Friday, 10 May 2024
TeaTimes

‘ธนกร’ โต้ ‘เพื่อไทย’ ชี้เศรษฐกิจทรุดเพราะโควิด-19 ลั่น ‘บิ๊กตู่’ ทำดีที่สุดแล้ว แจงยิบทุกมาตรการฟื้นเศรษฐกิจได้แน่ แต่ต้องใช้เวลา แขวะอย่าจ้องแต่จะค้านไปทุกเรื่อง ย้อนเอาเวลาไปประสานรอยร้าวในพรรคก่อนดีกว่า

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่าทำเศรษฐกิจทรุดต่อไปอีก 10 ปีว่า พรรคเพื่อไทยเอาเวลาไปประสานรอยร้าวภายในพรรคก่อนจะดีกว่า เพราะหลังจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ลาออกไป ทำให้เกิดรอยร้ายในพรรคถึงขนาดนายพิชัย นริพทะพันธ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่เผาผีกับนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย

ตนบอกหลายครั้งแล้วว่าเศรษฐกิจแย่เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งกระทบทั่วโลก พล.อ.ประยุทธ์ทำดีที่สุดแล้ว มาตรการเยียวยาต่างๆ ก็สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ แต่ต้องใช้เวลา ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยหลายอย่างรัฐบาลก็ดูอยู่ ไม่ว่าจะเป็น

1.) เร่งปรับโครงสร้างภาษีให้เก็บเงินคนรวยมากขึ้นเพื่อมาช่วยคนจน ในภาวะที่คนจนกำลังลำบากนี้ รัฐบาลได้ศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม หลักความเป็นธรรมทางภาษี พิจารณาข้อดีข้อเสีย ขีดความสามารถในแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง และความยั่งยืนทางการคลังประกอบกัน

2.) เร่งหารายได้เข้ารัฐเพิ่มจากทางอื่นนอกจากภาษีนั้น ปัจจุบันมีการดำเนินการหารายได้เข้ารัฐเพิ่มเติมนอกจากรายได้จากภาษีอย่างต่อเนื่อง เพราะคำนึงถึงการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

3.) เร่งปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มราชการ หรือ Digitalization รวมถึงการใช้ระบบบล็อกเชน ซึ่งจะแก้ปัญหาได้หลายอย่าง รวมถึงปัญหาระบบศุลกากรที่นักลงทุนต่างประเทศร้องเรียน ปัญหาการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว รัฐบาลมีการปรับปรุงและพัฒนาระบบต่าง ๆ เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร ท่าเรือต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

4.) เร่งส่งเสริมให้เกิดแพลตฟอร์มเอกชน เร่งส่งเสริมการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่ เร่งสร้างยูนิคอร์น ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างประเทศ และ เร่งเก็บภาษีแพลตฟอร์มต่างประเทศ สำหรับการเก็บภาษี Platform ต่างประเทศนั้น รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ จากต่างประเทศ (e-Service)) (ร่างพระราชบัญญัติฯ) โดยรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 ความคืบหน้าล่าสุดร่างพระราชบัญญัติฯ อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมาย

และ 5.) ลดภาษีที่จะช่วยเหลือประชาชนได้ เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล รัฐบาลได้ช่วยเหลือโดยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในอัตราต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว ทั้งที่มีการปล่อยความร้อนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน แต่มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า เพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลในท้องตลาดมีการนำไบโอดีเซลมาผสมในสัดส่วนต่าง ๆ ซึ่งน้ำมันไบโอดีเซลไม่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลที่ผสมไบโอดีเซลในท้องตลาดถูกลงด้วย

นายธนกร กล่าวด้วยว่า ส่วนนโยบายด้านการเงิน การช่วยเหลือ SMEs ในภาพรวม รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือ SMEs มาโดยตลอด โดยการให้แหล่งเงินต้นทุนต่ำควบคู่ไปกับการกำหนดกลไก ลดความเสี่ยงด้านเครดิต เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนและมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งกลไกดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือ SMEs ในต่างประเทศ โดย SMEs ที่ได้รับความช่วยเหลือควรเป็น SMEs ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ (Commercial Viability) แต่ประสบปัญหาจาก โควิด-19 เท่านั้น

ทั้งนี้ หากภาครัฐต้องให้ความช่วยเหลือ SMEs ทั้งระบบ ซึ่งรวมถึง SMEs ไม่มีศักยภาพหรือ อยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้าง ก็อาจส่งผลให้ภาครัฐมีภาระทางการคลังในอนาคตที่มากเกินความจำเป็น และ SMEs กลุ่มที่ไม่มีศักยภาพก็ยังคงจะเสียเวลาและต้นทุนไปกับการดำเนินธุรกิจที่ไม่สามารถอยู่รอดได้แทนการใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการปรับเปลี่ยนและเริ่มธุรกิจใหม่ที่จะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ดังนั้น การเพิ่มวงเงินค้ำประกันหนี้เสียที่พรรคเพื่อไทยเสนอโดยไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับกลไกการดำเนินการนั้น อาจไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับ SMEs และประเทศโดยรวม เนื่องจากอาจเป็นเพียงการเพิ่มวงเงินของรัฐบาลเพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่สถาบันการเงิน เช่น หากเสนอให้รัฐบาลเพิ่มวงเงินค้ำประกันหนี้เสียอีกร้อยละ 10 ของวงเงินรวมของโครงการ 900,000 ล้านบาท จะต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกถึง 90,000 ล้านบาท เป็นต้น แต่ข้อเสนอนั้นไม่มีกลไกที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพเพื่อยืนยันว่า SMEs กลุ่มเป้าหมายแต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากโควิด-19 จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากเงินงบประมาณที่รัฐบาลใช้เพิ่ม ดังนั้น ในการเสนอให้มีการเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันอาจจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน เพื่อให้แนวทางที่เสนอมาก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและ SMEs อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ภาครัฐอยู่ระหว่างการพิจารณากลไกเพิ่มเติมในการให้ความช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างตรงจุด (Targeted) คุ้มค่ากับเงินงบประมาณ (Cost Effective) และเห็นผลได้จริง (Effective) และเหมาะสมกับสถานะหรือบริบทของ SMEs นอกจากนี้ สำหรับประเด็นเงิน 900,000 ล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก. Soft Loan และ พ.ร.ก. BSF นั้น หากพรรคเพื่อไทยได้ศึกษา พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับแล้ว จะพบว่า เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช้สินทรัพย์ของ ธปท. แต่เป็นเพดานวงเงินที่ ธปท. สามารถใช้อำนาจในฐานะธนาคารกลางเพื่อจัดสรรสภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบการเงิน และนำไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก. 2 ฉบับเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ข้อเสนออะไรที่เป็นประโยชน์รัฐบาลก็รับฟัง แต่ไม่ใช่ค้านไปทุกเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ทำอะไรก็ผิดไปหมด ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง และอยากบอกว่าพล.ประยุทธ์อยู่แล้วประเทศดีขึ้น ไม่ได้อยู่แบบถ่วงความเจริญปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชันเหมือนรัฐบาลในอดีต

