Friday, 10 May 2024
TeaTimes

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ‘ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์’ เกี่ยวกับสมุนไพรที่น่าสนใจ และสมควรที่จะต้องมีการวิจัยว่าจะสามารถนำมาใช้เพื่อ “รักษา” โควิด-19 ได้หรือไม่นั้น มี 3 ชนิด

1.) ฟ้าทะลายโจร จากการรวบรวมข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงแบบรวมๆบรรจุแคปซูล โดยไม่ต้องใช้วิทยาการขั้นสูง มีสรรพคุณเภสัชที่ใช้ในการรักษา “ดีกว่า” การสกัดแยกเอาเพียงแค่สารสำคัญ “แอนโดรกราโฟไลด์” (Andrographolide) ออกมา ซึ่งการสกัดเช่นนี้ต้องอาศัยโรงงานบริษัทยาเท่านั้น

ประเด็นสำคัญคือสำหรับประเทศไทย พืชฟ้าทะลายโจรนั้น ปลูกง่าย ขึ้นง่าย และคนไทยส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการใช้ยานี้มายาวนานอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีสถานะเป็นยาสมุนไพร ยาแผนโบราณ ยาสามัญประจำบ้าน และอยู่ในบัญชียาหลักของชาติอีกด้วย

แปลว่าบริษัทยาแผนปัจจุบันคงไม่ค่อยอยากส่งเสริมฟ้าทะลายโจรเท่าไหร่ เพราะชาวบ้านและหมอแผนไทยสามารถกลายเป็นคู่แข่งบริษัทยาที่มีราคาแพงได้ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่อาจทำให้ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพงๆหรือมีสิทธิบัตรเสียผลประโยชน์ไปด้วย

2.) ตำรับยาขาว ตามตำรับยาศิลาจารึกของวัดโพธิ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แม้จะมีประสิทธิภาพในการลดสรรพไข้ได้หลายชนิด แต่ก็ต้องจ่ายยาโดยอาศัยแพทย์แผนไทย ในคลินิกการแพทย์แผนไทย หรือสหคลินิกที่มีการแพทย์แผนไทย ซึ่งสามารถใช่คู่กันกับใบฟ้าทะลายโจรแบบบดผงบรรจุแคปซูลได้ เพราะการแพทย์แผนไทยมักจะปรุงเป็นตำรับยาหรือมีสมุนไพรอื่นๆเพื่อลดผลเสียของสมุนไพรเดี่ยวได้

ตำรับยาขาวนี้ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาว่าเป็น “ตำรับยาของชาติ” ตามกฎหมาย แพทย์แผนไทยสามารถจ่ายยาชนิดนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องวิจัยใหม่ อย่างไรก็ตามความยุ่งยากของยาขาวที่ใช้รากจากพืชหลายชนิดมาปรุงเป็นยานั้น ทำให้มีสมุนไพรเพื่อมาทำยาอย่างจำกัด ซึ่งแตกต่างจากฟ้าทะลายโจร

3.) สารสกัดกระชายขาว ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องสกัดสารสำคัญออกมาเท่านั้น ไม่สามารถมีสรรพคุณทางยารักษาโควิด-19 ด้วยการรับประทานกระชายขาวแบบบดหยาบได้

ลักษณะเช่นนี้จึงต้องใช้เป็น “สารสกัดกระชายขาว”ในรูปแบบของยาแผนปัจจุบันที่มีการ “จดสิทธิบัตร” เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้สารสกัดยากระชายขาวมีราคาแพงกว่าพืชสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรที่เพียงแค่นำใบมาบดหยาบก็สามารถใช้ได้แล้ว

ด้วยลักษณะเช่นนี้ฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบที่ชาวบ้านและแพทย์แผนไทยพึ่งพาตัวเองได้ จึงกลายเป็น “คู่แข่ง” ของผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนบริษัทยาหลายกลุ่ม ตั้งแต่ ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ซึ่งนำมาใช้กับการต้านโควิด-19, ผู้ผลิตยาลดไข้, ผู้ผลิตหรือผู้คิดจะจดสารสกัดกระชายขาว, ผู้ผลิตยาวัคซีน ฯลฯ

แม้วันนี้จะเริ่มมีวัคซีนแล้วแต่ก็ยังมีตัวแปรและความไม่แน่นอนอยู่มาก จึงส่งผลทำให้ประชาชนในประเทศที่มีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมในการรักษาของตัวเองมาอย่างยาวนานในเอเชียไม่ต้องการจะฉีดวัคซีน และเลือกที่จะรักษาด้วยสมุนไพรมากกว่า (หากมีทางเลือกนี้เปิดช่องให้ชัดเจนได้) ซึ่งแน่นอนว่าการมีสมุนไพรที่รักษาโควิด-19 ได้นั้น ย่อมเป็นอันตรายต่อกลุ่มทุนบริษัทยาและวัคซีนที่มองเรื่องการแสวงหาผลกำไรสูงสุดบนความกลัวและความทุกข์ยากของประชาชน

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ “ฟ้าทะลายโจร” ตลอดปีที่ผ่านมา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จะฝ่าด่านมาใช้ทดลองกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้เพียง 5 คนเท่านั้น ทั้งๆ ที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด-19 กว่า 13,000 คนแล้ว (รายงานเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2564) ซึ่งตรงกันข้ามกับยาที่มารักษาโควิด-19 ที่ใช้ในปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่ลัดขั้นตอนการวิจัยและเร่งใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 โดยทันทีทั้งสิ้น

ในชั้นนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากสื่อมวลชนต้องการจะสัมภาษณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้ฟ้าทะลายโจรนั้น เป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ เนื่องด้วยผู้วิจัยต้องมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิ์ของผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยตามมาตรฐาน “จริยธรรมในการวิจัยในมนุษย์” จึงย่อมปกปิดชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของผู้ป่วยและผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด

แต่ก็น่าเสียดายว่าในยามวิกฤติเช่นนี้ “คุณค่า” ของการทดลองเป็น “กรณีศึกษา” ของการใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบในผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ได้รับการเปิดเผยจากผู้ป่วยกับสื่อมวลชน เพื่อประโยชน์ของชาติ ว่าฟ้าทะลายโจร “เพียงอย่างเดียว” จะทำให้หายป่วยได้เร็วกว่าการป่วยโรคโควิด-19 หรือไม่ โดยเฉพาะการทดสอบเบื้องต้นเพียง 5 วันเท่านั้น

สรุปผลการทดสอบ 5 ราย ที่ไม่ได้รับยาอย่างอื่นเลยนอกจากฟ้าทะลายโจร มีดังนี้

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจรตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 90 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 760 Copies (เพิ่มขึ้น 744.44%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย

เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 หายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 725 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 2,072 Copies (เพิ่มขึ้น 185.79%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 เพียงอย่างเดียวว่าหายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ความน่าสนใจต่อไปนี้คือผู้ป่วยรายที่ 3 ซึ่งถือว่า “ป่วยหนัก” กล่าวคือ ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 3 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 9,857,464,593 Copies (ประมาณ 9,857 ล้าน Copies) พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 344,507,736 Copies (ลดลงเหลือ 344 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 96.50% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ 31,754,737 Copies (ประมาณ 31 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 99.68% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 4 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 296,466 Copies พอรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 308 Copies (เชื้อลดลง 99.8% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วันตรวจเชื้อได้ 13,935 Copies (เชื้อลดลง 95.29% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 5 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ 15,731 Copies เมื่อรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 1,924 Copies (เชื้อลดลงไป 87.77% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อได้ 31 Copies (เชื้อลดลง 99.80% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ในการทดสอบเบื้องต้นทั้ง 5 รายนี้ ปรากฏว่าอาสาสมัคร 1 รายมีค่าการทำงานของตับ Alanine Aminotransferase (ALT) เพิ่มสูงเป็น 1.7 เท่าของค่าปกติ ในวันที่ 5 ของการรับประทานยา ขณะที่อาสาสมัครอีก 1 ราย ที่มีแนวโน้มของค่าการทำงานของตับ คือ Aspartate aminotransferase และ Alanine Aminotransferase (ALT) สูงขึ้น แต่ไม่เกินค่าปกติ ส่วนที่เหลือไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ในอาสาสมัคร

ผลการทดสอบเบื้องต้นจึงสรุปได้ว่า

“การรับประทานสารสกัดฟ้าทะลายโจรซึ่งมี สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 180 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าประมาณฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ 48 เม็ดแคปซูล) อาจมีผลช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการแสดงของโรคโควิด-19 ได้แก่ ความรุนแรงของอาการไอ ความถี่ของการไอ ความรุนแรงของอาการเจ็บคอ ปริมาณเสมหะ และความรุนแรงของความปวดศีรษะ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) ส่วนปริมาณน้ำมูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในวันที่ 5 ทั้งนี้พบว่า ในการรักษามาตรฐาน อาสาสมัครทุกรายไม่ได้รับยาแผนปัจจุบันอื่นร่วมด้วย

ความหมายของอาการที่ลดลงจนเกือบหายหรือหายนั้น คือ กรณีศึกษาที่ ‘หายป่วย’ หรือ ‘เกือบหายป่วย’ ได้ในภายใน 5 วันเท่านั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือไม่?

อย่างไรก็ตามการรับประทาน “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรขนาดสูงอาจมีผลต่อค่าการทำงานของตับ ควรเฝ้าระวังค่าการทำงานในการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง

สำหรับข้อแนะนำเพิ่มเติมของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกคือ

1.) สำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ สามารถพิจารณาให้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรขนาดที่มีปริมาณ สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 60 มิลลิกรัมต่อวัน (ฟ้าทะลายโจร 16 เม็ดต่อวัน) แบ่งให้สามเวลาก่อนอาหาร เป็นเวลา 5 วัน

2.) สำหรับการใช้เพื่อการป้องกัน ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการให้ฟ้าทะลายโจรเพื่อการป้องกัน แนะนำให้ใช้หลักธรรมานามัย ในการดูแลตนเองแบบองค์รวม

มิได้แปลว่าลำพังเพียงแค่วิจัยเบื้องต้น 5 คนนี้จะเพียงพอ เพราะยังต้องวิจัยทางคลินิกแบบเปรียบเทียบกับยาหลอกต่อไปด้วยจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้

อย่างไรก็ตามแม้ผู้วิจัย หรือกรมการแพทย์แผนไทยจะไม่สามารถเปิดเผยชื่อและการติดต่อของผู้ป่วยที่เข้าวิจัยเพื่อให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ได้ แต่อย่างน้อย.…

“กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ก็ควรเป็นเจ้าภาพประสานถามความสมัครใจกับผู้ป่วยเหล่านี้เพื่อแสดงความจริงใจว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ถูกกดดัน หรือครอบงำจากคู่แข่งของฟ้าทะลายโจรจากกลุ่มทุนบริษัทยาอื่นๆ”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ใครรู้ว่าหลังจากนี้ “ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ”เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากยาแผนปัจจุบันอื่นๆ จะได้มีโอกาสทดลองทางคลินิกได้จริงเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยปราศจากอุปสรรคจากกลุ่มทุนบริษัทยา หรือแพทย์ที่มีผลประโยชน์กับบริษัทยาอีกหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวนี้กำลังจะกระทบต่อกลุ่มทุนบริษัทยายักษ์ใหญ่อย่างหนัก

แต่สำหรับผู้เขียนจะไม่รอให้ถึงจุดนั้น เพราะจะขอเชิญชวนให้ผู้ป่วยที่ตรวจพบโควิด-19 ที่ได้เป็นอาสาสมัครมาใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบทั้ง 5 ท่าน หากเห็นแก่ประโยชน์ของชาติในการที่หายป่วยโดยปราศจากการใช้ยาอื่นๆ แล้ว ขอให้ท่านที่สมัครใจในการเปิดตัวเพื่อสัมภาษณ์ส่งข้อความมาใน inbox ของแฟนเพจนี้ แจ้งชื่อ หลักฐาน และเบอร์ติดต่อกลับ จักเป็นพระคุณยิ่ง


ที่มา:

https://www.facebook.com/123613731031938/posts/3795068330553108/

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000007293

'โฆษกเพื่อไทย' ย้ำรัฐจริงใจแก้ปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้า อย่าหวังแค่เอื้อประโยชน์นายทุน ชี้ค่าเดินทางแพงหูฉี่ ซ้ำเติมคนไทย ทั้งที่ใช้ภาษีประชาชนสร้าง

ผศ.ดร.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเตรียมปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ 104 บาท ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ ถือเป็นค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่สูงสุดเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในกลุ่มประเทศเอเชียที่พัฒนาแล้ว โดยก่อนที่จะปรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าเป็นอัตราใหม่ พบว่า ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมงหลายเท่า

โดยคนกรุงเทพฯ ได้ค่าแรงขั้นต่ำวันละกว่า 300 บาท หากคิดเป็นรายชั่วโมง จะอยู่ที่ 37.50 บาท ต้องจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 16 - 70 บาท ขณะที่สิงคโปร์ มีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 250 บาทต่อชั่วโมง แต่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าแทบไม่ต่างจากไทย อยู่ที่ 17 - 60 บาท ส่วนเกาหลีใต้ ค่าเเรงอยู่ที่ 221 บาทต่อชั่วโมง ค่าโดยสารรถไฟฟ้าอยู่ที่ 37 - 96 บาท

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในสมัยพรรคไทยรักไทย จนถึงพรรคเพื่อไทย ได้เสนอโครงการเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมของกรุงเทพฯด้วยรถไฟฟ้า ได้วางแผนและกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ 15 บาท และ 20 บาทตลอดสาย บนพื้นฐานการคิดค่าเฉลี่ย โดยนำกำไรในเส้นทางที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นมาชดเชยส่วนต่างในเส้นทางที่ขาดทุน ส่วนการลงทุนรัฐบาลร่วมลงทุนและอุดหนุนส่วนต่างราคา

