% ในหนึ่งทศวรรษ

นี่ไม่ใช่เพียงการรายงานความรู้สึก (self-reporting) เท่านั้น แต่สะท้อนผ่านข้อมูล:

อัตราการเข้าห้องฉุกเฉิน ด้วยการทำร้ายตัวเอง (Emergency Room Visits for Self-Harm)

อัตราการฆ่าตัวตาย ในวัยรุ่นอายุ 10–14 ปี ที่พุ่งขึ้นตั้งแต่ปี 2012

การใช้ยาและการวินิจฉัยภาวะซึมเศร้า ในระดับวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และที่สำคัญ เด็กผู้ชายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้จะชัดเจนน้อยกว่าก็ตาม

4. ความแตกต่างระหว่าง “ความกลัว” กับ “ความวิตกกังวล”

ความกลัว (fear) คือการตอบสนองต่อภัยอันตรายจริงในปัจจุบัน ส่วนความวิตกกังวล (anxiety) คือ การคาดการณ์ภัยที่ยังมาไม่ถึง... และไม่แน่ว่าจะมาด้วยซ้ำ

แต่เมื่อสมองของวัยรุ่นถูกฝึกให้ “สแกนหาอันตราย” ตลอดเวลา ผ่านโพสต์ ติ๊ดแจ้งเตือน ไลก์ที่หายไป — อะไร ๆ ก็กลายเป็นภัย ทั้งคำพูดของเพื่อน รูปร่างตัวเอง หรือแม้แต่การถูก “อ่านแล้วไม่ตอบ”

ระบบประสาทถูกรีไวร์ให้ตื่นตลอดเวลา — กลายเป็น โหมดเอาตัวรอดทางสังคมถาวร (Chronic Social Survival Mode)

5. เด็ก Gen Z ไม่ได้ซึมเศร้าเพราะโลกร้อน... แต่เพราะ “อยู่คนเดียว”

มีคำอธิบายมากมายที่พยายามจะโยนปัญหาไปที่ "สภาพโลก":

ความขัดแย้งทางการเมือง

ภัยโลกร้อน

โรคระบาด COVID-19

สภาพเศรษฐกิจ

แต่จริง ๆ แล้ว... สาเหตุเหล่านี้ “ไม่ตรงกับไทม์ไลน์” ของวิกฤตสุขภาพจิตเลย

วิกฤตปี 2008 ไม่ทำให้เด็กยุคมิลเลนเนียลเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่แรงที่สุดเกิดในปี 2012–2013 — ไม่ใช่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

ถ้าโลกแย่ลงจริง ๆ เด็กควรจะ “รวมพลัง” สู้ภัย ไม่ใช่แยกตัวจนซึมเศร้า

สิ่งที่ต่างออกไปในยุคนี้คือ... วัยรุ่นไม่ได้ออกไปประท้วง แต่เลื่อนนิ้วดูชีวิตคนอื่นที่ดูดีกว่าตัวเองตลอดเวลา

6. “พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกโตบนโทรศัพท์... แต่เหมือนไม่มีทางเลือก”

เสียงจากพ่อแม่ทั่วอเมริกา:

พ่อแม่ที่เห็นลูกสาวเปลี่ยนไปหลังใช้ Instagram และฟื้นคืนตัวตนเมื่อได้ไปแคมป์ไร้โทรศัพท์

พ่อที่เห็นลูกชายที่เคยร่าเริง กลายเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นเกม และหงุดหงิดเมื่อโดนห้าม

ความรู้สึกหลักของพ่อแม่เหล่านี้คือ…

“เราสูญเสียลูกของเราไปให้โลกที่เราเข้าไม่ถึง นี่เป็นโลกที่เราไม่มีสิทธิ์ควบคุม”

ผลลัพธ์คือ ‘ลูกโดดเดี่ยว’

7. The Great Rewiring: จุดเริ่มต้นของวัยรุ่นดาวอังคาร

การรีไวร์ครั้งใหญ่ของวัยเด็กเริ่มต้นขึ้นระหว่างปี 2010–2015

จากวัยเด็กที่เต็มไปด้วย “การเล่นเสี่ยงภัย” และ “การลองผิดลองถูก” สู่วัยเด็กที่ต้องสแกนฟีด สร้างแบรนด์ตัวเอง และเปรียบเทียบไม่รู้จบ

การใช้ชีวิตแบบ “อยู่ตรงนี้ แต่จิตใจอยู่ที่อื่น” กลายเป็นบรรทัดฐาน และมันไม่ได้ฝึกความสามารถสำคัญใด ๆ ที่มนุษย์ควรได้เรียนรู้ในวัยเด็กเลย

8. จุดจบของวัยเด็กแบบเล่นสนุก (The Play-Based Childhood)

ก่อนที่โลกจะกลายเป็นหน้าจอ ทุกชีวิตต่างรู้ดีว่า "การเล่น" คือระบบการเรียนรู้โดยธรรมชาติ เราเรียนรู้ที่จะสู้ เรียนรู้ที่จะสมานฉันท์ เรียนรู้ความกลัวและความกล้าหาญ ผ่านการวิ่งไล่ จับ โดนล้อ และตีกันแล้วก็คืนดีกันได้ใน 5 นาที

แต่โลกหลังยุค 1980s กลับเริ่มลดพื้นที่ของการเล่นแบบนั้นลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด เด็ก Gen Z กลายเป็น มนุษย์ยุคแรกในประวัติศาสตร์ที่โตขึ้นโดยไม่มีสนามให้เล่น ไม่มีความเสี่ยงให้ลอง และไม่มีเสรีภาพที่จะล้ม

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำลายภูมิคุ้มกันทางจิตใจโดยที่ไม่มีใครตั้งใจ

9. พ่อแม่ยุคใหม่: ห่วงมาก... จนบั่นทอน

การเลี้ยงลูกแบบ “Overprotective Parenting” ที่เริ่มมากขึ้นในยุค 1990s คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่เด็กไม่ได้รับ “วัคซีนทางประสบการณ์”

ยุคที่ข่าวลักพาตัวกลายเป็นหัวข้อข่าวรายวัน ทำให้สังคมเชื่อว่าโลกภายนอกคืออันตราย สวนสาธารณะคือกับดัก และถ้าปล่อยลูกเดินไปโรงเรียนเอง เท่ากับปล่อยลูกไปหาโจรโรคจิต

แม้ความจริงคือ สถิติอาชญากรรมต่อเด็กไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ความกลัวของพ่อแม่กลับเพิ่มขึ้นแบบไม่มีเพดาน และนั่นทำให้เด็กค่อย ๆ สูญเสีย "พื้นที่เสรีเพื่อเติบโต"

10. เล่นเสี่ยงภัยคือห้องทดลองทางอารมณ์

เด็กไม่ได้เปราะบางเพราะหกล้ม เด็กเปราะบางเพราะไม่เคยได้หกล้มเลยต่างหาก การเล่นที่มีความเสี่ยงพอสมควร เช่น ปีนต้นไม้ วิ่งไล่กัน ล้อกันแรง ๆ หรือทะเลาะกับเพื่อน เป็นสิ่งที่ “ฝึกหัวใจให้รับแรงกระแทก”

เด็กจะเรียนรู้การ “ควบคุมความกลัว” ฝึกทักษะทางสังคมโดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่แทรกกลาง เรียนรู้การสร้างกฎ การเจรจา และการยอมแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี

แต่วิธีเลี้ยงลูกแบบกลัวลูกเจ็บ กลัวลูกแพ้ กลัวลูกเศร้า กลายเป็นการบ่ม “ความเปราะบาง” อย่างไม่รู้ตัว

11. เด็กยุคใหม่ไม่ได้โต “ด้วยกาย” แต่โต “ด้วยการเลื่อนจอ”

ในอดีต เด็กอายุ 10–12 จะเข้าสู่ “Discover Mode” ซึ่งคือช่วงที่สมองเปิดกว้างที่สุดสำหรับการลองผิดลองถูก การหา “จุดแข็งของตัวเอง” และการเผชิญความเสี่ยงในระดับปลอดภัย

