Friday, 29 March 2024
PoliticsTeaTimes

กลุ่มราษฎรเปิดตัว ‘หวยราษฎร’ เรียกแขก 3 รางวัลสุดแสบสะท้าน ‘สลิ่ม’ ดีเดย์แจกฟรี 2475 ฉบับ ในวันรัฐธรรมนูญ

ไอเดียบรรเจิดมักเกิดขึ้นในกลุ่มม็อบได้ตลอด หลังก่อนหน้าเพิ่งจะออกแบงก์เป็ดกันไปได้ไม่นาน มางวดนี้กลุ่มราษฎรมาพร้อมไอเดียสุดแสบอีกครั้งกับ "หวยราษฎร" ที่เตรียมไว้ต้อนรับวันรัฐธรรมนูญกันเลยทีเดียว

โดยสลากกินแบ่งราษฎรหรือว่าหวยราษฎรนี้ มีหน้าตาคล้ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ต่างกันก็ตรงที่ขึ้นเงินไม่ได้และรางวัลที่จะได้ก็ไม่ใช่ "เงิน"

แต่รางวัลที่ระบุไว้หลังสลาก ก็มาสไตล์จิกกัด ที่มีมาให้ทั้งหมด 3 รางวัล ได้แก่

  • รางวัลที่ 1 ประชาธิปไตย
  • รางวัลที่ 2 สถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
  • รางวัลปลอบใจ ประยุทธ์ จันโอชา ลาออก

เรียกว่าแต่ละรางวัลเอา Like กลุ่มราษฎรไปเลย

สำหรับภาพของ "หวยราษฎร" นั้น บนสลากจะเป็นรูปอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มีข้อความระบุไว้ว่า "โดยราษฎรเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุด" และมีแถบข้างระบุว่า "สลากสร้างสรรค์เพื่อประชาธิปไตย" แต่ที่แสบสันคือข้อความทิ้งท้ายที่ว่า "ไม่ขาย ไม่ซื้อให้ "สลิ่ม" ทุกรูปแบบ"

เมื่อถามถึงราคาหวยว่า ราคาเท่าไร และซื้อขายกันยังไง งานนี้บอกเลยไม่มีขายแต่อย่างใด อยากได้ก็ต้องไปรับเอาเองที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันนี้ (10 ธันวาคม พ.ศ.2563) ซึ่งหวยราษฎรได้ผลิตมาจำกัดมีทั้งหมด 2475 ใบเท่านั้น (0001-2475)

ส่วนเวลาแจกนั้นยังไม่มีการอัพเดทใด ๆ ใคร Want ก็ไปคอยเสียตั้งแต่หัววันโลด...

กาพรรคไหนดี!! หากวันนี้ต้องเลือกตั้ง

ซุปเปอร์โพลชี้ชัด กระแสรัฐบาลกระเตื้อง หลังผู้ชุมนุมหยาบคายและข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทำดรอป

จากผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ‘การเมืองใหม่ หรือ เก่า สาดสี’ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 5,260 ตัวอย่าง ที่ดำเนินโครงการระหว่าง 1 มิถุนายน  – 10 ตุลาคม พ.ศ.2563 ชี้ค่อนข้างชัดว่า

พฤติกรรมของผู้ชุมนุมที่หยาบคายและข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ผ่านมาทำให้คะแนนนิยมที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ในขณะที่พรรคเพื่อไทยซึ่งตัดสินใจกลับลำ "กราบ" และถอนตัวจากการขบวนการดังกล่าวได้ทันก็คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นทันทีเช่นกัน ส่วนพรรคก้าวไกลคะแนนนิยมลดลงต่ำที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่มา

อย่างไรก็ตามหากโพลดังกล่าวมีความถูกต้องและแม่นยำจริง แสดงว่าข้อเรียกร้องทางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และยุทธวิธีก้าวร้าวหยาบคายของคณะราษฎร 2563 ไม่น่าจะนำไปสู่ชัยชนะในยุคนี้ได้เลย

ทั้ง ๆ ที่โพลระบุก่อนหน้านี้ว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคือเสียงข้างมากของคนในประเทศ แต่ตอนนี้เสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ต้องการพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลแล้ว

แต่ต้องการทางเลือกใหม่...พรรคการเมืองใหม่!!

ที่ผ่านมาสังคมไทยเกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในช่วงเสื้อเหลือง-เสื้อแดง หรือในช่วงระบอบทักษิณเป็นใหญ่ แต่ดูเหมือนผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ กำลังจะทำให้ไทยกลับมาเป็นหนึ่งเดียว

เหตุผลเพราะการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่คณะก้าวหน้าของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่ได้เลยสักคนเดียว (0-42)

ตรงนี้มีนัยยะสำคัญมากๆ เมื่อคำนึงถึงความแตกแยกทางความคิดที่กลุ่มและพรรคของธนาธร ได้ปลุกปั่นล้างสมองคนไทยรุ่นใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาให้ ‘ชังเจ้าและชังชาติ’ จนสำแดงตัวออกมาบนท้องถนนเป็นม็อบคณะราษฎรที่ชู ‘ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์’ เพื่อลิดรอนพระราชอำนาจ (=ล้มเจ้า)

แต่หลังจากผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ออกมา มันชัดเจนมากเหลือเกินว่า สังคมไทยไม่เอาพวกชังเจ้า-พวกล้มเจ้าอย่างเด็ดขาด โดยที่ไม่มีความเห็นต่างหรือแตกแยกในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

ทั้งนี้ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย ได้เผยเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ว่า “แปลกแต่จริง ที่การก้าวข้ามความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในสังคมไทย มันดันออกมาในรูปของการก้าวข้าม ‘พวกคนบ้ากลุ่มหนึ่ง’ (ทั้งพวกหน้าฉากและพวกหลังฉาก) ที่ออกมาชูธงล้มเจ้าแบบเย้ยฟ้าท้าดิน อย่างพร้อมเพรียงกัน

“ความพร้อมใจของคนไทยทั้งประเทศนี้แหละ มันมีศักยภาพสูงมากที่จะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์เพื่อฝ่าฟันวิกฤตต่างๅที่กระหน่ำประเทศนี้ในตอนนี้หรือหลังจากนี้ได้...

“จงมุ่งไปในทิศทางนี้ร่วมกันเถิด”

สุดท้ายแล้ว สูตรสร้างความแตกแยกของสังคมไทย ที่บ่มเพาะกันมาตั้งแต่สมัย ‘เหลือง-แดง’ ดูจะมาจบสิ้นเพียงเพราะหมากเพี้ยนๆ ของธนาธร เสียแล้วกระมัง…


ที่มา: ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย

โกหกด้วยสถิติ!! ‘ดร.อานนท์’ ขุดราก ‘ก้าวหน้า-ธนาธร’ ปั้นโกหกด้วยสถิติ จ๋อยสนามเล็ก แต่เพ้อแต้มนิยมไม่จาง

สถิติถ้าจงใจเอาไปใช้อย่างผิดๆ (Misuse of statistics) ก็จะกลายเป็นขั้นสูงสุดของการโกหก หรือที่เรียกว่า ‘การโกหกด้วยสถิติ’

มุมมองนี้ถูกกระเทาะจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligenceและ Actuarial Science and Risk Managementคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ได้มีการโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับการโกหกด้วยสถิติในเฟซบุ๊กส่วนตัวของตน โดยมีข้อความดังนี้

