Sunday, 8 June 2025
Hard News Team

NETA โต้ลือหนีตลาดไทย หลังผู้บริหารโยกตำแหน่ง ย้ำมุ่งมั่นขยายธุรกิจ ไม่ทิ้งลูกค้า พร้อมเดินหน้าธุรกิจต่อ

(29 พ.ค. 68) NETA ออโต้ (ไทยแลนด์) ออกแถลงการณ์ยืนยันยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำไม่ทิ้งลูกค้าไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือบนโซเชียลเกี่ยวกับการถอนตัวของผู้บริหารชาวจีนและความไม่ชัดเจนของโครงสร้างบริษัท 

บริษัทชี้แจงว่าการเปลี่ยนชื่อกรรมการเป็นคนไทยในหนังสือรับรองอยู่ระหว่างการแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ โดยมีตัวแทนจากสำนักงานใหญ่ประเทศจีนร่วมดำรงตำแหน่งใน NETA Thailand และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 12 มิ.ย. 2568

ส่วนกรณีผู้บริหารชาวจีน นายซูน เปาหลง ได้รับตำแหน่งใหม่ระดับภูมิภาคในฐานะหัวหน้าธุรกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงดูแลตลาดไทยควบคู่ไปด้วย ขณะที่ประเด็นการเปลี่ยนแปลงชื่อกรรมการและสัญญาเช่าออฟฟิศที่ RSU Tower บริษัทระบุว่ามีการต่อสัญญาเรียบร้อยแล้ว

NETA ย้ำว่าข่าวลือเรื่องการปิดกิจการไม่เป็นความจริง พร้อมยืนยันเดินหน้าพัฒนาบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าชาวไทยต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 2 เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย 'AI Police' ชลบุรีนำร่องอบรมต่อเนื่อง ครอบคลุมตำรวจทุกสายงาน พัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ยุคใหม่ ใกล้ชิดประชาชน

ตำรวจภูธรภาค 2 สานต่อนโยบาย 'AI Police' ของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เดินหน้าพัฒนาและขับเคลื่อนศักยภาพตำรวจทุกจังหวัดในสังกัดก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยมี ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดนำร่อง จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อตำรวจยุคใหม่ด้วย AI” ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ขยายผลครอบคลุมเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสายงานในสังกัด รวมกว่า 150 นาย สร้าง 'ตำรวจ AI' ที่พร้อมใช้เทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและการสื่อสารกับประชาชนอย่างทันสมัย โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้กับองค์กร

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อตำรวจยุคใหม่ด้วย AI” เป็นครั้งที่ 2 ภายใต้นโยบายสำคัญของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 ที่มุ่งเน้นให้ตำรวจทุกจังหวัดในสังกัดพัฒนาเทคโนโลยี AI มาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยครั้งนี้ได้ขยายขอบเขตการฝึกอบรมให้ครอบคลุมเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสายงาน ทั้งฝ่ายป้องกันปราบปราม สืบสวน สอบสวน จราจร งานธุรการ-อำนวยการ ตลอดจนงานประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ข่าวสาร ตอกย้ำความพร้อมของชลบุรีในฐานะจังหวัดต้นแบบของภาค 2

พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI มากยิ่งขึ้น สามารถนำไปใช้ลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกด้าน และยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียในรูปแบบที่ทันสมัย ตอบโจทย์การสื่อสารยุคใหม่ พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและใกล้ชิดประชาชนยิ่งขึ้น

พล.ต.ท.ยิ่งยศ ผบช.ภ.2 เน้นย้ำว่า AI คือเครื่องมือที่ตำรวจยุคใหม่ต้องรู้จักใช้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกหน้างาน ไม่ว่าจะเป็นงานสืบสวน สอบสวน ป้องกันปราบปราม งานจราจร งานธุรการ-อำนวยการ รวมถึงงานประชาสัมพันธ์และการเผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนรับทราบ เพื่อยกระดับการปฏิบัติงานให้รวดเร็ว ทันสมัย และโปร่งใส พร้อมย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดของงานตำรวจคือ ความจริงใจ ความรับผิดชอบต่อสังคม การยึดหลักกฎหมาย และจริยธรรม ในการสื่อสารและปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่เทคโนโลยีอย่าง AI ยังไม่สามารถทดแทนได้