เพื่อให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้บริการสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าที่รวดเร็วและลดมลพิษ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน แต่นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีหลักคิดที่ตรงข้าม กลับมุ่งเน้นการให้สัมปทานเอกชนโดยเปิดประมูล เอื้อสัญญาให้บางบริษัทจนประชาชนผู้เสียภาษีตั้งคำถามว่าเอื้อกลุ่มทุนในหลายกรณีหรือไม่ เพราะรัฐไม่ได้มองว่าเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องพัฒนาให้กรุงเทพฯเป็นเมืองแห่งอนาคต แต่มองกรุงเทพฯเป็นเค้กพร้อมแบ่งสรรปันส่วนกันหรือไม่ ทั้งหมดเป็นการซ้ำเติมทุกข์ให้กับคนไทยที่กำลังหมดหนทางต่อสู้กับชีวิตภายใต้ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งสองระลอก

“ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำให้ไทยกลายเป็นผู้ตาม ประเทศที่เคยเติบโตต่ำกว่าเรา ตอนนี้ทิ้งห่างไปไกลไม่เห็นฝุ่น ในขณะที่ผู้นำไทยยังได้แต่สงสัยว่าทำไมเวียดนามโตกว่าไทย ส่วนคนไทยสงสัยมากกว่าว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นนายกฯอยู่” ผศ.ดร.อรุณี กล่าว


ที่มา: พรรคเพื่อไทย

‘สมคิด จิรานันตรัตน์’ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม.

รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง และล่าสุดกับ ‘เราชนะ’ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Chao Jiranuntarat’ เตือนสติคนไทยถึงเหตุผลที่แท้จริงของการปล่อยแต่ละโครงการเยียวยาจากรัฐว่า...

ในยามวิกฤติ ประเทศจะรอดได้ คนพอมีต้องยอมเสียสละ และเอาResources ที่น้อยอยู่แล้วไปช่วยคนที่ขาดแคลนที่สุด

แต่วันนี้ทุกคนอยากได้หมด แล้วเรียกร้องไปเอา Resources ในอนาคตมาใช้ โดยไม่ยอมรับรู้ว่าเราจะสร้างความสามารถในการใช้คืน Resources ในอนาคตได้อย่างไร ภาระหนักจะตกกับรุ่นหลัง แล้วลูกหลานเราจะอยู่ได้อย่างไร

เราควรต้องแก้ปัญหาที่หมักหมมด้วย เพราะมันเป็นสนิมกัดกร่อนประเทศมานาน เช่น การคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำ ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่กี่รัฐบาลพยายามกันมาก็แก้ไม่ได้ เพราะมันซับซ้อนมากกว่าที่จะพูดอย่างเดียว มันกินลึกเข้าไปถึงรากเหง้าของสังคมเสียแล้ว การให้เงินใต้โต๊ะ การอยากได้สิทธิพิเศษ การอยากได้ตำแหน่ง การฮั้วกัน แม้กระทั่งการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ก็ถือเป็นการคอร์รัปชันด้วยเช่นกัน แล้วเรามัวแต่พูด ทั้ง ๆ ที่โดยไม่รู้ตัว เราก็เป็นส่วนหนึ่งของการคอร์รัปชันไปแล้ว

ทางเดียวที่ผมพอจะเห็นทางออก คือ ความโปร่งใส ค่านิยม และ การบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม ซึ่งเราควรเริ่มที่ความโปร่งใสก่อน โดยการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และไร้กระดาษมากขึ้น แล้วควรส่งเสริมค่านิยมที่ไม่ยอมรับการฉ้อฉล ไม่เลือกนักการเมืองที่คดโกง เต่าล้านปี และใช้เทคโนโลยีมาช่วยประจานให้สังคมรับรู้เรื่องที่ไม่ชอบมาพากล

คนไทยทุกคนอยากเห็นประเทศพัฒนา แต่พอเห็นประโยชน์ตรงหน้า หลายคนก็ชอบไปทางลัด วิกฤติที่เราเจอโควิดวันนี้แหละ จะสะท้อนให้เห็นว่าสังคมและคนไทยจะเดินหน้าอย่างไร


ที่มา: เฟซบุ๊ก Chao Jiranuntarat

รองหัวหน้าพรรคกล้า ‘พงศ์พรหม ยามะรัต’ สุดทน พฤติกรรม ‘เพนกวิน’ หลังพาพรรคพวกบุกสำนักงาน ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ระบุ เป็นพวก ขี้แพ้ - ขี้ขลาด ถ่วงความเจริญของชาติ ไร้ความคิด ชี้แค่หาเรื่องโจมตีสถาบันไปวัน ๆ

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ‘Pongprom Yamarat’ ถึงกรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ พร้อมพรรคพวกกลุ่มราษฎร บุกอาคารศรีจุลทรัพย์ เกี่ยวกับ ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนผลิตวัคซีนโควิด-19 ว่า

ขออภัยหาโพสต์นี้รบกวนเวลาทำงานตอนเช้าที่แสนมีค่าของทุกคนนะครับ

ผมเห็นภาพคุณเพนกวินไปยืนด่า บ.สยามไบโอไซเอนซ์ แล้วรู้สึกว่านับวันคุณภาพตัวคุณเพนกวินตกต่ำมากกว่าที่ผมเข้าใจ

อยากจะฝากคุณเพนกวินว่าถ้าคุณรักประชาธิปไตยจริง อย่าเอาเวลาหายใจของคุณไปเสียกับการกุเรื่องด่าเจ้า

ในประเทศไทยมีแล็บ 3 แห่งที่ถูกส่งให้อังกฤษพิจารณา

แถมไทยก็ไม่ใช่ประเทศเดียว ประเทศอื่นในอาเซียนก็ส่ง แต่อังกฤษเลือกสยามไบโอไซเอนซ์เอง

ผมว่าเรื่องมันจบตั้งแต่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่พยายามปั้นเรื่องเท็จ นี่ไปขนาดสาวกชังชาติเริ่มไปด่าอังกฤษเป็นสลิ่ม สมคบคิดกับเจ้าอะไรไปกันใหญ่ นี่จะลามไปเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว

พวกคุณใช้หัวอะไรคิดกันอยู่ ที่ผมมอง มันไม่ใช่หัวศีรษะแน่ ๆ

แทนที่คุณจะเอาเวลาไปเสียกับอะไรแบบนี้นะคุณเพนกวิน คุณควรจะเอาเวลาไปเห็นหัวประชาชนคนไทยให้มากกว่านี้หน่อยก็ดี

คุณเอาเวลาไปต่อว่า สส.พรรคก้าวไกลก็ได้ ไหน ๆ พวกคุณก็สนิทกัน ให้ สส.พรรคก้าวไกลเมื่อมาเป็น สส.เขตแล้ว ก็ไม่ใช่ให้ประชาชนในเขตคุณต้องหนีมาพึ่งสมาชิกพรรคกล้าแบบนี้

ทางเข้าชุมชนใหญ่แค่ให้หมาลอด

ฝนมา น้ำก็ท่วม

PM2.5 มา ก็ไม่มีหน้าไหนมาเยี่ยม มาช่วยให้ความรู้ มาดูแลคนแก่ และเด็กที่ป่วย

สส.พรรคก้าวไกลไปอยู่ไหนหมด เห็นหัวประชาชนบ้างมั้ย ไหนว่ามาทำเพื่อประชาชน?