ผมในฐานะครูสอนสถิติศาสตร์และสอนการวาดภาพนิทัศน์จากข้อมูล (Data visualization) ต้องขอขอบคุณอดีตพรรคอนาคตใหม่หรือคณะก้าวหน้า และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ทำให้ผมมีตัวอย่างอันชัดเจนเพื่อประกอบการสอนในหัวข้อ ‘การโกหกด้วยสถิติและกราฟ’ (How to lie with statistics and graph) ซึ่งผมสอนให้นักศึกษาที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ อยู่แล้วเป็นปกติ 

ผมสอนนักศึกษาว่า สถิติ สามารถนำไปใช้โกหกให้คนที่ไม่มีความแตกฉานทางสถิติหรือข้อมูล (Data and statistical literacy) ได้อย่างง่ายดาย และบิดไปมานิดเดียวก็โกหกได้แล้ว

ที่สอนนักศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือให้นักศึกษาจับการโกหกด้วยกราฟหรือสถิติได้ จะได้เป็นผู้ตื่นรู้และเท่าทัน อย่างที่สอง คือ สอนว่าอย่าทำเช่นนี้ ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพตนเองไม่ว่าจะเป็นนักสถิติหรือนักวิทยาการข้อมูลก็ตาม ก็ได้สอนเช่นนี้มาโดยตลอด และคิดไตร่ตรองก่อนสอน

อาจจะเป็นเรื่องคุณธรรม/จริยธรรมในวิชาชีพที่ผมได้สอนอย่างเน้นแล้วเน้นอีกตาม มคอ. (กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ) หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (Expected learning outcome) ด้านคุณธรรมหรือจริยธรรม ตามแนวคิดของ กระทรวง อว ที่ผมย้ำแล้วย้ำอีก

              ...การโกหก

              ...โคตรของการโกหก

              ...และสถิติ

สามคำนี้มาจากภาษาอังกฤษ คือ Lie, damn line, and statistics ว่ากันว่าคำนี้มาจาก Benjamin Disraeli รัฐบุรุษชาวอังกฤษ แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันมากว่าใครกันแน่ที่เป็นคนคิดคำพูดนี้เป็นคนแรก แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ

สาระสำคัญ คือ สถิติ ถ้าจงใจเอาไปใช้อย่างผิดๆ (Misuse of statistics) ก็จะกลายเป็นขั้นสูงสุดของการโกหก คือการโกหกด้วยสถิติ

ทั้งนี้หากว่ากันด้วยเรื่องของการโกหกนั้น Frank Abagnale (แฟรงก์ อบาเนล) จอมต้มตุ๋นบรรลือโลก ได้เคยเขียนหนังสือ Catch me if you can เอาไว้และได้เอามาทำเป็นภาพยนตร์อันโด่งดัง โดย Frank ได้สอนเคล็ดลับในการโกหกที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ว่า วิธีการโกหกที่ได้ผลแยบยลดีที่สุด คือให้เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเรื่องที่ตนเองโกหกนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น หมายความว่าการจะโกหกให้ได้แยบยลได้ผลดีที่สุดนั้น ต้องโกหกหลอกลวงตนเองให้เชื่อในสิ่งที่ตัวเองโกหกหลอกลวงว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดอย่างหมดจดหมดหัวใจ จึงจะสามารถโกหกได้อย่างแนบเนียน

วันนี้ผมได้เห็นว่าคณะก้าวหน้าและธนาธร ได้บูรณาการหลอมรวมวิธีการโกหกด้วยสถิติอันเป็นการโกหกขั้นสูงสุดและวิธีการโกหกให้แนบเนียนแยบผลที่สุดคือการโกหกตนเองให้ได้สมบูรณ์และหลอกตัวเองว่าสิ่งที่โกหกนั้นเป็นจริง

โดยจากการแถลงข่าวของคณะก้าวหน้าและธนาธรได้ใช้ทั้งสองวิธีการอย่างน่าทึ่งและคนไทยตลอดจนนักวิชาการทางสถิติศาสตร์และวิทยาการข้อมูลควรจะได้เรียนรู้ไว้ให้แตกฉานถ่องแท้

เราลองมาฟัง/อ่านและวิเคราะห์การแถลงข่าวยอมรับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 อย่างราบคาบของคณะก้าวหน้าหรืออนาคตใหม่ ที่แถลงไว้ว่า...

“แต่แม้จะไม่ได้ตำแหน่งนายก อบจ. ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ประสบความสำเร็จใดๆ เลย เราได้รับคะแนนทั้งหมด 2,670,798 คะแนน ซึ่งตนขอขอบคุณทุกคะแนนและความไว้วางใจที่ทุกคนมอบให้ นอกจากนี้ ยังช่วงชิงตำแหน่ง ส.อบจ.ได้ทั้งหมด 57 ที่นั่ง ใน 20 จังหวัด และยังมีส่วนร่วมผลักดันให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงความสำคัญของ อบจ. ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ บ่งบอกว่า คณะก้าวหน้าไม่ได้รับความนิยมลดลงเมื่อเทียบกับสมัยพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งทั่วไป มี.ค. 2562 มีผู้มาใช้สิทธิใน 42 จังหวัด 19.6 ล้านคน พรรคได้รับคะแนนรวมกันกว่า 3.18 ล้านคะแนน ส่วนการเลือกตั้งวานนี้ มีผู้มาใช้สิทธิ 15.7 ล้านคน มีผู้เลือกเรา 2.6 ล้านคน แม้คะแนนดิบดูจะน้อยลง แต่เมื่อเทียบสัดส่วนของคะแนนแล้ว จะเห็นได้ว่าในรอบ 1 ปีกว่าที่ผ่านมา คะแนนนิยมของเราไม่ได้ลดลง ดังนั้น คะแนนที่พวกเราได้มา เราจึงมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง” (สามารถรับชมได้จากทาง https://www.youtube.com/watch?v=ozNO6DYNc3w ตั้งแต่นาทีที่ 13 เป็นต้นไปเริ่มมีการโกหกด้วยสถิติและเริ่มมีการหลอกตัวเอง)

โดยในเนื้อหานั้นมีการทำภาพกราฟฟิกประกอบการโกหกหลอกลวงตัวเองด้วยว่า

  • หนึ่ง แม้ไม่มีผู้สมัครได้รับเลือกในตำแหน่งนายกอบจ.
  • สอง แต่ก็ยังมีผู้สมัครได้รับเลือกสมาชิกสภาอบจ 55 คนจาก 18 จังหวัด และ
  • สาม คะแนนจากการเลือกนายกใน 42 จังหวัดทั้งหมด 2,670,798 คะแนน
  • และสี่ คณะก้าวไกลและกระผม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยังได้ช่วยเหลือยกระดับคุณภาพความเข้าใจของประชาชน

ข้อความโกหกหลอกลวงตัวเองที่สำคัญมากคือ คณะก้าวหน้าไม่ได้รับความนิยมลดลงเมื่อเทียบกับสมัยพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งทั่วไป มี.ค. 2562 มีผู้มาใช้สิทธิใน 42 จังหวัด 19.6 ล้านคน พรรคได้รับคะแนนรวมกันกว่า 3.18 ล้านคะแนน ส่วนการเลือกตั้งวานนี้ มีผู้มาใช้สิทธิ 15.7 ล้านคน มีผู้เลือกเรา 2.6 ล้านคน แม้คะแนนดิบดูจะน้อยลง แต่เมื่อเทียบสัดส่วนของคะแนนแล้ว จะเห็นได้ว่าในรอบ 1 ปีกว่าที่ผ่านมา คะแนนนิยมของเราไม่ได้ลดลง

