Friday, 13 June 2025
Hard News Team

มูลนิธิพระราหูเปิดสารคดี ‘นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ’ ‘ดร.หิมาลัย’ หวังช่วยสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชนไทย

มูลนิธิพระราหูเปิดตัวสารคดีชุด ‘นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ’ สร้างแรงบันดาลใจแก่นักเรียนและเยาวชน ผ่าน 4 นักเรียนต้นแบบ เผยแพร่ผ่าน YouTube และ Facebook มูลนิธิพระราหู ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ 

(22 พ.ค.68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู เปิดเผยว่า ตามที่มูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู และพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ได้ดำเนินการโครงการนักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแบบอย่างของนักเรียนและเยาวชนที่มีความรักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงมีความประพฤติที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียนและเยาวชนคนอื่น ๆ 

เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่นักเรียนและเยาวชนทั่วประเทศทางมูลนิธิพระราหูจึงได้จัดทำสารคดีชุด’นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ’จำนวน 4 ตอน ที่จะนำเสนอแนวคิดและการดำเนินชีวิตของ 4 นักเรียนที่พร้อมต่อสู้กับทุก ๆ อุปสรรค เพื่อเดินหน้าสู่ความหวังและความฝันโดยยังยึดมั่นในคุณงามความดี รวมทั้งบทบาทและหน้าที่ในฐานะ ‘นักเรียน’

สำหรับทั้งสารคดีทั้ง 4 ตอน ได้แก่ .

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP1 : เรื่องของไอซ์ 
เรื่องราวของเด็กผู้ชายที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ในการที่จะเดินหน้าสู่อาชีพ ‘นักการเมืองท้องถิ่น’ ภายใต้แนวคิดซื่อตรง-ไม่โกง พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาให้กับประชาชน 

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP2 : เรื่องของแตงโม 
เรื่องราวของเด็กนักเรียนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้มีพร้อมเหมือนคนอื่น แต่พร้อมที่จะเดินหน้าสู้กับปัญหาความไม่พร้อม ผ่านการแบ่งเบาภาระของครอบครัวอย่างเต็มที่ภายใต้เรี่ยวแรงของตนเอง 

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP3 : เรื่องของเอม 
นักร้อง นักเรียน และนักสู้ชีวิต ที่พร้อมเดินหน้าเผชิญหน้ากับทุก ๆ อุปสรรคและขวากหนามที่เข้ามาและตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ภายใต้เสียงเพลง ภายใต้ชีวิตและความฝันที่อยากจะดูแล ‘คุณยาย’ 

- นักเรียนดี เยาวชนต้นแบบ EP4 : เรื่องของแก้ว
เรื่องของเด็กดื้อที่จะทำตามความใฝ่ฝันในการเป็น ‘นักร้อง’ ของตัวเอง ที่สำคัญเรื่องของ ‘แก้ว’ ยังเป็นคนที่พร้อมสู้กับทุกเรื่องเพื่อให้สำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความฝัน เรื่องของการเรียน และพร้อมที่จะใช้บ่าเล็ก ๆ รับความกดดันเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายของตัวเอง 

โดยทางมูลนิธิพระราหูจะดำเนินการเผยแพร่สารคดีในทุก ๆ วันพฤหัสบดี เวลา 09.00 น. ผ่านทาง Facebook และ Youtube ของ ‘มูลนิธิพระราหู’ และ Facebook และ Youtube ของ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้ารื้อสัญญาชั่วนิรันดร์ Adder - FiT พร้อมเร่งลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าให้ประชาชน

เมื่อวันที่ (19 พ.ค.68) นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE 100) และคณะตัวแทนสมาคมฯ ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอหารือและรับทราบแนวทางเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบมีค่า Adder และ Feed-in Tariff (FiT) ที่ต้องจ่ายให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเล็กมาก (Non-Firm SPP) แบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา หรือที่เรียกกันว่า 'สัญญาชั่วนิรันดร์' ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

ทั้งนี้ ระบบ Adder และ Feed-in Tariff เป็นนโยบายที่ภาครัฐให้เงินสนับสนุน หรือให้เงินส่วนเพิ่มจากอัตราค่าไฟปกติแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อจูงใจภาคเอกชนให้มาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยโรงไฟฟ้าเหล่านี้สามารถต่อสัญญาขายไฟฟ้าได้เรื่อย ๆ ครั้งละ 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติแบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระและทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

ในการหารือครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในส่วนของสมาคมฯ ได้อธิบายถึงปัญหาข้อขัดข้องในอดีตซึ่งเป็นที่มาของสัญญาดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับทราบและเห็นด้วยกับแนวทางที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการในการปรับเปลี่ยนสัญญาให้ถูกต้องและเป็นธรรม โดยนายพีระพันธุ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ( กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Non-Firm เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และได้กำชับให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวเร่งดำเนินการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการพยายามแก้ปัญหาระบบ Adder และ Feed-in Tariff ที่สะสมมานาน โดยทางสมาคมฯ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้ และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะลดผลกระทบที่มีต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

‘เอกนัฏ’ ดัน ‘ดีพร้อม’ โชว์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย เติมศักยภาพด้านท่องเที่ยวใน World Expo 2025

(21 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้ร่วมจัดพื้นที่แสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่าน Temporary Exhibition ในพื้นที่โซนด้านหลัง Thailand Pavilion ระหว่างวันที่ 15 – 26 พฤษภาคม 2568 เพื่อแสดงศักยภาพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก ภายใต้แนวคิด “Future-Ready Thai Product Champions” และการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง ของชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิด “Innovative Agriculture-Industry Development and Tourism Community” รวมถึงขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย ด้วยการสร้างและพัฒนา Thailand Soft Power DNA สร้างสรรค์ ต่อยอด โน้มน้าว เผยแพร่ และสร้างความประทับใจ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,500 ล้านบาท

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า งาน World Expo 2025 Osaka Kansai, Japan เป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญระดับโลก สามารถแสดงศักยภาพผ่านการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยไปไกลสู่ระดับโลกโดยตอบโจทย์ความต้องการแสดงอัตลักษณ์ของสินค้าไทยจากสมุนไพรพื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และส่งออกไปทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสินค้าไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้ประเทศไทยโดดเด่นไม่แพ้ใครคือ ‘การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์’ ที่นำเอาอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นประสบการณ์ที่ทั้งแปลกใหม่ และลึกซึ้ง นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ชมความงามแต่ยังได้สัมผัสวิถีชีวิต เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านและใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน ในแบบที่หาไม่ได้จากที่ใดในโลก ตั้งแต่การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นไปจนถึงการแปรรูปวัตถุดิบพื้นบ้านทุกกิจกรรม ล้วนเต็มไปด้วยความหมาย เพราะการเดินทางในประเทศไทยคือการเดินทางที่เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจเข้าด้วยกัน ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย ให้มีความทันสมัย สะดวก สะอาด โปร่งใส” จึงได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ร่วมจัดพื้นที่แสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่าน Temporary Exhibition ในพื้นที่โซนด้านหลัง Thailand Pavilion ระหว่างวันที่ 15 – 26 พฤษภาคม 2568 ใน Exhibition Concept สร้างสรรค์ชีวิต เพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่เป็นเป้าหมายปลายทางของคนทั้งโลก Theme Week ที่ 2 The Future of Community and Mobility (อนาคตของชุมชนและการโยกย้าย) เพื่อแสดงศักยภาพผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก และการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ รวมถึงการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้วยการสร้างและพัฒนา Thailand Soft Power DNA สร้างสรรค์ ต่อยอด โน้มน้าว และเผยแพร่ สร้างความประทับใจ อันจะทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยคาดว่าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,500 ล้านบาท

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ได้ดำเนินการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่านผลิตภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ตั้งแต่ต้นน้ำ ที่เป็นวัตถุดิบ แปรรูปจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงปลายน้ำที่เป็นการนำผลิตภัณฑ์อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยการแสดงศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่าน Temporary Exhibition ใน 2 Concepts ดังนี้

