Wednesday, 4 June 2025
NEWS

อ.ลิ้ง ฟ้องเพจดัง CSI LA เรียกค่าเสียหาย 10 ล้าน ปมกล่าวหาเอี่ยวธุรกิจสีเทา ลั่นตรวจสอบเส้นเงินได้

อ.ลิ้ง เอาผิด เพจดัง CSI LA จ่อฟ้อง 10 ล้าน เกรียนคีย์บอร์ดคนละ 1 ล้าน ปมกล่าวหาเอี่ยวธุรกิจสีเทา ยืนยันไม่เคยยุ่งเกี่ยว เส้นทางการเงินสามารถตรวจสอบได้

(20 พ.ค. 68) เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 19 พ.ค. 2568 ที่สภ.เมืองขอนแก่น นายชนะวุธ อุทโท หรือ อ.ลิ้ง อายุ 38 ปี เซียนพระชื่อดัง ที่ร่ำรวยมาจากการขายวัตถุมงคล ‘หลวงปู่มหาศิลา สิริจนฺโท’ และเป็นเจ้าของโรงแรม เดอะกราเซียร์ โฮเต็ล และกรรมการผู้จัดการ บริษัท คชาวุธ 4289 อมูเลท จำกัด พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ ประสมศรี ทนายความและฝ่ายกฎหมายของบริษัทคชาวุธฯ นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.สันติ เชื้อหมอดู รอง สว.(สอบสวน)สภ.เมืองขอนแก่น

หลังถูกเพจเฟซบุ๊กชื่อดังเพจ CSI LA ซึ่งมีผู้ติดตามถึง 1.4 ล้าน โพสต์ภาพและข้อความกล่าวหาว่าไปยุ่งเกี่ยวธุรกิจสีเทา สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับตัวเองและครอบครัว ซึ่งในข้อความระบุว่า “คนกรุงเทพอย่าดูถูกความรวยของวัยรุ่นสร้างตัว อ.ลิ้ง ณ กาฬสินธุ์ ที่บอกว่าซี้กับหนุ่มกรรชัย ที่มีบ้านใหญ่เบิ้มจนคนในซอยนึกว่าพระราชวังปแวไซน์ รถหรูจอดเรียงเหมือนงานมอเตอร์โชว์ ตำนาน อ.ลิ้ง แห่งกาฬสินธุ์: จากติวเตอร์ สู่เจ้าของวังปแวไซน์”

ก่อนจะมาเป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่กว่าศาลากลางจังหวัด อ.ลิ้งเคยเป็นติวเตอร์ (ที่ปิดกิจการไปอย่างเงียบๆ) ต่อด้วยค้าไหมไทย (ที่ขายดีเฉพาะวันเปิดร้าน), ลองขายควายงาม ขายน้ำพริก ปั้นเหรียญ ปั้นภาพ ปั้นฝัน และสุดท้ายปั้นตัวเองข้างหลวงปู่ศิลา กลายเป็นเจ้าพ่อเหรียญสายมู!

ว่ากันว่า เขาไม่ได้ขอพรจากหลวงปู่ แต่มาขอทำเหรียญ แล้ว เหรียญนี้แหละที่หมุนชีวิตจากศูนย์ถึงซุปตาร์จังหวัด! แต่คนในพื้นที่กระซิบว่า เขาไม่ได้เดินเดี่ยว แต่มีเครือข่ายธุรกิจสีเทาครอบคลุมตั้งแต่ร้านทองยันโรงแรม (ที่เพิ่งเทคโอเวอร์มาหมาดๆ)

เงินไม่ได้โอนเข้าชื่อเขา แต่เข้าชื่อญาติบ้าง เมียคนปัจจุบันบ้าง (ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณนายโรงแรม)…และทั้งหมดนี้ พึ่งจะ ‘พุ่ง’ รวยขึ้นหลังยุคโควิด ซึ่งหลายคนแค่ประคองตัว แต่เขากับรวยแบบไม่มีที่มาที่ไป”

และยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่มีการโพสต์ในลักษณะกล่าวหาเชื่อมโยงข้อมูลในลักษณะเดียวกันกับเพจดังกล่าวอีก 1 คน ซึ่งในข้อความระบุว่า “# ข่าวจาก วัดไร่ขิง888 สู่ วังน้ำเย็น สารคาม ซักหน่อยคงราม มาขอนแก่นกระทบ อ.ลอลิง แน่ เพราะข้อมูลชี้เร่งกวาดซื้อที่ดินกับโรงแรมไม่เว้นแม้กระทั่งผับบาร์ ร้านอาหาร”

โดยนายชนะวุธ ได้แจ้งความเรียกค่าเสียหายที่จะต้องชดใช้เยียวยาเป็นเงิน 10 ล้านบาท รวมไปถึงผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์ให้เกิดความเข้าใจผิดสร้างความเสียหายให้กับ อ.ลิ้งและครอบครัวอีกรายละ 1 ล้านบาท

นายสุรเชษฐ์ ทนายความและฝ่ายกฎหมายของบริษัทคชาวุธ ฯ กล่าวว่า เพจดังกล่าวนำภาพมาโพสต์ข้อความได้สร้างความเสียหายให้กับ อ.ลิ้ง เป็นอย่างมาก ในฐานะทนายความจึงได้ทำการรวบรวมหลักฐานมอบให้กับทางตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น และให้อ.ลิ้ง เข้าแจ้งความเอาผิดเพจดังกล่าว และบุคคลอีก 1 คน ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมฯ พร้อมตั้งทีมทนายความมาร่วมดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินกับทางเพจและตัวบุคคล รายละ 10 ล้านบาท

และจะทำการเอาผิดกับคนที่คอมเมนต์ และ คนที่แชร์สร้างความเสียหายให้กับ อ.ลิ้งและครอบครัวอีกรายละ 1 ล้านบาท อย่างไรก็ตามขณะนี้ทีมทนายความทำการตรวจสอบโดยดูที่เจตนา หากใครมีเจตนาสร้างความเสียหายชัดเจนก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด

ขณะที่ นายชนะวุธ หรือ อ.ลิ้ง กล่าวว่า เพจเฟซบุ๊กดังกล่าวและคนที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงกับตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะการที่เพจดังกล่าวมีการระบุข้อความสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้ตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมาก

“วันนี้ลูกไม่กล้าที่จะไปโรงเรียนเพราะมีประเด็นนี้เกิดขึ้น และที่เพจดังกล่าวโพสต์นั้นไม่ได้มีการตรวจสอบและไม่รู้ความจริง ยืนยันว่าตนเองไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา ส่วนเส้นทางการเงินก็สามารถตรวจสอบได้ แต่เขาไม่เคยส่งเรื่องถึงหน่วยงาน หรือส่งเรื่องถึงตำรวจให้มาตรวจสอบเส้นทางการเงินของตนเองแต่ก็มาโพสต์ลอยๆโดยไม่มีหลักฐานเพื่อกล่าวหาเช่นนี้ ทำให้ตนเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ลูกก็ไปโรงเรียนไม่ได้เพราะถูกคนพูดถึงพ่อในทางที่ไม่ดี เหมือนพ่อเป็นอาชญากร”

นายชนะวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองสู้ชีวิตมาตลอด ค้าขายมาหลายอย่าง จนกระทั่งเข้าสู่วงการพระเครื่อง ช่วงแรก ๆตลาดพระเครื่องไม่บูม การบูชาพระก็ไม่ค่อยดี แต่ในช่วงปี 2567 วงการพระเครื่องบูมมาก ทำให้มีการซื้อขายเช่าบูชาพระเครื่องและวัตถุมงคลเป็นไปด้วยดี ทำให้ตนมีเงินมีทอง มีบ้าน ซึ่งในเรื่องนี้ตนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ

คนทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริตจะมีบ้าน มีรถยนต์ได้ ไม่ใช่จะมองว่าคนที่มีบ้านหลังใหญ่ มีรถหลายคันต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาเท่านั้น ตนไม่เข้าใจว่าเพจดังกล่าวเอาข้อมูลมาจากไหนมาโพสต์สร้างความเสียหายให้ตนเช่นนี้

“ผมพร้อมให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน พร้อมให้ความร่วมมือกับตำรวจ ในการที่จะตรวจสอบที่มาของเงินและรายได้ของตน อีกด้านตนเป็นคนที่เสียภาษีมากเป็นอันดับ 2 ของจังหวัดขอนแก่น และยังต้องผ่อนจ่ายให้สรรพากรทุกเดือน จึงขอยืนยันว่าตนทำอาชีพสุจริต เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สุริยันต์ ที่มีแต่ทำคุณประโยชน์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา ซึ่งเมื่อมีเงินก็ต้องการซื้อทรัพย์สิน จึงซื้อกิจการโรงแรมในจังหวัดขอนแก่น 1 แห่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะนักธุรกิจจำนวนมากเขาก็ทำกัน

อีกทั้งการที่มีประชาชนบางคนใน จ.ขอนแก่น โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแบบนั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรโพสต์ เพราะถ้าคับข้องใจอะไรก็ให้มาถาม เพราะการโพสต์เช่นนี้ ทำให้คนเสื่อมเสียชื่อเสียง เนื่องจากมีการแชร์ มีการคอมเมนต์ต่างๆนานาโดยที่ไม่รู้ความจริงก็คิดเป็นตามที่มีการโพสต์ไปแล้ว

ตนให้ทนายความรวบรวมหลักฐานนำมาแจ้งความกับตำรวจสภ.เมืองขอนแก่น ให้ดำเนินคดีกับเพจดัง 1 เพจ และคนที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง รวมถึงคนที่คอมเมนต์และแชร์ข้อความที่เกี่ยวข้องทุกคน ขอยืนยันว่าไม่มีการเจรจายอมความโดยเด็ดขาด”

‘ใบเฟิร์น สุทธิยา’ โผล่เคลียร์ภาพคู่ ‘ทิดแย้ม’ ยันไม่มีเอี่ยวคดีวัดไร่ขิง จ่อเอาผิดคนโพสต์มั่ว

(20 พ.ค. 68) ‘ใบเฟิร์น’ สุทธิยา นักร้องลูกทุ่งเสียงหวาน อดีตผู้เข้าแข่งขันไมค์ทองคำ ออกมาเคลียร์ชัดหลังมีภาพคู่โยงกับ ‘ทิดแย้ม’ วัดไร่ขิง ยักยอกเงินวัด 800 กว่าล้านบาท ไปเล่นการพนัน กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ โดยหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเธอมีความสัมพันธ์กับอดีตพระดัง ซึ่งกำลังตกเป็นข่าวฉาว จนเจ้าตัวต้องรีบโพสต์ชี้แจง ยืนยันไม่มีอะไรเกินเลย และขอให้หยุดโยงชื่อเธอในทางเสียหาย

ใบเฟิร์นระบุในโพสต์ว่า เธอเป็นผู้หญิงในภาพที่ใส่ชุดสีเหลืองเพียงรูปเดียวเท่านั้น ส่วนภาพอื่นไม่ใช่เธอ พร้อมตั้งคำถามกลับถึงเจ้าของโพสต์ว่า มีเจตนาอะไรที่นำภาพไปเผยแพร่แบบนั้น เพราะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสร้างความเสียหายแก่ชื่อเสียงของเธอ

เจ้าตัวย้ำว่าในวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา เธอเดินทางไปร่วมงานที่วัดไร่ขิงจริง ในฐานะศิลปินลูกทุ่งตัวแทนคนรุ่นใหม่ โดยแต่งกายเรียบร้อย และไม่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามที่ถูกกล่าวอ้าง ด้านแฟนคลับก็ออกมาปกป้อง พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันว่าเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวใดๆ ที่โยงกับทิดแย้ม

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและเรียกร้องความเป็นธรรม ใบเฟิร์นเตรียมเข้าแจ้งความดำเนินคดีในวันที่ 20 พฤษภาคม เวลา 14.30 น. ที่ สน.คันนายาว พร้อมทนายความ เพื่อเอาผิดผู้ที่โพสต์ภาพและข้อความเท็จที่สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของเธออย่างไม่เป็นธรรม

เปิดประสบการณ์สุดล้ำ พาชม “เรือตัดน้ำแข็ง Xue long 2” ครั้งแรกในน่านน้ำไทย ณ ท่าเรือสัตหีบ

เมื่อวันที่ (19 พ.ค. 68) พล.ร.ต.ธำรง สุพรรณพงศ์ ผอ.กทส.ฐท.สส. เป็นผู้แทน ฐานทัพเรือสัตหีบ พร้อมด้วย ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM ให้การต้อนรับ นายเสียว ชื่อหมิง ผู้บังคับการเรือ เสว่หลง 2 (Mr.XIAO ZHIMIN, Captain) และคณะลูกเรือ เนื่องในโอกาสเข้าเยือนประเทศไทย เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 และเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน ปี พ.ศ. 2568 พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชน ได้เข้าเยี่ยมชมเรือสำรวจขั้วโลก เสว่หลง 2 (Xue Long 2) ซึ่งได้จอดเทียบท่าที่ ท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 19 - 23 พ.ค.68

ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า การมาเยือนของเรือเสว่หลง 2 ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมเฉลิมฉลอง เนื่องในโอกาสมหามงคลที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 70 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2568 และยังเป็นการเฉลิมฉลองวาระสำคัญของการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี พ.ศ. 2568