ทั้งยังได้มีการทำกราฟแท่ง (Bar chart) ประกอบการโกหกด้วยสถิติและการโกหกหลอกลวงตัวเอง โดยประการแรก มีการใช้สัดส่วนที่ผิดมาก (Scale distortion) เรียกว่ามีการบิดเบือนการรับรู้ (Perceptual distortion) ดังนี้

คะแนนของคณะก้าวหน้าได้สองล้านหกแสนจากจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 63 ที่มีราวสิบห้าล้านเจ็ดแสนหรือคิดเป็นคะแนนนิยมร้อยละ 14 แต่กราฟแท่งของจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 63 ต้องมีความยาวมากกว่ากราฟแท่งคะแนนของคณะก้าวหน้าอย่างน้อย 15.7 ล้าน/2.6 ล้าน หรือ 100%/17% ซึ่งผมลองใช้ไม้บรรทัดวัดแล้วอย่างไรก็ไม่ถึง ห้าเท่าเป็นแน่แท้ จึงเป็นการจงใจโกหกเพื่อให้ดูว่าคณะก้าวหน้าได้คะแนนเลือกตั้ง 63 สูงกว่าความเป็นจริง

เช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 กราฟแท่งสีแดง ก็มีสัดส่วนที่บิดเบือน คือคะแนนเลือกตั้งที่พรรคอนาคตใหม่ได้คือ 3.1 ล้าน ส่วนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งปี 2562 เท่ากับ 19.6 ล้านหรือประมาณ 6 เท่า ดังนั้นกราฟแท่งของคะแนนของพรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ก็ต้องมีความยาวเพียงแค่ประมาณ 1 ในหก ของกราฟแท่งผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในปี 2562

นอกจากนี้ จำนวนคะแนนเลือกตั้งคณะก้าวหน้าได้ 2.6 ล้านในปี 2563 ส่วนคะแนนของพรรคอนาคตใหม่ 3.1 ล้านในปี 62 ซึ่งห่างกันประมาณ 5 แสนคะแนน หรือเท่ากับ 1 ในหก แต่กราฟแท่งสีขาวในปี 63 กับกราฟแท่งสีแดงในปี 62 มิได้เป็นสัดส่วนกันเท่ากับ 5 ใน 6 แต่อย่างใด มีการจงใจบิดเบือนสเกลของรูปเพื่อให้ดูว่าคะแนนนิยมตกลงไปเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก

ประการที่สอง การบอกแต่ข้อมูลเศษ โดยไม่บอกข้อมูลส่วน หรือบอกแต่ตัวตั้งไม่บอกตัวหาร เป็นการโกหกหรือการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว แต่ ดร.อานนท์ ได้สืบค้นและรวบรวมมาดังนี้ว่า...

คณะก้าวหน้า ส่งสมาชิกสภาอบจ. 50 จังหวัด รวมจำนวน 1,023 คน เเต่ได้รับเลือก ตามที่ ธนาธร เเถลงคือ 55 คน โดย 42 จังหวัด  ส่งเเค่ นายกอบจ. เเละใน 42 จังหวัด ที่ส่งนายกอบจ. มี 39 จังหวัด ส่งทั้งนายกอบจ. เเละ สมาชิกสภาอบจ.

11 จังหวัด ส่งเเค่ สมาชิกสภาอบจ.

39 + 11 รวมเป็น 50 จังหวัด ที่ส่งสมาชิกสภาอบจ.

อ้างอิงจากข้อมูลเว็บไซด์คณะก้าวหน้า ที่บอกว่า จังหวัดไหน ส่งผู้สมัคร นายกอบจ. เเละ ผู้สมัครสมาชิกสภาอบจ. กี่คน เเต่ทางเเอดมิน มานั่งนับเเละรวบรวมสรุปยอดเองครับ https://progressivemovement.in.th/local-election/

ขอเสริมว่าอินโฟกราฟฟิกแสดงผลว่าจังหวัดใดบ้างที่ได้รับการคัดเลือกสมาชิก อบจ. อย่างละกี่คน ก็ไม่ได้ แสดงตัวหาร แสดงแต่ตัวตั้งเช่นกัน เช่น สมุทรปราการ มีสมาชิกอบจ. ทั้งหมด สมมุติว่า 30 คน ก็แสดงแต่ว่าคณะก้าวหน้าได้มา 1 ตำแหน่ง เลือกตั้งทั่วประเทศมีกี่จังหวัดก็ไม่ได้บอก คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครสมาชิกอบจ. กี่จังหวัดก็ไม่ได้รายงาน บอกแค่ว่าตัวเองได้ 18 จังหวัด

ประการที่สาม นอกจากจะไม่บอกตัวหารแล้ว ยังมีอคติในการเลือกลงสมัคร (Bias) เพราะคณะก้าวหน้าไม่ได้ส่งทุกจังหวัดที่มีการเลือกตั้ง อบจ. แน่นอนว่าคณะก้าวหน้าจะเลือกส่งสมัครในจังหวัดที่ตนเองพอจะมีหวังหรือมีแนวโน้มที่จะชนะ จึงส่งแค่ 42 จังหวัด

จังหวัดที่ไม่ส่งในภาคใต้คือ 9 จังหวัด จาก 14 จังหวัด

จังหวัดที่ไม่ส่งในภาคกลางคือ 10 จังหวัดจาก 22 จังหวัด

แน่นอนว่าคณะก้าวหน้าไม่มีฐานเสียงในภาคกลางและภาคใต้มากนัก จึงเลือกที่จะไม่ส่ง ดังนั้นหากพิจารณาในการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้ว ไม่มีทางได้ถึง 6.5 ล้าน เพราะที่ได้มา 17% หรือ 2.6 ล้านนั้นมาจากจังหวัดที่พอจะมีฐานเสียงหรือมีความมั่นใจได้เปรียบในระดับหนึ่ง แต่ถ้าสเกลใหญ่ เช่นเลือกตั้งทั่วไปทั้งประเทศซึ่งรวมกรุงเทพมหานครเข้าไปด้วย โอกาสที่จะได้สัดส่วนสูงถึงร้อยละ 17 จึงเป็นเรื่องยากมาก

คณะก้าวหน้าไม่ชนะคู่แข่งเลยในการเลือกตั้ง สมาชิก อบจ. ในภาคเหนือ 8 จังหวัด ภาคกลาง 11 จังหวัด ภาคใต้ 5 จังหวัด (ส่งห้าจังหวัดแพ้รวดห้าจังหวัด) ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ภาคอีสาน 14 จังหวัด