Concept ที่ 1 เป็นการแสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยสู่ตลาดโลก (Inside Out) ภายใต้แนวคิด “Future-Ready Thai Product Champions” ที่แสดงถึงผลิตภัณฑ์ของประเทศไทยที่เกิดจากการผสมผสานวัตถุดิบจากทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญา และนวัตกรรมสมัยใหม่ จากสมุนไพรพื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ตั้งแต่วัตถุดิบในกลุ่มสารสกัดสมุนไพร Natural Extract, Fragrance, Essential Oil, Aroma Therapy, Flavors และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทย ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบันและอนาคต อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาสีฟันสมุนไพร น้ำมันมะพร้าวสกัด แป้งขจัดกลิ่นกายเต่าเหยียบโลก Plant-Based Food อาหารเพื่อสุขภาพ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ 

Concept ที่ 2 เป็นการแสดงการดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ (Outside In) ภายใต้แนวคิด “Innovative Agriculture-Industry Development and Tourism Community” ที่แสดงถึงประเทศไทย เป็นปลายทางการท่องเที่ยวที่ทั่วโลกให้การยอมรับ และยังเป็นผู้นำทางด้าน Medical และ Wellness รวมทั้งมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและทรัพยากรทั้งหมดนี้ทำให้ประเทศไทย มีความพร้อมที่จะรองรับเทรนด์การท่องเที่ยวแบบ Long Stay Medical Tour และ Digital Nomad ผ่านการเชื่อมโยงธุรกิจกับชุมชนและการท่องเที่ยวสร้างความประทับใจในการทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติ “การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เสน่ห์ใหม่ของประเทศไทยที่เชื่อมโยงผู้คน วัฒนธรรม และหัวใจ” คือ การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและมีส่วนร่วมกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายภาพหรือชมความงามจากระยะไกล แต่คือการได้ "ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชน" เรียนรู้วิธีการแปรรูปวัตถุดิบพื้นบ้าน ลองทำหัตถกรรมด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมพิธีกรรมพื้นเมืองที่เปี่ยมด้วยความหมาย กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงเติมเต็มประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว แต่ยังสร้างรายได้ให้กับชุมชน และส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ทำให้การเดินทางในประเทศไทยเป็นมากกว่าการท่องเที่ยว แต่คือการเดินทางของหัวใจที่เชื่อมโยงผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน 

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และหน่วยงานพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น มีความร่วมมือในด้านการพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใน 5 ด้านหลัก ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต (Productivity) คุณภาพ (Quality) การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา (Delivery) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) และต้นทุนในกระบวนการ (Work in process) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเหล่านี้ มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพกระบวการผลิต และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งมุ่งหวังให้ธุรกิจต่าง ๆ เหล่านี้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดพัฒนาและอยู่รอดได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน (JIRITSUKA) และบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ยึดมั่นในปรัชญาความยั่งยืน (ESG) ภายใต้แผนงาน Kirei Lifestyle Plan ซึ่งมุ่งเน้นการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและการจัดการวัสดุเหลือใช้จนเกิดประโยชน์สูงสุด

“ดีพร้อม เชื่อมโยงศักยภาพของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลกผ่าน Inside Out - Outside In โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่ผสานวัตถุดิบธรรมชาติ ภูมิปัญญาไทย และเทคโนโลยีสมัยใหม่สู่ตลาดสุขภาพระดับสากล พร้อมทั้งสะท้อนภาพลักษณ์ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้าน Medical & Wellness Tourism ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว กลุ่มคุณภาพทั่วโลก เสริมด้วยการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เปิดโอกาสให้นักเดินทางได้สัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ ยังแสดงถึงความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในการพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน”  นางสาวณัฏฐิญา กล่าวทิ้งท้าย

รฟท. ผุดแผนรถไฟสายใหม่ 68 กม. สู่สนามบินกระบี่ เชื่อมอันดามัน–ภูเก็ต–กระบี่ กระตุ้นท่องเที่ยวไทย

(22 พ.ค. 68) การรถไฟแห่งประเทศไทยเตรียมบรรจุเส้นทางรถไฟสายใหม่ 'ทับปุด-กระบี่-สนามบินกระบี่' เข้าสู่แผนการก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบ เบื้องต้นมีระยะทางกว่า 68 กิโลเมตร มุ่งเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยวฝั่งอันดามันและสนามบินกระบี่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเป็นอีกทางเลือกทดแทนสนามบินภูเก็ต