พวกคุณเชื่อผม

อย่าเอาแต่เรื่องการเมืองมาเป็นประเด็นห้ำหั่นกัน

อย่ามัวแต่เสียเวลาไปกุเรื่องล้มเจ้า

ถ้าจะไปโจมตีการปฏิรูปการศึกษาที่ล้มเหลว โจมตีการปฏิรูปการเกษตรที่ล้มเหลว โจมตีโครงข่ายส่วยพนัน โครงข่ายค้าแรงงานเถื่อน คุณไปเลยครับ

ไอ้เ…หี้ยนี่แหละคือมะเร็งชาติ คุณเพนกวิน ผมสนับสนุนด้วย

แต่ไอ้เ…หี้ย นี่พวกคุณกำลังเผาอนาคตชาติอยู่

ประชาชนกำลังลำบาก คุณก็จะกลั่นแกล้งให้กระบวนการวัคซีนมีอุปสรรค

แทนที่จะมาร่วมติเพื่อก่อในประเด็นอีกมากมายที่ผมพูดไป

ผมถึงบอกว่าคุณตกต่ำกว่าที่ผมคิด ผมไม่เห็นคุณทำอะไรเพื่อประชาชน คุณก็แค่หาเรื่องด่าเจ้า ด่าคนที่คิดไม่ตรงกับคุณ และพวกคุณไปวันๆ

แปลว่ารักชาติก็ไม่ใช่ รักประชาชนก็ไม่ใช่ รักประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ กล้าขุดคุ้ยเครือข่ายพนัน ก็ไม่กล้าอีก

ตอนนี้คุณตกต่ำเหมือนพวกขี้ขลาด ขี้แพ้เลยครับ


ที่มา : เพจ Pongprom Yamarat ( https://www.facebook.com/pongprom.yamarat )

ยกเลิกโปรดเกล้าฯ ตำแหน่ง ‘ศาสตราจารย์’ เปิดเอกสารด่วน!! ดันรัฐมนตรีแต่งตั้งแทน เชื่อคนไทยรับไม่ได้ ลดพระเกียรติสถาบัน - ทำลายเกียรติ ‘ศาสตราจารย์’

หลังจากมีเอกสารด่วนเกี่ยวกับการ ‘การรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ตามรูปแนบ) เรียนถึงอธิการบดี (ผ่านรองอธิการบดี และรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวิชาการ) มหาวิทยาลัยมหิดล และทางอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ลงนามรับทราบ/ดำเนินการได้

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 64 เป็นที่เรียบร้อน แต่เมื่อเอกสารฉบับดังกล่าวว่อนสู่โลกอินเตอร์เน็ต ก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง 1 ในร่างเสนอ ที่ต้องการให้ ‘ยกเลิกการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาให้ดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์ และให้รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งแทน’

เมื่อเอกสารดังกล่าวได้หลุดออกไปสู่โลกออนไลน์ ก็มีคำถามจากบุคคลในแวดวงสังคมที่เหมือนจะตั้งคำถามยิงตรงไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวโดยทันที

เริ่มตั้งแต่ ศาสตราจารย์ ดร.สายันต์ ไพรชาญจิตร์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชา การพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Sayan Praicharnjit...

เรียน ศาสตราจารจารย์พิเศษ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ

ขอให้ถอนร่าง พรบ. ฉบับนี้ออกจากการพิจารณาในทุกขั้นตอน และยกเลิกร่าง พรบ. ฉบับนี้ไปเลย ไม่ต้องแก้ไขหรือนำกลับเข้ามาพิจารณาอะไรอีก เพราะสาระสำคัญ เป็นการลดพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทำลายเกียรติของ ‘ศาสตราจารย์’

ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและยุทธศาสตร์การพัฒนา และรองประธานบริหารศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และอดีตรองอธิการบดี ฝ่ายวางแผนและยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Tawadchai Suppadit ด้วยเช่นกันว่า...

มีคำสั่งด่วนเพื่อสอบถามความคิดเห็น เกี่ยวกับการยกเลิกการโปรดเกล้าตำแหน่งศาสตราจารย์ มาให้รัฐมนตรี แต่งตั้งแทน

ขอแสดงความเห็นส่วนตัวในนามผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ศาสตราจารย์ จากการโปรดเกล้าฯ ซึ่งไม่ได้มีผลได้ผลเสียจาก พรบ ฉบับนี้ แต่ต้องการบอกกับประชาคมว่า

1.) ตำแหน่งศาสตราจารย์ เป็นตำแหน่งที่เทียบเท่าราชการระดับ ซี 10 - 11 ซึ่งเป็นตำแหน่งของข้าราชการระดับสูง ในหน่วยงานราชการอื่น การขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูง ล้วนได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในระบบราชการโดยทั่วไป ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

2.) ถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเองและวงศ์ตระกูล เพราะคำว่า ศาสตราจารย์......ที่ใช้ในประเทศไทยมีมากมายหลายรูปแบบ มอบให้โดยเป็นเกียรติก็มี แต่ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” เท่านั้น ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และเป็นตำแหน่งที่เกิดจากการสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยของตนเองขึ้นมา

3.) ขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ อาจจะมีการตรวจรายละเอียดมากขึ้นบ้าง แต่ก็ถือเป็นการตรวจสอบซ้ำว่าท่านเป็นผู้ทรงภูมิจริง ไม่มีการคัดลอกหรือทำผิดจริยธรรมทางวิชาการ ซึ่งเห็นว่าเป็นข้อดี

4.) พระเกียรติของพระเจ้าแผ่นดินในประเทศไทยมีค่าสูงยิ่ง ไม่เข้าใจคนที่เสนอว่ามีความคิดอย่างไร แต่ควรมาถามผู้ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ด้วยว่าเขารู้สึกอย่างไร

ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีใครออกมาตอบคำถาม หรือจะมีใครออกมาบอกว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของปลอมหรือไม่อย่างไร ก็คงต้องติดตามดูต่อกัน


ที่มา:

https://www.facebook.com/100001143013119/posts/3516528241728575/

https://www.facebook.com/100001143013119/posts/3516528241728575/

‘เสี่ยหนู’ อนุทิน ชาญวีรกูล ตอบคำถาม ‘ธนาธร’ ไขปมเลือกซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า แบบเคลียร์ ๆ ย้ำเลือกวัคซีนที่เหมาะที่สุดแก่ประเทศไทย ทุกขั้นตอนทำตามกรอบกฎหมายชัดเจน

หลังจากเมื่อวันก่อน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับกรณีปมวัคซีนโควิด-19 ในไทย

ล่าสุด นายอนุทิน ได้โพสต์กลับในเฟซบุ๊ก 'อนุทิน ชาญวีรกูล' ว่า...