แต่ในยุคใหม่… เด็กวัยเดียวกันนี้ใช้เวลากับหน้าจอแทนการปั่นจักรยาน หัดตัดต่อคลิปก่อนหัดเจรจากับเพื่อน พูดกับ AI เก่งขึ้น แต่พูดกับคนแปลกหน้าไม่กล้า

ระบบรางวัลในสมองได้เปลี่ยนไปจาก “การลงมือทำจริง” → “การได้รับไลก์จากการโพสต์”

ผลคือ เด็กจำนวนมากโตโดยไม่ได้สร้าง self-efficacy (ความเชื่อว่าตนควบคุมชีวิตได้) แต่กลับฝึก self-branding แทน และนั่นคือรากแห่งความไม่มั่นคงในจิตใจของวัยรุ่นยุคนี้

12. วัยรุ่นโตขึ้น... แต่ไม่มีพิธีกรรมแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน”

ในสังคมดั้งเดิม แทบทุกวัฒนธรรมมี “Rite of Passage” — พิธีกรรมที่ประกาศว่า เด็กคนหนึ่ง “ผ่านพ้น” สู่ความเป็นผู้ใหญ่เช่น

- พิธีบรรลุนิติภาวะ

- การฝึกทหาร

- การเรียนรู้กับครูหรือช่างฝีมือ

- การได้สิทธิ์ใหม่ เช่น ขับรถ หรือหารายได้เอง

แต่ในยุคปัจจุบัน วัยรุ่นกลับ “ถูกดองไว้” ในสภาวะครึ่งเด็กครึ่งผู้ใหญ่

- ไม่มีภาระอะไรจริงจังให้รับผิดชอบ

- ไม่มีอำนาจในการกำหนดชีวิต

- มีหน้าที่แค่ “เรียนเพื่อคะแนน” ไปเรื่อย ๆ

เป็นช่วงวัยที่เปราะบางที่สุดทางสมอง แต่กลับไม่มีโครงสร้างใดรองรับให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ

13. วัยเด็กที่หายไป ถูกแทนที่ด้วยชีวิตในโลกผู้ใหญ่ปลอม ๆ

ขณะเดียวกันที่เด็กไม่มีโอกาสเสี่ยงในโลกจริง พวกเขากลับมี อิสระเต็มที่ในโลกออนไลน์ แบบไม่มีใครกรอง

- เข้าถึงเนื้อหาผู้ใหญ่ทุกประเภท

- ได้รับข้อความจากใครก็ได้บนโลก

- เห็นความเกลียดชัง ความแกล้งกัน การคุกคาม ตั้งแต่วัย 9 ขวบ

เด็กยุคใหม่จึงโตมากับความรู้สึกสับสนระหว่าง…

- โลกจริงที่อิสระถูกพรากไป

- โลกเสมือนที่อิสระไร้ขอบเขตจน “จิตใจกลายพันธุ์”

14. สี่พิษร้ายแห่งวัยเด็กบนหน้าจอ

วัยเด็กคือช่วงเวลาที่สมองกำลัง “ตั้งค่า” วิธีมองโลกและใช้ชีวิตในโลกนี้

แต่ในยุคที่วัยเด็กกลายเป็นการ “อยู่หน้าจอ 7 ชั่วโมง/วัน” สิ่งที่สมองของเด็กเรียนรู้กลับกลายเป็น…

- ตอบสนองสิ่งกระตุ้นไวขึ้น แต่จดจ่อกับสิ่งใดลึก ๆ ได้น้อยลง

- มีความสัมพันธ์มากมาย แต่ตื้น และบอบบาง

- รับการให้รางวัลแบบสุ่มถี่ เหมือนทดลองกับหนูในห้องแล็บ

ผลลัพธ์คือ ระบบพัฒนาการของเด็ก “ถูกรีไวร์” จนผิดเพี้ยน และนำไปสู่ 4 ผลร้ายรุนแรงระดับโครงสร้างที่เรียกว่า…

→ Social Deprivation (ความสัมพันธ์ที่บกพร่อง)

→ Sleep Deprivation (นอนหลับน้อยลง)

→ Attention Fragmentation (สมาธิสั้น)

→ Addiction (ติดโซเชียล)

15. Social Deprivation: ความสัมพันธ์ที่พร่องลึกลงไปเรื่อย ๆ

หนึ่งในภัยที่ร้ายแรงที่สุดของวัยเด็กบนหน้าจอคือ “การพรากออกจากโลกแห่งร่างกาย”

เด็กในอดีตเรียนรู้การเข้าสังคมผ่าน…

-การสบตา

-การเล่นสมมติ

-การล้อกัน

-การให้อภัยและสร้างสัมพันธ์ใหม่

แต่เด็กยุคใหม่...

- แชทมากกว่าเล่น

- ตอบเร็วกว่าเข้าใจ

- สื่อสารแบบ asynchronous (คนละเวลา คนละอารมณ์) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์

ผลคือ แม้จะมีเพื่อนหลายร้อยในออนไลน์ แต่เด็กกลับ “โดดเดี่ยวในใจ” มากกว่าที่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์

16. Sleep Deprivation: เด็กหลับน้อยลงกว่าทุกยุคที่ผ่านมา

อัตราการนอนหลับของวัยรุ่น “ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” หลังปี 2010

-วัยรุ่นจำนวนมากนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน (ต่ำกว่ามาตรฐานที่แนะนำไว้คือ 8–10 ชั่วโมง)

-สาเหตุหลักคือ โทรศัพท์อยู่บนเตียง → ใช้จนดึก → สมองถูกแสงกระตุ้นจนหลับยาก

-การแจ้งเตือนที่ไม่สิ้นสุดจากมือถือ ทำให้ร่างกายไม่เข้าสู่ภาวะ “ปิดตัว”

และเมื่อเด็กอดนอน อารมณ์จะไม่เสถียร และซึมเศร้าง่าย

วงจรนี้จะหมุนวนซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกับดักที่ยากจะแก้ไข

17. Attention Fragmentation: สมาธิสั้น จิตใจฟุ้งซ่าน

เด็กที่โตมากับ TikTok, Instagram, Reels และ YouTube Shorts กลายเป็นมนุษย์ที่ “ใช้เวลาในแต่ละคลิปเพียง 6 วินาทีโดยเฉลี่ย” ก่อนจะเลื่อนผ่าน

นี่คือการฝึกสมองให้...

คิดแบบไม่ต่อเนื่อง

เสพข้อมูลแบบส่วนเสี้ยว

ขาดสมาธิในการเรียนหรืออ่านหนังสือที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ

และเมื่อเด็กไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้...

ความสามารถในการ “สร้างตัวตน” ผ่านความต่อเนื่องของความคิดก็ถูกทำลายไปด้วย

ความคิดแบบลึกซึ้ง (deep work) จึงถูกแทนที่ด้วยความวุ่นวายภายในจิตใจที่ไม่มีทางออก

18. Addiction: เสพติดโซเชียล จนระบบรางวัลในสมองถูกรบกวนอย่างถาวร

เด็ก Gen Z ไม่ได้ “เล่นมือถือ”

พวกเขา “โดนมือถือเล่นงาน” ต่างหาก

บริษัทเทคโนโลยีใช้วิธีการ operant conditioning (แบบเดียวกับการฝึกลิงหรือหมา) ด้วยการออกแบบให้...

ทุกครั้งที่เราเปิดแอป → มีอะไรใหม่เสมอ (variable reward)

ทุกครั้งที่คุณได้ไลก์ → สมองหลั่งโดพามีน

ทุกครั้งที่คุณเลื่อน → เหมือนได้รางวัลเล็ก ๆ ทำให้เลิกยาก

ระบบนี้คล้ายการพนัน ที่คุณติดไม่ใช่เพราะมันให้รางวัลใหญ่ แต่เพราะมันให้รางวัล “เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบสุ่ม”

เด็กจำนวนมากจึงมีอาการ...

-วิตกกังวลเมื่ออยู่ห่างจากโทรศัพท์ (nomophobia)

-หงุดหงิดเมื่อต้องปิดหน้าจอ

-สูญเสียแรงจูงใจในการทำกิจกรรมที่ไม่ใช่หน้าจอ เช่น กีฬา ดนตรี งานฝีมือ

19. เด็กหญิงโดนหนักกว่าเด็กชายอย่างไร?