‘เพื่อไทย’ เตรียมให้ ส.ส.ลงพื้นที่ช่วยเหลือคนแก่ หลังถูกหน่วยงานรัฐเรียกเบี้ยชราคืนย้อนหลัง ชี้ เหมือนบีบให้คนแก่ต้องรีบอำลาโลก จี้รัฐแก้ระเบียบ - นิรโทษกรรม ให้คนกลุ่มนี้ แขวะ ‘บิ๊กตู่’ และ ‘บิ๊กป้อม’ ยังเคยรับเงินหลายทาง

นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาการเรียกเงินคืนเบี้ยผู้สูงอายุกับคนชราพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องน่าอนาถใจในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนไปบีบให้เขาต้องจากไปก่อนวันที่ต้องอำลาลาจาก ทั้งที่เป็นเรื่องความผิดพลาดของหน่วยงานราชการทั้งสิ้น เพราะผู้สูงอายุไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้มีข้าราชการเพียงสองประเภทเท่านั้นที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญจากการเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ คือทหาร และตำรวจ เรียกว่าบำนาญตกทอด

กรณีนี้คล้ายกับกรณีของพล.อ.ประยุทธ์ที่อยู่บ้านพักหลวง ถ้าเป็นอาชีพอื่น เช่น ข้าราชการครูคงไม่สามารถออกระเบียบเพื่อให้อยู่บ้านพักต่อได้ เรื่องนี้กรมบัญชีกลาง และข้าราชการที่เกี่ยวข้องต้องออกมายอมรับ และแก้ไขระเบียบ คนแก่เขาไม่รู้ให้เขาเซ็นอะไรเขาก็เซ็นแล้วก็รับไปเรื่อย ๆ กรณีนี้ทำร้ายจิตใจเขามาก ข้าราชการกรมบัญชีกลางไม่มีงานทำหรือทั้งที่เขาก็เป็นคนสูญเสีย แต่นายกฯไม่สูญเสียอะไรเลย ยังได้อยู่บ้านพักใช้น้ำใช้ไฟฟรี

“พวกนี้พิเศษเพราะเป็นข้าราชการที่อยู่ในฝ่ายความมั่นคง เมื่อถึงแก่ชีวิตในหน้าที่ราชการ ก็จะมีเงินต่างๆให้ และมีบำนาญตกทอด แม้แต่วันนี้ลูกคนไหนที่พ่อแม่เสียชีวิตในหน้าที่ราชการ สามารถเข้ารับราชการต่อได้โดยไม่ต้องสอบ ขณะที่ข้าราชการอื่นไม่มีระบบแบบนี้ เช่นเดียวกับที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่บ้านพักของทางราชการได้

เพราะไปออกระเบียบว่า บุคคลที่เคยสร้างคุณูปการให้กองทัพ บ้านเมือง สามารถพักอาศัยในบ้านพักได้ วันนี้กรมบัญชีกลาง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องออกมายอมรับ เพราะคนที่บกพร่องคือข้าราชการทั้งนั้น นายกฯทำร้ายจิตใจคนแก่มาก ถ้านึกถึงตัวเองว่าไม่มีงานทำ ถ้าคิดว่าประเทศไทยจะเสียค่าโง่เหมืองทองอัคราเยอะแยะ เรื่องนี้หยุมหยิมคนเหล่านี้สูญเสีย ผมจึงวิงวอนผ่านสื่อ” นายครูมานิตย์ กล่าว

นายครูมานิตย์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม วันที่ 2 ก.พ.นี้ ตนจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมพรรคให้ ส.ส.แต่ละพื้นที่ลงไปช่วยดูแล และเรียกร้องให้สภาทนายความช่วยดูแลเรื่องนี้ เพราะผู้สูงอายุเขาไม่มีจริงๆ ขอให้แก้ระเบียบหรือออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้นึกถึงตัวเองว่าอยู่บ้านหลวงก็ฟรี ค่าน้ำก็ฟรี เงินประจำตำแหน่ง เงินต่างๆอีกจำนวนมาก จึงอยากให้นายกฯลงมาใส่ใจเรื่องนี้ ขอให้นายกฯตั้งสติหาเวลาว่างๆ หาเวลาสงสารผู้สูงอายุบ้าง เพราะเขารู้เท่าไม่ถึงการณ์จริง ๆ

ด้าน นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ขณะผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ยังเคยรับเงินหลายทาง ไม่ว่าจะจากตำแหน่งนายกฯ หัวหน้าคสช. และผบ.ทบ. ขณะที่พล.อ.ประวิตร รับเงินจากการเป็นรมว.กลาโหม และรองหัวหน้าคสช. ตนเรียกร้องให้ท่านนำเงินที่รับไปหลายทางมาคืน และนำไปช่วยคนชราที่ถูกเรียกเบี้ยยังชีพคืนจะดีกว่า

‘บิ๊กตู่’ โพสต์เฟซบุ๊ก ย้ำ ประชาชนต้องช่วยกันฝ่าโควิด อย่าฝากความหวังแค่วัคซีน หลังส่อเค้าแผนจัดส่งสะดุด แต่ยังยืนยันจะพยายามทำทุกวิถีทางให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนตามแผน

พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ว่า ช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมา มีความวุ่นวายเกิดขึ้นกับกำหนดการส่งมอบวัคซีนของหลายประเทศทั่วโลก

หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนออกมาเปิดเผยว่าการผลิตวัคซีนไม่เป็นไปตามแผน ถึงขั้นที่บางบริษัทออกมาชี้แจงว่าจำนวนวัคซีนที่จะส่งมอบให้ผู้สั่งจอง จะได้ไม่ถึงครึ่งนึงของจำนวนที่วางแผนไว้ด้วยซ้ำ ส่งผลให้หลายประเทศต้องรื้อแผนการฉีดวัคซีน และหลายประเทศจะอาจไม่สามารถดำเนินการฉีดวัคซีนได้ถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ในปีนี้

ท่ามกลางสถานการณ์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ทั่วโลก ผมอยากให้ทุกท่านทราบจุดยืนของผม

เราต้องยึดแนวทางที่ทำมาตั้งแต่ต้น ที่พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าเป็นแนวทางที่ได้ผลถูกต้อง คือ ดำเนินการเชิงรุกอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ต้น ควบคุมและป้องกันไม่ให้โควิดเข้ามาในประเทศไทย และหากเจอเล็ดลอดเข้ามา เราต้องจัดการโดยทันที คนไทยทุกคนต้องร่วมมือกัน แบบนี้คือหนทางที่จะช่วยทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่พอจะสามารถใช้ชีวิตและทำมาหากินกันได้บ้างในระดับหนึ่ง แทนที่จะเลือกใช้ชีวิตกันแบบสบาย ๆ แล้วฝากความหวังไว้ว่าวัคซีนจะมาแก้ปัญหา

นี่คือแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเห็นแล้วว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการมีโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และอาจเกิดขึ้นใหม่ได้อีก ผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวัคซีนปัจจุบันจะสามารถปกป้องเราจากโควิดทุกสายพันธุ์ใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้น

อาวุธสำคัญที่จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดอยู่ในมือของเราครับ นั่นคือทุกคนต้องทำหน้าที่เพื่อชาติ คือ สวมหน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามแนวทางสาธารณสุข และอย่าปกปิดข้อมูล ขอให้ทุกท่านอย่าคิดว่าการไม่ทำตามมาตรการบ้างนิดๆ หน่อยๆ จะไม่เป็นอะไรนะครับ สิ่งเล็กๆ ที่ทุกคนทำมีผลต่อประเทศทั้งสิ้น

สิ่งที่พวกเราได้ทำกันมา ช่วยทำให้วันนี้ พวกเราไม่ต้องเจอกับปัญหาแบบที่ประเทศอื่นยังต้องเผชิญกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการล็อกดาวน์ ปิดร้านค้า หรือห้ามออกจากบ้าน ผมขอให้ทุกคนตระหนัก และร่วมมือกันต่อไปครับ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ และจะยังคงต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนตามแผนครับ

#รวมไทยสร้างชาติ

รู้จัก​ 'มิน อ่อง หล่าย'​ หัวหน้าคณะปฏิวัติเมียนมา​ ผู้เคยเป็นลูกบุญธรรม 'ป๋าเปรม'​ และยึดแนวทางคำสั่งสอนของป๋ามาโดยตลอด

ตอนนี้ก็เรียกได้เต็มปากว่า​ ขุมอำนาจทางการเมืองในเมียนมากลับเข้าอยู่อ้อมอกของของทหารอีกครั้ง หลังจากกองทัพได้เข้าควบคุมตัวนางอองซานซูจี และผู้นำระดับสูงของรัฐบาล เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศหลังจากพ้นสภาวะฉุกเฉินในอีก 1 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม​ ต่อจากนี้​ 1​ ปี​ เมียนมาจะมีผู้กุมอำนาจเล็ดเสร็จที่สุดโดย พล.อ.อาวุโส 'มิน อ่อง หล่าย'​ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา 

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นใคร? 

มีเกร็ดเรื่องราวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมของ ‘ป๋าเปรม’ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ 

เขาเคยได้เข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในปี 2555 หลังจากที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส.เมียนมา และเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยี่ยมเยือนที่กองบัญชาการกองทัพไทย​ ซึ่งทั้งคู่ต่างพูดคุยถูกคอกันจึงทำให้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ขอเป็น ‘บุตรบุญธรรม’ ตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นทุกครั้งที่มาเยือนไทยก็จะเข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ เสมอ

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นับถือ ‘ป๋าเปรม’ เป็นเสมือนบิดา ก็เพราะบิดาของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย อายุมากกว่า ‘ป๋าเปรม’ 1 ปี โดยบิดาของเขาได้เสียชีวิตไปเมื่อปี 2545

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 62 พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และคณะนายทหารเมียนมา ในฐานะบุตรชายบุญธรรมของ 'ป๋าเปรม'​ ก็ได้เดินทางมาลงนามเพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ 'ป๋าเปรม'​ ด้วย

ในครั้งนั้น พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวภายหลังลงนามไว้อาลัยถึงความรู้สึกหลังจากที่ทราบข่าวการสูญเสีย พล.อ.เปรม ว่าเหมือนตนสูญเสียบิดาไปท่านหนึ่งว่า... 

“พล.อ.เปรม เป็นบุคลากรที่สำคัญเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มากมาย ทั้งการทหาร การเมือง และหลายๆ ด้านของประเทศไทย

ส่วนใหญ่ที่ผมได้พบกับท่านก็จะพูดคุยในเรื่องของประสบการณ์ดีๆ ของท่านให้ฟัง และจะมีคำแนะนำว่าสิ่งใดที่ดี ที่ควรทำซึ่งเมื่อเจอกันก็จะพูดในเรื่องนี้ทุกครั้ง” ผบ.ทสส.เมียนมากล่าว

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่ตนจะเป็น ผบ.ทสส. ไม่เคยได้เข้าพบ พล.อ.เปรมเลย จนกระทั่งได้เป็น ผบ.ทสส.แล้วจึงได้เข้าพบ พล.อ.เปรม และได้นั่งเคียงข้างกัน ได้จับมือกัน ถ้ามีเรื่องอะไรที่สำคัญก็จะจับมือคุยกันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน​ ตนจึงเปรียบ พล.อ.เปรม เหมือนบิดา 

คำสั่งสอนต่างๆ ของ พล.อ.เปรมก็มีมากมาย ประกอบด้วย 2 ประเด็น คือ...