ผมต้องขอขอบคุณคณะก้าวหน้าและคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้ยกตัวอย่างการโกหกด้วยกราฟและสถิติและสุดยอดเทคนิคในการโกหกให้แนบเนียนแยบยลที่สุดคือการโกหกตัวเองและเชื่อสนิทใจในสิ่งที่ตัวเองโกหกให้ผมสามารถนำไปเป็นตัวอย่างในการสอนวิชาสถิติและการวาดภาพนิทัศน์จากข้อมูล ได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำอีกครั้งว่า "ความจริงเท่านั้นที่มีชัย" อันเป็นคาถาภาษิตบนตราแผ่นดินของประเทศอินเดีย เมื่อคราวประเทศอินเดียได้รับเอกราช โดยใช้รูปแกะสลักสิงโตบนยอดเสาพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งเมืองสารนาถ และคาถาภาษิตนี้กำกับข้างใต้ คาถาภาษิตสันสกฤตนี้เขียนไว้ว่า สัตยเมวชยเต (สันสกฤต: सत्यमेव जयते, Satyameva Jayate)

และท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งใดสามารถชนะความจริงได้ ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงกล่าวกับนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม เอาไว้ว่า “ต้องช่วยกันเอาความจริงออกมา”

Echo chamber ของพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ ตลอดจนคณะราษฎรและม็อบปลดแอก จึงแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมีการบิดเบือนและโกหกหลอกลวงประชาชนเป็นนิจศีล

พุทธศาสนสุภาษิตได้กล่าวไว้ว่า นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน. (อ่านว่า นัด-ถิ, อะ-กา-ริ-ยัง, ปา-ปัง, มุ-สา-วา-ทิด-สะ, ชัน-ตุ-โน) คนมักพูดมุสา จะไม่พึงทำชั่ว ย่อมไม่มี (ขุ.ธ. ๒๕/๓๘, ขุ.อิติ. ๒๕/๒๔๓) หรือแปลให้ง่ายขึ้นว่า คนโกหก ไม่ทำชั่ว ไม่มี ฉะนี้แล


ขอขอบคุณที่มา: เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich

 

แม้กระแสพิฆาตเจ้า, ล้ม ม.112และร่วมกันออกมาหักล้างทุกแอคชั่นของภาครัฐจากกลุ่มสารพัดม็อบจะเคลื่อนขบวนสมทบเป็นพลังแห่งแกนเปลือกโลก แต่อยู่ ๆ ทำไมช่วงหลังมานี้...ลมหายใจของสารพัดม็อบ 3 นิ้ว เริ่มแผ่วเบาลง?

หากวิเคราะห์กันแบบตื้นเขินของผู้เขียน เกมที่จุดติดของการ ‘ล้มตู่’ ลุกลามไปถึง ‘ล้มเจ้า’ ของหัวโจก กวิ้น / รุ้ง / ไผ่ดิ้น / ไมค์ไม่น่าอภิรมย์ ล้วนได้แรงหนุนมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ปลุกผีโซเชี่ยล’ ทั้งสิ้น

ยิ่งผสานแรงหนุนจากผู้ใหญ่ (จริงๆ ก็แรงหลักแหละ กระแดะเขียนเป็นแรงหนุนไปอย่างงั้น) อย่าง ‘พรรคส้ม’ ผู้ช่วยล้มแบบเกือบลับ ภายใต้ ‘หัวหน้าแก๊งค์แลนด์สไลด์’ นักสอนสถิติ เพื่อหลอกตัวเอง แม้เก้าอี้สนามจะจบลงที่ 0 (เลือกตั้งอบจ.) ก็ยิ่งทำให้พลังของเด็กรุ่นใหม่แข็งแกร่งขึ้นพอ ๆ กับ ‘ชัชชาติ’ จนให้วิดพื้นโชว์ด้วย 3 นิ้วก็ยังไหว

ฟากหนึ่งปลุกด้วยดิจิทัล อีกฟากหนึ่งปลุกไปยังเทรดิชันนั่ล โอ้โห!! โคตรลงตัว

จากกลุ่มก้อนเล็กๆ ก็เลยค่อยๆ ขยายวงใหญ่ เป็นอีเว้นท์ระดับม็อบประเทศ ที่เรียกแขกได้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นก็นำภาพและสีสันกลับมาขยี้ต่อในโซเชี่ยล วนไปวนมาแบบนี้ เกิดเป็นภาพที่สุดแสนงดงามในเชิงของกลศึกล้มช้าง

นานวันเข้า รัฐบาล ก็เริ่มบิดตัว และพยายามลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง แต่ก็ดูเหมือนพังผืดที่เกาะตามข้อ พอขยับตัวหน่อย ก็ยิ่งกลายเป็นโชว์เต่า เพราะอะไรที่ทำไป เหมือนเขารู้หมด ไม่ว่าจะไอโอเนี่ยน หรือนักวิชาเกินที่รู้เยอะ แต่ออกมาพูดแบบเสียเหลี่ยมมากมาย

ผลสุดท้ายเกมนี้ ยังไงรัฐบาลก็แพ้ทุกประตู ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘สื่อ’

ว่ากันว่ายุคนี้คือยุคของการสื่อสาร ที่ ‘ไวรัล’ และการแชร์มีพลังมหาศาล ทวิตเตอร์ คือ เครื่องอาวุธสั้นมหากาฬ ก่อนจะไปทรมานคู่กรณีต่อในเฟซบุ๊ก และไม่มีขั้วตรงข้ามม็อบที่ออกมาต่อต้านกลุ่มม็อบด้วยเชิงชนกลเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ยุทธศาสตร์อย่าง ‘การสื่อสาร’ ค่อยๆ เปลี่ยนเกมกลับมา แต่ขอโทษ!! ไม่ใช่พลังหรือยุทธศาสตร์ก้าวทันใด ๆ ของรัฐ หากแต่เป็นพลังของหน่วยทะลวงฟัน ที่ออกมาดันกันเองในรูปแบบของ ‘ประชาชน’ ที่เหลืออด

แต่แน่นอนว่า การออกมาโต้แย้ง มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำแล้วเห็นผล ทุกคนที่ออกมาแย้ง กลายเป็นบุคคลที่เห็นต่าง และบางคนที่อารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งก็เข้าใจแหละในสถานการณ์ที่เจอเด็กมันเอา ‘ตรีน’ มาเกาคางพวกหัวหงอก

อย่างไรก็ตาม หากดูแบบนี้แล้ว เกมคงจบที่อาจจะมีประชาชนกลุ่มอื่นๆ เข้ามาสมทบให้สารพัดม็อบยิ่งฮึกเหิม

เพียงแต่ ‘สื่อ’ ก็คือ ‘สื่อ’ พลังของมันมีมากมหาศาล หากใช้ได้อย่างถูกจุด จากคนที่มาถูกจังหวะ ก็ทลายข้อความที่ก่อเป็นกำแพงใหญ่ให้โครมร่วงลงมาในช่วงพริบตา

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีชื่อ 2 บุคคล ที่ออกมาตอบโต้ทุกมูลเหตุ ทั้งเรื่องของม็อบ ผู้อยู่เบื้องหลัง ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และเป้าหมายการเดินหน้าของพรรคการเมืองฝ่ายขั้วตรงข้ามรัฐบาลได้แบบถึงพริกถึงขิง

พลังในการสื่อสารของทั้ง 2 ท่านนั้นน่าเหลือเชื่อ โดยคนแรกเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ที่หลายคนเรียกกันว่า ‘ดร.นิว’