เด็กหญิงโตขึ้นมาในระบบที่...

-ยึดโยงคุณค่ากับรูปร่างหน้าตา

-ถูกฝึกให้ “สร้างแบรนด์” ผ่านภาพถ่ายและคำบรรยาย

-ต้องคอยตรวจสอบว่าใครเมนต์อะไร ใครไลก์ใครบ้าง

Instagram, TikTok กลายเป็น เครื่องวัดสถานะทางสังคมแบบเรียลไทม์ ที่ทำให้เด็กหญิงรู้สึก...

-ไม่ดีพอ

-ถูกจับจ้อง

-ถูกเปรียบเทียบอย่างไม่หยุดหย่อน

ผลคือ อัตราโรคซึมเศร้า วิตกกังวล และ self-harm ของเด็กหญิงพุ่งสูงกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 10–14 ปี

20. เด็กชายก็ไม่รอด — แค่เส้นทางต่างกัน

เด็กชายไม่ได้จมอยู่ใน Instagram หรือ TikTok เท่าเด็กหญิงก็จริง

แต่พวกเขาจมอยู่ใน...

-วิดีโอเกมแบบ multiplayer

-YouTube แบบ endless scroll

-สื่อลามกสุดโต่งที่เข้าถึงได้ตั้งแต่ประถม

เด็กชายจำนวนมากจึงไม่ได้เผชิญภาวะวิตกกังวลแบบเด็กหญิง

แต่เจอปัญหาแบบ “หายไปจากโลกจริง” เช่น...

-วัยรุ่นที่ไม่เข้าสังคม (hikikomori)

-ไม่เรียนต่อ ไม่ทำงาน (NEET)

-ขาดความสามารถในการสื่อสารพื้นฐาน

21. Spiritual Degradation: จิตวิญญาณเสื่อมถอย

ปัญหาไม่ได้อยู่แค่สุขภาพจิต แต่อยู่ที่สุขภาวะของ “จิตวิญญาณ” (ในความหมายกว้าง) ด้วย

โลกออนไลน์ทำให้เรา...

เสพสารกระตุ้นอารมณ์รุนแรงตลอดเวลา

สูญเสีย “ความเงียบ” ที่จำเป็นต่อการคิดลึก

ไม่มีพื้นที่ว่างในการใคร่ครวญหรือจดจ่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชีวิต

22. “แนวปฏิบัติ 6 ด้านเพื่อฟื้นฟูชีวิตภายใน” ได้แก่:

Awe – ความตื่นตะลึงทางจิตวิญญาณ

เช่น การมองท้องฟ้า ป่าเขา ดนตรี หรือศิลปะที่ทำให้ “ตัวตนหดลง โลกขยายออก”

Gratitude – การรู้สึกขอบคุณ

การฝึกมองเห็นความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตสงบและพ้นจากวงจรเปรียบเทียบ

Prayer / Meditation – การภาวนา / สมาธิ

ไม่จำเป็นต้องผูกกับศาสนาเสมอไป แต่เป็นการคืนจิตให้จดจ่อกับปัจจุบันขณะ

Self-transcendence – การก้าวข้ามตัวตน

การทำสิ่งที่ไม่ได้เพื่อ “ตัวเอง” เช่น การอาสา การให้ หรือการทำเพื่อชุมชน

Silence and Solitude – ความเงียบและการอยู่กับตัวเอง

การอยู่ลำพังอย่างตั้งใจเพื่อฟัง “เสียงข้างใน” ซึ่งถูกกลบด้วยเสียงแจ้งเตือนทั้งวันจากมือถือ

Embodied Practices – การกลับมาใช้ร่างกาย

เช่น การเดินป่า ทำสวน ฝึกโยคะ หรือแม้แต่งานฝีมือ ที่ช่วยยึดโยงเราไว้กับโลกจริง

23. บริษัทเทคโนโลยี ควรเปลี่ยนจาก “ทำเพื่อ engagement” → “ทำเพื่อ well-being”

บริษัทเทคโนโลยีมิได้เลวร้ายโดยเนื้อแท้ แต่โมเดลธุรกิจที่วัด “ความสำเร็จ = เวลาที่คนอยู่บนแพลตฟอร์ม” คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยน

Tech ควรเลิก “ติดตั้งการเสพติด” เป็นค่าเริ่มต้น (default)

แต่ควรสร้างฟีเจอร์ช่วย “เลิกใช้” ง่ายขึ้น เช่น ปิดการแจ้งเตือนอัตโนมัติหลัง 1 ชั่วโมง

ควรยอมเปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานวิจัยอิสระ เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพจิต

และถ้าบริษัทเทคไม่ขยับ — เราควรเรียกร้องให้ นักพัฒนาลาออกจากบริษัทเทคเหล่านั้น และร่วมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เคารพ “ชีวิตมนุษย์” แทน

24. เราไม่ได้ปกป้องเด็กจากเทคโนโลยี แต่เราทิ้งเขาให้จัดการคนเดียว

เทคโนโลยีให้ประโยชน์กับผู้ใหญ่ในหลายด้านก็จริง

แต่กับเด็ก มันกลายเป็นสนามทดสอบที่ไม่มีคู่มือ ไม่มีรั้ว ไม่มีผู้ปกครอง

ผู้ใหญ่สามารถควบคุมตัวเองเวลาใช้ social media ได้บางส่วน

แต่เด็กวัย 11 ที่สมองยังไม่พัฒนาเต็ม → ถูกปล่อยเข้าสู่โลกแห่งความเปรียบเทียบ รางวัลแบบสุ่ม และแรงกดดันทางสังคมแบบไม่หยุดพัก

25. ความผิดพลาด 2 ประการ

สรุปว่า เราทำ “พลาดอย่างรุนแรง” 2 ข้อพร้อมกัน:

1. Overprotecting in the Real World

– เรา “หวง” เด็กจากโลกจริงจนเขาไม่ได้ออกไปลองผิดลองถูก

– พ่อแม่กลัวลูกเดินไปโรงเรียนเอง แต่ไม่กลัวลูกเล่น หรือสนทนากับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์

2. Underprotecting in the Virtual World

– เรา “ปล่อย” เด็กให้จมหายอยู่ในโลกออนไลน์โดยไม่มีเกราะป้องกัน

– โลกออนไลน์กลายเป็นทั้งเพื่อน ทั้งครู ทั้งศัตรู และทั้งแหล่งเปรียบเทียบตลอด 24 ชั่วโมง

และผลก็คือ เด็ก Gen Z กลายเป็นมนุษย์ที่ “หลุดออกจากโลกแห่งพัฒนาการปกติ” โดยไม่มีใครตั้งใจ

26. ปัญหาทางจิตของเด็กจึงไม่ได้จบแค่โรค แต่มันคือการสั่นคลอนแก่นกลางแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเด็กเอง

วิกฤตสุขภาพจิตของเด็กยุคนี้ มิใช่แค่ “โรคซึมเศร้า” หรือ “ภาวะวิตกกังวล” เท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนระดับการรับรู้ของมนุษย์อย่างถึงราก

เราเสพข้อมูลมากกว่าที่เราสามารถตีความได้

เราสร้างตัวตนเพื่อให้ถูกมอง มากกว่ามีตัวตนที่ลึกจริง

เราอยู่ในสถานะ “ระแวดระวังทางสังคม” ตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัว

และในความวุ่นวายนี้ เราสูญเสียความสามารถพื้นฐานของมนุษย์ 3 อย่าง:

จดจ่อ (Attention)

เชื่อมโยง (Connection)

ไตร่ตรอง (Reflection)