เรียน คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ผมขอบคุณคุณธนาธร ติดตามการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข และไม่ละเลยที่จะกล่าวคำขอบคุณ ให้กำลังใจกระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ทุ่มเททำงานหนักเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2562 จนถึงขณะนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อความปลอดภัย และลดการสูญเสียของคนไทยให้ได้มากที่สุด

ผมดีใจที่คุณธนาธร ไม่กล่าวถึง “วัคซีนพระราชทาน” และ ไม่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ อีก ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณธนาธร ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นความจริงแล้ว

การจัดหาวัคซีน ที่คุณธนาธร ตั้งข้อสังเกต และข้อสงสัยหลายประเด็น ผมขอตอบในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ว่า เราไม่ได้ทำงานล่าช้าตามที่คุณธนาธร กล่าวหา เราประชุมเตรียมการจัดหาวัคซีน มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 แต่ในช่วงเวลานั้น การให้ความสนใจติดตามข่าวสารเรื่องวัคซีน อาจจะน้อยกว่าการติดตามสถานการณ์การระบาดและการเยียวยา ประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลการเจรจา ในขณะที่ยังไม่บรรลุผล ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน และจะทำให้ประชาชนสับสน ซึ่งคุณธนาธร เป็นนักธุรกิจ มีประสบการณ์การเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทต่างชาติมาแล้ว น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี

กว่าที่เราจะเจรจาบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย และคนไทย ต้องใช้เวลามากพอสมควร เมื่อมีความชัดเจนเกิดขึ้น เราได้แถลงให้ประชาชนทราบอย่างเปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และ ภาคเอกชน ที่มีส่วนร่วมในการทำงานนี้เพื่อการจัดหาวัคซีน มาให้คนไทยทุกคน ด้วยความปลอดภัย และยังสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนให้แก่ประเทศไทย ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนยีการผลิตวัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียน

เราเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนทุกราย ที่ผลิตวัคซีนออกมาจำหน่ายในขณะนี้ การเจรจาจัดหาวัคซีน มีข้อจำกัดมากมายทั้งจากเงื่อนไขของผู้ผลิต และ จากระบบกฎหมายไทย และ งบประมาณของประเทศไทย เอง

1.) ผู้ผลิตทุกราย ต้องการให้เราจ่ายเงินจองซื้อวัคซีน ในขณะที่เขาเพิ่งเริ่มต้นการทดลอง ยังไม่มีการผลิตวัคซีนจริง หากเขาผลิตไม่สำเร็จ เงินที่เราจองซื้อ จะไม่ได้รับคืน ถือว่าเป็นการลงทุนร่วมกัน รับความเสี่ยงร่วมกัน

กฎหมายไทย ไม่อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินจองซื้อสินค้าที่ยังไม่มีการผลิต และ การมีเงื่อนไขว่า หากไม่สำเร็จ จะไม่ได้รับเงินคืน ก็ไม่สามารถทำได้

แม้จะมีเงื่อนไขว่า ถ้าเราจ่ายเงินจองซื้อล่วงหน้า หากเขาผลิตวัคซีนได้สำเร็จ เราจะมีโอกาสซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่เราซื้อเมื่อเขาผลิตได้แล้วก็ตาม หน่วยงานของรัฐ ไม่สามารถทำสัญญาเช่นนั้นได้

2.) เมื่อพิจารณาข้อมูลด้านเทคนิคการผลิตและการจัดการวัคซีนจากแหล่งผลิตไปจนถึงประชาชน แล้ว เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน สูงสุด รวมถึง การใช้เงินงบประมาณ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่าที่สุด จึงเป็นที่มาของการเลือกซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่าวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่น และเหมาะสมกับการจัดการฉีดในประเทศไทย มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่นๆ

3.) การได้รับข้อเสนอจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ ใช้โรงงานในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเลือกเอง เป็นฐานการผลิตวัคซีน ของบริษัท เพื่อจำหน่ายให้แก่ภูมิภาคอาเซียน อีกด้านหนึ่งต้องนับเป็นความมั่นคงทางด้านวัคซีนของประเทศไทย เป็นสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน เพื่อศักยภาพของประเทศไทย เช่นเดียวกับที่รัฐบาลให้การสนับสนุนผู้ผลิตวัคซีนในประเทศไทยหลายราย ทั้งสถาบันการศึกษา และ ผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาวัคซีนของคนไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ

4.) การจัดหาวัคซีน ในระยะแรก จำนวน 26 ล้านโดส จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ และ จำนวน 2 ล้านโดส จากบริษัทไซโนแวคฯ เพื่อฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง เป็นจำนวนที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้วิเคราะห์แล้วว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีการระบาดรุนแรง และไม่มีผู้ป่วย หรือ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เช่นในบางประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนโดยด่วน แม้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงที่ยังไม่รู้แน่ชัด

อย่างไรก็ตาม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้จองซื้อวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ เพิ่มขึ้นอีก จำนวน 35 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส สำหรับประชากร 31.5 ล้านคน คิดเป็น 63 % ของประชากรที่ควรรับวัคซีนได้ ซึ่งมีประมาณ 50 ล้านคน (ตัดกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี และหญิงตั้งครรภ์ ออก) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทย

ประกอบกับจำนวนวัคซีนที่จะทยอยส่งมอบต้องดำเนินการให้เกิดคุณภาพการจัดการ และการเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัย การวางแผนจัดหาและฉีดวัคซีน จึงต้องคำนึงปริมาณที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสูญเสียและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น อีกทั้ง UNICEF คาดการณ์ปริมาณวัคซีนที่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี2564 จนเพียงพอต่อความต้องการ และมีแนวโน้มที่วัคซีนจะราคาถูกลงกว่าในขณะนี้ เราจะประหยัดงบประมาณไปได้อีกมาก

โดยสรุป การจัดหาวัคซีน เป็นไปตามหลักการคำนวณของคณะแพย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดในประเทศ และความปลอดภัยของประชาชน เป็นสำคัญ และไม่ได้วางแผนดำเนินการล่าช้าตามที่กล่าวหากัน ตามที่ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หนึ่งในคณะอนุกรรมการอำนวยการบริการจัดการให้วัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 ได้ตอบคำถามของประชาชน ที่ตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกับคุณธนาธร แล้ว

5.) ทุกท่านที่วิจารณ์และตำหนิการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ต่อการบริหารสถานการณ์โรคระบาดโควิด19 ต้องให้ความเป็นธรรมต่อคนทำงาน ด้วย เนื่องจาก โควิด19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีประสบการณ์ ทุกประเทศในโลก รวมทั้งประเทศไทย ต่างใช้ประสบการณ์ในอดีตที่ใกล้เคียงที่สุด มาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการทำงาน คนทำงานอาจจะมีถูกบ้างผิดบ้าง และต้องติดตาม ปรับปรุงแผนการทำงานกันทุกวัน ตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมา การนำข้อมูล และตัวเลขต่างๆ มากล่าวอ้าง จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูล และแหล่งที่มา ณ วันที่นำมาอ้างอิง ด้วย