1.) ทางด้านการเมือง ก็จะพูดถึงประชาธิปไตย ก็จะต้องเป็นประชาธิปไตยของประเทศของตนเอง หรือประเทศใครประเทศคนนั้นให้เหมาะสมกับประเทศตนเอง

และประเด็นที่ 2.) ที่ พล.อ.เปรมพูดอยู่เสมอว่า เราเกิดในแผ่นดินนี้ เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ 

ผบ.ทสส.เมียนมา​ กล่าวว่า อีกประเด็นหนึ่งที่ พล.อ.เปรมพูดถึงในฐานะที่ท่านเป็นประธานองคมนตรี และตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอว่า การลดจำนวนคนยากคนจน​

โดยในขณะนั้นประเทศไทยมีคนจนประมาณ 10 ล้านคน แล้วท่านก็ได้ให้ข้อคิดกับประเทศเมียนมาในฐานะที่เราสองประเทศเป็นประเทศทางการเกษตร เราต้องพยายามลดคนยากจน​ โดยใช้การเกษตรดำเนินการ และท่านได้สอนการเป็นผู้นำว่าเราต้องเป็นตัวอย่างให้ชั้นผู้น้อยเราต้องมีความยุติธรรมกับชั้นผู้น้อยของเรา ซึ่งตนก็ปฏิบัติมาโดยตลอด และเมื่อได้คำสอนมาจาก พล.อ.เปรม ตนก็ได้เดินอย่างมั่นคง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านสั่งสอน

เขาทิ้งท้ายอีกว่า​ "คำที่ พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอ  คือ​ เมื่อทำอะไรให้ประเทศชาติ เราต้องมีน้ำใจ และมอบใจให้กับประเทศชาติ”



ที่มา: 
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4033929856640056&id=100000692431266
 

เปิดเส้นทาง ‘สรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ นักการเมืองสายเลือดใหม่ ที่คนชลบุรี ภูมิใจนำเสนอ พร้อมภารกิจสำคัญ!! หัวโต๊ะประธาน กมธ. วัตถุอันตราย

ย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้าเลือกตั้งปี 60 ความต้องการ ‘นักการเมือง’ เข้ามาในสภาฯ เพราะเชื่อว่ามีไฟและแรงตั้งใจในการทำงานการเมืองสร้างสรรค์กว่า ‘คนเก่าๆ’ การเมืองเก่าๆ

นั่นจึงทำให้ประชาชนในหลายเขตพื้นที่ ต่างเฝ้ารอ ‘เลือกกา’ คนรุ่นใหม่ ที่จะมาช่วยเหลือปัญหาพื้นที่ของตนแบบพลิกโฉม!!

วันนี้ The States Times จะพาไปพบกับหนึ่งในนักการเมืองเลือดใหม่ ‘สรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ผู้ที่พิสูจน์ตนเองบนเส้นทางแห่งนี้ จนทำให้ผู้ใหญ่หลายคนยอมรับและกล้ามอบหมายหน้าที่สำคัญๆ ให้เพียบ!!

‘นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เริ่มฉายแววความเก่งฉกาจ จากพลังและความคิดสร้างสรรค์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่นำเสนอนโยบายต่างๆ จนชื่อของ สรวุฒิ กลายเป็นแคนดิเดต ในการรับมอบภารกิจใหม่ๆ บ่อยขึ้น ล่าสุด ก็ถูกวางตัวเป็นมือกระบี่ในการดูแลภารกิจใหญ่ อย่าง ‘การควบคุมวัตถุอันตราย’ ซึ่งการพิจารณาวัตถุอันตรายมีความซับซ้อนทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือแม้แต่องค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้ความสามารถในเชิงลึก เพื่อดำเนินการดังกล่าวกรณีจึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย โดยให้มีผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเพื่อให้การพิจารณาวัตถุอันตรายมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยเมื่อปลายเดือนมกราคม 64 ที่รัฐสภา ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่...) พ.ศ. ... นัดแรก มีการพิจารณาเลือกตำแหน่งต่างๆ ใน กมธ. และชื่อของ ‘นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้รับเลือกเป็นประธานกมธ. ด้านนี้

ภายหลังการเข้ารับบทบาทใหม่ สรวุฒิ เล่าว่า “ตอนนี้อยู่ในหลักการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.ฯ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายและกำหนดอำนาจของรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการได้มา รวมทั้งการขึ้นบัญชี ผู้เชี่ยวชาญองค์กร ผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อัตราค่าบัตรขึ้นบัญชีสูงสุดและค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุด ประเภทค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอและกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายรวมทั้งหลักเกณฑ์ในการรับเงินการจ่ายเงินและการเก็บรักษาเงินดังกล่าว ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างมาก”

ทั้งนี้หากมองพื้นเพเดิมของ สรวุฒิ เขาเป็นเด็กกรุงเทพฯ ครึ่งหนึ่ง ต่างจังหวัดครึ่งหนึ่ง เรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก โดยพกดีกรีด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือเก่งด้านการเงินและการธนาคาร (ไฟแนนซ์) ติดตัวมา และมีสไตล์การทำงานแบบหัวคิดต่อยอด ทำให้เขาสามารถสานต่อธุรกิจต่างๆ ของครอบครัวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเกษตรกรรม ไร่อ้อย ไร่ยาง ไร่ปาล์ม กิจการตลาด หลังจากเคยได้เข้าร่วมรั้วองค์กรใหญ่อย่าง ‘ซีพี’ สังกัดสำนักบริหารกลางของเครือ ที่ดูแลเซเว่นอีเลฟเว่น การลงทุนในจีนในช่วงระยะหนึ่ง

ในระหว่างที่ดูแลธุรกิจหลากหลายอย่าง เขาก็ได้มีโอกาสคลุกคลีกับประชาชนที่อยู่ในห่วงโซ่นี้ไปในตัว จนหลายครั้งก็ช่วยเข้าไปแก้ปัญหาต่างๆ ของประชาชนได้ด้วย เรียกว่าเก่งทั้งการบริหารธุรกิจและแถมยังเข้าใจระบบนิเวศน์ของปัญหา ‘ประชาชน’ ไปได้พร้อมๆ กันเลยทีเดียว

ย่างก้าวบนเส้นทางการเมืองในวันนี้ของ ส.ส.ต้น สรวุฒิ จึงเรียกได้ว่าเป็นทั้งความภูมิใจของครอบครัว พรรคพลังประชารัฐที่กล้ามอบงานท้าทายๆ ให้ลอง โดยมีกองเชียร์ชาวชลฯ ที่พูดเป็นเสียงเดียวว่า ส.ส.คนนี้ เป็นความภูมิใจที่น่าจับตาจริงๆ...

