Sunday, 15 June 2025
Hard News Team

“อลงกรณ์-คอรัปชั่น ฟ้องดู”เดินสายผนึกสื่อมวลชนภาคใต้สร้างเครือข่าย “ใยแมงมุม”ต้านโกงทั่วประเทศหวังประเทศไทยโปร่งใสมีธรรมาภิบาล

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ประธานที่ปรึกษาของ รมว.ทส.และรองประธานคณะกก.ยุทธศาสตร์ ปชป. อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยวันนี้เกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการ “ใยแมงมุม” (Spider Web)ปราบโกงภายหลังเป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษในโครงการอบรมสัมมนาสื่อมวลชนและองค์กรเครือข่ายสื่อภาคใต้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบทุจริตภาครัฐและเอกชนจัดโดยสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติภายใต้การสนับสนุนของกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ที่โรงแรมบรรจงบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า แกนนำสื่อมวลชนภาคใต้และสมาชิกกลุ่มStrongซึ่งเป็นเครือข่ายของปปช. ที่ประกอบด้วยนักศึกษาและประชาชนจิตอาสาเห็นด้วยและพร้อมร่วมขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม “คอรัปชั่น ฟ้องดู” (Corruption Fondue)ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้โดยการสนับสนุนของสถาบันเอฟเคไอไอ.มีเป้าหมายหลักคือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI)ขจัดทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงในภาครัฐและเอกชน
“ในการเดินสายสร้างความเข้าใจแพลตฟอร์มคอรัปชั่นเทคที่เรียกว่า“คอรัปชั่น ฟ้องดู” พร้อมกับการสร้างเครือข่าย“ใยแมงมุม”ซึ่งล่าสุดคือภาคใต้ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากแกนนำสื่อมวลชนภาคใต้และเครือข่ายStrongของปปช. ก่อนหน้านี้ได้ขยายเครือข่ายสร้างความร่วมมือกับสื่อมวลชนและองค์กรเครือข่ายสื่อในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือมาแล้ว และเป้าหมายต่อไปคือกรุงเทพฯ และภาคกลาง

แพลตฟอร์ม “คอรัปชั่น ฟ้องดู” ไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางเทคโนโลยีแต่ยังเป็นความหวังใหม่ในการสร้างวัฒนธรรม “ไม่ทนต่อการทุจริต” ผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน การเดินหน้าสร้างเครือข่ายใยแมงมุมครั้งนี้สะท้อนเจตจำนงที่จะก้าวข้ามวิกฤตคอรัปชั่นเพื่อสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในประเทศไทย“นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด.

20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระราชดำรัส รัชกาลที่ 9 ดั่งน้ำทิพย์ คลี่คลายวิกฤตทางการเมือง ‘พฤษภาทมิฬ’

เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9  พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้  ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำพลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท โอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดำรัสแก่คณะผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในเหตุการณ์การเมือง พฤษภาทมิฬ ทรงใช้พระมหากรุณาธิคุณระงับความขัดเเย้งทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย ให้เข้าใจกันและยุติความขัดเเย้งของทั้งสองฝ่ายเพื่อความสงบสุขเรียบร้อยของประเทศไทย

โดยมีความบางตอนว่า  

“...ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง..."  

อย่าให้แผ่นดินนี้กลายเป็นยูเครนหรือไต้หวัน บทเรียนจากสงครามและการต่อรองที่ต้องจดจำ

(19 พ.ค. 68) ช่วงนี้โลกเรามันก็วุ่นวายเหลือเกินนะ แค่เปิดทีวีหรือเข้าโซเชียลก็เจอแต่ข่าวสงคราม ความขัดแย้ง และความสูญเสีย ดูอย่างยูเครนสิ เมื่อก่อนก็เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ชีวิตผู้คนถูกทำลาย ทรัพย์สินโดนยึดไปอย่างน่าสลดใจ

เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกมาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “สหรัฐฯ และยุโรปเก็บเกี่ยวยูเครนมาเป็นเวลาสามปี เหมือนกับต้นหอม” คำพูดนี้มันสะท้อนถึงความจริงที่โหดร้ายสุด ๆ ที่ยูเครนต้องเผชิญ ถูกใช้เหมือนเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็ถูกทิ้งแบบไม่ใยดี

ตอนนี้คนยูเครนต้องเดินเท้า 5 กิโลเมตรเพื่อหาน้ำดื่ม ในเมืองคาร์คิฟ โรงไฟฟ้าถูกทำลายไป 65% เหลือแต่ซาก กองทัพก็กลายเป็นทาสหนี้ให้กับพ่อค้าอาวุธจากสหรัฐฯ คนละ 150,000 ดอลลาร์ นี่มันราคาของ ‘พันธมิตร’ หรือ ‘ทาสยุคใหม่’ กันแน่?

ที่เจ็บแสบที่สุดคือ ข้อตกลงแร่ธาตุที่สหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนเปิดพื้นที่เหมืองแร่หายาก 18 แห่ง เพื่อแลกกับการล้างหนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่คิดช่วยเหลือทางทหารสักเหรียญเดียว! คือแบบนี้มันแฟร์เหรอ? เหมือนมัดมือชกกันชัด ๆ

ที่สหภาพยุโรปก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาจัดให้ “ปัญหาความมั่นคงของยูเครน” อยู่อันดับที่ 27 ในการประชุมที่บรัสเซลส์ รองจากการปรับปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียน! ชีวิตคนทั้งชาติ โดนจัดให้อยู่ท้ายแถวในวาระการประชุม แบบนี้มันไม่ใช่แค่โดนทิ้งนะ แต่มันคือการโดนหักหลัง!

คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” คำพูดนี้มันเหมือนพยากรณ์ถึงชะตากรรมของไต้หวันเลยนะ

ไต้หวันเองก็เหมือนกับยูเครนในหลายแง่มุม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไต้หวันกลายเป็นสนามประลองของอำนาจมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ ในขณะที่ไต้หวันทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ กลับไม่มีสิ่งใดกลับมานอกจากหนี้สินและคำสัญญาที่ว่างเปล่า

ก่อนที่สงครามในช่องแคบไต้หวันจะปะทุขึ้น สหรัฐฯ ได้ยึดเอา TSMC บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวันไปใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำกับแหล่งแร่ธาตุของยูเครน และตอนนี้ไต้หวันก็ต้องแบกรับหนี้สินจากการซื้ออาวุธในระดับที่หนักหน่วง โดยที่นักการเมืองในไต้หวันก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับสภาพ

แย่กว่านั้น ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันยังต้องเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบและขอการยอมรับ ไม่ต่างจากการ ‘แสวงบุญ’ ที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์และการพิจารณาจากผู้นำต่างชาติอย่างน่าหดหู่ เหมือนกับว่าอนาคตของประเทศไม่ได้อยู่ในมือประชาชนตัวเอง แต่อยู่ในมือของมหาอำนาจที่อยู่อีกซีกโลก

คนไทยเราเห็นแล้วก็ต้องคิดบ้าง อย่าให้ใครมายุยงปลุกปั่นให้เราแตกแยก อย่าให้ใครเอาผลประโยชน์หรืออำนาจมาล่อลวง เราต้องรักและหวงแหนแผ่นดินของเราเอง อย่าให้แผ่นดินนี้ต้องกลายเป็น ‘ยูเครนเวอร์ชั่น 2’ หรือ ‘ไต้หวันเวอร์ชั่น 2’ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จ่ายราคาแพงที่สุด ก็คือพวกเราคนไทยเอง

ประเทศไทย... พึงตระหนัก!