กระทรวงสาธารณสุข พยายามทำงานเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดในประเทศไทย ให้ดีที่สุด ทั้งในช่วงเวลาที่ไม่มีวัคซีน และ มีวัคซีนแล้ว ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการทางการแพทย์ทุกประการ และการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยทุกคนด้วยความสมัครใจ จะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2565 เป็นอย่างช้า

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า การฉีดวัคซีน ไม่ใช่การปลดล็อกทุกอย่าง และจะทำให้เรากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด19 ได้โดยเร็ว ในระยะแรกของการฉีด วัคซีนเป็นเพียงเครื่องมือควบคุมโรค และ ป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนัก และเสียชีวิต หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว ทุกคนยังต้องใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และไม่ไปที่แออัด เพื่อลดการติดและการแพร่เชื้อ อีกสักระยะ เราต้องติดตามผลการศึกษาวัคซีน ว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันได้นานแค่ไหน กันต่อไป

6.) กรณีที่ประเทศไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราได้เจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี COVAX ให้สิทธิแก่ประเทศยากจนที่ WHO และ GAVI ให้การสนับสนุนจำนวน 92 ประเทศ แต่ไทย ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้ง ชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน เมื่อไร การที่เราจัดหาเอง และได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจนกว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า

7.) รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะผูกขาดการจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตรายหนึ่งรายใด แต่เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับการใช้ในประเทศไทยมากที่สุด ขอยืนยันว่าการจัดหาวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ จำนวน 61 ล้านโดส และจากบริษัทไซโนแวคฯ จำนวน 2 ล้านโดส เป็นการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คนไทย และประเทศไทย ซึ่งมีการตอบรับข้อเสนอของประเทศไทย และ เสนอเงื่อนไขการขายวัคซีนให้แก่ประเทศไทย ดีกว่าผู้ผลิตรายอื่น

หากในอนาคตมีผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ มาขึ้นทะเบียนในประเทศไทย และจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าที่จัดซื้ออยู่ในขณะนี้ ก็เป็นไปได้ที่รัฐบาลจะพิจารณาจัดซื้อ และ สนับสนุนให้เอกชนจัดซื้อไปให้บริการประชาชน

ส่วนกรณีสัญญาต่างๆ นั้น ในส่วนของสัญญาภาคเอกชน หรือ สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน ก็ตาม คุณธนาธร เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางธุรกิจภาคเอกชน น่าจะทราบดีว่า การจะเปิดเผยข้อความในสัญญา ทำได้หรือไม่ อย่างไร จะต้องได้รับการยอมรับจากคู่สัญญาด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ผมได้ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับไปพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายแล้ว

ผมตอบคำถามคุณธนาธร ตามนี้ และขอเรียนว่ารัฐบาลพร้อมที่จะปรับแผนการบริหารสถานการณ์โควิด19 รวมถึงการจัดหาวัคซีน หากมีผลการศึกษา และการผลิตวัคซีนที่ดีกว่า เหมาะสมกว่า เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ลดการสูญเสีย และใช้เงินงบประมาณคุ้มค่ามากที่สุด ขอให้คุณธนาธร เชื่อมั่นว่ารัฐบาล มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน และปรารถนาที่จะนำประเทศไทยกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ ทางเศรษฐกิจ และ ทางสังคม โดยเร็วที่สุด

ขอให้เชื่อมั่นว่า กระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผม ที่ทำงานกันเป็นทีมอยู่ในขณะนี้ ไม่มีเป้าหมายทางการเมือง และไม่ประสงค์จะนำความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชน มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป้าหมายเดียวที่เรามี คือ ประชาชนคนไทยต้องปลอดภัย

ขอแสดงความนับถือ

อนุทิน ชาญวีรกูล

รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4074068475961336&id=2091153520919518

26 มกราคม 2564

อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ชี้ถึงเวลาแล้วที่กองทัพ ต้องสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบ กรณีซ้อมพลทหารเกินกว่าเหตุ

เรืออากาศโทธนเดช เพ็งสุข อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ เขตลาดพร้าว- วังทองหลาง กล่าวถึงกรณีที่สองทหารเกณฑ์สังกัดค่ายทหารใน จ.ชลบุรี เข้าร้องเรียนว่าถูกทหารครูฝึกและผู้ช่วยซ้อมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุร่วมกันแอบเสพกัญชาว่า ถ้ากองทัพยังไม่สร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ เจ็บหรือตายปริศนาใน ‘ค่ายทหาร’ ก็คงเกิดขึ้นอีก

พร้อมระบุว่า ตนเห็น 2 ข่าวเกี่ยวกับกองทัพช่วงนี้ เรื่องเดียวกันแต่รู้สึกเป็นสองอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ข่าวแรก เป็นเรื่องน่ายินดีครับ แม้ว่ากองทัพจะไม่ได้ทำตามข้อเสนอของอดีตพรรคอนาคตใหม่ เรื่องการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารเพื่อเปลี่ยนไปเป็นการรับโดยสมัครใจทั้งหมด รวมถึงยังไม่ได้ปรับรูปแบบการฝึกและสวัสดิการต่างๆเพื่อวางโครงสร้างของกองทัพใหม่ให้เป็นทหารอาชีพ แต่อย่างน้อยก็พอเห็นทิศทางที่ดี

ที่ในที่สุดเสียงของพวกเราและเสียงของประชาชนก็ดังพอที่จะทำให้กองทัพต้องเลือกที่จะปรับตัวบ้าง ด้วยการเปิดรับสมัครพลทหารและเปิดโอกาสให้ ร้อยละ 80 สามารถเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกได้ และถ้าใครเรียนดีอีก 20 คน ก็จะมีโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งการเริ่มต้นแบบนี้ ผมมองว่าทำให้กองทัพมีโอกาสปรับตัวเป็นกองทัพทันสมัย มีทหารอาชีพมาประจำการได้ในอนาคต

แต่โอกาสของประเทศไทยก็ดูเหมือนจะสะดุดลงอีก เมื่อข่าวที่ 2 เกิดขึ้นตามมาติดๆ และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปใครๆก็คงไม่อยากมาสมัครเป็นทหารแน่ ๆ ก็เป็นเรื่องราวที่ได้ยินกันซ้ำๆเดิมครับ นั่นก็คือ เรื่องการซ้อมทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา พลทหาร 2 นาย ถูกครูฝึกจับได้ว่าลักลอบสูบกัญชา ครูฝึกและผู้ช่วยจึงสั่งลงโทษด้วยการใช้ไม้ตีตามแขน ขา หลัง และก้นจนไม้หัก

ให้แถกปลาหมอจนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปหมด ซึ่งบาดแผลเหล่านี้ก็ยังเห็นได้ชัดสามารถหาดูภาพข่าวได้ไม่ยาก เขาเล่าว่าครูฝึกยังลากสายยางฉีดน้ำกรอกปากและยังพยายามจะทรมานอื่น ๆ อีก โชคดีที่กรณีนี้ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต เพราะทั้งสองคนหลบหนีออกมาแจ้งตำรวจเสียก่อน