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ เป็นนักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่พยายามออกมานำสิ่งที่เป็นรากฐานของสังคมไทย ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามอ้างอิงว่าเป็นวัฒนธรรมแบบแปะมือ และกลายเป็นกลุ่มแบ่งแยกสังคมไทย โดยเฉพาะ ‘รุ่นใหม่ - รุ่นเก่า’ เขย่าสถาบันครอบครัวที่เป็นรากฐานจนสั่นคลอน และกระดอนไปสู่สถาบันการเมือง

ดร.นิว พยายามออกมาเป็นกันชนหน้าด่าน ในแบบของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่าไม่ทะเลาะหาเรื่องกับใคร แต่ชี้แจงให้เห็นถึงกระบวนกวน ปั่นหัวคน ด้วยความไม่รู้จริง ขาดตรรกะ จนนำไปสู่การสร้างวาทกรรมบิดเบือนในโลกออนไลน์ แล้วก็ไป ‘บูลลี่’ จนคนเห็นต่างเหมือนควาย เมื่อมีทั้งความรู้ และมีทั้งการควบคุมอารมณ์ในทุกถ้อยวลี ทำให้ ดร.นิว ค่อยๆ เป็นหน่วยทะลวงฟันข้อมูลเท็จ ‘ที่ผิดเพี้ยน’

เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยบนการไม่ยอมรับฟังผู้อื่น การปราศรัยของแกนนำม็อบราษฎรที่นำพามวลชนไปสร้างความขัดแย้ง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนน้อยที่คุมการเคลื่อนไหวทางความคิด

เขาพยายามดึงสติคนรุ่นใหม่ ให้รับรู้ว่าการปราศรัยที่กักขฬะหยาบคาย ไม่ได้มีหลักการหรือหลักวิชาที่ถูกต้องใด ๆ มีแต่การใช้อารมณ์กับความเชื่ออันบิดเบี้ยว ยุยงให้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นรวมถึงกฎหมายอาญา ผิดจากวิสัยของปัญญาชน ขาดความปลอดภัยและมีความเสี่ยงในการชุมนุม มันไม่ใช่การเรียกร้องที่ถูกต้อง และฮ่องกงโมเดล ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนผู้มีอริยธรรม

นี่ยังไม่รวมอีกทุก ๆ การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนสังคมไทยให้ผิดเพี้ยนของกลุ่มม็อบและผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีการโพสต์ให้ความรู้มาตลอดระยะเวลาหลายปี

ข้อมูลและการแสดงออกทางสื่อต่าง ๆ ที่ผ่านมาของ ดร.นิว จึงถือเป็นการตกตะกอนความคิดให้เด็กรุ่นใหม่บางกลุ่มเริ่มคิดตามสมองตัวเอง มากกว่าเพลินตามปากผู้อื่น เพราะในท้ายที่สุดแกนนำเขาก็ไปนั่งกินบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมหรู ส่วนหนู ๆ ก็ต้องออกไปตากแดดตากฝนแทน ขณะที่บางช่วงหลัง ๆ ยังชอบแกงกันเอง ทะเลาะกันเอง ตีกันเอง ยิงกันเอง ทำตัวเป็นภาระสังคม ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ หวังบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติ มันเละเทะจนต้องยอมกลับไปกราบตักคุณพ่อคุณแม่ที่เคยล่วงเกินท่านเสียจะดีกว่า

ต่อมา จากสื่อแบบดิจิทัล ออกมาสู่สื่อใหญ่ที่เรียกว่าทีวี ซึ่งทุกวันนี้มีบางรายการช่วยปั่นและป้อนให้ ‘แมสมีเดีย’ ไปอยู่ข้างม็อบอย่างเมามัน เช่น รายการของสื่อหัวเขียวที่มีพิธีกร ‘จอมแขวะ’ มาฟาดคนของรัฐ ที่ก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดี เพราะหลาย ๆ ท่านที่มาเป็นตัวแทนของฟากภาครัฐ และมาดีเบตกับกลุ่มแกนนำม็อบ หรือผู้เกี่ยวข้อง ยิ่งฉุดเรตติ้งรัฐบาลลงมิดพสุธา แบบไม่ต้องฝังกลบก็ไม่มีปัญญาปีนขึ้น

เพราะการออกรายการแนวนี้ พิธีกร จอมแขวะ สามารถปั้นให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใช่เป็นไม่ใช่ โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนที่ยังงงๆ กับเรื่อง ‘สถาบันกษัตริย์’ ต้องแอบหลับตาข้างนึง ตามกลเก๋าของนักข่าวมือฉมัง จนช่วยเติมพลังให้คนฟากม็อบยิ่งมีแต่เฮ ๆ

แต่จนแล้วจนรอด จะด้วยความมั่นใจว่าในทุกวัน คือ ‘รันเวย์ของฉัน’ หรือไม่ก็ไม่ทราบ การต่อยอดแผนกระชากสถาบันให้จมดิ่ง กลายเป็นทำให้ ‘ม็อบ’ จนมุมอับเอาดื้อๆ แทน

นั่นก็เพราะ หน่วยทะลวงฟันอีกราย คือ ‘ของจริง’ ที่ออกมาถกประเด็น พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561 และคนๆ ก็คือ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ และ ‘รุ้ง-ปนัสยา’ แกนนำม็อบราษฎร ได้เผชิญหน้ากัน ในรายการถามๆ กับจอมขวัญ ที่เชื่อกันว่าเกมนี้รุ้งน่าจะได้มาโชว์เชือดเรียกคะแนนไปแบบใสๆ ตามสไตล์ หัวหน้าแก๊งค์ที่มีแบ็คดันเต็มเหนี่ยว แถมมีพิธีกรเทรนนิ่งมาก่อนเข้าสนาม จึงรับรองได้ว่าคู่ใจโชว์ความฉลาดให้รุ้งได้อย่าง 100%

แต่ผลลัพธ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็น หลังเท้า เพราะทุกประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาของรุ้ง และผู้ช่วยของรุ้ง (พิธีกร) ไม่ได้สร้างบาดแผลใดๆ ให้กับ ดร.อานนท์ เลยแม้แต่น้อย หากแต่ยังถูก ดร.อานนท์ สอนมวย ด้วยองค์ความรู้ที่ทั้งรุ้งและพิธีกร เหมือนคนมานั่งถกแบบไร้ข้อมูล จนแม้แต่ในเพจและชาแนลยูทูปของสื่อหัวเขียว ยังรับไม่ได้กับความอ่อนด้อยของทั้ง 2 สาวเลยแม้แต่น้อย

และสุดท้ายก็โดนปิดฉากน็อคตายแบบตาไม่หลับในรายการด้วย ถ้อยคำที่กลายเป็นวาทะแห่งปีว่า “คุณรู้ไม่จริงคุณอย่าพูดซี้ซั้ว ไปทำการบ้านก่อนมั้ย คุณพูดอะไรพูดไปเดี๋ยวผมจะสอน ใจเย็นๆ ผมอาจจะดุไปบ้างนิดนึง พอคุณไม่แม่น ผมก็อาจต้องสอนหน่อย” และนี่ก็ทำให้ชื่อของ ดร.อานนท์ กลายเป็นชื่อที่ฟากตรงข้ามรัฐเริ่มเกรง จนถึงขั้นไม่กล้าไปดีเบตกับ ดร.อานนท์ เลยสักคน

ทั้งนี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ หรือ อาจารย์ อานนท์ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Phychomertrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

โดยเมื่อปีพ.ศ.2561 ดร.อานนท์ นั้นได้ดำรงตำแหน่งในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าดพล และได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการวิชาการเอาไว้ด้วย หลังที่ตัดสินใจลาออก จากตำแหน่ง ผอ.นิด้าโพล หลังจากนั่งเก้าอี้เพียง 14 วัน เนื่องจากสถาบันระงับการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง ‘นาฬิกาหรูที่ยืมเพื่อน เป็นเรื่องบิดเบือนหรือเรื่องจริง?’