27. สิ่งที่ Gen Z ทำได้ และเราควรสนับสนุน

Gen Z อาจไม่ใช่เหยื่อผู้พ่ายแพ้ แต่คือ “รุ่นผู้ตื่นรู้” รุ่นแรกของมนุษยชาติ

หากพวกเขา...ได้เห็นกับตาว่าอะไรทำลายจิตใจตนเอง

หากพวกเขา...ได้เริ่มต่อต้าน algorithm ที่ควบคุมพฤติกรรม

หากพวกเขา...ได้เริ่มกลับสู่การอ่านหนังสือกระดาษอย่างจริงจัง

หากพวกเขา...ได้หันไปคบเพื่อนแบบสนิทกันจริง ๆ

หากพวกเขา...ได้หันกลับมาใช้ชีวิตออฟไลน์ด้วย

วัยเด็กไม่ควรเป็นสนามทดลองของบริษัทเทคโนโลยี

การปกป้องที่ดีที่สุด ไม่ใช่การห้ามทุกอย่างที่เสี่ยง

แต่คือการกล้าให้เด็กได้สัมผัสโลกจริง

ก่อนที่โลกเสมือนจะหลอมเขาให้หายไปจากความเป็นมนุษย์

~ เก็บความจาก The Anxious Generation ของ Jonathan Haidt

เครดิต : เพจ Success Strategies กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ

จากเพจ นัทแนะ

วันนี้ผมขอนำเรื่องของคุณครูสาวชาวอเมริกันมาเล่าสู่กันฟัง

ครูสาวสวยคนนี้เธอชื่อว่า “แฮนน่า มาเรีย - Hanna Maria" เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งเธอเข้ามาสอนได้ 3 ปีแล้ว และก็เพิ่งลาออกมาหมาด ๆ

และเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณครูเธอได้โพสท์ติ๊กต่อกระบายความในใจเกี่ยวกับบรรดาอดีตลูกศิษย์ของเธอดังนี้

”เด็ก ๆ พวกนี้ไม่รู้จักการอ่านหนังสือ เพราะทุกวันนี้แค่กดคลิกปุ่มบนหน้าจอ เครื่องก็อ่านให้พวกเขาฟังได้เลย

ฉันคิดว่าพวกเขาไม่แคร์ด้วยซ้ำไป เขาไม่สนใจที่จะหัดเขียนใบประวัติเพื่อสมัครงาน (Resume) หรือกระทั่งเขียนจดหมายแนะนำตัว

นั่นเพราะ ChatGPT สามารถเขียนให้เขาได้หมด

ฉันคิดว่าเราควรจะตัดเทคโนโลยีพวกนี้ออกจากเด็ก ๆ จนกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย“

คลิปติ๊กต่อกนี้กลายเป็นไวรัลในอเมริกา มีคนชมเป็นล้าน จนกระทั่งสำนักข่าวฟอกซ์นิวส์ต้องไปขอสัมภาษณ์คุณครูแฮนน่าว่าเธอคิดเห็นอย่างไรถึงได้ทำโพสท์นี้ขึ้นมา คุณครูเล่าว่า

“ฉันอยากจะจุดประเด็นเรื่องของเทคโนโลยีและเอไอที่มีผลกระทบต่อเด็ก ๆ ขึ้นมาค่ะ แม้ว่าจริง ๆ แล้วเด็ก ๆ หลายคนในคลาสของฉันก็มีเด็กที่เก่งและหัวดีก็ตาม

ในคลาสที่ฉันสอนภาษาอังกฤษนั้น บ่อยครั้งที่ฉันขอให้เด็ก ๆ เขียนเรื่องราวเป็นคำตอบสั้น ๆ ความยาวแค่เพียง 5 ประโยคก็ได้

และก็บ่อยครั้งมากเช่นกันที่เด็ก ๆ จะเขียนตอบมาแค่ 2 ประโยคแล้วบอกว่า “คิดอะไรไม่ออกแล้ว” บางคนก็เขียนไม่จบประโยคแล้วก็แย้งกับฉันว่า จะต้องเขียนให้จบประโยคทำไม เขียนแค่นี้ก็สื่อกันเข้าใจแล้วนี่นา

บางครั้งฉันสั่งการบ้านให้เด็ก ๆ เขียนบทความสั้น ๆ หรือ essay และเมื่อนักเรียนเอาการบ้านนี้กลับมาส่งนั้น ฉันต้องบอกก่อนว่า ฉันรู้จักและจำวิธีการเขียนของนักเรียนแต่ละคนได้จากการนั่งเขียนในห้องเรียน

และฉันรู้ดีว่าลักษณะการเขียนของเด็กชั้นมัธยมนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อฉันได้อ่านการบ้านของเด็ก ๆ ในคลาสแล้ว มีหลายคนที่ฉันต้องเรียกมาถามว่าได้ให้ ChatGPT เขียนให้หรือเปล่า?

เด็ก ๆ กลับตอบฉันว่า “ถ้าต้องเอาการบ้านกลับไปแก้ใหม่ จะกระทบเกรดสักแค่ไหน? ขอเอาแค่ศูนย์ก็ได้“

ฟังมาถึงตอนนี้ นักข่าวก็ร้องว้าวแล้วถามคุณครูว่า ”นี่มันแค่ว่าเด็กขี้เกียจหรือเปล่าคะคุณครู?“

ครูแฮนน่าตอบว่า ”นักเรียนเขามีความคิดว่า เอไอสามารถทำงานแทนพวกเขาได้น่ะค่ะ คือฉันต้องออกตัวก่อนว่าในชั้นเรียนระดับสูง ๆ นั้น เอไอสามารถเอามาใช้ให้มีประโยชน์ในห้องเรียนได้นะคะ“

”แต่ถ้าเราอนุญาตให้นักเรียนใช้เอไอได้อย่างไม่มีข้อจำกัด พวกเขาก็จะไม่ทำงานทำการบ้านเองค่ะ“

และตอนนี้คุณครูแฮนน่าเธอก็ลาออกจากโรงเรียนแล้ว หลังจากที่สอนมาได้ 3 ปี

สำหรับผมแล้ว ผมเห็นด้วยกับคุณครู 100% ทักษะการฟังพูดอ่านเขียนและกระบวนการคิดที่ดี คือพื้นฐานของผู้มีการศึกษา

เอไอไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายสำหรับเด็ก ๆ อย่าเอามาใช้ในวัยที่กำลังพัฒนาทักษะเหล่านี้เลย

อดีต สว.วันชัย ยกอุทธาหรณ์!! ข่าวฉาวเจ้าคุณแย้ม ‘สตรีกับสตังค์’ ทำเจ้าคณะพระผู้ใหญ่ พังพินาศ

(18 พ.ค. 68) อดีต สว.วันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความเรื่อง “สตรีกับสตังค์” ในเพจเฟซบุ๊ก "ทนายวันชัย สอนศิริ" แสดงความเห็นกรณีข่าวฉาวโฉ่อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมถูกจับสึก โดยระบุว่า...

สตรีกับสตังค์

ในวงการพระสงฆ์เขารู้กันว่าพระผู้หลักผู้ใหญ่ พระที่มีชื่อเสียงมียศมีตตำแหน่งที่พังๆนั้นมาจากสตรีกับสตังค์ แต่ส่วนใหญ่มันจะเริ่มจากสตรีก่อนแล้วสตรีก็เรียกสตังค์ หรือไม่ก็หาสตังค์ไปให้สตรี ต้องยอมรับว่าสตรีนั้นเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ พระวินัยสงฆ์จึงบัญญัติข้อห้ามระหว่างสตรีกับพระภิกษุไว้มากมายเพราะมันเป็นอันตรายต่อความเป็นพระและความวินาศต่อความเป็นพรหมจรรย์ของพระอย่างยิ่ง 

สตรีมี ”อวัยวะเพศ” และมีสิ่งกำเนิดแห่งกามราคะให้บุรุษเพศลุกโชนได้ตลอดเวลา พระสงฆ์องค์เณรผู้ยังไม่บรรลุก็จะติดกับดักแห่งอวัยวะกามราคะ ยากที่จะหลุดพ้น ขนาดเจ้าโลกก็ถูกอวัยวะเพศแห่งสตรีกลืนกินไปจนหมดสิ้น ยศฐาบรรดาศักดิ์ตำแหน่งแห่งหนเงินทองทรัพย์สินชื่อเสียงเกียรติยศ อวัยวะเพศแห่งสตรีก็ทำให้กระเด็นมาแล้วหลายต่อหลายคนไม่ว่าพระสงฆ์องค์เจ้าก็อยู่ในวังวนนี้

ต้องยอมรับว่าอวัยวะเพศแห่งสตรีมีอิทธิพลสูง จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าคณะใหญ่ๆดังๆหลายต่อหลายองค์ ต้องยอมสยบอย่างราบคาบ จะร้อยล้านพันล้านเธอก็กลืนกินได้ เรื่องวัดไร่ขิงจึงไม่ใช่เรื่องใหม่เรื่องแรก และก็ไม่ใช่เรื่องสุดท้าย ยังจะมีเรื่องในทำนองนี้อยู่อีกต่อไป ตราบใดที่ยังมีสตรีและยังมีโมฆะบุรุษอาศัยอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ สตรีและสตังค์ก็ยังจะพังพระสงฆ์องค์เจ้าได้อีกหลายต่อหลายองค์.... 