การมาเยือนประเทศไทย ของเรือเสว่หลง 2 ในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันล้ำค่าที่นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยไทย รวมถึงเยาวชนและประชาชนชาวไทย จะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์โดยตรงกับทีมวิจัยระดับแนวหน้าของจีน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสำรวจขั้วโลก นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษที่จะจัดขึ้นควบคู่กับการมาเยือนของเรือเสว่หลง 2 ได้แก่ การจัดนิทรรศการ "Xue Long 2 and See the Unseen in Polar Region" ระหว่างวันที่ 14 - 25 พฤษภาคม 2568 ณ Crystal Court ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และการเสวนาระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้มีประสบการณ์เดินทางไปสำรวจขั้วโลกใต้ ด้วยเรือเสว่หลง 2 กับเยาวชนไทย, กิจกรรมเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สู่สาธารณชนของนักวิทยาศาสตร์ไทยและจีน ที่เคยเดินทางไปสำรวจขั้วโลกใต้ ด้วยเรือเสว่หลง 2, การประชุมวิชาการ “Thailand-China Polar Science Conference”, และพิธีอำลาเรือเสว่หลง 2 โดยในระหว่างที่เรือจอดเทียบท่าเรือจุกเสม็ด จะมีการนำคณะลูกเรือเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเยี่ยมชมความงดงามของศิลปวัฒนธรรมไทย ณ สวนนงนุช พัทยา อีกด้วย”

ศ.ดร.ไพรัช กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรมทั้งหมดนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, กระทรวงการต่างประเทศ, กองทัพเรือ, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กลุ่มธุรกิจ TCP, สำนักงานบริหารอาร์กติกและแอนตาร์กติกแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CAA) และสถาบันวิจัยขั้วโลกแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRIC) ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมืออันดีระหว่างประเทศไทยและจีน ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึง ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ

ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM กล่าวถึงความร่วมมือในการต้อนรับเรือตัดน้ำแข็งเสว่หลง 2 ว่า NSM มุ่งมั่นส่งเสริมวิทยาศาสตร์สู่สังคม โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้เยาวชน ได้เรียนรู้จากการวิจัยระดับนานาชาติ ซึ่งในครั้งนี้ NSM ได้ร่วมจัดนิทรรศการ “Xue Long 2 and See the Unseen in Polar Region” เพื่อเปิดโลกวิทยาศาสตร์ขั้วโลกให้กว้างขึ้น ผู้ชมจะได้เห็นความสำคัญของการวิจัยขั้วโลกผ่านนักวิจัยไทย และเทคโนโลยีสำรวจอันล้ำสมัยของจีน โดยนิทรรศการนี้ มุ่งหวังให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของขั้วโลกต่อระบบนิเวศและชีวิตประจำวันของเรา รวมถึงกระตุ้นความสนใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้อง นิทรรศการจัดแสดงที่ สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 14-25 พ.ค. 68 และท่าเรือจุกเสม็ด ระหว่างวันที่ 20 – 23 พ.ค. 2658 จากนั้น NSM มีแผนนำไปจัดแสดงต่อที่จัตุรัสวิทยาศาสตร์ อพวช. เดอะ สตรีท รัชดา เพื่อให้ประชาชนที่พลาดโอกาสยังสามารถเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับการสำรวจขั้วโลกใต้ เทคโนโลยี และงานวิจัยสำคัญได้

นอกจากนี้ อพวช. ยังร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ จัดกิจกรรม Research show by Naturalist 2025 หัวข้อ “Miracle of Polar: มหัศจรรย์แห่งขั้วโลก” โดยเชิญนักวิจัยขั้วโลกตามโครงการพระราชดำริฯ มาถ่ายทอดประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชนผ่านงานวิจัยต่าง ๆ กิจกรรมนี้ จัดทุกเสาร์ที่ 3 ของเดือน ตั้งแต่ มกราคม จนถึงสิ้นปี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

นายเสียว ชื่อหมิง ผู้บังคับการเรือเสว่หลง 2 (Mr.XIAO ZHIMIN, Captain) กล่าวว่า เรือเสว่หลง 2 เป็นเรือสำรวจขั้วโลกลำที่ 4 ของจีน และถือเป็นเรือสำรวจขั้วโลกลำแรกของจีน ที่สร้างขึ้นเองทั้งหมดภายในประเทศ เป็นเรือตัดน้ำแข็งขนาดกลาง ที่มีความทันสมัยและมีสมรรถนะสูงที่สุดลำหนึ่งของโลก ด้วยเทคโนโลยีการตัดน้ำแข็ง 2 ทิศทาง ทำให้สามารถตัดน้ำแข็งหนา 1.5 เมตรพร้อมเดินทางด้วยความเร็ว 2-3 น็อต ทำให้เดินทางผ่านแผ่นน้ำแข็งได้หลายทิศทางอย่างคล่องตัว หัวเรือส่วนใต้น้ำถูกออกแบบมาเป็นพิเศษให้มีความแข็งแรง สามารถชนและไต่ขึ้นบนแผ่นน้ำแข็ง พร้อมแรงกดที่ช่วยแยกน้ำแข็ง เพื่อให้เรือสามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้

เรือเสว่หลง 2 มีความยาว 122.5 เมตร ความกว้าง 22.3 เมตร กินน้ำลึก 12 เมตร และมีระวางขับน้ำ 13,990 ตัน สามารถรองรับลูกเรือได้ 40 นาย และนักวิจัยได้อีก 50 นาย รวมทั้งสิ้น 90 ชีวิต ภารกิจหลักของเสว่หลง 2 คือ การสนับสนุนการสำรวจวิจัยขั้วโลกในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก ธารน้ำแข็ง วิทยาศาสตร์ทางทะเล วิทยาศาสตร์บรรยากาศ ธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์ นิเวศวิทยาและชีววิทยา รวมถึงการศึกษาสิ่งแวดล้อม ทั้งในแผนงานระยะสั้นและระยะยาว                

นอกจากนี้ เรือยังมีบทบาทสำคัญในการรับส่งนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงการขนส่งเสบียง อาหาร เชื้อเพลิง และอุปกรณ์ก่อสร้างสำหรับสถานีวิจัยของจีน ทั้งที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ โดยจีนมีสถานีวิจัยหลายแห่งที่ขั้วโลกใต้ ได้แก่ สถานี Great Wall (1985), Zhongshan (1989), Kunlun (2009), Taishan Camp

(2014) และสถานีล่าสุด Qinling (2024) และที่ขั้วโลกเหนือ คือ สถานี Yellow River (2004) ซึ่งเสว่หลง 2 มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของสถานีเหล่านี้