‘ทรัมป์’ ชม ‘กาตาร์’ เจตนาดีให้ฟรี Boeing 747-8 เปรียบเหมือน ‘เทพีเสรีภาพ’ ไม่จำเป็นต้องตอบแทน

(19 พ.ค. 68) สตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า การที่สหรัฐฯ รับมอบเครื่องบิน Boeing 747-8 มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ (ราว 14,400 ล้านบาท) จากประเทศกาตาร์ เป็นการทำธุรกรรมระหว่างรัฐที่ชอบด้วยกฎหมาย และผ่านการตรวจสอบจากที่ปรึกษาทำเนียบขาว กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานกฎหมายแล้ว

ขณะที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลทรัมป์ กล่าวปกป้องการตัดสินใจดังกล่าว โดยเปรียบเปรยว่า “ฝรั่งเศสเคยมอบเทพีเสรีภาพให้เรา และอังกฤษเคยมอบโต๊ะทำงานให้เรา ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาเรียกร้องอะไรล่วงหน้าหรือไม่” พร้อมชี้ว่ากาตาร์มีคำสั่งซื้อเครื่องบินจาก Boeing มูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นคำสั่งซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท

ด้านทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เขาคง ‘โง่มาก’ หากปฏิเสธ ‘เครื่องบินฟรี’ ลำนี้ โดยตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ เครื่องบินลำนี้ได้เดินทางมาถึงรัฐเท็กซัสแล้วนานกว่าหนึ่งเดือน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ปัจจุบันของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีและใช้งบประมาณมหาศาลในการปรับแต่งเครื่องบินลำดังกล่าวให้ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยระดับผู้นำประเทศ โดยเฉพาะหากมีการใช้งานในภารกิจของประธานาธิบดีในอนาคต

สกพอ. ผนึกกำลัง กกท. ผุดโปรเจกต์ยักษ์ ยกระดับเมืองอัจฉริยะ EECiti สร้างศูนย์กีฬานานาชาติจ.ชลบุรี บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ หนุนเมืองน่าอยู่รองรับประชากร 3.5 แสนคน ปูทางไทยจัดกีฬาโลก-คอนเสิร์ต-เวทีนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างงาน 2 แสนตำแหน่งใน 10 ปี

(19 พ.ค. 68) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จับมือการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ลงนามความร่วมมือ (MOU) สร้าง “ศูนย์กีฬานานาชาติ จ.ชลบุรี” บนพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ ภายในโครงการเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ EECiti หวังยกระดับสู่ศูนย์กลางการจัดการแข่งขันกีฬาและอีเวนต์ระดับโลก พร้อมส่งเสริมสุขภาพและเศรษฐกิจกีฬาไทย

ศูนย์กีฬาแห่งนี้จะได้มาตรฐานระดับนานาชาติ รองรับทั้งการแข่งขัน กีฬาอาชีพ คอนเสิร์ต เทศกาลขนาดใหญ่ พร้อมศูนย์ฟื้นฟูนักกีฬาและนวัตกรรมวิทยาศาสตร์การกีฬาครบวงจร สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติมุ่งพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ. เผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา ระบบนิเวศเมืองน่าอยู่ และดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่พื้นที่ EEC ตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว คาดว่าโครงการจะรองรับประชากรกว่า 3.5 แสนคน และสร้างงานกว่า 2 แสนตำแหน่งภายในปี 2580

นอกจากศูนย์กีฬานานาชาติแล้ว พื้นที่ EECiti ยังเตรียมพัฒนาเป็นเมืองอัจฉริยะติด 1 ใน 10 ของโลก พร้อมรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รองรับการลงทุนใหม่ในพื้นที่อีอีซีในอนาคต

‘อมตะ ซัมมิท’ เร่งตรวจสอบผนังอาคารถล่ม พร้อมประสานผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุอย่างละเอียด

(19 พ.ค. 68) บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด ออกแถลงการณ์กรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่า ในนิคมฯอมตะซิตี้ ชลบุรี หลุดร่วงจากตัวอาคารยืนยันเดินหน้าตรวจสอบสาเหตุอย่างเร่งด่วน และยกระดับมาตรการความปลอดภัยในทุกอาคาร

นางสาวจันจิรา แย้มยิ้ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้บิลท์ จำกัด เปิดเผยถึงกรณีผนังอาคารด้านหน้าอาคารให้เช่าแห่งหนึ่งภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เกิดการหลุดร่วงจากตัวอาคารว่า บริษัทขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงหนึ่งราย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้เช่า ซึ่งบริษัทฯไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด

บริษัทฯให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของผู้เช่าและบุคลากรทุกฝ่าย โดยได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง และตัวแทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ.เพื่อเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของเหตุการณ์อย่างละเอียด พร้อมเพิ่มการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย

นอกจากนี้ บริษัทฯจะนัดหมายเพื่อร่วมประชุมกับผู้เช่าอาคารในลักษณะเดียวกันทุกราย เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง แผนการดำเนินงาน และมาตรการตรวจสอบซ้ำด้านความปลอดภัย พร้อมเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากผู้เช่า และเชิญผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบโครงสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความมั่นใจร่วมกัน

บริษัทฯขอยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และเปิดกว้างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสาธารณะชน เข้าตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เช่า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต

รัฐบาลชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 เล็งใช้งบ 1.57 แสนล้านไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแทน

(19 พ.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมเห็นพ้องให้ชะลอโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเฟส 3 ไว้ก่อน พร้อมพิจารณานำงบประมาณ 157,000 ล้านบาทไปใช้ในโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแทน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า งบประมาณที่ตั้งไว้จะนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบน้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร คมนาคม รถไฟความเร็วสูง และการส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีและสร้างงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ชะลอเพราะงบไม่พอ แต่เป็นเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไป มีข้อจำกัดมากขึ้น จึงต้องทบทวนการใช้งบให้เหมาะสม โดยยังไม่ตัดทิ้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากสถานการณ์เอื้ออำนวยในอนาคตก็สามารถนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้

รัฐบาลย้ำว่าการตัดสินใจครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กระตุ้นการจ้างงาน และใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองและติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด

‘อนุทิน’ เห็นภาพชัดเชื่อรัฐบาลอยู่ครบเทอม พร้อมปัดข่าว ภท. เตรียมคว่ำ พ.ร.บ.งบ ฯ 69

(19 พ.ค. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ว่าพรรคภูมิใจไทยจะคว่ำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 ว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ตนมองว่าปกติ ทำไมผู้สื่อข่าวถึงได้มองว่าจะเครียด ซึ่งไม่มีอะไรเลย 

ส่วนที่กรณีพรรคเพื่อไทยรวมพลังกับพรรคกล้าธรรม ขณะที่พรรคภูมิใจไทยกำลังรวมพลัง กับพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น 

นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยรวมพลังกับทุกพรรค แม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้าน หากทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก็พร้อมสนับสนุนหมดทุกอย่าง พร้อมชื่อว่าการเติบโตของพรรคกล้าธรรม ไม่ใช่การมาคานอำนาจกับพรรคภูมิใจไทย เพราะทุกพรรคก็ต้องการ การเติบโต และพรรคไหนที่สามารถรับใช้ประชาชนได้ พรรคนั้นก็จะเติบโต เหมือนกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตนเองก็พูดคุยและมีการทำงานร่วมกันกับ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมอยู่ตลอด 

นายอนุทิน ยังยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า ไม่เป็นความจริงที่พรรคภูมิใจไทยจะโหวตคว่ำร่างพ.ร.บ.งบฯ 69 เพราะรัฐบาลทำงบประมาณมาด้วยกัน และผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว อีกทั้งงบประมาณก็มีประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน ขณะที่กระทรวงในส่วนพรรคภูมิใจไทยรับผิดชอบดูอยู่อาทิ กระทรวงมหาดไทย มีงบประมาณถึง 400,000 ล้านบาท กระทรวงศึกษาธิการ ประมาณ 500,000 ล้านบาทกระทรวงอุดมศึกษาฯ ประมาณ 200,000 ล้านบาท และกระทรวงแรงงานอีกประมาณสองถึง 30,000 ล้านบาท รวมแล้วกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่มีงบประมาณ ล้านล้านบาท หากว่าจะไม่เห็นชอบหรือไปโหวตคว่ำก็คงไม่ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลและประชาชน ก็ต้องให้การสนับสนุน เนื่องจากเป็นงบประมาณที่รัฐบาลดำเนินการเอง 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าขอถามเป็นครั้งที่10 ว่าตอนนี้มีกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่าตนขอยืนยันเป็นครั้งที่ 11 ว่าไม่มี และขณะนี้รัฐบาลก็มีความเข้มแข็ง มีเสียงในสภามากกว่า 320 เสียง และพรรคกล้าธรรมก็ยิ่งมีเสียงสส.เพิ่ม ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลเข้มแข็งขึ้น ทำให้ตนเองไปผ่าตัดเลนส์ตาได้อย่างสบายใจ 