อวัยวะเพศหญิง มันยิ่งใหญ่ เหนือโลกเหนือมนุษย์ 

‘แพทองธาร’ เตรียม!! เปิดทำเนียบฯ 19 พ.ค.นี้ ต้อนรับ ‘ปธน.อินโดนีเซีย’ ครั้งแรกในรอบ 20 ปี

(18 พ.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะให้การต้อนรับนายปราโบโว ซูบียันโต (H.E. Mr. Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ในรอบ20ปี ในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – อินโดนีเซีย

สำหรับ กำหนดการพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ ทำเนียบรัฐบาล มีดังนี้

เวลา 10.05 น. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีอินโดนีเซีย จะร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศหน้าตึกไทยคู่ฟ้า

หลังจากนั้น เวลา 10.20 น. ผู้นำทั้งสองจะร่วมหารือข้อราชการเต็มคณะ ภายใต้กลไก Leaders’ Consultation ครั้งแรก ณ ตึกภักดีบดินทร์ และในเวลา 11.15 น. ผู้นำทั้งสองจะร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงและแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยกับอินโดนีเซีย พร้อมทั้งมีการแถลงข่าวร่วม ในเวลา 11.25 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย

“ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสอง จะมีการหารือครอบคลุมทั้งความมั่นคง-การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ  ด้านเศรษฐกิจ การจัดตั้ง Halal Task Force เพื่อประสานมาตรฐานอาหารฮาลาลระหว่างสองประเทศ   การผลักดันการเปิดตลาดสินค้าเกษตร -ประมง รวมถึงการท่องเที่ยว และความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ฯ เปิดโครงการนำร่องจัดการขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิด และการจัดการอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ

(18 พ.ค. 68) พล.ร.อ.สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ที่ปรึกษาพิเศษ ทร./ประธานกรรมการบริหารเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของ ทร. (ปษ.พิเศษ/ประธาน กพอ.ทร.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการการจัดการขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างยั่งยืน และการจัดการอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี ชีวภาพในสภาพควบคุมสิ่งแวดล้อมด้วยแมลงทหารดำ 

โดยมี น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) และผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ในพื้นที่สัตหีบให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ขออนุญาตดำเนินโครงการฯ 

จากกองทัพเรือ ร่วมกับบุคลากรของ ศฝท.ฯ และ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ตั้งแต่ 1 ก.พ.68 เป็นต้นมา โดยใช้พื้นที่ ในศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศฝท.ยศ.ทร. ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการนำร่องในหน่วยของกองทัพเรือ 

แมลงทหารดำ มีวงจรชีวิตที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ คือ ตัวหนอน โดยมีลักษณะคล้ายกับหนอนทั่วๆ ไป อาหารของหนอน ประกอบด้วย เศษพืชผัก ผลไม้ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกินและย่อยขยะอินทรีย์ได้จำนวนมากและรวดเร็ว ซึ่งหนอนมีโปรตีนสูง สามารถนำไปเลี้ยงสัตว์ได้หลากหลายประเภท อาทิ เป็ด ไก่ ปลา สุกร และอื่นๆ สามารถประหยัดต้นทุนและเป็นการทดแทนอาหารสัตว์ที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน อีกทั้งสัตว์ที่บริโภคหนอนได้ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีแผนงานในการสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ แก่ หน่วยงานในกองทัพเรือ , หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนที่สนใจ เข้ามาศึกษาแนวทางในการดำเนินการดังกล่าว เพื่อการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสามารถนำไปต่อยอดในการสร้างรายได้อีกด้วย

โครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมด้านองค์ความรู้ในด้านอาชีพและการกำจัดขยะในครัวเรือน เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2568 ด้านสวัสดิการและบริการกำลังพล ในการส่งเสริมอาชีพให้แก่กำลังพลของกองทัพเรือ และครอบครัวอย่างต่อเนื่อง เช่นการจัดตั้งกลุ่มแม่บ้าน เพื่อรวมตัวกันประกอบอาชีพ การอบรมหลักสูตรเกษตรเฉพาะอย่าง และการขายสินค้า เป็นต้น
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา 
#Monarchy_Country_Government_People  
#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ  
#NAVYSAFETY2025 
#ศูนย์ฝึกทหารใหม่_กรมยุทธศึกษาทหารเรือ  
#RTC #Recruit_Training_Center

สมุทรปราการ-ดร.วีร์สุดา นายกบางพลีใหญ่ แถลงผลงาน 4 ปี เดินหน้าพัฒนาด้านการศึกษา นำพาชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

(18 พ.ค. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 พฤษภาคม 2568 ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล แถลงผลงาน 4 ปี ที่ผ่านมา ให้พี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่ตำบลบางพลีใหญ่ได้รับทราบ โดยได้จัดแถลง ณ ลานเอนกประสงค์โรงเรียนบางพลีราษฎร์บำรุง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ทั้งนี้ภายในงานได้มีการจัดบูธนิทรรศการ ซึ่งเป็นผลงาน 4 ปี แห่งการพัฒนา ของทางนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ โดยมีประชาชนจำนวนหลายร้อยคนเดินทางมาร่วมรับฟังการแถลงผลงานในครั้งนี้

โดยทางด้าน ดร.วีร์สุดา นายก อบต.บางพลีใหญ่ กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน ซึ่งถือเป็นการกระจายอำนาจการบริหารมาสู่ส่วนท้องถิ่นในระดับต่างๆ องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ตระหนักถึงการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น 

โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญในด้านต่างๆ ไว้ 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ 2. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และความปลอดภัยในชุมชน 3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น 4. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการยกระดับคุณภาพชีวิต การศึกษา และส่งเสริมการกีฬาและนันทนาการ 5. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6. ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหารจัดการที่ดีนับตั้งแต่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนในตำบลบางพลีใหญ่ให้ได้มีโอกาสเข้ามารับใช้ 

นอกจากนี้ คณะสมาชิกสภาเทศบาล คณะผู้บริหาร ตลอดจนพนักงานส่วนตำบล ลูกจ้าง พนักงานจ้างทุกคน รู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้รับใช้พี่น้องชาวตำบลบางพลีใหญ่พร้อมทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ที่จะผลักดันความเจริญก้าวหน้ามาสู่ท้องถิ่นของเรา ตลอดจนแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความสะดวกสบาย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในนามของผู้บริหารท้องถิ่น การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ ได้นำเอาปัญหาความต้องการของประชาชนในการตอบสนองความต้องการ ผ่านที่ประชุมประชาคม โดยผ่านมติของสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ ในการจัดสรรงบประมาณแต่ละหมู่บ้านโดยทั่วถึงกัน 

สำหรับในอนาคตองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ จะจัดทำโครงการก่อสร้างโรงเรียนอนุบาล ขององค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ และจัดสร้างศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยองค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ ข้างเมกาโฮม ถนนบางพลี ตำหรุ โดยได้ดำเนินการจัดสรรที่ดินไว้แล้ว 

ทั้งนี้การจะบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดพร้อมๆ กับการแก้ไขปัญหารวมถึงกำหนดแนวทางเพื่อพัฒนาท้องถิ่นเพราะนโยบายสาธารณะระดับท้องถิ่นที่ดีย่อมขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนมิได้ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนตำบลบางพลีใหญ่ ทุกท่าน ที่ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนกับ องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ ของเราตลอดเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาประดิษฐาน ณ ท้องพระโรง พระราชวังเดิมเป็นการชั่วคราว