และเมื่อย้อนไป ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เคยขึ้นเวที กปปส.ร่วมเป่านกหวีด ซัตดาวน์ประเทศและประชาธิปไตยมาแล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ดร.อานนท์ นับเป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ใช้โซเชี่ยลมีเดีย เป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และมุมมองเชิงวิชาการ ให้ข้อมูลในประเด็นที่สังคมสนใจมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ความเหมือน-ต่าง ‘คณะราษฎร 2475 กับ 2563’, 12 ความจริงของภาษี..ที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง และหัวข้อทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นของรัฐ (ราษฎร) หรือ เป็นของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น

ที่จะบอก คือ รัฐก็ยังคงเป็นรัฐที่รั่วในการปิดจุดอ่อนด้านการสื่อสารและการให้ข้อมูล ส่วนคนที่เห็นต่างกับม็อบ ก็ขาดซึ่งศิลปะในการสื่อและข้อมูลที่จะมา ‘อุด’ และ ‘แบะ’ ความผิดเพี้ยนในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันกษัตริย์ และการเมืองเรื่องน้ำเน่า

แต่การที่ 2 ท่านนี้ เริ่มออกมาแสดงตัว และแสดงข้อมูลอันแท้จริงต่าง ๆ แบบผู้มีจริยธรรม ก็ทำให้สังคมตาสว่างมากขึ้น นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งในม็อบเริ่มบาง (อันนี้คิดเอง)

ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง คือ ธนาธร ที่เคยกล่าวอย่างมั่นใจก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่าจะชนะแบบ ‘แลนด์สไลด์’ นั่นคือ ถล่มทลายกันเลยทีเดียวนั้น กลับต้องมา ‘แพ้แบบแลนด์สไลด์’ ก็พอจะบอกได้ว่าเจอเอฟเฟ็กต์ของ 2 ผู้หมู่ทะลวงฟันไม่มากก็น้อย

อันนี้ก็คิดเองนะ...อย่าเกรี้ยวกราดล่ะ!!

สื่อรัฐสภา ตั้งฉายารัฐสภา ปี 63 แบบเจ็บๆ คันๆ เหมือนเคย ส่วนปีนี้ใครจะรับฉายาใด ลองไปตามดู!!

ที่ประชุมร่วมกันของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกันในการตั้งฉายาของรัฐสภา เพื่อเป็นการเป็นการสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีข้อสรุปดังนี้

ปลวกจมปลัก1.สภาผู้แทนราษฎร : ปลวกจมปลัก
ปลวกเป็นสัตว์ที่มีการแบ่งงานกันทำเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด สำหรับสภาผู้แทนราษฎรแล้วมีส.ส.ที่ทำงานดุจปลวกที่ทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการใช้สภาเป็นเครื่องมือเพื่อชิงอำนาจและทำลายล้างฝั่งตรงข้าม ยิ่งนานวันก็จมปลักกลับการทำงานแบบเดิม ไม่ใช้สภาเพื่อประโยชน์ในการระดมสมองและแก้ปัญหาให้กับประชาชน หนำซ้ำตลอดปีมานี้การประชุมสภาฯล่มกลางคันหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าส.ส.ชุดนี้ไม่ให้ความสำคัญกับการประชุมสภาฯทั้งที่เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ ส.ส.ในฐานะคนทำงานจึงเปรียบเป็นปลวกที่จมปลักไม่พัฒนาและจะยิ่งกัดกินหลักการของประชาธิปไตยให้พุกร่อนเข้าไปทุกที  

สภาปรสิต2.วุฒิสภา : สภาปรสิต
ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายถึง 'ปรสิต' ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยผู้อื่นหรือเซลล์ชนิดอื่นเป็นที่พักอาศัยและแหล่งอาหาร และบางครั้งทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประโยชน์นั้นหรือเซลล์ภายในจนเจ็บป่วยหรือถึงกับเสียชีวิต เมื่อกลับมามองในมิติทางการเมืองแล้วจะพบว่าวุฒิสภาชุดนี้ก็มีสภาพไม่ต่างปรสิตที่อาศัยอยู่ในรัฐสภา นอกจากไม่มีผลงานที่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนปรสิตแล้วยังนำมาซึ่งพิษภัยแก่การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยเฉพาะการพยายามใช้เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างเพื่อชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาพิจารณาก่อนรับหลักการไปจนถึงการลงชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ฉายา 'ปรสิต' จึงเหมาะกับวุฒิสภาชุดนี้

ครูใหญ่ไม้เรียวหัก3. 'ชวน หลีกภัย' ประธานสภาผู้แทนราษฎร: ครูใหญ่ไม้เรียวหัก
ทุกครั้งที่ 'ชวน หลีกภัย' ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาไม่เคยถูกกังขาถึงความเป็นกลางแม้แต่ครั้งเดียว และตลอดปีที่ผ่านมาก็ยังยึดแนวทางดังกล่าวไว้ได้อย่างมั่นคง นอกเหนือไปจากการพยายามควบคุมการประชุมสภาแล้ว ประธานสภายังสวมบท 'ครูใหญ่' ที่ถือไม้เรียวคอยกวดขันวินัยของส.ส.ที่หย่อนยานอีกด้วย เช่น การตักเตือนส.ส.ให้สวมหน้ากากในห้องประชุมสภา เพื่อคุมการระบาดของโควิด 19 หรือการขอความร่วมมือส.ส.ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา เป็นต้น แต่ปรากฎว่าส.ส.การ์ดตกทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการละเลยการสวมหน้ากากอนามัย หรือแม้แต่อเรื่องเล็กๆอย่างขอความร่วมมือส.ส.งดนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับประทานในห้องประชุมก็ไม่เป็นผล และที่ร้ายแรงที่สุด คือ เหตุการณ์สภาล่ม ซึ่งเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าต่อให้ประธานสภาจะยึดมั่นหลักการแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจสร้างเปลี่ยนแปลงได้เพราะส.ส.ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ เหมือนกับครูใหญ่ที่มีไม้เรียวและต่อให้ฟาดแรงจนไม้เรียวหักคามือ ส.ส.ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

หัวตอ รอออเดอร์4. 'พรเพชร วิชิตชลชัย' ประธานวุฒิสภา: "หัวตอ รอออเดอร์"
ถ้าเทียบบารมีทางการเมืองระหว่างเมื่อครั้งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับประธานวุฒิสภา ถือว่านับตั้งแต่มาเป็นประมุขสภาสูงบารมีของ 'พรเพชร' ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำด้วยทุกครั้งที่ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในฐานะรองประธานรัฐสภา พบว่าไม่สามารถควบคุมการประชุมให้เป็นที่เรียบร้อยได้เมื่อเทียบกับ 'ชวน หลีกภัย' หลายครั้งที่รับมือกับความเขี้ยวทางการเมืองของส.ส.ฝ่ายค้านไม่ไหว ทำให้การประชุมเกิดความปั่นป่วนเป็นระยะ กลายเป็นหัวหลักหัวตอที่สมาชิกรัฐสภาไม่ค่อยให้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ การทำหน้าที่ของประธานวุฒิสภายังไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะหลายเรื่องในวุฒิสภากลับปล่อยให้ส.ว.เป็นผู้ชี้นำประธานวุฒิสภาแทน ภาพรวมแบบนี้ทำให้ประธานวุฒิสภาเสมือนหัวหลักหัวตอที่ไม่มีใครสนใจแต่มีหน้าที่แค่รับคำสั่งทำงานเท่านั้น