เสว่หลง 2 ได้รับการยกย่องว่าเป็นเรือสำรวจอัจฉริยะที่ทันสมัยที่สุดลำหนึ่งของโลก ด้วยการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดหลายชนิด ครอบคลุมการสำรวจที่หลากหลาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยสำหรับการประมวลผลข้อมูลทั้งด้านปฏิบัติการและการวิจัย      นอกจากนี้ เรือยังถูกออกแบบมาพร้อมเทคโนโลยีสะอาด SCR (Selective Catalytic  Reduction) เพื่อลดการปล่อยมลพิษในเขตขั้วโลก ที่อยู่ในระดับสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

สมุทรปราการ-พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เป็นประธานเปิดอาคารเรียนนามพระราชทาน “อาคารเทพรัตน์” โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ (19 พ.ค.68) ที่ผ่านมา เวลา 09.00 น. ณ โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม  ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ได้ให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารเรียนหลังใหม่  นามพระราชทาน “อาคารเทพรัตน์” โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม สมุทรปราการ

โดยมี นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ และหัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนคณะผู้บริหารโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม นำโดย นายวิโรจน์ จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม นำคณะครูนักเรียน บุคลากร ผู้ปกครองโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ร่วมให้การต้อนรับ

จากนั้น นายวิโรจน์ จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ โดยมี คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะครู บุคลากรทางการศึกษา คณะผู้ปกครอง นักเรียนโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ และประชาชนชาวอำเภอบางบ่อ เข้าร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ทางโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ยังได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าคุณพระวชิรธรรมวิธาน เจ้าคณะอำเภอบางบ่อ เจ้าอาวาสวัดสุคันธาวาส นำคณะสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นประธานในพิธีพร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติร่วมถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และ ประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ในการนี้ท่านเจ้าคุณพระวชิรธรรมวิธาน เจ้าอาวาสวัดสุคัลธาวาสได้เจิมแผ่นศิลาฤกษ์ จากนั้น องคมนตรีได้กดปุ่มเปิดแพรคุมป้ายอาคารเรียนอย่างเป็นทางการ 

พร้อมกันนี้ องคมนตรีได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ แก่ผู้มีอุปการะคุณ และมอบโล่ศิษย์เก่าดีเด่น และมอบรางวัลแข่งขันเครื่องบินพลังยางให้แก่นักเรียนโรงเรียนบางบ่อวิทยาคมอีกด้วยด้วย สำหรับ อาคารเรียนหลังใหม่ โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ได้รับการสนับสนุนงบประมาณปี 2563 โครงการก่อสร้างอาคารเรียน 4 ชั้น 18 ห้องเรียน จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เป็นจำนวนเงิน 50,906,000 บาท ซึ่งได้ดำเนินการจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) โดยผู้รับจ้างคือ บริษัท พี อี ซี ซี กรุ๊ป จำกัด ในวงเงิน 39,800,000 บาท ตามสัญญา เลขที่ 1/2563 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2563 โดยเริ่มก่อสร้าง ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 และได้มีการขยายสัญญาเพิ่มเติม เนื่องจากเกิดสถานการณ์น้ำท่วมโรงเรียน และโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และดำเนินการก่อสร้างต่อเรื่อยมาจนกระทั่งอาคารแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2566

ทั้งนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง นักเรียน และประชาชนอำเภอบางบ่อ  ทางโรงเรียนจึงได้ดำเนินการขอพระราชทานชื่ออาคาร จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานชื่ออาคารเรียนดังกล่าวว่า “อาคารเทพรัตน์” และพระราชทาน พระราชานุญาตให้เชิญอักษรพระนามาภิไธย “ส.ธ.” ประดับที่ป้ายชื่อพระราชทาน เมื่อวันที่  6 มกราคม 2568

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘สมรักษ์’ แจงชัดไม่โกรธ หลังลูกประกาศเลิกยุ่ง รับพลาดสองเรื่อง ยันจะไม่ทำให้ลูกเดือดร้อนอีก

(20 พ.ค. 68) สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตนักชกชื่อดัง อัดคลิปชี้แจงกรณีดราม่าครอบครัว หลังลูกสาว ‘เบสท์’ รักษ์วนีย์ และลูกชาย ‘โบ๊ท’ ภูวรักษ์ ประกาศเลิกยุ่งกับพ่อ หากมีปัญหาอีกครั้ง โดยระบุว่าเหนื่อยกับการช่วยเคลียร์ปัญหาหนี้สินซ้ำซาก จนกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ และลูกๆ ถูกวิจารณ์ว่าอกตัญญู

สมรักษ์กล่าวในคลิปว่า ได้ย้อนฟังบทสัมภาษณ์ของลูกแล้ว เห็นว่าลูกไม่ได้ผิด เพราะลูกๆ ดีและเก่ง พร้อมยอมรับว่าตนก่อเรื่องสองครั้ง ทั้งคดีลอตเตอรี่และคดีเด็กอายุ 17 ปี ลูกจึงประกาศชัด หากมีเรื่องครั้งที่สาม จะไม่รับผิดชอบอีก เขาเข้าใจและยอมรับว่าเป็นสิ่งที่สมควร

เจ้าตัวย้ำว่าตอนนี้ระวังตัวมากขึ้น และไม่ต้องการให้ลูกลำบากอีก พร้อมเผยว่ากำลังทำงานสอนมวยที่ค่ายต่างๆ และไม่ได้รบกวนลูกแล้ว ส่วนคดีลอตเตอรี่ เบสท์เคยช่วยสำรองจ่ายบ้าง แต่ไม่ถึง 20 ล้านบาท ส่วนคดีพรากผู้เยาว์อยู่ระหว่างต่อสู้ในชั้นศาล

สุดท้าย สมรักษ์ขอความเห็นใจ ไม่อยากให้ใครไปตำหนิลูก เพราะทั้งเบสท์และโบ๊ทเป็นลูกที่ดี ย้ำว่าลูกเก่งและทำดีที่สุดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนของตน และจะพยายามไม่สร้างปัญหาอีกในอนาคต

“อลงกรณ์-คอรัปชั่น ฟ้องดู”เดินสายผนึกสื่อมวลชนภาคใต้สร้างเครือข่าย “ใยแมงมุม”ต้านโกงทั่วประเทศหวังประเทศไทยโปร่งใสมีธรรมาภิบาล