(17 พ.ค. 68) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมพิธีอัญเชิญพระบรมรูปหล่อ (เท่าพระองค์จริง) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาประดิษฐาน ณ ท้องพระโรง พระราชวังเดิม เป็นการชั่วคราว โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี…

ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1 (ฐตร.ทรภ.1) ได้ขอความอนุเคราะห์มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม นำพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่จัดสร้างขึ้น ประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ท้องพระโรง พระราชวังเดิม ภายในกองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ ก่อนจะนำไปประดิษฐานเป็นการถาวร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่กำลังพล ณ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด

พระรูปที่นำมาประดิษฐานในครั้งนี้ทรงบัลลังก์เนื้อทองเหลืองขนาดเท่าองค์จริง ดำเนินการจัดสร้างโดยฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเผยแพร่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดตราด ตลอดจนเป็นที่สักการะบูชาของกำลังพลกองทัพเรือและประชาชนทั่วไป รวมถึงเพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจให้กำลังพลยึดมั่นในความกล้าหาญ อดทน เสียสละ และปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทอย่างเต็มกำลังความสามารถ

โอกาสนี้ กองทัพเรือ และมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิม เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาสักการะพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นกรณีพิเศษ ณ ท้องพระโรง พระราชวังเดิม โดยสามารถนำบัตรประจำตัวประชาชนมาติดต่อขอแลกบัตรเข้าพื้นที่ ได้ที่กองรักษาการณ์ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ โดยสามารถเข้าสักการะได้ ตั้งแต่ 17 ถึง 22 พฤษภาคม 2568 ระหว่างเวลา 09:00 น. ถึง 15:30 น.

สมนึก เชื้อสนุก  รายงาน

‘มิลลิ’ นักร้องแร็พ สู้!! นักมวยจีน ใช้อาวุธครบ แลกเป็นแลก ถึงแม้จะแพ้!! แต่ได้ใจคนดู เพราะหัวใจเธอมัน ‘เฮฟวีเวท’

(17 พ.ค. 68) เพจ ‘เดือดทะลักจุดแตก’ โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ MILLI โดยมีใจความว่า ...

สุดยอดโคตร ๆ โคตร ๆ โคตร ๆ  'มิลลิ' MILLI สุดจิตสุดใจจริง ๆ! นี่คือความห้าวหาญอันยิ่งใหญ่ของการเกิดเป็นคน 

ในเวทีคอนเสิร์ต เธอคือนักร้องหญิง 'ชาวไทย' ที่ดีที่สุด(สำหรับผม) แต่บนสังเวียนมวยไทย มันไม่ใช่! เธอไม่มีแต้มต่อ! เธอมัน underdog! แต่เธอริอหังการ์กล้าท้าขึ้นเวทีสู้!!!!!

เธอสู้แบบโถมทั้งชีวิต ไม่กลัว!!!!!

'อำนวยจิต สิทธิ์แลกซื้อ' คือชื่อในวงการใหม่นี้โว้ยยย

นี่ไม่ใช่ลิเก ไม่ใช่ปาหี่ ไม่ใช่จัดฉาก และไม่ใช่มวยดารา

'มิลลิ' ต่อยกับมวยจริง ๆ มวยในวงการจริง ๆ
คู่ต่อสู้จากจีน
เธอจะเอาอะไรไปสู้
แต่เธอ 'สู้' ว่ะ

สุดจิตสุดใจ สุดจิตสุดใจ สุดจิตสุดใจ สุดจิตสุดใจ สุดจิตสุดใจ
'อำนวยจิต' กูขออวยทั้งจิต ด้วยสิทธิ์หัวใจทั้งหมดที่กูมี
เธอสาดแข้งเข้าสู้ เธอแลก เธอไม่กลัวศักดิ์ศรี
เธอเน้นเตะ เตะ เตะ ไม่ต้องเข้าประชิด

อย่า ... อย่าดูถูก เมื่อระยะเข้าติด เธอต่อย เธอแลกเป็นแลก แล้วสู้ได้!!

มวยกระดูกใหญ่กว่าแล้วไง!!

เหลือเชื่อ อาวุธเธอมีครบ และเธอกล้าใช้มันหมด ไม่กลัวโดนสวน ไม่กลัวเปิดหน้า ไม่กลัวร่วง
ใจมันได้จริง ๆ!!

ยกสอง จีนจะเอาให้ได้ บุกตะลุยเข้าใส่ ไม่มีไว้เชิงแล้ว
แต่เอาเธอไม่ลงจริง ๆ 

บอกตรง ๆ ก็มีเสียว โดนโหมจู่โจมหนัก ๆ มีเป๋เหมือนกัน
แต่ย้ำว่าเอาเธอไม่ลง!!! --- มาถึงขั้นนี้เธอไม่ยอมลงง่าย ๆ
เธอยืนหยัด โดนเป็นโดน โดนก็โดนดิ เธอไม่ถอย และเธอก็แลกเข้าให้!! จะโต้ตลอด

ย้ำว่าจีนมวยจริง ๆ นะครับ และเอาจริง
ไม่ใช่การแสดง
ยกสาม ก็มันส์จริง ๆ
ก็มันส์ทุกยกแหละ มันส์สุด ๆ สุด ๆ สุด ๆ
เธอบู๊สะบั้นหั่นแหลก

'มิลลิ' คือ FIGHTER ตัวจริงแห่งโลกมนุษย์ทั้งใบ
ไม่กลัวหน้าไหนทั้งนั้น
เธอแพ้ ยังไงก็แพ้ แต่เธอก็จะเอาให้ได้
ออกหมัดตลอด เข้าเป้าด้วย ได้น้ำได้เนื้อด้วย 
ขาก็เตะไม่หยุด แม้ท้าย ๆ แรงมีตก ช้าลงชัด แต่ไม่หมด เธอยังมา
เธอต้องมา!!

เธอซ้อมมวยไทยมาเป็นปี และมาเร่งเครื่องเต็มที่ช่วง 1 เดือนมานี้ เพื่อขึ้นชกกับนักมวยตัวจริง และเธอสู้ได้สุดยอด TOP OF THE WORLD
หัวใจเธอมัน 'เฮฟวีเวท'
ดูแล้วมันบันดาลใจโคตร ๆ
ดูแล้วรู้สึกว่าตัวเองแ_งกระจอกว่ะ
คนที่มุ่งมั่น คนที่เอาจริงเอาจัง มันทำได้ทุกอย่างในโลกแหละ!!

MILLI กระตุ้นเร้าให้ผมอยาก "เอาจริง" กับชีวิต
ALL IN กับทุกสิ่ง

'อำนวยจิต สิทธิ์แลกซื้อ'
บันดาลจิต ให้ทุ่มซื้อทุกสิทธิ์แห่งชีวิต
แลกมัน
อย่าไปกลัว!!