แน่นอนว่า ในรายละเอียดเรื่องนี้คงต้องฟังความจากทั้งสองฝ่ายว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ประเด็นสำคัญที่จะต้องตั้งคำถามกันต่อไปก็คือการลงโทษทหารเกณฑ์ในค่ายทหารมีขอบเขตแค่ไหน มิใช่ผู้บังคับบัญชาจะสามารถลงโทษพวกเขาได้ปางตายได้บ่อยครั้ง

ทำไมเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอมีเรื่องทีก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกันที แล้วก็ผ่านไปรอเหตุใหม่เกิดขึ้นอีก วนเวียนไปเรื่อย ๆ ผมมองว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นปัญหาของวัฒนธรรมองค์กร

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกองทัพจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปเพื่อให้มีระบบดูแลตรวจสอบที่ชัดเจน มีช่องทางให้ผู้น้อยมีช่องทางที่สามารถร้องเรียนปัญหาหรือเอาผิดผู้บังคับบัญชาได้จริง ไม่ใช่แบบที่อดีต ผบ.ทบ.ท่านหนึ่งบอกให้ต่อสายตรงถึงได้

แต่พอทำจริงก็เกิดกรณีแบบ ‘หมู่อาร์ม’ เกิดขึ้น หรือต้องไม่ใช่การลงโทษแบบแค่ย้ายไปแขวนไว้รอกระแสลด แล้วย้ายกลับมาเมื่อเรื่องเงียบ เอาตัวอย่างง่าย ๆ เห็นกันชัด ๆ ก็เช่น กรณีเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ขนาดเป็นต้นเหตุของการระบาดโควิดคลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี ย้ายไปไม่ทันข้ามปีก็ได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมแล้ว สำหรับผม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหานี้นี้ได้จริงคือ ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะต้องสร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ ให้เกิดขึ้นให้ได้

ท่าทีของผู้นำยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหา แต่หลังกรณีนี้เกิดขึ้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ก็ยังคงพูดเหมือนทุกๆครั้ง เช่น ต้องมีการสอบสวน ใครผิดก็ต้องรับโทษ ได้เตือนไปหลายครั้งแล้วในเรื่องการลงโทษต้องพิจารณาให้เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบวินัยทหาร ฟังดูเหมือนมีเหตุผลนะครับ

ซึ่งถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกผมคงไม่ติดใจอะไรมากนัก แต่นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนผมเชื่อว่า สำหรับทหารทั้งกองทัพแล้ว การพูดแบบนี้ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะในความเป็นจริงองค์กรอย่างกองทัพตอนนี้พร้อมที่จะมีระบบหรือกลไกช่วยเหลือบุคคลระดับผู้บังคับบัญชาเต็มไปหมด ในขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาแทบไม่มีอะไรคุ้มครองได้เลย อย่างกรณี 2 พลทหารนี้ เมื่อกระแสหมดลง กลับเข้ากรมกองเมื่อไหร่ ใครๆก็คงสามารถจินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่หากไม่กลับไปก็จะกลายเป็นการหนีทหารไม่สามารถปลดประจำการได้ การที่ใครๆก็คิดแบบนี้ได้อย่างเป็นปกตินี่ก็คือความไม่ปกติอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ลองไปดูตัวอย่างจากต่างประเทศนะครับว่า เวลามีเรื่องแบบนี้ เขาสร้างวัฒนธรรม ‘ความรับผิดชอบ’ เพื่อแสดงเจตจำนงค์อย่างยิ่งยวดว่าไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร ซึ่งเขาไม่ทำแบบลุงแก่ๆ ขี้บ่นว่า เตือนไปแล้ว บอกไปแล้วแต่แก้อะไรไม่ได้ แน่นอน ร.ท.ธนเดชกล่าว

ไม่บ่อยนักที่ วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ จะออกมาพูดถึงสถานการณ์ในบ้านเมือง หากไม่ได้มีประเด็นสะเทือนใจสังคมเท่าไรนัก ล่าสุดได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วิมล ไทรนิ่มนวล เป็นนัยยะให้ขบคิดต่อว่า...

“ชาติสุดท้ายที่ได้เป็นคน”

เป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศ แต่ไม่เคยสร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติเลย

ตรงกันข้ามกลับกอบโกยคดโกงทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ตนและครอบครัวจะทำได้

‘รุกป่าสงวน หนีภาษี ติดสินบน’

ขูดรีดแรงงานกับคนงานที่สร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัว ทั้งที่ตัวเองแหกปากทุกวันเรื่องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในสังคม...ตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซ์ที่ตนบูชา (และท่องจำมาชี้นิ้วตัดสิน สร้างเรื่องเท็จ โจมตี ใส่ร้ายคนอื่น เพื่อการขึ้นสู่อำนาจของตน)

นับแต่วันที่ปรากฏตัวต่อสาธารณชน ก็ละเลงขนมเบื้องด้วยปากมาตลอดจนถึงวันนี้ ให้สาวกสรรเสริญและฟินว่าจะทำนั่น สร้างนี่ แต่ไม่เคยทำอะไรเลย กลับหาเรื่องด่า หาเรื่องบ่อนทำลายคนที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ

ฝึกตน - สร้างตนด้วยการคิด พูด ทำ ไว้อย่างไรก็จะมีคุณสมบัติความเป็นคนอย่างนั้น

เมื่อนับวันคุณสมบัติความเป็นคนน้อยลง เพราะทำชั่วไม่หยุด สุดท้ายก็จะไม่เหลือความเป็นคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

เมื่อตายไปก็จะตกอยู่ในอบายภูมิ โอกาสที่จะเกิดเป็นคนได้อีกนั้นเป็นเรื่องยาก

แม้เป็นมาร์กซิสม์ ไม่เอาศาสนา ก็ไม่รอดจากวิบาก เพราะธรรมชาติของจิตนั้นไม่ขึ้นกับลัทธิใดๆและไม่ขึ้นกับตัวศาสนาเองด้วย

ตอนนี้ก็กำลังตกนรกอยู่เห็นๆ!

ก็ไม่แน่ใจว่า วิมล ไทรนิ่มนวล จะกล่าวข้อความนี้ถึงใคร

แต่น่าจะหาคำตอบไม่ยากกระมัง


ที่มา: https://www.facebook.com/100002386922271/posts/3699615120128016/

สุทธวรรณ ก้าวไกล ถามกลับ ทิพานัน ใครกันแน่อำมหิต จ้องดึงฟ้าต่ำใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองทุกครั้งที่มีโอกาส

นางสาว สุทธวรรณ สุบรรณ ณ. อยุธยา ส.ส.นครปฐม เขต3 พรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีที่นางสาว ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี และอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่าการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลดำเนินการมาอย่างถูกต้อง โปร่งใส รอบคอบ และมีการกล่าวถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้หยุดพฤติกรรมอำมหิต นำกรณีวัคซีนและชีวิตความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จากรณีดังกล่าว ตนเห็นว่า สาระของนางสาวทิพานันคือการจับประเด็นมาขยายความเพื่อหาพื้นที่ให้ตัวเองเท่านั้น มิได้มีประโยชน์ต่อสังคมแต่อย่างใด ทุกครั้งที่มีการสื่อสารออกมาผ่านสื่อ มีแต่ความคิดเห็นที่กล่าวโทษผู้อื่นทั้งสิ้น ความอำมหิตที่คุณ ทิพานันกล่าวนั้นดิฉันว่า คนที่อำมหิตคือผู้ที่พยายามดึงฟ้ามาต่ำต่างหาก อย่าพยามเสี้ยมสอนผู้อื่นให้รู้จักที่ต่ำที่สูง หากตัวคุณทิพานันยังดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองทุกครั้งที่มีโอกาส ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นคุณทิพานันต่างหาก ที่มีความอำมหิต