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ประธานที่ปรึกษาของ รมว.ทส.และรองประธานคณะกก.ยุทธศาสตร์ ปชป. อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยวันนี้เกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการ “ใยแมงมุม” (Spider Web)ปราบโกงภายหลังเป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษในโครงการอบรมสัมมนาสื่อมวลชนและองค์กรเครือข่ายสื่อภาคใต้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบทุจริตภาครัฐและเอกชนจัดโดยสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติภายใต้การสนับสนุนของกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ที่โรงแรมบรรจงบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า แกนนำสื่อมวลชนภาคใต้และสมาชิกกลุ่มStrongซึ่งเป็นเครือข่ายของปปช. ที่ประกอบด้วยนักศึกษาและประชาชนจิตอาสาเห็นด้วยและพร้อมร่วมขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม “คอรัปชั่น ฟ้องดู” (Corruption Fondue)ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้โดยการสนับสนุนของสถาบันเอฟเคไอไอ.มีเป้าหมายหลักคือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI)ขจัดทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงในภาครัฐและเอกชน
“ในการเดินสายสร้างความเข้าใจแพลตฟอร์มคอรัปชั่นเทคที่เรียกว่า“คอรัปชั่น ฟ้องดู” พร้อมกับการสร้างเครือข่าย“ใยแมงมุม”ซึ่งล่าสุดคือภาคใต้ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากแกนนำสื่อมวลชนภาคใต้และเครือข่ายStrongของปปช. ก่อนหน้านี้ได้ขยายเครือข่ายสร้างความร่วมมือกับสื่อมวลชนและองค์กรเครือข่ายสื่อในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือมาแล้ว และเป้าหมายต่อไปคือกรุงเทพฯ และภาคกลาง

แพลตฟอร์ม “คอรัปชั่น ฟ้องดู” ไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีแต่ยังเป็นความหวังใหม่ในการสร้างวัฒนธรรม “ไม่ทนต่อการทุจริต” ผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน การเดินหน้าสร้างเครือข่ายใยแมงมุมครั้งนี้สะท้อนเจตจำนงที่จะก้าวข้ามวิกฤตคอรัปชั่นเพื่อสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในประเทศไทย“นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด.

รัฐบาลชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 เล็งใช้งบ 1.57 แสนล้านไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแทน

(19 พ.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องให้ชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเฟส 3 ไว้ก่อน พร้อมพิจารณานำงบประมาณ 157,000 ล้านบาทไปใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแทน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า งบประมาณที่ตั้งไว้จะนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบน้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร คมนาคม รถไฟความเร็วสูง และการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีและสร้างงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ชะลอเพราะงบไม่พอ แต่เป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป มีข้อจำกัดมากขึ้น จึงต้องทบทวนการใช้งบให้เหมาะสม โดยยังไม่ตัดทิ้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสถานการณ์เอื้ออำนวยในอนาคตก็สามารถนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้

รัฐบาลย้ำว่าการตัดสินใจครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กระตุ้นการจ้างงาน และใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองและติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ ต้อนรับคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ศึกษาดูงานการฝึกอบรมทหารใหม่ของกองทัพเรือ 

(19 พ.ค.68) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ศึกษาดูงานการฝึกอบรมทหารใหม่ ในส่วนของกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ (เสธ.ทร.)พล.ร.ท.ประสงค์ สังข์ทอง เจ้ากรมกำลังพลทหารเรือ (จก.กพ.ทร.) พล.ร.ต.สมริทธ์ งามสวย รองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ (รอง จก.ยศ.ทร.) และนาวาเอก ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา ให้การต้อนรับและนำชมการฝึกอบรม การปกครองดูแลทหารใหม่ การบรรยายสรุปและตอบข้อซักถาม ณ ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โอกาสนี้ เสนาธิการทหารเรือ ได้กล่าวต้อนรับคณะกรรมาธิการการทหารฯ สรุปได้ว่า "การที่ทุกท่านได้ให้เกียรติเดินทางมาศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ในวันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ทุกท่านรับทราบและเข้าใจรูปแบบการพัฒนากำลังพล ความต้องการกำลังพล และทหารกองประจำการของกองทัพเรือ นโยบายการฝึกและการดูแลทหารกองประจำการ ให้มีความปลอดภัย ตลอดจนการศึกษาและสวัสดิการต่างๆ รวมทั้งภารกิจหน้าที่ ในการฝึก การดูแลทหารกองประจำการของศูนย์ฝึกทหารใหม่ ซึ่งในภาพรวมเป็นไปตามมอตโตของ ผู้บัญชาการทหารเรือ "Navy-Safety 2025" หรือปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในการศึกษาดูงานในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการการทหารทุกท่าน จะได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือ ในการฝึกอบรมทหารใหม่อย่างเป็นมืออาชีพ มีมาตรฐานตามหลักการและแบบแผน ซึ่งกองทัพเรือ ได้ยึดแนวทางปฏิบัติตามกรอบแนวคิดการฝึก และข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อให้ได้ทหารกองประจำการ ที่มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความเป็นทหารอาชีพ อันจะส่งผลไปยังการเป็นลูกหลานที่ดีขึ้นของพ่อแม่ ผู้ปกครองและญาติ รวมถึงการเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป"

ทั้งนี้ ภายหลังการศึกษาดูงานเสร็จสิ้น ประธานคณะกรรมาธิการการทหารฯ กล่าวชื่นชมในมาตรฐานการฝึก และการดูแลทหารใหม่ ที่มีมาตรฐานสมกับการเป็น “โรงเรียน” ในการฝึกทหาร ซึ่งนายทหารทุกนายมีความเป็น “ครู” ที่เอื้อเฟื้อต่อ “นักเรียน” อีกด้วย

เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือในการดูแล ปกครองทหารใหม่ให้มีความปลอดภัยทุกด้านสมกับเป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ “Navy-Safety 2025”
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

#หล่อหลอมกายใจรับใช้ชาติ
#เทิดทูนสถาบัน_ป้องกันรัฐ_พัฒนาชาติ_ราษฎร์ศรัทธา 
#Monarchy_Country_Government_People  
#กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ  
#NAVYSAFETY2025 
#ศูนย์ฝึกทหารใหม่_กรมยุทธศึกษาทหารเรือ  
#RTC #Recruit_Training_Center

นายกฯ รับรายงานอินโดฯจับเรือประมงขนยาเสพติด ด้าน ศรชช. ยันเรือ 'Aungtoetoe99' ไม่ใช่เรือไทย

นายกฯ รับทราบรายงานเรือประมง ‘Aungtoetoe99’ โดนจับขนยาเสพติดที่อินโดฯ ศรชล. ยันไม่ใช่เรือไทย ย้ำรัฐบาลร่วมมือกับทุกประเทศจัดการกับผู้กระทำความผิดในทุกมิติ

(19 พ.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ได้รับรายงานจาก พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศรชล. และ พลเรือตรีจุมพล นาคบัว โฆษก ศรชล. ว่า ตามที่มีข่าวกองทัพเรืออินโดนีเซียจับกุมเรือประมงต่างชาติที่ลักลอบขนยาเสพติด จำนวน 1.9 ตัน ในเขตน่านน้ำอินโดนีเซีย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ได้ประสานศูนย์ข่าวสารทางทะเล และศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ

โดยได้รับแจ้งจากสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอินโดนีเซียว่าเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 68 กองทัพเรืออินโดนีเซีย ได้เข้าจับกุมเรือประมงต่างชาติชื่อ Aungtoetoe99 ตามข่าวสื่อมวลชนในอินโดนีเซีย รายงานข่าวอ้างว่าเป็นเรือประมงไทย ในเขตน่านน้ำ Salat Durian หมู่เกาะเรียวของประเทศอินโดนีเซีย และค้นพบยาเสพติด 1.9 ตัน มูลค่า 428 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (USD) และจับกุมผู้ควบคุมเรือ โดยกล่าวอ้างว่าเป็นชาวไทย 1 คน ลูกเรือชาวเมียนมา 4 คน ทุกคนไม่มีเอกสารประจำตัว

นายกรัฐมนตรีได้รับรายงาน จากศูนย์ปฏิบัติการของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศปก.ศรชล.) ซึ่งได้ตรวจสอบฐานข้อมูลเรือประมงไทยแล้ว ไม่ปรากฏชื่อเรือดังกล่าวอยู่ในระบบข้อมูลเรือประมงของไทย จึงได้ประสานการตรวจสอบกับหน่วยงานต่างประเทศ และหน่วยงานภายในประเทศ ว่าเรือประมงดังกล่าวมีสัญชาติใด และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาร์กาตา กำลังประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ อินโดนีเซียว่าผู้ควบคุมเรือเป็นชาวไทยจริงหรือไม่ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนเรื่องสัญชาติของไต้ก๋งเรือ เพราะกรมข่าวทหารของไทยค้นหาชื่อ “บ่าวพร กิ่งแก้ว” ในระบบทะเบียนราษฎร์ไม่พบ ว่ามีการจดทะเบียนแต่อย่างใด และล่ามแจ้งข้อมูลมาว่า ไต้ก๋งให้การว่าเกิดที่เมียนมา มีพ่อหรือแม่เป็นคนเมียนมา แต่พักอาศัยอยู่ที่ระนอง โดยมีบัตรประชาชนของทั้งเมียนมาและไทย

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญสูงสุดต่อการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและแรงงานภาคการประมง (IUU Fishing) โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขนยาเสพติด การค้ามนุษย์ จะดำเนินการตามกฎหมายโดยขั้นเด็ดขาด ไม่มีการละเว้น เพื่อไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นฐานในการกระทำความผิดทางทะเล และจะร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อสกัดกั้นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ประโยชน์จากช่องทางทางทะเลอย่างเข้มงวด” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ

คณะจัดทำหนังสือ "เมื่อรบต้องชนะ" ประชุมหารือรวบรวมข้อมูลเรื่องราวเหตุการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในอดีต

(19 พ.ค. 68) พล.ร.ท.สนธยา น้อยฉายา อดีต ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นประธานการประชุม คณะจัดทำหนังสือชื่อเรื่อง "เมื่อรบต้องชนะ"  ได้มีการพบปะประชุมหารือเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลเรื่องราวเหตุการณ์ การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อสมัยอดีด ณ ห้องประชุมครัว coffee wars ริมถนน 331 ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมหารือ จำนวน 10 คน ได้แก่ พล.ร.ท.สนธยา  น้อยฉายา ประธานการประชุมฯ น.อ.พิชัย รอดกวี น.ท.เกรียงไกร แสงอุทัย  น.ต.สำเริง บ้านพวน น.ต.สุวัช แสงสว่าง น.ต.ชาลี กัลปะ ร.ท.อยู่  ปานเกษม ร.ท.สุระชัย ขันคำ ร.ท.กฤษณ์ แผลงเดช และ ร.ต.ปัญญา

โดยการประชุม เป็นแบบพบปะ เสวนาแบบเป็นกันเอง ผลัดเปลี่ยนกันเล่าประสพการณ์จริง เสนอแนะ เพื่อพิจารณานำข้อมูลให้ฝ่ายเรียบเรียงทำเป็นหนังสือ โดย ร.ท.กฤษ แผลงเดช ผู้จดบันทึก ใช้เวลาพบปะหารือ ประมาณ 7 ชม. ตั้งแต่เวลา 11.30 - 18.00 

หนังสือ "เมื่อรบต้องชนะ" จะเป็นเรื่องราวบอกเล่าถึงสถานการณ์จริงเกี่ยวกับการสู้รบ ในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์สู้รบที่สำคัญๆ ในหลายพื้นที่ เช่น เหตุการบ้านโขดทราย เหตุการณ์บ้านชำราก เป็นต้น

โดยมี ร.ท.กฤษ แผลงเดช อดีดผู้เคยอยู่ในเหตุการณ์จริง เป็นผู้ริเริ่มการประสานงานรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดทำหนังสือดังกล่าว ซึ่งปัจจุบัน สามารถรวบรวมข้อมูลได้ ประมาณ 70% แล้ว

โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดทำ เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และรับทราบสถานการณ์และเหตุการณ์จริง รวมทั้งรวบรวมรายชื่อ วีรกรรมเกี่ยวกับการสู้รบในอดีต

ซึ่งบทวิเคราะห์ หนังสือดังกล่าว น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับบุคคลไทยโดยทั่วไป รวมทั้งเยาวชนรุ่นหลัง ไม่มากก็น้อย 

นิราช ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ลำปาง-ผบ.มทบ.32 นำกำลังพลจิตอาสาฯ ร่วมบริจาคโลหิต “70 พรรษา 70 ล้านซีซี” เฉลิมพระเกียรติฯ 

เมื่อวันที่ (19 พ.ค. 68) เวลา 11.30 น. พลตรี วิชาญ ศรีภัทรางกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานมณฑลทหารบกที่ 32 พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา และจิตอาสา 904 หลักสูตรพื้นฐานภาค 3 รุ่นที่ 1/65 ตลอดจนกำลังพลจิตอาสาพระราชทานมณฑลทหารบกที่ 32 จำนวน 22 นาย ได้ร่วมบริจาคโลหิต ณ บริเวณลานกิจกรรมชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลำปาง ทั้งนี้โดยความร่วมมือกับ รพ.มะเร็งลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่จำเป็นต้องการใช้โลหิต และส่งต่อโลหิตเพื่อนำไปใช้ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้โลหิตในการรักษาตามโครงการ “70 พรรษา 70 ล้านซีซี เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 