เส้นทางเริ่มต้นจากสถานีทับปุด ในโครงการรถไฟสายสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต แล้วแยกลงใต้เลียบทางหลวง 4 ผ่านอ่าวลึก คลองหิน เขาคราม เข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ และจบที่สนามบินกระบี่ มีสถานีหลัก 5 แห่ง โดยออกแบบอาคารสถานีให้สอดคล้องกับศิลปะท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่

รูปแบบการเดินรถจะมีทั้งขบวนรถไฟด่วน เช่น รถไฟท่องเที่ยวเชื่อมภูเก็ต-กระบี่ และรถไฟโดยสารจากกรุงเทพฯ-กระบี่ รวมถึงขบวนท้องถิ่นจากสุราษฎร์ธานี-ทับปุด-กระบี่ หากโครงการนี้เดินหน้า จะช่วยกระจายผู้โดยสารจากสนามบินภูเก็ตสู่สนามบินกระบี่ และสร้างระบบ Airport Link ฝั่งอันดามันทันที

โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจ การเดินทาง และการท่องเที่ยวของภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

ผู้สร้างแอนิเมชัน 2475 ยันยังพร้อมไม่ทำภาคต่อ แม้มีผู้เสนอให้ทุนสนับสนุน หวั่นหากทำไปแล้วไม่จบ จะเป็นการทรยศต่อความหวังดี

(22 พ.ค. 68) นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง "2475 Dawn of Revolution" โพสต์เฟซบุ๊กว่า หลังจากปล่อยแอนิเมชัน 2475 ไป ผมยังไม่ได้ไปขอโปรเจคท์อะไรใครที่ไหนนะครับ เพราะเป้าหมายแรกของผมคือ ตอนนี้ผมต้องโฟกัสไปที่การทำให้บัญชีบริษัทกลับมาเป็นตัวเขียวก่อน

วันที่ผมไปออกรายการที่แนวหน้า (กับพี่กบและพี่บุญยอด) ก่อนเข้ารายการ มีผู้ใหญ่ท่านนึงได้เข้ามานั่งคุยด้วย บอกว่าอยากเจอตัว และ อยากหาทางสนับสนุนงบให้ทำภาคต่อ ผมยังบอกท่านไปว่า ถ้าผมจะทำภาคต่อ ผมต้องมั่นใจก่อนว่าผมจะสามารถทำให้จบได้จริงๆ ไม่เช่นนั้น ถ้าผมเอาเงินบริจาคมา แล้วเงินไม่พอ หรือ เกิดปัญหาทำให้ผมทำไม่จบ ก็เท่ากับผมโกงเงินบริจาค ทรยศต่อความตั้งใจดีของทุกท่าน

นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่เปิดรับบริจาคในการทำภาคใหม่ เพราะผมรู้ว่าผมยังไม่พร้อมที่จะทำอะไร ถ้าบริษัทยังวิกฤติอยู่ ผมจึงหาทางต่อยอดจากแอนิเมชัน 2475 ผมจึงได้ทำเป็นรูปแบบหนังสือ เพราะมันได้ประโยชน์หลายทาง ซึ่งก็พอจะช่วยเยียวยาได้บางส่วน 

แต่กระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะราบรื่นนะครับ ผมจะไม่ลงรายละเอียดมาก แต่เราถูกสกัดอยู่พอสมควร หลายคนอาจคิดว่า ทำแอนิเมชันออกมาได้แบบนี้ น่าจะมีโอกาสในการรับงานง่ายขึ้น ก็ไม่ใช่เสมอไปครับ ผมถูกปล่อยข่าวดิสเครดิต ตั้งแต่ต้นปี 67 ด้วยซ้ำ เรียกว่าปล่อยแอนิเมชันปุ๊บ ก็รุมกันยำผมเละ สกัดไม่ให้ใครมาสนับสนุนแอนิเมชัน 2475 แต่ตัวผมสบายใจไปตั้งแต่งานเสร็จแล้ว ใครจะเอาไปดิสเครดิตยังไงก็ช่างเขา 

จนช่วงเดือนตุลา ก็มีผู้ใหญ่อีกท่านมาบอกผมว่า มีคนเอาแอนิเมชัน 2475 ไปขอรับการสนับสนุนจากที่ต่างๆ โดยอ้างว่าเป็นทีมงานลับที่อยู่เบื้องหลัง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคนกลุ่มนั้นได้เงินไปเท่าไหร่ แต่ผมไม่ได้ส่งใครไปเรียกรับเงินแบบนั้นแน่นอน  ผมจึงต้องมาโพสต์ชี้แจงในหน้าเพจ 2475 Dawn of Revolution  เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ 