“เราต้องใช้ AI เป็นเครื่องมือ แต่หัวใจคืองานตำรวจที่รับผิดชอบต่อประชาชน” พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าว

การอบรมต่อเนื่องในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของตำรวจภูธรภาค 2 ในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่อนาคต สร้างตำรวจยุคใหม่ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของประชาชน เปิดกว้างให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของตำรวจอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และสร้างความมั่นใจในบทบาทของตำรวจไทยยุคดิจิทัล พร้อมเตรียมขยายผลความสำเร็จนี้ไปยังทุกจังหวัด ในสังกัดต่อไป

‘อาร์ต พศุตม์’ ยังไม่จบง่าย ๆ ฝากถึงทักษิณ - นายกฯ อิงค์ บอกคนอย่างหมอไม่ควรอยู่ข้างๆ จะทำให้เสียชื่อ

‘อาร์ต พศุตม์’ ยังไม่จบง่าย ๆ ฝากถึงทักษิณ - นายกฯ อิงค์ บอกคนอย่างหมอไม่ควรอยู่ข้างๆ จะทำให้เสียชื่อ

‘กรมธุรกิจพลังงาน’ ขันน็อต ออก 4 มาตรการ เฝ้าระวัง - เตรียมความพร้อมขนส่งน้ำมันทางถนน

กรมธุรกิจพลังงาน กำชับผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มมาตรการในการประกอบกิจการรวมถึงเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 

เมื่อวันที่ (27 พ.ค. 68) นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปี พ.ศ. 2568 กรมฯ ได้รับรายงานการเกิดอุบัติภัยของรถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นจำนวนกว่า 26 ครั้ง ประกอบกับปัจจุบันประเทศไทยมีฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 

ดังนั้น เพื่อให้การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนนเป็นไปด้วยความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ กรมฯ จึงได้กำชับให้ผู้ประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้        

1. ตรวจสอบและกำชับผู้ขับขี่ หรือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเตรียมความพร้อม พักผ่อนอย่างเพียงพอ และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ความเสี่ยงสูง รวมถึงห้ามบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยารักษาโรคที่มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและสารเสพติดอื่นโดยเด็ดขาด

2. ตรวจสอบสภาพความพร้อมของยานพาหนะ เช่น ระบบขับเคลื่อน ระบบห้ามล้อ ยางรถ ถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบท่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอุปกรณ์สำหรับป้องกันและระงับอัคคีภัย

3. ตรวจสอบเส้นทางและวางแผนเส้นทางการขนส่ง เพื่อกำหนดเส้นทางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย กำหนดจุดเฝ้าระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติภัย รวมถึงการตรวจสอบรายงานสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ และประกาศแจ้งเตือนภัยพิบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

4. พิจารณาการประยุกต์ใช้ระบบหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ เช่น ระบบติดตามภายในรถ (In Vehicle Monitoring System; IVMS) ระบบ GEO Fence ระบบ GPS ตรวจจับตำแหน่งและความเร็วรถ ระบบกล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ ระบบแจ้งเตือนความเร็วและระยะเวลาขับขี่เกินกำหนด ระบบป้องกันการหลับใน 

พิษณุโลก แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนา สัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6 (พสบ.ทภ.3 รุ่นที่ 6)