สุทิน คลังแสง (ประชด)5. สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร : สุทิน คลังแสง?
ก่อนอื่นต้องบอกว่าฉายาของผู้นำฝ่ายค้านฯที่ปรากฎออกมานั้นเป็นฉายาที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้เขียนผิดแต่อย่างใด เนื่องจากต่างเห็นตรงกันว่าบทบาทการเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯนั้น 'สมพงษ์' ไม่ได้โดดเด่นสมกับตำแหน่งเท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับเป็น 'สุทิน คลังแสง' ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่น หลายต่อหลายครั้งเป็นตัวแทนของฝ่ายค้านไปร่วมประชุมกับฝ่ายรัฐบาลจนทำให้ฝ่ายค้านได้เวลาอภิปรายในสภาอย่างสมน้ำสมเนื้อและสามารถชี้นำสภาในที่ประชุมได้ ผิดกับผู้นำฝ่ายค้านฯตัวจริงที่ยังไม่ทำงานเชิงรุกมากนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้อดไม่ได้ว่า 'สุทิน คลังแสง' คือ ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่ใช่ 'สมพงษ์ อมรวิวัฒน์'

ดาวเด่นแห่งปี6.ดาวเด่นแห่งปี : สุทิน คลังแสง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2563 ตลอดทั้งปี 'สุทิน คลังแสง' ในฐานประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ได้อย่างท็อปฟอร์ม หลายครั้งที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องสำคัญและส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยที่อภิปรายนอกประเด็นไปไกลและใช้แต่วาทะศิลป์ในการโจมตี แต่ทุกอย่างก็กลับเข้ารูปเข้ารอยเมื่อ 'สุทิน' ได้ขึ้นอภิปรายสรุปประเด็น การอภิปรายสรุปของประธานวิปฝ่ายค้านไม่ใช่แค่การอภิปรายสรุปเพื่อให้จบตามหน้าที่เท่านั้น เพรายังหยิบจับประเด็นสำคัญบางเรืองที่ส.ส.ฝ่ายค้านอาจไม่ได้พูดถึงหรือพูดถึงแต่ยังไม่มีความชัดเจน มาขยายความเพื่อให้สภาได้ข้อเท็จจริงเพิ่มมากขึ้น ตำแหน่งดาวสภาประจำปี 2563  จึงตกเป็นของ 'สุทิน คลังแสง' ไปอย่างเอกฉันท์

ดาวดับแห่งปี7.ดาวดับแห่งปี : วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย
การตัดสินตำแหน่งดาวดับแห่งปีในครั้งนี้ถือว่ามีความลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีข้อเสนอควรให้ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ สมควรได้รับตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน ภายหลังมงคลกิตติ์แสดงจุดยืนทางการเมืองที่กลับไปกลับมา นึกอยากจะร่วมรัฐบาลก็ประกาศสนับสนุน แต่วันใดไม่อยากสนับสนุนก็ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ ซึ่งอาจบอกว่าเป็นส.ส.ไร้จุดยืนก็คงไม่ผิดนัก แต่ถึงที่สุดแล้วสื่อมวลชนรัฐสภามีความเห็นว่าควรให้ตำแหน่งดาวดับเพียงคนเดียว และตำแหน่งนั้นเป็นของ 'วิสาร เตชะธีราวัฒน์' ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ใช้มีดปลอกผลไม้กรีดแขนกลางที่ประชุมสภา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพราะเป็นการชี้นำให้ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเป็นส.ส.หลายสมัยและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนที่สมควรเป็นแบบอย่างที่ดี แต่กลับแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อหวังผลทางการเมือง จึงหวังว่าตำแหน่งดาวดับที่สื่อมวลชนมอบให้จะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

คู่กัดแห่งปี8.คู่กัดแห่งปี : 'สิระ เจนจาคะ' และ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์'
เกือบได้เห็นการวางมวยกลางสภา ภายหลังปฐมบทแห่งความเดือดมาจากกรณีที่ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถควบคุมความสงบได้ ต่อมา 'สิระ เจนจาคะ' ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวตอบโต้ว่า "การออกมาเรียกร้องเช่นนี้ต้องการผลประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือเงินหมด เพราะบริจาคเงินเดือนส.ส.ให้ในสถานการณ์โควิดไปแล้ว ซึ่งหากเงินหมดจริงติดต่อผมได้" เรื่องไม่ได้จบแค่นั้นเพราะ 'มงคลลกิตติ์' โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กระบุว่า "เจอสิระที่ไหนจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก" และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เจอหน้ากันจริง โดยเป็นเหตุการณ์ระหว่างที่ 'มงคลกิตติ์' กำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบริเวณรัฐสภา และได้พบกับ 'สิระ' ทำให้เดินเข้าไปจับแขนสิระแต่สิระสะบัดออก ปรากฎว่า 'มงคลกิตติ์' พยายามเดินตามแต่สิระเดินหนี ที่สุดแล้วต้องถึงมือ 'ชวน หลีกภัย' ที่ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ปรามทั้งสองฝ่ายว่าต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของสภาด้วย  

เหตุการณ์แห่งปี9.เหตุการณ์แห่งปี : การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยากที่สุด โดยเฉพาะการต้องมีเสียงส.ว.สนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นผลให้การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในเดือนก.ย.ไม่สามารถลงมติได้ แต่กลับต้องมาตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ และเมื่อกลับมาประชุมรัฐสภาอีกครั้งในเดือนพ.ย. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนนำโดยกลุ่มไอลอว์ได้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนครั้งแรก การประชุมรัฐสภาเวลานั้นไม่ได้เข้มข้นเฉพาะในสภาเท่านั้น แต่นอกสภาก็เดือดไม่แพ้กัน ภายหลังกลุ่มสนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา และเกิดการปะทะกันเป็นระยะ อีกด้านหนึ่งตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร จนกระทั่งที่สุดแล้วเหตุการณ์นอกสภาสงบลงพร้อมด้วยการลงมติของรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยกับการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป ด้วยเหตุนี้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาจึงเป็นเหตุการณ์แห่งปีไปอย่างไม่ต้องสงสัย  

วาทะแห่งปี (มันคือแป้ง)10.วาทะแห่งปี : "มันคือแป้ง"
"สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดของรัฐนิวเซาท์เวลส์ อ้างว่าเป็นเฮโรอีน 3.2กิโลกรัม มันคือแป้ง" เป็นการชี้แจงของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 27 ก.พ. เวลานั้น ร.อ.ธรรมนัส ถูกกังขาถึงความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งว่ามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนนำมาสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งของตนเองถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัส กลับเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯน้อยที่สุดเพียง 269 เสียง โดยที่ร.อ.ธรรมนัส ได้ลงคะแนนไว้วางใจตัวเอง จากเหตุการณ์นี้เองทำให้คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลงและสื่อต่างประเทศก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการจับกุมร.อ.ธรรมนัสในอดีตด้วย