‘อ.ปิติ’ ย้อนความหลังเหตุ!! ตกหลุมรักวิชาภูมิศาสตร์ เผย!! อ่านแล้ว มีงานทำ มีเรื่องเล่า มีเรื่องให้อยากรู้

(17 พ.ค. 68) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า …

ปี 2017 ผมและ ทีม Indian Studies Center of Chulalongkorn University พานิสิต คณาจารย์และเจ้าหน้าที่เดินทางไปประเทศอินเดียในโครงการ 'ภารตสิกขยาตรา' และหนึ่งในที่ ๆ พวกเราชาวคณะอินเดียศึกษา และเอเชียใต้ศึกษา จุฬาฯ ต้องไปทุกครั้ง และจะเสียเงินกันคราวละมาก ๆ นั่นคือ ร้านหนังสือในอินเดีย เพราะประเทศนี้หนังสือราคาถูก และมีหนังสือเกือบทุกประเภทให้เลือกซื้อ และร้านที่พวกเรามักจะไปกันเสมอ ๆ คือ Bahrisons แห่งตลาด Khan Market ใจกลางกรุงนิวเดลี

ผมเป็นคนชอบดูแผนที่มาตั้งแต่เด็ก ๆ พอเจอหนังสือที่ชื่อว่า Prisoners of Geography ที่มีคำโปรยหนังสือว่า Ten maps that tell you everything you need to know about Global Politics มีหรือที่ผมจะไม่ซื้อ จำได้คร่าว ๆ ว่าฉบับที่ขายในอินเดียราคาน่าจะประมาณ 150-160 บาทไทย ยิ่งทำให้จำเป็นต้องซื้อยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากอ่านหนังสือ เล่มนี้ไปได้ซักหนึ่งถึงสองบท ผมรู้ตัวทันทีว่าผมตกหลุมรักกับวิชาภูมิรัฐศาสตร์ไปแล้ว Tim Mashall ผู้เขียนเป็น War correspondent (นักข่าวในสนามรบ) ที่ใช้เวลากว่า 24 ปีเข้าไปทำข่าวใน 12 สมรภูมิ งานเขียนของเค้าทำให้ผมเข้าใจว่าถ้าจะเข้าใจความเป็นไปของโลกเศรษฐศาสตร์แบบที่เป็นแบบจำลองอย่างที่ผมเคยทำมาตั้งแต่เรียนจบคงไม่สามารถอธิบายได้มากสักเท่าไหร่ ตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มต้นอ่านหนังสือ หาความรู้ และทำงานวิจัย รวมทั้งเอามาสอนในวิชาที่คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนในที่สุดเอามาเขียนเป็นหนังสือทั้งสามเล่ม โดยที่เล่มล่าสุด ไทยในสงครามเย็น 2.0 Amidst the Geo-Economic crashes ได้รับรางวัลพระราชทานหนังสือดีเด่นประจำปี 2568 

ทั้งหมดคงไม่ได้เกิดขึ้นถ้าผมไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ 

และปีนี้ปี 2025 หนังสือเล่มนี้มีอายุครบ 10 ปี เสด็จพ่อแห่งวงการนักเขียนภูมิรัฐศาสตร์อย่าง Tim Marshall ก็เอาหนังสือเล่มนี้มาอัปเดตอีกครั้งหนึ่งโดยใส่ข้อมูลที่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเข้าไปเพิ่มเติมจากต้นฉบับเดิมและมีคำโปรยที่ว่า  fully updated to cover global events of the last 10 years มีหรือที่ผมจะไม่รีบซื้อหนังสือเล่มนี้ทั้งที่ความจริงเคยอ่าน ฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยมาแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มนึงจะทำให้ผมมีงานทำ มีเรื่องเล่า มีเรื่องให้อยากรู้ ได้ตลอดมาเกือบ 10 ปี และยังคงสนใจเรื่องแบบนี้ไปเรื่อย ๆ 

ป.ล. อินเดียทริปนั้นสนุกมาก เพราะได้เดินทางกับ dream team Chayodom Sabhasri Surat Horachaikul Jirayudh Jahangir Sinthuphan Kittipong Boonkerd ผมว่า บัดนี้ได้เวลาอันสมควรที่เราน่าจะทำทริปแบบนี้กันอีกนะครับ

‘เอกนัฏ’ ลั่น!! ต้องปิดเกม ‘นิคมศูนย์เหรียญ’ ส่ง ‘สุดซอย’ บุกระยอง ชักปลั๊ก!! หยุดกิจการ

(17 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ 'ทีมสุดซอย' พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ลงพื้นที่ ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง หลังได้รับการประสานงานจาก นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ให้เข้าตรวจสอบกลุ่มโรงงานและโกดังต้องสงสัยที่อาจเข้าข่ายตั้งเป็นนิคมจีนศูนย์เหรียญ รวมทั้งยังมีประชาชนบริเวณใกล้เคียงร้องเรียนว่า ได้รับผลกระทบด้านมลภาวะจากกลุ่มโรงงานดังกล่าวด้วย 

“นิคมศูนย์เหรียญ เป็นวาระสำคัญ กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเร่งปราบปราม แก้ไขอย่างเร่งด่วน เป็นโมเดลธุรกิจ ที่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำร้ายชีวิตคน ทำร้ายธุรกิจไทย ไร้ความรับผิดชอบ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง“ นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมถึงผลการลงพื้นที่ตรวจสอบกลุ่มโรงงานที่ ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ว่า ในพื้นที่มีอาคารลักษณะโกดังจำนวน 4 หลังเป็นของ บริษัท ซีเอสเค เอสเตรท จำกัด ประกอบกิจการให้เช่าพื้นที่โรงงานและโกดัง มี นายหว่าน ชิว เฉิน รับเป็นเจ้าของโครงการบริหารจัดการดูแลพื้นที่ทั้งหมด โดยมีข้อเสนอพิเศษให้ผู้เช่าว่า สามารถขอใบอนุญาตโรงงาน (รง.4) ให้ได้ด้วย โดยพบว่า 4 โกดังในพื้นที่มี 5 บริษัทที่มีกรรมการบริษัทเป็นชาวจีนทั้งหมดตั้งประกอบกิจการโรงงานอยู่ ตรวจสอบใบอนุญาตโรงงานพบข้อพิรุธว่า เกือบทุกบริษัทได้รับโอนใบอนุญาตจาก บริษัท ซีเอสเค เอสเตรท จำกัด และประเภทของใบอนุญาตก็จะมีลักษณะคล้ายหรือใกล้เคียงกัน แต่ในข้อเท็จจริงแต่ละโรงงานผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน 

“กรณีของบริษัท ซีเอสเคฯ ในฐานะผู้ให้เช่าโกดังมีใบอนุญาตประเภทเดียวกันจำนวน 3-4 ใบ และยังสามารถโอนไปยังผู้เช่าโกดังในห้วงเวลาเดียวกัน ต้องไปไล่ดูว่า มีช่องโหว่ในกระบวนการขออนุญาตของ กรอ. หรือมีเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ หรือสนับสนุนผู้ประกอบการกระทำความผิดหรือไม่ด้วย“ นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบโรงงานทั้งหมด ดังนี้ 

1.บริษัท ซานเซน อิเล็คทริคอล (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปลั๊กไฟ ปลั๊กราง และสายไฟ โดยไม่แจ้งขออนุญาตเริ่มประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่จึงสั่งหยุดประกอบกิจการทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีฐานประกอบกิจการโดยไม่แจ้ง และฐานทำผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีใบอนุญาต รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) กับบริษัทและกรรมการ รวมทั้งยึดอายัดผลิตภัณฑ์ มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท 

2.บริษัท ชุนเล่ย (ไทยแลนด์) จำกัด แจ้งประกอบกิจการโรงงานผลิต นำเข้า ส่งออก เชือกรัด สายรัด สลิง เชือกยกของหัวเข็มขัด ตัวล็อกและชิ้นส่วนอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ที่จะต้องได้รับใบอนุญาตก่อนจึงจะดำเนินกิจการได้ แต่ตรวจพบว่า ประกอบกิจการผลิตสายรัดของ ซึ่งไม่ตรงกับประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ได้รับอนุญาต จึงสั่งให้หยุดประกอบกิจการ พร้อมดำเนินคดีกับบริษัทและกรรมการ ฐานประกอบกิจการไม่ตรงกับที่ได้รับอนุญาต 

3.บริษัท จินต๋า พรีซิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่พบว่ามีการแบ่งพื้นที่ให้ บริษัท แฮนด์ดีแจ็ค อีควิปเมนท์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตแม่แรงไฮดรอลิก แต่ตั้งประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่ด้วย จึงได้สั่งหยุดประกอบกิจการทั้งหมด พร้อมผูกมัดประทับตรายึดอายัดเครื่องจักร และควบคุมตัว นายยู่ เจียงหัว อายุ 36 ปี สัญชาติจีน ที่รับเป็นผู้จัดการผู้ควบคุมงานของบริษัทไปดำเนินคดีข้อหาตั้งประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 