ส่วนได้มองสัญญาณเชิงบวกกับสีน้ำเงินหรือไม่  นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ได้มองอะไรเลย มองแต่เรื่องการทำงาน จากสายตาที่เคยขุ่นมัว พอเปลี่ยนเลนส์ตาก็ทำให้ชัดใสปิ๊ง กลับมาหล่อเหมือนเดิม และเห็นอนาคตของรัฐบาลได้ชัด ว่าจะอยู่ครบเทอม

ผู้ลี้ภัยโรฮิงญาอ้าง!..ถูกบังคับขึ้นเรือรบอินเดีย ถูกปิดตา-ทุบตี ก่อนโยนลงทะเลให้ว่ายกลับเมียนมา

(19 พ.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่อินเดียบังคับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวนอย่างน้อย 40 คน ซึ่งรวมถึงผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ ให้ลงจากเรือของกองทัพเรืออินเดีย โดยมีการอ้างว่าบางคนถูกปิดตา ถูกทุบตี และถูกโยนลงทะเลบริเวณน่านน้ำสากลใกล้ชายแดนเมียนมา และให้ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งเอง

กลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านี้ถูกควบคุมตัวในกรุงนิวเดลีเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม และถูกส่งตัวโดยเครื่องบินไปยังหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ก่อนที่จะถูกนำขึ้นเรือของกองทัพอินเดีย

สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อรายงานดังกล่าว โดย ทอม แอนดรูว์ส ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมา กล่าวว่า “แนวคิดที่ว่าผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาถูกโยนลงทะเลจากเรือของกองทัพเรือนั้นเป็นสิ่งที่น่าขุ่นเคืองอย่างยิ่ง” เขาเรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียหยุดการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมและเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา รวมถึงการส่งตัวพวกเขากลับไปสู่สภาพที่อันตรายในเมียนมา

ด้าน ทนายความ ดิลาวาร์ ฮุสเซน ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ลี้ภัย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดของอินเดีย เพื่อขอให้รัฐบาลนำผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลับมายังกรุงนิวเดลี อย่างไรก็ตาม กองทัพเรืออินเดียและกระทรวงการต่างประเทศยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้

ทั้งนี้ อินเดียไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี 1951 หรือพิธีสารปี 1967 แต่มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาประมาณ 40,000 คนอาศัยอยู่ในประเทศ โดยประมาณ 22,500 คนได้รับการลงทะเบียนกับสำนักงาน UNHCR หลายคนอาศัยอยู่ในสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ และเผชิญกับการกดขี่ข่มเหงจากกลุ่มชาวฮินดูที่เรียกร้องให้ขับไล่พวกเขาออกจากประเทศ

บีโอไอ ปรับเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนรับมือการค้าโลก พร้อมไฟเขียว 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

(19 พ.ค. 68) บอร์ดบีโอไอ อนุมัติมาตรการชุดใหญ่ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย รับมือการค้าโลกยุคใหม่ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางความผันผวน มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน พร้อมออกมาตรการส่งเสริมกิจการท่องเที่ยวในเมืองรอง ฟื้นเที่ยวไทยทั่วประเทศ อนุมัติส่งเสริมลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียด 1 แสนล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยเพื่อรองรับโลกยุคใหม่” โดยมุ่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย รักษาสมดุลทางเศรษฐกิจ ภายใต้สภาวะตลาดที่มีความผันผวน เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในหลากหลายอุตสาหกรรมได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ระดับโลก โดยมีมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