อย่างไรก็ตาม อยากให้ทำความเข้าใจในสาระสำคัญที่พรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า รวมถึงผู้อื่นที่ออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนว่า การจัดซื้อวัคซีนใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน หากจะมีการตั้งคำถามเป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ อีกทั้งยิ่งมีการตั้งคำถาม รัฐบาลเองยิ่งต้องเปิดเผย ชี้แจงต่อสาธารณะให้ได้ ยิ่งเปิดยิ่งโปร่งใส วัคซีนที่รัฐบาลจัดซื้อเข้ามาเป็นความหวังของพี่น้องประชาชน เป็นทางออกวิกฤติในครั้งนี้ ดังนั้นหน้าที่ของพวกคุณคือ ทำให้ชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบ มิใช่ไล่ชี้หน้าว่าเขาไม่จงรักภักดี หากมีความสงสัยเรื่องนี้

‘หมอเอก' ก้าวไกล จี้ถาม ‘อนุทิน’ สรุปเรื่องวัคซีน COVAX จะเอายังไงแน่? ในแผนบอกจะซื้อ แต่เจ้าตัวพูดเหมือนจะไม่ซื้อแล้ว? ชี้ทำสังคมสับสน

นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เขต1เชียงราย พรรคก้าวไกล ระบุว่า เรื่องวัคซีนที่เป็นความหวังอาจจะเพียงหนึ่งเดียวที่จะพาเราให้หลุดออกจากความทุกข์ยากของมาตรการการจัดการโควิดของรัฐบาล ทำให้ประชาชนกลับมาทำมาหากินได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่มีความสับสนไม่ใช่เพราะมีผู้ตั้งคำถามต่อการจัดการวัคซีนของรัฐบาลหากแต่เป็นเพราะการชี้แจงของรัฐบาลไม่ชัดเจนและข้อมูลไม่ตรงกันกับข้อมูลที่เคยนำเสนอไว้ในที่ต่างๆ

นอกจากประเด็นเรื่อง AstraZeneca กับ Siam Bioscience และเรื่องวัคซีนจีนอย่าง Sinovac แล้วนายแพทย์เอกภพยังกล่าวว่าตนมีข้อสงสัยอีกมากมายที่รัฐบาลควรต้องเปิดเผยออกมาให้ชัด ไม่ต้องให้มีคนสงสัยอีก อะไรที่ผิดพลาดก็ยอมรับว่าผิดพลาดแล้วรับผิดชอบไปซะแล้วก็เริ่มเดินหน้าจัดการให้ถูกต้อง

หนึ่งช่องทางของการได้วัคซีนที่มีหลายประเทศใช้และมีการนำเสนอในที่ประชุมกรรมาธิการสาธารณสุขเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 คือช่องทางขององค์การอนามัยโลกที่ชื่อว่า COVAX เป็นช่องทางที่เปิดให้ประเทศผู้ซื้อมาลงทะเบียนเพื่อเสนอว่าต้องการซื้อปริมาณเท่าไหร่

จากการชี้แจงวันนั้นแจ้งว่ามีแผนจัดซื้อวัคซีนจาก COVAX รวม 26 ล้านโดสใน 3 ปี

แต่ในการแถลงช่วงหลังกลับบอกว่ายังไม่ได้มีการขอจัดซื้อวัคซีนจาก COVAX ด้วยข้ออ้างที่ว่าเขาจะให้กับประเทศรายได้น้อยก่อน

ซึ่งเมื่อเปิดดูในเอกสารของ COVAX และดูในเว็บไซต์ https://www.gavi.org/vaccineswork/covax-explained ก็ได้ข้อมูลว่า

All participating countries, regardless of income levels, will have equal access to these vaccines once they are developed.

หมายความว่า COVAX ไม่ได้มีการจำกัดว่าจะให้เฉพาะประเทศที่มีรายได้น้อย แต่เปิดโอกาสให้กับทุกประเทศที่จะเข้าถึงวัคซีนได้ โดยในเว็บไซต์ยังให้ข้อมูลว่ามี 78 ประเทศรายได้สูงเข้าร่วมในโครงการนี้ด้วย

มีอีกประเด็นที่สำคัญซึ่งนำเสนอไว้ในเว็บไซต์เป็นวันที่สำคัญ 18 กันยายน 2563 เป็นวันที่ต้องทำสัญญาเข้าร่วมโครงการ เมื่อวันที่9 ตุลาคม 2563 เป็นกำหนดการจ่ายเงินมัดจำ ซึ่งดูเหมือนว่าจนถึงปัจจุบันทางการไทยก็ยังไม่สามารถปิดดีลนี้ได้(อ้างอิงข้อมูลจาก COVAX ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)

นอกจากนี้นายแพทย์เอกภพกล่าวว่าตนได้ติดตามเนื้อหาที่สุดคุณอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เนื้อหาตอนหนึ่งว่า “กรณีที่ประเทศไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราได้เจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี COVAX ให้สิทธิแก่ประเทศยากจนที่ WHO และ GAVI ให้การสนับสนุนจำนวน 92ประเทศ แต่ไทย ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้ง ชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน เมื่อไร การที่เราจัดหาเอง และได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจนกว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า”

การสื่อสารเช่นนี้ คุณอนุทินกำลังจะบอกว่า เราเปลี่ยนแผน และจะไม่รับวัคซีนจาก COVAX แล้วใช่หรือไม่? จะเปลี่ยนแผนเป็นอย่างไรบ้าง? หรือจะยังมุ่งหน้าเจรจาอยู่? แล้ววัคซีนที่น่าสนใจตัวหนึ่งของ Johnson&Johnson ที่ฉีดเข็มเดียวก็อยู่ใน COVAX นั้นทางเราได้มีการเจรจาตรงกับบริษัทนี้หรือไม่? ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เคยได้รับความโปร่งใสชัดเจนในข้อมูลและแผนการจากทางรัฐบาล จึงไม่แปลกใจที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่นรัฐบาลและเห็นว่ารัฐบาลกลับไปกลับมา ไม่มั่นคงแน่วแน่ในแนวทางการบริหารจัดการ

ผมติดตามและดูการทำงานแล้วเห็นความพยายามและความตั้งใจของนักวิจัย ความพยายามของสถาบันวัคซีน บุคลากรสาธารณสุข แต่ในความพยายามนั้นกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากระบบระเบียบราชการและจากผู้นำที่ไม่มีวิสัยทัศน์อย่างคุณประยุทธ์เลย นายแพทย์เอกภพกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top