ในการนี้ นางสุรีรัตน์ พวงสายใจ รองผู้อำนวยการด้านการพยาบาล โรงพยาบาลมะเร็งลำปาง เป็นผู้แทนผู้อำนวยการฯ พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งกำลังพล มทบ.32 สามารถบริจาคโลหิตได้จำนวน 15 นาย ได้โลหิตจำนวน 6,000 ซีซี นอกจากนั้นยังมีพี่น้องประชาชนที่เข้าไปใช้บริการในศูนย์การค้าเซ็นทรัลลำปางร่วมบริจาคอีกด้วย 

ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

ตำรวจพัทยาเจ๋ง “ผบช.ภ.2” ชมปิดจ๊อบไว รวบ 2 อดีตช่าง คิดสั้นเป็นโจร ตระเวนลักทรัพย์พูลวิลล่า 12 วัน ก่อ 5 คดี สุดท้ายหนีไม่รอด

(19 พ.ค. 68) ผบช.ภ.2 ชื่นชม “ตำรวจพัทยา” ปิดจ๊อบไว สร้างความเชื่อมั่น สืบพัทยาปิดฉาก 2 โจรแสบอดีตช่างตกแต่งต่อเติม ตระเวนย่องเบา 12 วัน ก่อ 5 คดี ลักทรัพย์บ้านพูลวิลล่านักท่องเที่ยวกลางดึก รวบได้คาบ้านเช่า ยึดของกลางอื้อกว่า 100 รายการ สารภาพหาเงินใช้หนี้ เสพยา สุดท้ายไม่รอด

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เปิดเผยว่า ชื่นชมตำรวจ สภ.พัทยา ที่ปิดจ๊อบคดีคนร้ายตระเวนลักทรัพย์นักท่องเที่ยวในบ้านพักแบบพูลวิลล่าได้อย่างรวดเร็ว สืบสวนเกาะติดจนจับกุมคนร้ายได้พร้อมของกลาง สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว 

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เผยว่า เมื่อเวลา 01.06 น. วันนี้ (19 พฤษภาคม 2568) พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.อรุษ สภานนท์ รอง ผกก.สส.สภ.เมืองพัทยา พร้อมกำลังชุดสืบสวน เข้าจับกุม นายอธิป หรือ “อาร์ม” อายุ 31 ปี และนายกุน อายุ 22 ปี สัญชาติกัมพูชา ที่บ้านเช่าไม่มีเลขที่ ซอยเขามะกอก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พร้อมของกลางนับร้อยรายการ ทั้งเงินสด ของแบรนด์เนม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ โดยการจับกุมครั้งนี้เนื่องนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เข้าแจ้งความว่าถูกลักทรัพย์ขณะเข้าพักบ้านพักแบบพูลวิลล่าในพื้นที่พัทยา โดยเกิดเหตุต่อเนื่อง 5 ครั้งในบ้านพัก 5 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 5 -17 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายสืบสวน สภ.เมืองพัทยา จึงเร่งสืบสวน ตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนพบชายต้องสงสัย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์วนเวียนในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุซ้ำ ๆ ตามแกะรอยจนจับกุมได้พร้อมของกลางจำนวนมาก

ผบช.ภ.2 เผยด้วยว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งสองรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง รับว่าเคยทำงานเป็นช่างต่อเติมบ้านพักพูลวิลล่าหลายแห่งจึงรู้ทางเข้าออก ซอกมุมลับ และจุดอ่อนของบ้านแต่ละหลังอย่างดี ก่อนเฝ้าดูบ้านที่มีนักท่องเที่ยวเข้าพัก รอจังหวะที่เหยื่อดื่มหนักจนเมาหลับ ก็ย่องเข้ากวาดทรัพย์สินหลบหนี ของกลางที่ยึดมาได้ ประกอบด้วยนาฬิกาแบรนด์หรู กระเป๋าแบรนด์เนมโทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเกม บัตรต่าง ๆ รวมถึงเงินสดทั้งสกุลบาทและต่างประเทศ กว่า 100 รายการ โดยผู้ต้องหาอ้างว่าทรัพย์สินที่ลักมาแบ่งกันนำไปขายใช้หนี้ และซื้อยาเสพติดบางส่วนแล้ว จึงแจ้งข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้น” พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนของกลางจะเปิดให้ผู้เสียหายนำหลักฐานมาติดต่อขอรับคืนต่อไป

“ขอชื่นชมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกนาย โดยเฉพาะทีมสืบสวน ที่ใช้ทั้งความสามารถ ความมุ่งมั่น และความอดทน แกะรอยคนร้ายจนสามารถจับกุมตัวได้ครบทีมพร้อมของกลาง ถือเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างแท้จริงนี่คือภาพของตำรวจมืออาชีพ ที่ไม่ยอมปล่อยให้คนร้ายลอยนวล ทุกคดีต้องมีคำตอบ ความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อน เพราะ “ทุกความปลอดภัยของประชาชน คือความสำเร็จของตำรวจ” การป้องกันเหตุได้ เมื่อเกิดเหตุจับกุมคนร้ายได้ เป็นความภาคภูมิใจของตำรวจ ขอให้รักษามาตรฐานแห่งความเป็นตำรวจไทย โดยเฉพาะพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก หน้าที่ของตำรวจต้องสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว ” ผบช.ภ.2  

พล.ต.ท.ยิ่งยศ ฝากเตือนผู้ประกอบการบ้านพักพูลวิลล่า และนักท่องเที่ยวทุกคน ว่า ให้เพิ่มความระมัดระวัง ตรวจสอบระบบล็อก ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้น และช่วยเหลือการสืบสวนในภายหลัง  และหากมีเหตุด่วนเหตุร้ายให้โทรแจ้งตำรวจที่เบอร์ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมเข้าไปดูแล 

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชื่นชมตำรวจจราจรไหวพริบดี "จับ 2 หนุ่มขนยาบ้าซุกหลังเก๋ง 1.88 แสนเม็ด"

วันนี้ (19 พ.ค. 68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน เสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานกรณีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 03.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ 1 กองกำกับการ 1 (สายตรวจ) กองบังคับการตำรวจจราจร ขณะตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ เพื่อลดและป้องกันการเกิดอุบุัติเหตุทางถนน บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันชถนนสุวินทวงศ์ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ได้เรียกตรวจรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต ทะเบียนจังหวัดราชบุรี ภายในรถพบชายสองคน ลักษณะท่าทางมีพิรุธ จึงได้ขอตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชน พบว่าทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ทางภาคใต้ ซึ่งมีความขัดแย้งกับป้ายทะเบียนรถที่ขับขี่ ประกอบกับไม่สามาถตอบคำถามเกี่ยวกับรถยนต์ที่ขับขี่มาได้ ชุดปฏิบัติการจึงทำการตรวจค้น พบยาบ้า จำนวน 188,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณในกระโปรงท้ายรถ

จากการสอบสวนในเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งสอง ยอมรับว่ายาเสพติดดังกล่าวเป็นของตนเอง โดยได้ร่วมกันเดินทางไปรับมาจากพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีผู้นำยาเสพติดมาทิ้งไว้ริมถนน และตนจะนำไปส่งต่อยังจุดนัดหมายในพื้นที่เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สน.สุวินทวงศ์ เพื่อขยายผล และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวชื่นชมไปยังยังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ไหวพริบในการสังเกตพฤติกรรมต้องสงสัย จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดได้ ซึ่งหากยาเสพติดดังกล่าวหลุดรอดแล้วถูกนำไปจำหน่ายในพื้นที่ จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเยาวชน ที่เป็นลูกหลาน เป็นอนาคตของชาติ อีกทั้งยาเสพติดทุกชนิด เป็นภัยต่อความมั่นคงต่อการพัฒนาประเทศ และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน จึงขอชื่นชมการปฏิบัติงาน และให้ตำรวจจราจรทุกนายถือเป็นแบบอย่าง ขอให้หมั่นทบทวนฝึกฝนยุทธวิธีในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความปลอดภัย

หากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน พบเหตุต้องสงสัย หรือ สอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม  แจ้งอุบัติเหตุจราจรและ ขอความช่วยเหลือด้านการจราจร สามารถติดต่อสายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 , ตำรวจทางหลวง 1193 และสายด่วน 191 ตำรวจทั่วประเทศได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘แอนนี่ บรู๊ค’ ย้อนเล่าเรื่องราวแห่งโอกาสในชีวิต หลังได้รับทุนเรียนต่อใน รร.เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์

เมื่อวันที่ (18 พ.ค. 68) แอนนี่ บรู๊ค ดารานักแสดง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตว่า แอนเคยได้รับทุนจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ไม่ใช่แค่ทุนการศึกษา แต่คือแสงสว่างในอุโมงค์มืด ในวันที่โลกยังไม่เท่าเทียม และแอนโชคดีที่ได้อยู่ในแสงสว่างนั้น โอกาสนี้หล่อหลอมให้แอนเติบโตและเดินบนเส้นทางที่ควร

“ขอบคุณที่เคยเชื่อในเด็กคนหนึ่ง... ที่วันนี้ยังไม่ลืมคุณค่าของโอกาสนั้นเลยค่ะ”

แอนนี่ ยังบอกเพิ่มเติมว่า เดิมโรงเรียนแห่งนี้ชื่อว่าโรงเรียนเซนต์ปอลเดอร์ชาร์ท และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ หรือ อร.  โดยแอนเป็นนักเรียนรุ่นที่ 1 รุ่นบุกเบิกโรงเรียน ผู้ดูแลเป็นมาเซอร์ อยู่ในศาสนาคริสต์คาทอลิก แต่ไม่ว่าจะศาสนาไหนทุกคนอยู่ที่นี่เท่าเทียมกันหมด

พร้อมทั้งได้ยกย่องครูที่นำทางแสงสว่าง มีชื่อว่า ครูสมัย วิไลศักดิ์ โดยครูเป็นคนไปขอแม่ว่าเด็กมันเรียนดีเป็นเด็กดี ครูขอนะ เพราะในตอนนั้นแม่กำลังจะส่งแอนไปทำงานเป็นแม่บ้านในกรุงเทพฯ ครูจึงบอกว่า ขอให้เด็กได้ไปเรียนต่อ 

“หนูไม่รู้ว่าตอนนี้ครูสมัยอยู่ไหน แต่หนูซาบซึ้งในพระคุณมากๆค่ะ”

 "สมาพันธ์ SME ไทย - สมาคมสำนักงานบัญชี ค้านแนวคิดเก็บ VATรายย่อยไม่ถึง 1.8 ล้าน/ปี"

(19 พ.ค. 68) จากกรณีที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เสนอแนวคิดให้กรมสรรพากรจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แบบเหมาจ่ายในอัตรา 1% กับผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อขยายฐานภาษี คาดเก็บรายได้เพิ่มกว่า 4,000ล้านบาท/ปี ล่าสุด กลุ่มภาคธุรกิจรายเล็กไม่เห็นด้วย

ประธานสมาพันธ์ SME เตือน “ยังไม่ถึงเวลา เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น”

ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย แสดงจุดยืนคัดค้าน ชี้ว่า เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงเปราะบาง หนี้ครัวเรือน-หนี้ภาคธุรกิจยังสูง SMEรายย่อยยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุน การเพิ่มภาระภาษีจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
“การจะลดเกณฑ์ VATลง เท่ากับเปิดแนวรบใหม่ให้คนตัวเล็กต้องสู้โดยไม่มีอาวุธ”  
“รีดเลือดจากปู” สมาคมสำนักงานบัญชีชี้ภาระเกินแบก

คุณอัญชลี มณีท่าโพธิ์ นายกสมาคมสำนักงานบัญชีไทย กล่าวว่า การเก็บ VAT แบบเหมาจ่าย1% โดยไม่คำนึงถึงต้นทุน เป็นภาระหนักสำหรับธุรกิจรายย่อยที่ยังไม่ฟื้นตัว “ผู้ประกอบการรายเล็ก กำลังประสบปัญหาหนัก แต่ถ้าต้องมารับภาระ VAT เหมาจ่าย1%  เพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล เป็นการรีดเลือดจากปูเพิ่มภาระความทุกข์ให้กับพวกเค้าอีก ...ขอถามว่า ถูกต้องแล้วหรือไม่

ข้อเสนอจากสมาพันธ์ SMEไทย
เพื่อสร้างสมดุลในการจัดเก็บรายได้ภาษี พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ สมาพันธ์ SMEไทย เสนอแนวทางดังนี้ :
    - ทบทวนแนวคิดจัดเก็บ Micro VAT อย่างรอบด้าน
    - เร่งโครงการเมกะโปรเจกต์ กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
    - ปิดช่องโหว่ “ทุนแฝง-นอมินีต่างชาติ” ด้วยกฎหมายที่เข้มงวด
    -     ดึงนักลงทุนต่างชาติที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมสร้างระบบกฎหมายที่เป็นธรรม
    -     จัดตั้งกองทุนสนับสนุนSME วงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อเสริมธุรกิจรายเล็ก

ต้องการรายได้เพิ่ม รัฐควรเน้นโครงสร้าง ไม่ใช่ภาระคนตัวเล็ก
สมาพันธ์ SMEไทยและสมาคมสำนักงานบัญชีไทยย้ำว่า การขยายฐานภาษีควรพิจารณาในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ผลักภาระไปยังผู้ประกอบการรายเล็กที่ยังไม่พร้อมเดินหน้า
..........
Cr: สื่อสารองค์กร
สมาพันธ์SMEไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top