ข้อดีของการถูกดิสเครดิตมันก็มีนะครับ คือ มีหลายคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เขาเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะผมไม่เคยทำพฤติกรรมแบบที่ถูกปล่อยข่าวเลย โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องไปอธิบายหรือชี้แจงอะไร และให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง 

ผมจะไม่เบลมใคร แต่ขอฝากไว้ว่า การเอาแต่โกหกใส่ร้ายคนอื่นตลอดเวลา มันจะยิ่งทำให้เสียเครดิตและเสียเพื่อนไปเรื่อย ๆ นะครับ

ในเทปนี้ผมพูดไว้นิดหน่อย เรื่องภาคต่อ

‘ไต้หวัน’ ประกาศพร้อมคุย ‘จีน’ บนฐานเท่าเทียม แต่ยังเดินหน้าสร้างแสนยานุภาพทางทหาร

(22 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวัน กล่าวเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีในตำแหน่งว่า รัฐบาลไทเปพร้อมเปิดการเจรจากับจีน บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและศักดิ์ศรี เพื่อคลี่คลายความตึงเครียดด้านอธิปไตย แต่ย้ำว่าการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านกลาโหมยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อไป

ไล่ ชิงเต๋อระบุว่า สันติภาพเป็นสิ่งประเมินค่าไม่ได้ ไต้หวันไม่สามารถนิ่งนอนใจในสถานการณ์ปัจจุบันได้ พร้อมยืนยันจะร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อยับยั้งภัยคุกคาม พร้อมผลักดันการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติเพื่อเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ 

ขณะเดียวกัน ไต้หวันยังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ด้านการค้า รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายใน โดยฝ่ายค้านพรรคก๊กมินตั๋งกล่าวหาไล่ว่าทำให้ประเทศเสี่ยงต่อสงครามกับจีน ส่วนพรรคของไล่ตอบโต้ว่า ฝ่ายค้านกำลังบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

ความตึงเครียดในรัฐสภาทวีความรุนแรงถึงขั้นปะทะกันทางกายภาพ ขณะที่คะแนนนิยมของประธานาธิบดีไล่ลดลงต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ชี้ว่าจุดยืนล่าสุดของเขาแสดงถึงความพยายามลดโทนการเผชิญหน้าและมุ่งรักษาสมดุลท่ามกลางแรงกดดันทั้งในและต่างประเทศ

เกาหลีใต้ดันหนังสือเรียน AI ใช้จริงแล้ว 30% ของโรงเรียน หวังยกระดับการศึกษา ปรับการสอนตามนักเรียนแต่ละคน

(21 พ.ค. 68) หลังจากกระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าผลักดันการศึกษาแบบดิจิทัลในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โรงเรียนระดับประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายในเกาหลีใต้กว่า 30% ได้เริ่มนำหนังสือเรียนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเรียนการสอน

ซอฟต์แวร์จากภาคเอกชนและรัฐช่วยให้ AI แจกโจทย์การบ้านเฉพาะบุคคล รวมถึงเขียนรายงานประเมินผลตามระดับความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคน เพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แม้เทคโนโลยีจะเปิดทางสู่การเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล แต่ครูบางส่วนกังวลว่าอาจกลายเป็นภาระเพิ่มเติม ขณะที่ผู้ปกครองตั้งคำถามว่า AI จะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ได้จริงหรือแค่ทำให้เด็กติดหน้าจอมากขึ้น

รัฐจึงตัดสินใจคงการใช้หนังสือกระดาษไว้ในบางวิชา เช่น ภาษาเกาหลีและหน้าที่พลเมือง พร้อมเลื่อนการใช้ AI ในวิชาอื่นออกไปก่อน และเตรียมอบรมครู 160,000 คน รวมถึงส่งติวเตอร์ดิจิทัลกว่า 1,200 คนลงพื้นที่ช่วยโรงเรียนทั่วประเทศ