1. ส่งเสริมให้ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยออกมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ SMEs ไทย ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐานเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทย จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงินไม่เกินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 100

2. งดให้การส่งเสริมกิจการที่อาจมีปริมาณผลิตเกินความต้องการ (Oversupply) หรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เช่น กิจการผลิตเซลล์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ แบตเตอรี่กลุ่มตะกั่ว-กรด อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ กิจการตัดโลหะ กิจการคัดแยกวัสดุที่ไม่ใช้แล้วกรณีตั้งนอกนิคมอุตสาหกรรมและไม่มีกระบวนการรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังจะงดส่งเสริมกิจการเหล็กขั้นปลายเพิ่มเติมจากเดิม ได้แก่ กิจการผลิตเหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กทรงแบน (เฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นหนา) และท่อเหล็กชนิดต่าง ๆ

3. เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ และอุตสาหกรรมเบา โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ โดยมีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น

4. ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ  สำหรับกิจการผลิตที่ขอรับการส่งเสริมลงทุนและมีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด นอกจากนี้ จะกำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับบีโอไอ เช่น ถ้าเป็นระดับผู้บริหาร ต้องมีรายได้ 150,000 บาทขึ้นไป และระดับผู้เชี่ยวชาญ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อสร้างสมดุลการจ้างงานในประเทศให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการแย่งงานบุคลากรไทย และกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้บีโอไอดำเนินการศึกษาแนวทางการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ และการส่งเสริมการร่วมทุน ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการต่างชาติร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยและช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกิจการที่มีความสำคัญต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทาน และให้นำกลับมาเสนอบอร์ดอีกครั้ง

ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบ “มาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการด้านการท่องเที่ยวในเมืองรอง” ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในเมืองรอง เพื่อส่งเสริมการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยสำหรับกิจการด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ กิจการสร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ สวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ศูนย์หัตถกรรมไทย พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์เปิด ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ หอประชุมขนาดใหญ่ ท่าเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) บริการที่จอดเรือท่องเที่ยว สนามแข่งขันยานยนต์ กระเช้าไฟฟ้าและรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว หากเป็นการลงทุนตั้งสถานประกอบการในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 5 ปี เป็น 8 ปี  และสำหรับกิจการโรงแรม หากตั้งในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปี

ปรับปรุงกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service

บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติการปรับปรุงการส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center, Data Hosting และ Cloud Service ให้มีความเหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน โดยจะเน้นให้สิทธิประโยชน์ระดับสูงกับกิจการที่ใช้อุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูง (Advanced Computing Capabilities) และมีการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้เพิ่มเงื่อนไขให้โครงการที่จะขอรับการส่งเสริม ต้องเสนอแผนพัฒนาบุคลากรไทย เช่น การจัดทำหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs หรือการใช้อุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศ โดยต้องดำเนินการตามแผนที่เสนอให้แล้วเสร็จก่อนการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การลงทุนในกลุ่มธุรกิจนี้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลแก่ประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

ไฟเขียวลงทุน 7 โครงการ มูลค่าเฉียดแสนล้าน

ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center และพลังงานหมุนเวียน รวม 7 โครงการ มูลค่าลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กิจการ Data Center 5 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท วิสตัส เทคโนโลยี จำกัด เงินลงทุน 6,854 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (2) บริษัท บริดจ์ ดาต้า เซ็นเตอร์ ไอไอไอ (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 14,452 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี (3) บริษัท กาแล็คซี่ พีค ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 23,553 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (4) บริษัท กาแล็คซี่ ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด เงินลงทุน 22,313 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง และ (5) บริษัท ดิจิทัล เอดจ์ ดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เงินลงทุน 24,522 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี

กิจการพลังงานหมุนเวียน 2 โครงการ ได้แก่ (1) บริษัท อัลฟ่า วัน โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 3,195 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชุมพร และ (2) บริษัท อัลฟ่า ทู โปรเจค จำกัด ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เงินลงทุน 4,838 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top