(29 พ.ค. 68) เวลา 10.45 นาฬิกา พลโท กิตติพงษ์  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3  เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6 (พสบ.ทภ.3 รุ่นที่ 6) ซึ่งมีผู้เข้ารับการอบรมฯ จำนวน 82 คน  ประกอบด้วย  ข้าราชการทหาร  ตำรวจ จำนวน 20  นาย ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ จำนวน 17 คน และนักธุรกิจภาคเอกชน จำนวน 45 คน ณ ห้องคอนเวนชั่น 1 ชั้น 5 โรงแรมท็อปแลนด์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์อันจัดส่งผลให้เกิดการสนับสนุน ส่งเสริมพลังมวลชนในระดับผู้บริหาร และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของชาติ และการพัฒนาประเทศ
ตลอดจนเป็นการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของกองทัพบก พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ภัยคุกคาม ด้านความมั่นคงของประเทศ โดยมีเนื้อหาวิชาที่สำคัญ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ภาควิชาการ ประกอบด้วย การบรรยายการสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ภารกิจ และการดำเนินงานของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 ปัญหาภัยคุกคาม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ การเดินตามศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนา ประเทศและความยั่งยืนรวมทั้งการสื่อสารดิจิทัล ภาคปฏิบัติประกอบด้วย การจัดเวทีเสวนา การเสวนาระดมความคิดเห็น การทัศนศึกษา กิจกรรมพัฒนาสัมพันธ์และการดำเนินงานจิตอาสา ทั้งนี้ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้ร่วมเป็นเครือข่ายและสนับสนุนงานด้านความ มั่นคงของชาติ และร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาอย่างสร้างสรรค์ในนามของ 

สมาชิก พสบ.ทภ.3 ต่อไป

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

เชียงใหม่-วัฒโนทัยฯ จัดกิจกรรมวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2568 พร้อมลงนาม MOU เพื่อดูแลนักเรียนร่วมกับภาคีเครือข่าย 

(28 พ.ค. 68) โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก ภายใต้คำขวัญ “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคติน เสพติด..จน..ตาย” โดยได้รับเกียรติจาก นายพิพัฒน์ สายสอน ผู้อำนวยการโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมทั้งรับฟังคำกล่าวรายงานจากนางสาวอรชพร ณ เชียงใหม่ รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารทั่วไป จากนั้นเป็นการกล่าวคำปฏิญาณตนของนักเรียน 

พร้อมกับร่วมรับชมการแสดงจากสภานักเรียนร่วมกับชมรมทูบีนัมเบอร์วันโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ และการแสดงชุดที่ 2 จากนักเรียนโรงเรียนวัดเสาหิน สพป.ชม.เขต 1 โดยหลังจากการแสดง ได้มีการลงนามข้อตกลงการดำเนินงานโครงการสถานศึกษาสีขาวปลอดยาเสพติดและอบายมุข ประจำปี 2568 ระหว่างโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพและภาคีเครือข่าย 

โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน ได้แก่ นายสุรสิทธิ์ เทียมทิพย์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่
,พญ.เสาวนีย์ วิบุลสันติ ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ,พ.ต.อ.มนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรภูพิงคราชนิเวศน์,รศ.พญ.สุรินทร์พร  ลิขิตเสถียร ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ จ.เชียงใหม่,นายวังกวาง หาญชนะสุทธิกุล ประธานเครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ
และผู้แทนจากโรงพยาบาลสวนปรุง

นอกจากนี้ โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ ยังได้ต้อนรับ ผศ.ดร.จันทร์ฉาย โยธาใหญ่ รองคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ผศ.นพ.สิทธิชา สิริอารีย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ที่ได้ให้เกียรติมาร่วมงานในวันนี้ 

ทั้งนี้ ภายในงานมีการจัดนิทรรศการต่อต้านบุหรี่และยาเสพติดของโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ และกิจกรรมซุ้มนิทรรศการจาก โรงเรียนวัดเสาหิน สพป.เชียงใหม่ เขต1,
สถานีตำรวจภูธรภาค 5 ,สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ,ชมรมนักศึกษาพยาบาลเพื่อสร้างสังคมไทยปลอดบุหรี่ คณะพยาบาลศาสตร์ มช.,สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ จ.เชียงใหม่และ
- บริษัท SUNSWEET สนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารและกิจกรรม

ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดนักสูบหน้าใหม่  โดยเฉพาะ "บุหรี่ไฟฟ้า" ที่มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายน่าดึงดูดใจ รวมทั้งทำให้ประชาชนตระหนักและรู้เท่าทันอันตรายจากผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบที่ทำให้เสพติด ตลอดจนเป็นโรคร้ายอันตรายถึงชีวิตได้

