อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ชี้ถึงเวลาแล้วที่กองทัพ ต้องสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบ กรณีซ้อมพลทหารเกินกว่าเหตุ

เรืออากาศโทธนเดช เพ็งสุข อดีตผู้สมัครส.ส. พรรคอนาคตใหม่ เขตลาดพร้าว- วังทองหลาง กล่าวถึงกรณีที่สองทหารเกณฑ์สังกัดค่ายทหารใน จ.ชลบุรี เข้าร้องเรียนว่าถูกทหารครูฝึกและผู้ช่วยซ้อมจนได้รับบาดเจ็บ เหตุร่วมกันแอบเสพกัญชาว่า ถ้ากองทัพยังไม่สร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ เจ็บหรือตายปริศนาใน ‘ค่ายทหาร’ ก็คงเกิดขึ้นอีก

พร้อมระบุว่า ตนเห็น 2 ข่าวเกี่ยวกับกองทัพช่วงนี้ เรื่องเดียวกันแต่รู้สึกเป็นสองอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ข่าวแรก เป็นเรื่องน่ายินดีครับ แม้ว่ากองทัพจะไม่ได้ทำตามข้อเสนอของอดีตพรรคอนาคตใหม่ เรื่องการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารเพื่อเปลี่ยนไปเป็นการรับโดยสมัครใจทั้งหมด รวมถึงยังไม่ได้ปรับรูปแบบการฝึกและสวัสดิการต่างๆเพื่อวางโครงสร้างของกองทัพใหม่ให้เป็นทหารอาชีพ แต่อย่างน้อยก็พอเห็นทิศทางที่ดี

ที่ในที่สุดเสียงของพวกเราและเสียงของประชาชนก็ดังพอที่จะทำให้กองทัพต้องเลือกที่จะปรับตัวบ้าง ด้วยการเปิดรับสมัครพลทหารและเปิดโอกาสให้ ร้อยละ 80 สามารถเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกได้ และถ้าใครเรียนดีอีก 20 คน ก็จะมีโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งการเริ่มต้นแบบนี้ ผมมองว่าทำให้กองทัพมีโอกาสปรับตัวเป็นกองทัพทันสมัย มีทหารอาชีพมาประจำการได้ในอนาคต

แต่โอกาสของประเทศไทยก็ดูเหมือนจะสะดุดลงอีก เมื่อข่าวที่ 2 เกิดขึ้นตามมาติดๆ และถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปใครๆก็คงไม่อยากมาสมัครเป็นทหารแน่ ๆ ก็เป็นเรื่องราวที่ได้ยินกันซ้ำๆเดิมครับ นั่นก็คือ เรื่องการซ้อมทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา พลทหาร 2 นาย ถูกครูฝึกจับได้ว่าลักลอบสูบกัญชา ครูฝึกและผู้ช่วยจึงสั่งลงโทษด้วยการใช้ไม้ตีตามแขน ขา หลัง และก้นจนไม้หัก

ให้แถกปลาหมอจนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปหมด ซึ่งบาดแผลเหล่านี้ก็ยังเห็นได้ชัดสามารถหาดูภาพข่าวได้ไม่ยาก เขาเล่าว่าครูฝึกยังลากสายยางฉีดน้ำกรอกปากและยังพยายามจะทรมานอื่น ๆ อีก โชคดีที่กรณีนี้ยังไม่ถึงขั้นเสียชีวิต เพราะทั้งสองคนหลบหนีออกมาแจ้งตำรวจเสียก่อน

แน่นอนว่า ในรายละเอียดเรื่องนี้คงต้องฟังความจากทั้งสองฝ่ายว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ประเด็นสำคัญที่จะต้องตั้งคำถามกันต่อไปก็คือการลงโทษทหารเกณฑ์ในค่ายทหารมีขอบเขตแค่ไหน มิใช่ผู้บังคับบัญชาจะสามารถลงโทษพวกเขาได้ปางตายได้บ่อยครั้ง

ทำไมเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอมีเรื่องทีก็ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกันที แล้วก็ผ่านไปรอเหตุใหม่เกิดขึ้นอีก วนเวียนไปเรื่อย ๆ ผมมองว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นปัญหาของวัฒนธรรมองค์กร

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกองทัพจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปเพื่อให้มีระบบดูแลตรวจสอบที่ชัดเจน มีช่องทางให้ผู้น้อยมีช่องทางที่สามารถร้องเรียนปัญหาหรือเอาผิดผู้บังคับบัญชาได้จริง ไม่ใช่แบบที่อดีต ผบ.ทบ.ท่านหนึ่งบอกให้ต่อสายตรงถึงได้

แต่พอทำจริงก็เกิดกรณีแบบ ‘หมู่อาร์ม’ เกิดขึ้น หรือต้องไม่ใช่การลงโทษแบบแค่ย้ายไปแขวนไว้รอกระแสลด แล้วย้ายกลับมาเมื่อเรื่องเงียบ เอาตัวอย่างง่าย ๆ เห็นกันชัด ๆ ก็เช่น กรณีเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ขนาดเป็นต้นเหตุของการระบาดโควิดคลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี ย้ายไปไม่ทันข้ามปีก็ได้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมแล้ว สำหรับผม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหานี้นี้ได้จริงคือ ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะต้องสร้าง ‘วัฒนธรรมความรับผิดชอบ’ ให้เกิดขึ้นให้ได้

ท่าทีของผู้นำยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหา แต่หลังกรณีนี้เกิดขึ้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ก็ยังคงพูดเหมือนทุกๆครั้ง เช่น ต้องมีการสอบสวน ใครผิดก็ต้องรับโทษ ได้เตือนไปหลายครั้งแล้วในเรื่องการลงโทษต้องพิจารณาให้เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบวินัยทหาร ฟังดูเหมือนมีเหตุผลนะครับ

ซึ่งถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกผมคงไม่ติดใจอะไรมากนัก แต่นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนผมเชื่อว่า สำหรับทหารทั้งกองทัพแล้ว การพูดแบบนี้ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะในความเป็นจริงองค์กรอย่างกองทัพตอนนี้พร้อมที่จะมีระบบหรือกลไกช่วยเหลือบุคคลระดับผู้บังคับบัญชาเต็มไปหมด ในขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาแทบไม่มีอะไรคุ้มครองได้เลย อย่างกรณี 2 พลทหารนี้ เมื่อกระแสหมดลง กลับเข้ากรมกองเมื่อไหร่ ใครๆก็คงสามารถจินตนาการได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่หากไม่กลับไปก็จะกลายเป็นการหนีทหารไม่สามารถปลดประจำการได้ การที่ใครๆก็คิดแบบนี้ได้อย่างเป็นปกตินี่ก็คือความไม่ปกติอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ลองไปดูตัวอย่างจากต่างประเทศนะครับว่า เวลามีเรื่องแบบนี้ เขาสร้างวัฒนธรรม ‘ความรับผิดชอบ’ เพื่อแสดงเจตจำนงค์อย่างยิ่งยวดว่าไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร ซึ่งเขาไม่ทำแบบลุงแก่ๆ ขี้บ่นว่า เตือนไปแล้ว บอกไปแล้วแต่แก้อะไรไม่ได้ แน่นอน ร.ท.ธนเดชกล่าว