แหล่งที่มา:

https://www.matichon.co.th/prachachuen/interview/news_1264827

https://www.naewna.com/politic/549136

 

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลง

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างน่าสนใจผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ว่า...

เรื่องอัตราค่าโดยสารใหม่ของ BTS คงเป็นเรื่องกังวลใจของพวกเราหลาย ๆ คน เพราะจำนวนคนที่ใช้รถไฟฟ้า BTS ก่อนโควิด มีถึงเกือบ 700,000 คนเที่ยวต่อวัน

แล้วมีทางไหนไหม ที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง?

วิธีหนึ่งที่หลาย ๆ ประเทศในโลกใช้กัน คือ เพิ่มรายได้ในส่วนของ Non-Fare

รายได้จากกิจการรถไฟฟ้าหรือ กิจการขนส่งทั่วๆ ไป เราอาจมีรายได้ในสองรูปแบบ คือ...

1.) Fare Revenue รายได้จากค่าตั๋วโดยสาร

2.) Non-Fare Revenue รายได้จากกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าพื้นที่ ประโยชน์จากการเชื่อมต่อสถานี

จำนวนผู้โดยสารที่ผ่านระบบมากถึง 700,000 คน - เที่ยวต่อวัน ทำให้พื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้า ในขบวนรถไฟฟ้า ราวจับ รวมถึงรอบตัวรถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งเสาโครงสร้างรถไฟฟ้า มีมูลค่าสำหรับการโฆษณาสูงมาก

เราคงจะไม่เห็นพื้นที่ไหนที่มีการโฆษณามากเท่ากับพื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้าแล้ว

อย่างในกรณีของ MTR ของฮ่องกง ในปี 2017 มีรายได้จาก Fare Revenue 63% และ Non-Fare Revenue 37%

สำหรับในส่วนของกทม. ผมเชื่อว่าถ้าเราบริหารจัดการให้ดี ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนให้ดี เราสามารถนำรายได้ในส่วนของ Non - Fare มาช่วยเสริมรายได้จากค่าโดยสารอีกไม่น้อยกว่า 20%

จากข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เราพอจะหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบคร่าวๆ ได้ดังนี้

รายได้จากค่าโดยสารของรถไฟฟ้า BTS ในส่วนสายหลักระยะทาง 23.5 กิโลเมตร (สายสุขุมวิท จากสถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุชและสายสีลม จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) ในปี 2562 - 2563 เก็บค่าโดยสารได้รวม 6,814.24 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้จากการโฆษณาและให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้า BTS ในปี 2562 - 2563 สูงถึง 2,183.89 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้จากค่าโดยสาร

ในอนาคต เมื่อสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดลง ถ้าเรามีการประมูลที่โปร่งใส ยุติธรรมกับทุกฝ่าย มีการนำรายได้อื่นๆ จากรถไฟฟ้ามาช่วยสนับสนุนค่าโดยสาร จะช่วยทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงได้ครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/532747176786139/posts/3864920170235473/

ส.ส.พลังประชารัฐ ขอพรรคการเมือง เลิกตีตราจอง แสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ ชี้ควรเคารพเสียงของประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจเลือกคนมาทำงานเป็นตัวแทน แนะพรรคการเมืองควรทำหน้าที่เป็นตัวเลือก ไม่ใช่ผู้ชี้ขาด

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึง กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ส่งตัวแทน คือ นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช แทน นายเทพไท เสนพงศ์ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง ว่า เป็นเพราะตนเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

การที่พรรคส่งตัวแทนผู้สมัคร นั่นหมายความว่า พรรคไม่สนับสนุนให้มี “การตีตราจอง” ว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ และ ยืนยันว่า จะไม่มี “การฮั้วกันทางการเมือง” แต่เป็นการเพิ่มช่องทางตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับประชาชน

“30 ปี ที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ต้องเผชิญกับคำว่า "พรรคของเรา คนของเรา" มาโดยตลอด คนภายนอกอาจมองว่า พื้นที่นี้มีแต่พรรคการเมือง พรรคเดียวเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว ในสนามเลือกตั้งไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ที่แท้จริงนอกจากพี่น้องประชาชน”

สำหรับวันนี้บ้านเมืองอยู่ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเลือกตั้งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบอบประชาธิปไตย จึงควรที่จะต้องมาจากคะแนนเสียงที่บริสุทธิ์ของพี่น้องประชาชน ในฐานะพรรคการเมือง เราเป็นเพียงตัวเลือกของพี่น้องประชาชน ในการเสนอตัวรับใช้ ไม่ใช่ “การตีตราจอง” ว่า พื้นที่นี้เป็นของฉัน หรือพื้นที่นี้เป็นของพรรคใดพรรคหนึ่ง

และ ผมเชื่อว่า “การฮั้ว” กัน ไม่ใช่หนทางของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง และยังขัดต่อหลักการอย่างที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการกระทำที่ปิดโอกาสทางเลือกให้พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกผู้แทนที่เขาอยากเลือก เพื่อมาทำงานรับใช้เขา

“สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันในหลักการมาโดยตลอดคือ เราต้องให้ความเคารพต่อคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน แม้ว่าเขาไม่ได้เลือกเรา แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะต้องพ่ายแพ้ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ เราไม่เคยตีโพยตีพาย แต่เราต้องใช้สถานการณ์ดังกล่าวในการคิดทบทวน และปรับปรุงตัวเราเอง”

อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ เคารพและถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่พี่น้องประชาชน ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนของพรรค เราเชื่อว่าทุกคะแนนเสียงที่ได้รับ คือ “คะแนนบริสุทธิ์” ที่พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตัวแทนของเขาแล้ว และคือผู้ให้โอกาสเราได้ทำงานตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจนั้น โดยเราพร้อมที่จะยอมรับกติกาที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เหรียญอีกด้านที่เผยเบื้องลึกอีกมุมจากการรัฐประหารในพม่า โดย ‘นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว’ นักเขียนสารคดีชื่อดังและนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนหญิง บุตรสาวอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์ด้านภาษาไทย

…เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ติดต่อส่งข่าวจาก Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 1 Feb 2021 7:02 ว่า ‘อองซาน ซูจี’ ถูกทหารเมียนมาควบคุมตัว พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงพรรค NLD โดยการควบคุมตัวนางซูจีเกิดขึ้น หลังจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพเมียนมาได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดการรัฐประหารหลังจากกองทัพเมียนมาอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

นายเมียว ยุนต์ โฆษกพรรค NLD เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า นางซูจี, นายอู วินมิ่นท์ ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำคนอื่นๆ ของเมียนมา ได้ถูกควบคุมตัวในช่วงเช้านี้ “ผมต้องการจะบอกกับประชาชนของเราว่าอย่าตอบโต้อย่างผลีผลาม และผมต้องการให้พวกเขาทำตามกฏหมาย” นายเมียวกล่าวและคาดว่าตัวเขาก็คงจะถูกควบคุมตัวด้วยเช่นกัน

ดิฉันจึงเริ่มประสานงานตรวจเช็คจากเพื่อน ๆ แหล่งข่าวกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนที่ทำงานอยู่ชายแดนไทย และในเมียนมา โดยในยามสายได้มีข่าวจากกลุ่มชาติพันธุ์ชัดเจนแล้วว่า นายพล มิน อ่อง หล่าย เป็นผู้นำรัฐประหาร ตอนนี้ทหารพม่าได้เข้าจับกุม นักการเมืองท้องถิ่นที่รัฐบาลซูจีของพรรค NLD แต่งตั้งให้ทำงานอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ดังที่ท่าขี้เหล็กผู้นำท้องถิ่นสังกัดพรรค NLD ของซูจีโดนรวบแล้ว และตามเมืองต่างๆ ทหารได้เข้าล็อคตัวผู้นำที่รัฐบาลซูจีแต่งตั้งไว้แล้ว แต่ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำงานทางการเมืองโดยตรง ยังไม่โดนอะไร

สำหรับในประเทศเมียนมา ดิฉันได้ประสานงานกับเพื่อนสัญชาติพม่าที่อยู่ในเมียนมา เขาบอกชีวิตชาวบ้านและทุกอย่างยังสงบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เพิ่งมีประกาศเป็นทางการในทีวีพม่าว่า มีการแต่งตั้งอูมินส่วย รองประธานาธิบดีพม่าคนที่ 1 ขึ้นรักษาการประธานาธิบดีชั่วคราว ทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ ให้โปร่งใสกว่านี้

ข้อมูลที่เป็นไฮไลท์จาก นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ได้เผยว่า...

นี่เป็นข้อมูลที่ดิฉันรวบรวมจากเพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ และติดต่อทางสื่อออนไลน์คุยกับเพื่อนในเมียนมา โดยได้รับทราบมาตลอดหลายปี และรวบรวมเหตุการณ์รัฐประหารวันนี้ มีดังนี้

1.) การรัฐประหารครั้งนี้ ทั้งประชาชนพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก เป็นส่วนใหญ่ก็ว่าได้ ‘เห็นด้วยกับทหาร’ และประชาชนไม่เอาด้วยกับซูจีและนักการเมืองพรรค NLD

2.) สำหรับทางกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว แม้หลายปีมานี้ ในช่วงรัฐบาลซูจี ทางซูจีจะช่วยชนกลุ่มน้อยหลายอย่าง แต่ก็เหยียบย่ำบีบคั้น ชนกลุ่มน้อยมาก โดยบังคับให้ผู้นำทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต้องพูดภาษาพม่าในรัฐสภา, กระทั่งนักการเมืองพรรค NLD เองจะเสนอแนวคิดใดในสภา ก็ต้องนำเสนอประเด็นที่จะพูดในรัฐสภากับซูจีก่อน จึงจะได้รับโอกาสให้เสนอความเห็นในสภาได้

3.) นักการเมืองเมียนมาจำนวนมาก และกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มเจอเรื่องสุดแสบจากซูจีมาตลอด 5 ปี จนเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ จนกระทั่งมีนักการเมืองรุ่นใหม่ทั้งของเมียนมาและชนกลุ่มน้อย ไม่เอากับ NLD และเข้ารวมตัวกันกับทหารรุ่นใหม่ เข้าสู่สนามเลือกตั้งในช่วงการเลือกตั้งปลายปีที่ผ่านมา

4.) เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์บอกกำลังตรวจเช็ค จะเป็นการรัฐประหารยาวหรือทำแค่ควบคุมระยะสั้น เพราะตอนนี้เป็นช่วงเลือกตั้งเสร็จใหม่ๆ เหลือเวลาให้ต้องเปิดรัฐสภาให้ได้ภายใน 10 วัน ถ้าเปิดสภาไม่ได้ ผลเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ ทหารต้องการให้ผลเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะโกงมาก และทางซูจีจะต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่แน่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเอื้อกับการใช้อำนาจของทหารมาก ดังนั้นทหารต้องยึดอำนาจ ตรงนี้กลุ่มชาติพันธุ์ก็ต้องการที่สุดในการแก้ รธน. แต่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มชาติพันธุ์ก็ถูกบีบบังคับอย่างที่สุดจากซูจีด้วย และกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากได้เมินเฉยไม่เอากับรัฐบาลซูจีไปมากแล้วด้วย