รัสเซียเตือนอาจโจมตีเบอร์ลิน หากเยอรมนีสนับสนุนขีปนาวุธ ‘ทอรัส’ ยูเครนโจมตีมอสโก

(29 พ.ค. 68) มาร์การิตา ซิโมนยาน บรรณาธิการบริหารของสำนักข่าว RT ของรัสเซีย ออกโรงเตือนว่า หากเยอรมนีให้การสนับสนุนด้านเทคนิคแก่ยูเครนในการใช้ขีปนาวุธ ‘ทอรัส’ โจมตีกรุงมอสโก รัสเซียอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบโต้ด้วยการโจมตีกรุงเบอร์ลิน

เป็นที่คาดการณ์ว่าเยอรมนีอาจส่งขีปนาวุธทอรัส ให้ยูเครนกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังจากนายกรัฐมนตรีฟรีดริช เมิร์ตซ์ ระบุว่า เยอรมนีและพันธมิตรได้ยกเลิกข้อจำกัดด้านระยะการใช้อาวุธของยูเครนแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเยอรมนีว่าจะมีการส่งมอบอาวุธดังกล่าว

ซิโมนยานโพสต์ข้อความว่า “หากเกิดการโจมตีกรุงมอสโกโดยอาวุธเยอรมันภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่เยอรมัน การตอบโต้ด้วยการยิงใส่กรุงเบอร์ลินจะเป็นทางเลือกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” โดยเธอชี้ว่า ขีปนาวุธทอรัส จำเป็นต้องใช้บุคลากรเยอรมันในการควบคุมและตั้งโปรแกรม ซึ่งยูเครนไม่สามารถดำเนินการเองได้

ด้านโฆษกเครมลิน ดมีตรี เปสคอฟ เตือนว่าหากเยอรมนีตัดสินใจส่งมอบอาวุธดังกล่าวจริง จะเป็นการยกระดับความขัดแย้งอย่างร้ายแรง และบ่อนทำลายความพยายามในการหาทางยุติสงครามในยูเครน ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ เคยยืนยันมาตลอดว่าจะไม่ส่งขีปนาวุธทอรัส เพราะเสี่ยงต่อการถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซีย

NiA : สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ “จากการลดค่าไฟ สู่การลดอุณหภูมิโลก “ขอเชิญชวนประกวดผลงานด้านนวัตกรรมเวทีระดับชาติ

(29 พ.ค. 68) อากาศร้อน ค่าไฟพุ่ง ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่คนในสังคมให้ความสนใจ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สภาพอากาศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน จนภูมิอากาศแปรปรวน และทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะเมื่ออุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นตาม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมค่าไฟจึงแพงขึ้นแม้ว่าจะใช้ไฟฟ้าในปริมาณเท่าเดิม ปัญหานี้ส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้งานเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลผลิตตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งนั่นหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นมหาศาล หากไม่มีการบริหารจัดการหรือวางแผนรับมืออย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินได้ 

ด้วยเหตุนี้ ‘บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด’ Charoenchai Transformer องค์กรที่มีประสบการณ์การทำหม้อแปลงไฟฟ้ามายาวนานกว่า 60 ปี มองเห็นปัญหาในส่วนนี้ จึงได้คิดค้นนวัตกรรม “หม้อแปลง BCG & Low Carbon” ที่ตอบโจทย์ปัญหาเรื่องค่าไฟ และยังสามารถแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero) ในปี 2065 

นวัตกรรมหม้อแปลง BCG & Low Carbon เป็นหม้อแปลงรักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่แบบอัตโนมัติ (220/380 โวลต์) มีความสามารถในการบริหารจัดการพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพ สามารถควบคุมการใช้พลังงานได้เรียลไทม์ผ่านเทคโนโลยี IoT การติดตั้งหม้อแปลงนี้สามารถลดค่าไฟได้ 5–20% และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักร 

ไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย หม้อแปลง BCG & Low Carbon ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดคาร์บอนให้กับภาคธุรกิจ โดยได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก. / TGO) จากการประเมินความสามารถในการลดก๊าซเรือนกระจกได้ 69.746 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าเมื่อปี 2565 ซึ่งการลดคาร์บอนได้มากถึง 100 ล้านตัน เทียบได้กับการปลูกป่า 105,263,158 ไร่เลยทีเดียว 

จากคุณสมบัติที่โดดเด่นนี้จะเห็นได้ว่าหม้อแปลง BCG & Low Carbon เป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สำหรับภาคธุรกิจ และยังช่วยสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