กฟผ. – สวีเดน ผสานกำลังหนุนพลังงานสีเขียว หวังตอบโจทย์ลดโลกร้อนด้วยพลังงานสะอาด

กฟผ. ร่วมกับสถานทูตเอกอัครราชทูตสวีเดนและภาคเอกชนสวีเดน ขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสะอาด จัดงาน “Pioneer the Possible Thailand 2025” แลกเปลี่ยนความรู้และความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวสู่ความยั่งยืน

เมื่อวันที่ (20 พ.ค. 68) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย และ The Swedish Trade & Invest Council (Business Sweden) จัดงาน Pioneer the Possible Thailand 2025 เพื่อขยายความร่วมมือด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานสีเขียว โดยมีนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. และนางอันนา ฮัมมาร์เกรน (H.E. Mrs. Anna Hammargren) เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยผู้แทน กฟผ. และบริษัทชั้นนำของสวีเดน ร่วมงานฯ ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี

นางอันนา ฮัมมาร์เกรน เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เป็นการดำเนินการร่วมกันเพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม โดยสวีเดนถือเป็นประเทศผู้นำที่มีการพัฒนาการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่ยั่งยืน มีบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Solutions เรื่องไฮโดรเจนและพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทที่พร้อมสนับสนุนระบบ Smart Grid ด้วย Solutions 4G และ 5G ที่ทันสมัย ช่วยยกระดับการผลิตและส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมดิจิทัล ที่นำระบบดิจิทัลมาใช้ในการจัดการระบบพลังงานและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพอีกด้วย

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. เผยว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กฟผ. และ Business Sweden ที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานชีวมวลและไฮโดรเจนในอนาคต รวมทั้งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิด นวัตกรรม และความร่วมมือในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานสีเขียว ร่วมผลักดันแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนระหว่างสองประเทศ มุ่งมั่นสร้างแรงบันดาลใจและกำหนดอนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืน โดยภายในงานมีการหารือร่วมกัน 3 หัวข้อ คือ 1) เชื้อเพลิงสีเขียว (ชีวมวลและไฮโดรเจน) กับศักยภาพในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 2) สมาร์ทกริด (เทคโนโลยีดิจิทัล กังหันก๊าซ และการบูรณาการพลังงานหมุนเวียน) และ 3) การแปลงกระบวนการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าเป็นดิจิทัล และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้า

การจัดงาน Pioneer the Possible Thailand 2025 ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างไทยและสวีเดนในการขับเคลื่อนสู่อนาคตพลังงานสะอาด โดยเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อยกระดับระบบพลังงานของไทยให้มีความยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลก

ปตท. ตั้งวอร์รูมเตรียมรับมือสงครามเศรษฐกิจโลก มั่นใจเดินมาถูกทางพร้อมสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

(21 พ.ค. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ปักหมุดความสำเร็จครบรอบ 1 ปี เดินหน้าตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 สะท้อนทิศทางการบริหารใน 2 เรื่องหลัก คือ เน้นธุรกิจ Hydrocarbon ที่ถนัด ปรับพอร์ตธุรกิจสู่สมดุลใหม่ และเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ จํานวน 23,315 ล้านบาท นำส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบภาษี จำนวน 7,256 ล้านบาท 

ตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่สำคัญ ประกอบด้วย การมุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งอาทิตย์ เป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการสินภูฮ่อม แหล่งปิโตรเลียมบนบกที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ช่วยให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทยเพิ่มขึ้น  พร้อมขยายการเติบโตของธุรกิจปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเข้าถือหุ้น 10% ใน Ghasha หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้ง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) มีการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศอินเดียและไต้หวัน สอดรับกับความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เติบโตพร้อมกันนี้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจ LNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค 

โดยใช้จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมนำเข้า LNG รวมปริมาณ 11 ล้านตันต่อปี ครอบคลุมทั้งสัญญาระยะยาวและสัญญาซื้อขายแบบ Spot LNG Hub ของภูมิภาค ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีความท้าทายจาก Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป จึงต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว โดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) จะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 400,000 ตันต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ  การสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ supply & market ร่วมกัน นอกจากนี้ ปตท. ยังเร่งแสวงหา Strategic Partner เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับ ปตท. และ flagship โดย ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 

ปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยประเมินธุรกิจใน 2 มุม คือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ 2) ปตท. มี Right to Play มีความถนัดหรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมี Partner ที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ทั้งนี้ ปตท. มีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV Value Chain ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Horizon Plus และธุรกิจที่มีความเสี่ยง 2) ธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่ง ปตท. ออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกลุ่ม ปตท. มุ่งเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก และสามารถสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้  3) ธุรกิจ Life Science ปรับพอร์ตมุ่งเน้นเฉพาะ Pharmaceutical และ Nutrition มีแผนการเติบโตที่ชัดเจนร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding) ทั้งนี้จากการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ Non-Hydrocarbon ข้างต้น ทำให้สามารถรักษาเงินลงทุน (Capital Preservation) ไว้ได้ แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงและไม่สร้างผลกำไร

การดำเนินงานด้านความยั่งยืน กลุ่ม ปตท. ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยดำเนินการอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. ทั้งนี้ได้มีการ Reconfirm เป้าหมาย Net Zero 2050 และกำหนดแผนงานชัดเจน มีการพิจารณาปัจจัยรอบด้าน อาทิ ต้นทุนของการลดคาร์บอนด้วยวิธีต่างๆ เทียบกับค่าใช้จ่ายของการปล่อยคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอนที่จะเกิดขึ้น โดยจะต้องมีความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนได้อย่างยั่งยืน 

ทั้งนี้ยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลเทคโนโลยี CCS ระดับประเทศในอนาคต สำหรับการศึกษาด้านธุรกิจไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรทั้งในด้านการจัดหาไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงธุรกิจ ตลอดจนสนับสนุนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ของประเทศไทยในอนาคต

นอกจากนี้ ปตท. มีการบริหารทางเงินที่เป็นเลิศ โดยมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดตั้งแต่ ปตท. เข้าตลาดฯ และ ปตท. ได้มีการขยายระยะเวลาเครดิตทางการค้า (ETC) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัทในกลุ่ม โดยยังคงยึดหลักการรักษาวินัยทางการเงิน (Financial Discipline) อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ในปี 2568 ปตท. มีการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น

จากสัญญาณสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย อันเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 ปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลก และความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปตท. จึงได้ดำเนินเชิงรุกจัดตั้งวอร์รูม เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอยครอบคลุมการดำเนินงานใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. Strategy ทบทวนกลยุทธ์เดิมพร้อมพิจารณาความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามากระทบ พบว่ากลยุทธ์กลุ่ม ปตท. มาถูกทาง เหมาะสม สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายจากเรื่องสงครามการค้าได้ เพียงแต่บางเรื่องต้องเร่งให้เร็วขึ้น เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. 2. Financial Management รักษาวินัยการเงิน บริหารต้นทุนการเงิน เสริมสภาพคล่องกระแสเงินสด รักษาระดับ Credit Rating 3. Supply Chain & Customer ดูแลคู่ค้า ลูกค้า เพื่อสร้างความต่อเนื่องตลอด Supply Chain พร้อมเร่งดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม 4. Project Management ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของ flagship  5. Communication สื่อสารและสร้างความเข้าใจการดำเนินธุรกิจแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง 

ดร.คงกระพัน เปิดเผยว่า “1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ ปตท. ได้ปรับกลยุทธ์ มั่นใจว่ากลยุทธ์มาถูกทาง สะท้อนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก นอกจากนี้กลุ่ม ปตท. พร้อมเร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการสำคัญได้แก่ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็น PTT Group Synergy บริหารงานแบบ Centralized Supply and Market Management มีเป้าหมาย 3,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2028 โครงการ MissionX ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2027 มีแผนงานชัดเจนและเป้าหมายเป็นรูปธรรมซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว โครงการ Axis นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าได้อีก 11,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2029 รวมถึงการทำ Asset Monetization ของกลุ่ม ปตท. ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงินและการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน” 

นอกจากภารกิจในด้านพลังงาน กลุ่ม ปตท. ยังคงยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย โดยส่งเจ้าหน้าที่ PTT Group SEALs ร่วมภารกิจค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว สนับสนุนอาหาร เครื่องดื่ม และอุปกรณ์ที่จำเป็นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนแก่สภากาชาดเมียนมา เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาด้วย 

ปตท. ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโต ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม และสร้างคุณค่าสู่สังคม เพื่อให้ ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top