5.) ดิฉันได้สัมภาษณ์ออนไลน์กับเพื่อนสัญชาติเมียนมา เขาอยู่กลางเมืองใหญ่ในเมียนมา เขาให้รายละเอียดว่า ขณะนี้ทั้งประเทศไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่ WIFI ธนาคารก็หยุดชั่วคราว เมื่อเช้านักการเมืองถูกคุมตัวที่เนปิดอว์ 31 คน ทั้งหมดเป็นคน NLD ของซูจี และพรรคอื่นๆ ซูจีก็โดนด้วย นักการเมืองมาชุมนุมกันที่เนปีดอว์ตอนเช้า เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ในประเทศเมียนมายังไม่มีประกาศอะไร ทีวีช่องต่างๆ ในเมียนมาไม่เปิด มีแต่ทีวีช่องทหารอันเดียว ซึ่งที่ออกอากาศให้ประชาชนดูกันอยู่ก็ไม่มีข่าวปัจจุบัน ไม่มีข่าวใหม่ มีแต่ข่าวเมื่อ 2 - 3 วันก่อน

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเมียนมาและผู้ใหญ่ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่พบปะติดต่อกัน มีความเห็นว่า ‘ดีที่มีการรัฐประหาร’ เพราะNLDของซูจี โกงเลือกตั้งมาก คนตายแล้วยังมีชื่อไปเลือกตั้ง บางคนชื่อมีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่ถึง 3-4 เมือง และมีการไปเลือกตั้งทุกเมือง, คนไม่มีบัตรประชาชน คนอายุไม่ถึงเกณฑ์ ยังเข้าไปเลือกตั้งได้ หลายเมืองมากที่เสียงคนลงคะแนนเกินจำนวนคนมีสิทธิ์จริง การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในพม่า มีการโกงอย่างโจ่งแจ้ง เละเทะมาก

กระทั่งทหารเอง นายพล มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ให้ตรวจสอบการโกงเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมก่อนเปิดสภา เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยจริง ไม่สะอาด ไม่ถูกต้อง มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ซูจีและNLD ก็ไม่ฟัง จะเปิดสภาให้ได้

จนเมื่อ 3 - 4 วันก่อน ทหารกับNLD ประชุมกันที่เนปีดอว์ ทหารขอให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งก่อน ให้ประชาชนได้เห็นความยุติธรรม ความสะอาดโปร่งใสก่อนค่อยเปิดสภา แต่ซูจีและNLD ไม่ยอม ยืนยันจะเปิดสภาให้ได้

6.) การรัฐประหารครั้งนี้ คนเมียนมาและผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์เห็นด้วย เพื่อนดิฉันที่เคยถูกทหารพม่าจับติดคุก และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด ยืนยันว่า ดีที่มีการรัฐประหาร เขาเห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะทหารไม่ได้มายึดอำนาจเหมือนครั้งก่อน แต่ทหารมาเป็นนายกสภา อูมินส่วย มารักษาการประธานาธิบดี ภายใน 1 ปีจะมีการเลือกตั้งใหม่

ที่คนจำนวนมาก ผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากเห็นด้วยกับการยึดอำนาจของทหารครั้งนี้ เพราะตลอดหลายปีในการปกครองของซูจีและรัฐบาลพรรคNLD ซูจีได้ทำในหลายสิ่งที่ประชาชนต่อต้าน ไม่เห็นด้วย เป็นการกระทำที่แย่มากๆ ตัวอย่างเช่น ซูจีไปเอาคนยุโรป ฝรั่งต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาประเทศจำนวนถึงประมาณ 90 กว่าคน แต่ละคนต้องจ่ายเงินเดือนเขาอย่างน้อยเดือนละ 2000 USดอลลาร์ (60,000บาท) ทั้งที่ประเทศเมียนมาร์ยากจนมาก ประชาชนยากจนมาก ไม่มีเงิน

แต่ซูจีเอางบประมาณชาติมาผลาญ ตลอด 5 ปีของรัฐบาลซูจีเสียเงินไปมาก ทั้งที่คนพม่าเองที่เก่งๆ มีความรู้ในเมืองก็มีมาก ซูจีไม่เอาไปปรึกษา เธอเห็นแก่ชาติตะวันตก ประเทศเมียนมาของเราจะเอาแบบตะวันตกไม่ได้ เราไม่เหมือนกัน ชนกลุ่มน้อยก็มีมาก คนไม่มีการศึกษาก็มาก ตลอด 5 ปีของการปกครองของซูจี บ้านเมืองไม่ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเลย งบประมาณที่ซูจีเอาไปให้ที่ปรึกษาฝรั่ง เอามาช่วยการศึกษาดีกว่า แต่ซูจีและNLD ไม่ทำ

ที่สำคัญซูจีไม่เห็นหัวชนกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากเอาคนของกลุ่มชาติพันธุ์เข้าร่วมทำงานการเมืองในสภา ซูจีไม่เอาอย่างชัดเจนมาก ดังนั้นรัฐประหารครั้งนี้น่าจะดีกับประเทศของเรา มากกว่าปล่อยให้ซูจีเปิดสภาแล้วตั้งรัฐบาลปกครองประเทศต่อไป

ทั้งหมดนี้ดิฉันรวบรวมจากการสัมภาษณ์เพื่อนสัญชาติพม่า และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ในช่วงครึ่งวันที่ผ่านมา


ที่มา:

https://www.facebook.com/1190754654403357/posts/2485003138311829/

https://www.thaipost.net/main/detail/91873

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ‘ศิริภา อินทวิเชียร’ สวนกลับ ‘สัณหพจน์ สุขศรีเมือง’ อย่าดูถูกเสียงประชาชน ลั่นไม่มีใครตีตราจอง นอกจากประชาชนเลือกเอง พร้อมยก ‘ประชาธิปัตย์’ เก่าแก่ควรค่าเป็นดัง ‘ไม้ยืนต้น’ ส่วนพรรคเกิดใหม่ยังเป็นได้แค่ไม้ล้มลุก

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง กรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ได้กล่าวถีง การเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ว่า อย่าดูถูกประชาชน ว่าพรรคการเมืองใดตีตราจองในเขตเลือกตั้ง เพราะการที่พรรคการเมืองใดที่ได้รับการเลือกตั้งในเขตนั้นๆติดต่อกัน ไม่ใช่พรรคการเมืองตีตราจอง