โดยนวัตกรรมหม้อแปลง BCG & Low Carbon นี้ ถือเป็นหนึ่งความสำเร็จของแวดวงเทคโนโลยีด้านพลังงาน จนได้รับ ‘รางวัลชนะเลิศ การประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ ประเภทวิสาหกิจขนาดกลาง NIA ประจำปี 2566’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นศักยภาพของนวัตกรรม ทั้งในมิติของคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและการมุ่งสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ ผ่านการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับผู้ประกอบการ และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 

NIA ในฐานะองค์กรหลักในการเสริมสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อเพิ่มคุณค่าที่ยั่งยืน จึงได้จัดการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติผลงานนวัตกรรมไทยที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี และปีนี้กลับมาอีกครั้ง! กับการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568

ขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป หน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา สมาคม ร่วมส่งผลงานนวัตกรรมเข้าประกวดในเวทีระดับชาติ “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568” รางวัลทรงเกียรติสูงสุดของวงการนวัตกรรมไทย ส่งผลงานได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ดูคู่มือการประกวดและสมัครผ่านทางออนไลน์ได้ที่ https://award.nia.or.th

อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ที่ https://tinyurl.com/yc67x2bj

ติดตามคอนเทนต์ด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และสตาร์ทอัพที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่
https://www.nia.or.th/article/blog.html

#NIA #NIAFocalConductor #มุ่งเป้าสู่ชาตินวัตกรรม #Innovation #นวัตกรรม #หม้อแปลงไฟฟ้า #BCG #LowCarbon

อ้างอิงข้อมูลจาก:
https://youtu.be/G_MrxotdPpg?si=VBJ2kGoAMgZE-oeJ
https://bcg.in.th/news/thailand-energy-awards-2023/
https://www.bangkokbiznews.com/pr-news/news/prnews/1093560

นายกรัฐมนตรี 'แพทองธาร' นำทัพตำรวจลุยเดือด ปราบยาเสพติดทั่วประเทศ ยึดยาบ้า 29.93 ล้านเม็ด ไอซ์และคีตามีน 4,443 กิโลกรัม และเฮโรอีน 126 กิโลกรัม ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,900 ล้านบาท ล่าถึงทรัพย์!

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ว่าปัญหายาเสพติดถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทย รัฐบาลจึงได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็น 'วาระแห่งชาติ' โดยจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ครอบคลุม และเป็นระบบ ทั้งการตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย ด้วยความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงการปราบปรามจับกุมผู้ค้า และการยึดทรัพย์สินของเครือข่ายผู้กระทำผิดรายสำคัญ พร้อมทั้งมีระบบฟื้นฟูและติดตามผู้เสพ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรอีก และเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพเกิดผลในทางปฏิบัติ รัฐบาลได้ผลักดัน ยุทธศาสตร์ SEAL – STOP – SAFE อย่างเข้มข้น โดย SEAL: ปิดล้อมพื้นที่ต้นทาง สกัดยาไม่ให้ทะลักเข้าไทย/ STOP: หยุดยั้งการแพร่ระบาดในประเทศ โดยกวาดล้างผู้ค้าอย่างเด็ดขาด/ SAFE: ทำให้ชุมชนปลอดภัย ลูกหลานไทยห่างไกลยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สนองนโยบายดังกล่าวทันที พร้อมเปิดยุทธการเชิงรุกปราบปรามยาเสพติดแบบเข้มข้นทั่วประเทศ ปิดล้อม–บุกจับ–ขยายผล-ยึดทรัพย์ ทั้งคน ทั้งเส้นทางการเงิน ทั้งทรัพย์สิน ไม่มีละเว้น!