"การปราบปรามนิคมจีนศูนย์เหรียญ เป็นวาระเร่งด่วน และนโยบายสำคัญของ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงต้องเร่งจัดการให้หมดไปโดยเร็ว และจะดำเนินคดีลงโทษกับผู้กระทำความผิดอย่างถึงที่สุด ซึ่งทีมสุดซอยจะรวบรวมข้อมูลเป็นรายสรุปนำเสนอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไปถึงผู้บริหารกระทรวงฯ ถึงพฤติกรรม และรูปแบบดำเนินกิจการของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การปรับระเบียบ หลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป“ นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

เพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ โพสต์ข้อความกรณี ‘nailname’ รับพูดเท็จ ‘สนธิ’ ออกมาไล่ ‘ทักษิณ’ เพราะไม่ให้ยืมเงิน

(17 พ.ค. 68) เพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ยูทูบเบอร์ nailname ขอโทษ 'สนธิ' รับพูดเท็จ สนธิ ออกมา 'ไล่ทักษิณ' เพราะไม่ให้ยืมเงิน

"ตามที่ข้าพเจ้า เนม รติศา วิเชียรพิทยา หรือ nailname เผยแพร่คลิปวิดีโอ ชื่อหัวข้อ #สนธิ vs ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ใน YouTube ช่อง NailName ซึ่งเนื้อหาในคลิปวิดีโอดังกล่าว ข้าพเจ้าขอยอมรับว่าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานหรือข่าวใด ๆ ที่ยืนยันได้ว่า คุณสนธิไปยืมเงินคุณทักษิณ โดยปรากฏข่าวว่าคุณสนธิปฏิเสธว่าไม่ใช่เพื่อนรักกับคุณทักษิณ และมีบุคคลอื่น เคยขอโทษคุณสนธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่ปรากฏข้อมูลไว้ในคลิปวิดีโอดังกล่าว โดยเนื้อหาในคลิปวิดีโอ ทำให้คุณสนธิได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ข้าพเจ้ารับทราบแล้วจึงขออภัยและขอโทษมาด้วยความจริงใจ ต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และขอบคุณคุณสนธิยินดีที่จะไกล่เกลี่ยและไม่เอาความ มา ณ โอกาสนี้"

นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ถูกขบวนการเฟคนิวส์ ตัดต่อภาพ ทำคลิปโฆษณาอาหารเสริมแก้เบาหวาน

(17 พ.ค. 68) นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ สูตินรีแพทย์ชื่อดัง ตกเป็นเหยื่อของขบวนการเฟคนิวส์ หลังจากมีการนำภาพของท่านไปตัดต่อเป็นวิดีโอเพื่อโฆษณาขายอาหารเสริมแก้เบาหวาน สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน

ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการนำภาพของนายแพทย์ตุลย์ขณะพูดในงานหนึ่ง มาตัดต่อใส่ข้อความและเสียงที่กล่าวอ้างถึงสรรพคุณของอาหารเสริมแก้เบาหวาน สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของท่านและทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาโรคเบาหวาน

นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ชี้แจงว่า ท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และขอให้ประชาชนระมัดระวังข่าวปลอมที่ใช้ชื่อและภาพของท่านเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า ทั้งนี้ ท่านยังเน้นย้ำว่า การรักษาโรคเบาหวานควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ ไม่ใช่อาหารเสริมที่ไม่มีการรับรองทางการแพทย์

ประชาชนที่พบเห็นวิดีโอนี้ โปรดอย่าหลงเชื่อ หากเป็นเบาหวาน ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องเป็นมาตรฐานต่อไป

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ เตือน!! ระวังภัยซ่อนเร้นจากโต๊ะเจรจาการค้า ชี้!! เกษตรกรไทย อาจถูกตีซ้ำสอง ทั้งจากจีน และสหรัฐอเมริกา

(17 พ.ค. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง 'กระดูกสันหลังหักแน่' ระบุว่า …

น่ากลัว การเจรจาเรื่องภาษีที่ไทยกำลังเจรจากับสหรัฐ อย่ายอมเปิดตลาดไทยให้สินค้าเกษตรอเมริกันแบบอ้าซ่า โดยไม่มีเงื่อนไขเด็ดขาด

สินค้าเกษตรอเมริกันอาจมีปัญหาจีเอ็มโอ ที่มีการตัดต่อพันธุกรรม อาจเป็นผลร้ายต่อผู้บริโภคชาวไทยแต่ประการสำคัญ สินค้าเกษตรจากอเมริกาจะดั๊มตลาดไทย จนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ประสบปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำและรัฐบาลก็ไม่สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ เกษตรกรจะเจอสึกสองด้นทั้งจีนและอเมริกา

สินค้าอีกตัวที่เข้ามาได้คือเนื้อหมูที่อเมริกาอยากให้เราเปิดตลาดมานานแล้ว ปัจจุบันก็มีการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูชำแหละเข้าประเทศอยู่แล้ว คนเลี้ยงหมูตายแน่คราวนี้

เกษตรกรที่ถูกเชิดชูเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรืองอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม คงมีอยู่แต่ในเนื้อเพลง แต่เกษตรกรตัวจริงหลังหักไปแล้ว

สบส. จัดประชุมยกระดับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ในสถานพยาบาลรัฐ และเอกชน 241 แห่งทั่วไทย

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จัดประชุมยกระดับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ สถานพยาบาล 241 แห่งทั่วไทย พร้อมเดินหน้าพัฒนาร่างกฎหมายอุ้มบุญ ฉบับ 2 พัฒนาแนวทางการขอรับบริการเพื่อให้รองรับกลุ่มสมรสเท่าเทียม

เมื่อวันที่ (14 พ.ค.68) ณ อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์จากข้อกําหนดของกฎหมายสู่การปฏิบัติ (IVF/IUI) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์” โดยมีบุคลากรของสถานพยาบาลทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 241 แห่งทั่วประเทศ เข้าร่วมทั้งออนไซต์ และออนไลน์

ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ ให้สัมภาษณ์ภายหลังพิธีเปิดฯว่า ปัจจุบัน พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2559 ได้มีผลบังคับใช้มากว่า 9 ปี โดยสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ กว่า 7,500 ล้านบาท มีอัตราความสำเร็จในการให้บริการตั้งครรภ์ เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 52 มีการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) กว่า 20,000 รอบการรักษา และมีการผสมเทียม (IUI) กว่า 12,000 รอบการรักษา ซึ่งถือเป็นหลักฐานของความก้าวหน้า และความสำเร็จของการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ของไทยที่ไม่เป็นรองชาติใดๆ ดังนั้น เพื่อการยกระดับบริการ เพิ่มศักยภาพในการให้บริการทั้งคนไทยเละต่างชาติ การคุ้มครองผู้บริโภค จวบจนดึงดูดผู้รับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ จากต่างชาติเข้าสู่ประเทศ จึงเป็นที่มาของการจัดการประชุมในครั้งนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้สถานพยาบาลที่ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ทั้งในกลุ่มสถานพยาบาลรายเดิมและกลุ่มสถานพยาบาลที่ให้บริการ IUI รายใหม่ทั่วประเทศ มีความรู้ความเข้าใจและสามารถดำเนินการให้บริการตามที่กฎหมายกำหนด และสามารถดำเนินการตามระบบฐานข้อมูลในรูปโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ICMART) ซึ่งจะนำไปสู่การได้มาของข้อมูลภาพรวมของประเทศและนำไปวิเคราะห์ข้อมูล กำหนดนโยบายการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ฯ ของประเทศ 

ทันตแพทย์อาคมฯ  กล่าวเพิ่มเติมว่า และนอกจากการพัฒนาบุคลากรแล้ว การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ โดย กรม สบส. จึงได้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนากฎหมาย (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ....โดยมีประเด็นในการปรับแก้กฎหมายแม่บท อาทิ การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติฯ การกำหนดให้มีพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นการเฉพาะ การขอรับบริการเพื่อให้รองรับกลุ่มสมรสเท่าเทียม การเพิ่มกลุ่มผู้รับบริการตั้งครรภ์แทนในกลุ่มชาวต่างชาติ และการส่งออกซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อนของผู้เป็นเจ้าของเซลล์สืบพันธุ์ เป็นต้น โดยอยู่ในระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top