แต่เป็นเพราะเสียงของประชาชนจองพรรคนั้น และไม่มีผู้แทนในพื้นที่ หรือพรรคการเมืองใดจะจองได้ หากประชาชนไม่เอาด้วยก็ไม่มีทางได้รับความไว้วางใจ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นมีหลายเขตที่ต้องดูกันยาวๆ อย่าพยายามยกหางตัวเอง กลองที่ตีเสียงดังดีคือหนังแท้ กลองที่ตีได้ครั้งเดียวคือหนังเปื่อย

ส่วนเรื่องฮั้วกันในทางการเมือง พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันจะทราบดี และเมื่อถึงวันเลือกตั้งก็จะรู้ว่าใครฮั้วกับพรรคไหน

ทั้งนี้ ตลอด 74 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหลักให้กับประเทศ ยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งมั่นทำงาน เคารพเสียงประชาชน พรรคของเรา คนของเรา เป็นความภูมิใจของประชาชนที่มีส่วนเป็นเจ้าของพรรค

เมื่อคัดเลือกคนที่ไปลงเลือกตั้งก็ต้องแน่นอนได้ว่าเป็นคนของพรรคและเป็นคนของประชาชน ดังนั้นอย่าดูถูกความรักความศรัทธาของประชาชน ในอนาคตจะมีอีกหลายพรรคที่เราจะรู้ได้ว่าเป็นพรรคที่ยั่งยืนหรือฉาบฉวยหรือไม่ เช่นเดียวกับนักการเมืองที่มีหลักการ ซื่อสัตย์สุจริต ก็ต้องใช้เวลาดูแบบไม้ยืนต้น เพราะถ้าเป็นไม้ล้มลุกจะใช้เวลาดูไม่นานก็จะรู้ว่าไม่ยั่งยืนเหมือนไม้ยืนต้น

‘แรมโบ้’ ทำจดหมายเปิดผนึกด่วน ถึง ผู้นำฝ่ายค้าน จี้ถาม 7 ข้อ ขอให้ตอบปมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘บิ๊กตู่’ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเรียน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ตามข้อเรียกร้องที่ผม นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอแนวทางและเรียกร้องให้ท่าน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ขอให้มีการถอน ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือแก้ไขญัตติใหม่ ในประเด็นข้อกล่าวหานายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นความไม่เหมาะสมและอาจจะเกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

และจะสร้างปรากฏการณ์ความเสื่อมเสียอันก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พี่น้องประชาชนคนไทย จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายก้าวล่วง จาบจ้วง บิดเบือน ใส่ร้ายให้สถาบันกษัตริย์เกิดความเสียหายได้ อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคนไทยทั้งประเทศ เพราะเจตนาของพรรคการเมืองบางพรรคที่มีพฤติกรรมในการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขที่ได้ปกครองประเทศอย่างสงบสุขร่มเย็นมาเป็นระยะเวลาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

กระผมจึงขอตั้งคำถามถึงนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดังนี้

1.) ท่าน และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งใจวางแผนร่วมมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการเสนอญัตติที่อัปยศอดสูที่สุดตั้งแต่เคยมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมา เพราะเป็นความต้องการให้มีการอภิปรายถึงสถาบันเบื้องสูง มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันใช่หรือไม่

2.) หากมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายพาดพิง ก้าวร้าว ป้ายสี จาบจ้วง ก้าวล่วง บิดเบือนข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสถาบันเบื้องสูง ท่านในฐานะผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ได้ร่วมยื่นญัตติร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในครั้งนี้ จะรับผิดชอบอย่างไร

3.) ท่าน และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีความจงรักภักดีและปกป้องสถาบันกษัตริย์หรือไม่ เพราะผู้นำฝ่ายค้านได้รับโปรดเกล้าฯ จากในหลวง รัชกาลที่ 10 ควรที่จะช่วยกันปกป้องสถาบันใช่หรือไม่

4.) ถ้ามีการอภิปรายพาดพิงสถาบันให้เกิดความเสียหายและเกิดผลกระทบต่อจิตใจของพี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ จนเกิดความแตกแยกมากขึ้นในบ้านเมือง พรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอย่างไร

5.) ท่าน และพรรคเพื่อไทย ไม่กลัวประชาชนเข้าใจว่ามีส่วนร่วมในการวางแผนล้มล้างสถาบันกษัตริย์เหมือนกับกลุ่มก้าวหน้า โดยการนำของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ท่านจะอธิบายประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างไรว่า ท่าน และพรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

6.) ท่าน และพรรคเพื่อไทย ไม่กลัวว่าในการเลือกตั้งหาเสียงในสมัยหน้าจะไปลงพื้นที่ในจังหวัดใดก็ตาม จะถูกประชาชนออกมาประท้วงต่อต้านและเปิดเพลงหนักแผ่นดินขับไล่ดังเช่นกลุ่มก้าวหน้า จนส่งผลไม่ได้รับการเลือกตั้ง นายก อบจ. แม้แต่เขตเลือกตั้งเดียว ซึ่งพรรคเพื่อไทยอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่เขตเลือกตั้งเดียวในการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะถูกต่อต้านจากประชาชนดังเช่นกลุ่มก้าวหน้า ท่านไม่กลัวเช่นนั้นใช่หรือไม่

7.) ท่านจะตอบคำถามให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่มีจำนวนมากทั่วประเทศให้เข้าใจและหายสงสัยอย่างไรว่า ท่านและพรรคเพื่อไทยไม่เป็นเครื่องมือให้กับพรรคและกลุ่มที่คิดล้มล้างสถาบันเบื้องสูง เพราะพฤติกรรมของท่าน และพรรคเพื่อไทยเจตนาจงใจกล้าร่วมมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ในครั้งนี้

กระผมจึงเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยขอให้ท่านได้ชี้แจงและอธิบายคำตอบให้พี่น้องประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และสมาชิกพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศได้ทราบข้อเท็จจริง เพื่อที่จะได้หายเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดความกระจ่างและสบายใจมาในครั้งนี้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงได้รับคำตอบที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ต่อสถาบันและความทุกข์ใจของพี่น้องประชาชนผู้จงรักภักดีและปกป้องสถาบันต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

(แรมโบ้ อีสาน)

5 กุมภาพันธ์ 2564


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top