ล่าสุดวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.30 ณ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแถลงผลการปฏิบัติ พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร./ประธานอนุกรรมการป้องกันปราบปรามการพักคอยยาเสพติดในพื้นที่ตอนในและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้, พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า รอง ผบช.ปส. รวมถึง ผบก.ในสังกัด เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ผ่านมา (1 เม.ย. – ปัจจุบัน) หลังจากการเปิดปฏิบัติการ SEAL – STOP – SAFE กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เดินหน้า ปิดล้อม–บุกจับ–ขยายผล-ยึดทรัพย์ เครือข่ายรายสำคัญได้กว่า 31 คดี ผู้ต้องหา 34 คน ยึดยาบ้า 29.93 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 126 กิโลกรัม, ไอซ์และคีตามีน 4,443 กิโลกรัม ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,900 ล้านบาท ยุทธการเชิงรุกในการสกัดกั้นและขยายผลการปราบปรามยาเสพติดในครั้งนี้ รายละเอียด ดังนี้ 
- สกัดกั้นจากชายแดนภาคเหนือ 10 คดี ผู้ต้องหา 17 คน ของกลาง ยาบ้ากว่า 29.93 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 70 กิโลกรัม, ไอซ์และคีตามีน 2,476 กิโลกรัม 
- สกัดกั้นจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 คดี ผู้ต้องหา 8 คน ของกลาง ไอซ์ 697 กิโลกรัม 
- สกัดกั้นในพื้นที่ภาคใต้ไม่ให้ผ่านไปยังประเทศที่สาม 4 คดี ผู้ต้องหา 9 คน ของกลาง ไอซ์ 1,132 กิโลกรัม 
- สกัดกั้นลักลอบลำเลียงยาเสพติด ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ปลายทาง ได้แก่ ออสเตรเลีย, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และกินี ตามโครงการ AITF 15 คดี ของกลาง ไอซ์ 137.68 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 57.26 กิโลกรัม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลเปิดปฏิบัติการ “SEAL-STOP-SAFE” เมื่อ 1 ก.พ.68 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เพิ่มความเข้มในการสกัดกั้นจับกุมในพื้นที่ชายแดน โดยให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการบุกทะลวงเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดรายสำคัญแบบไม่ให้ตั้งตัว เข้าถึงเป้าหมายอย่างเฉียบขาด ทลายจุดพักยา และเส้นทางลำเลียงอย่างเด็ดขาด พร้อมยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรู บ้านพักหรู เงินสด ทองรูปพรรณ หรือทรัพย์สินที่ซุกซ่อนในรูปแบบซับซ้อน ทุกชิ้นถูกกวาดล้างอย่างไม่ปรานีและไม่มีหลุดรอดแม้แต่รายการเดียว ปฏิบัติการนี้สอดรับนโยบายอย่างเข้มข้น และที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ “จับคนผิด” แต่ไล่ล่าทุกเส้นทางการเงิน ขยายผลถึงทรัพย์สิน ดำเนินการยึด อายัด และฟ้องร้องตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่มีละเว้น ไม่มียกเว้น! ทำให้มีผลการจับกุมและยึดทรัพย์สิน “เพิ่มขึ้นทุกมิติ” เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 และผลการปฏิบัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (7 เดือน) 

-ปิดล้อมตรวจค้น 25,745 เป้าหมาย, 6,549 เครือข่าย จับกุมผู้ค้ารายย่อย 34,563 คน ยึดยาบ้า 152 ล้านเม็ด, ไอซ์ 13,335 กิโลกรัม, อาวุธปืน 1,798 กระบอก, ระเบิด 4 ลูก และยึดทรัพย์สิน 2,795 ล้านบาท 

-จับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดทุกข้อหาทั่วประเทศ 158,832 คดี ผู้ต้องหา 157,881 คน จับกุมตามหมายจับ 3,899 คน ดำเนินคดีข้อหาสมคบ สนับสนุน 2,338 คดีข้อหาฟอกเงิน 181 คดี ของกลางยาเสพติด ยาบ้า 645.93 ล้านเม็ด, ไอซ์ 34,223 กก., เฮโรอีน 938 กก., คีตามีน 4,471 กก. และยาอี 271,329 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด 8,064 ล้านบาท  พร้อมทั้งได้สั่งการให้ขยายผลถึงระดับเครือข่ายและผู้สั่งการ ถือเป็นสัญญาณเตือนแรง! ถึงกลุ่มค้ายาที่ยังเหลืออยู่ว่า “ไม่มีที่ยืนในแผ่นดินไทย!”  

ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติดได้ โดยหากพบเบาะแส สามารถแจ้งได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน หรือโทรสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top