คนดีศรีสภา11.คนดีศรีสภา : ยกเลิกตำแหน่งนี้ถาวร
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาไม่ได้มอบตำแหน่งคนดีศรีสภาให้กับสมาชิกรัฐสภา เนื่องจากท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ปรากฎว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดที่จะเป็นแบบตัวอย่างที่ดีในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้น สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จึงมีความเห็นร่วมกันว่าสมควรยกเลิกตำแหน่งนี้เป็นการถาวร จนกว่าในอนาคตจะมีสมาชิกรัฐสภาที่มีความประพฤติที่เหมาะสม

จากกรณีในหลาย ๆ สถานที่ที่ทางกรุงเทพมหานครได้มีการประกาศปิด และมีข้อจำกัดในการเปิดให้บริการที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หากจะเปิดให้บริการก็มีความสงสัยในประชาชนว่าที่ไหนเปิดที่ไหนปิดอย่างชัดเจน

ทาง ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) จึงได้โพสต์คำตอบผ่านเฟซบุ๊ก ‘เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง - Earth Pongsakorn Kwanmuang’ โดยระบุว่า

"หลังจากที่ กทม. มีประกาศปิด 4 สถานที่ชั่วคราว ก็มีหลายคนสงสัยว่าตกลงแล้วสถานที่ใดปิดบ้าง สถานที่ไหนเปิดได้บ้าง วันนี้เลยเอาคำถามยอดฮิตที่ถามกันเยอะ มาตอบให้คลายความสงสัยกันครับ

ถาม: ร้านตัดผม/เสริมสวย เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านอาหาร ที่มีบริการห้องคาราโอเกะ สำหรับลูกค้าร้องเพลงกันเอง เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ แต่ต้องไม่มีพนักงานปรนนิบัติ และไม่มีพนักงานร่วมร้องเพลงกับลูกค้า

ถาม: ผับ / บาร์ / ร้านเหล้า ยังเปิดได้ไหม?

ตอบ: สถานที่ดังกล่าวเข้าข่ายเป็นสถานบริการ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการพ.ศ.2509 ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามเวลา #แต่สามารถปรับเป็นร้านอาหารได้ แต่ต้องไม่มีการเต้น รำวง ไม่มีพนักงานปรนนิบัติลูกค้า ไม่มีพนักงานร้องเพลงร่วมกับลูกค้า หากมีดนตรีสดต้องเปิดไม่เกินเที่ยงคืน

ถาม: ร้านอาหาร สามารถเล่นดนตรีสด และจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ไหม?

ตอบ: ได้ครับ แต่ต้องไม่มีพื้นที่ให้เต้น ห้ามนักร้องร้องเพลงกับลูกค้า และต้องเปิดไม่เกินเที่ยงคืน

ถาม: ฟิตเนส/สระว่ายน้ำ เปิดให้บริการได้อยู่ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: บ่อตกกุ้ง / ข้าวต้มโต้รุ่ง

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านเกมส์ / ร้านอินเทอร์เน็ต / สนุกเกอร์ เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านนวดแผนไทย/นวดเพื่อสุขภาพ/สปาเปิดได้ไหม?

ตอบ : เปิดได้ครับ

ทั้งนี้ทุกสถานที่และทุกกิจกรรมต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid19"


ที่มา: เฟซบุ๊ก เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง - Earth Pongsakorn Kwanmuang

ตอนนี้ ถ้านั่งดูหัวตารางพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เขาเล่นกัน โดยเฉพาะกับทีมดัง ๆ ที่คุ้นตา เริ่มปรับฟอร์มการเล่นให้แฟน ๆ กลับมาชมได้สนุกขึ้น (มั้ง)

จริง ๆ มันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากหรอก แค่ ‘ทีมดัง’ ที่เคยอวดโอ้โม้ถ้วยและความสำเร็จสมัยอดีต (หลาย ๆ ทีม) กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงขึ้น (ทีมไรน้า?) เท่านั้นแหละ

แต่รู้ไหมว่า เวลาเห็นทีมดังๆ กลับมาเล่นได้ดี สิ่งหนึ่งที่คิดแว่บมาในหัวได้แบบไวๆ เลย คือ พวกเมิงก็เล่น ‘ฟอร์มแชมป์’ เป็นเหมือนกันนิหว่า ต่อบอลเข้าท่า กล้าเลี้ยงกล้าลุย จบสกอร์เป็นจบสกอร์ ไม่ป้อไปแป้มา แล้วก็โดนสวนตูมหายแบบเดิม แล้วก่อนหน้านั้นไปกระแดะเล่นทรง ‘ทีมตกชั้น’ เพื่ออัลไล?

คำตอบของเรื่องนี้ มันมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของผู้เล่น และแท็กติกในการทำทีมของโค้ช ถ้าจะทำให้ดีมัน ก็ทำได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่มันดี แล้วผลลัพธ์ไม่ได้ตรงใจ ก็ไม่ใช่ความผิดมหันต์ และควรคงของดี ๆ เอาไว้ อย่าเขว ‘แฟนบอล’ ที่แม่มคอยพร่ำบอกให้เล่นแบบนั้นนี้ ตามสไตล์โค้ชคีย์บอร์ด

เพราะสุดท้ายคนรับผิดชอบมันไม่ใช่ไอ้พวกหลังแป้นว้อยย!!

พอพูดถึงเรื่อง ‘ฟอร์มแชมป์’ กับ ‘ฟอร์มตกชั้น’ มันก็พลันให้จิตโยงคิดมาเรื่องประเทศไทย (ได้ยังไง แต่เออ มันก็วกได้)

เพราะวันก่อนได้อ่านบทความหนึ่งของ อาจารย์ สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ทำให้เบิกเนตรได้พอควรว่า...

‘ประเทศนี้’ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมีใครก็ได้จะมาบอกว่าควรทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แล้วก็ไปเชื่อเสียหมด!! แต่เราควรต้องปล่อยให้คนที่มีหน้าที่และทำได้ ทำไปตามเกมที่ถูกต้องและควรจะเป็น

เอาง่าย ๆ ก็กรณีโควิด-19 นี่แหละ!!

วันนี้ เราต้องยอมรับว่า ‘ระลอกใหม่’ หรือใครจะเรียกระลอกสอง ก็ตามแต่ มันกำลังวิ่งแซง ‘ระลอกแรก’ ทั้งในแง่ปริมาณและความร้ายแรง

รู้ไหมว่าเพราะอะไร?

เหตุผลเพราะ การเดินเกมแบบ ‘แชมป์’ หรือที่เคย ‘เล่นตามฟอร์มแชมป์’ ของประเทศไทย มันกำลังเบี่ยงวิถีไปเดินตาม ‘ฟอร์มตกชั้น’ แบบ Why Not?!!

จากมุมมองของ อ.สันต์ ที่เคยเขียนไว้ในเฟซบุ๊กของตน ทำให้ฉุดคิดได้อย่างหนึ่งว่า ตอนที่บ้านเราเจอการติดเชื้อในประเทศ ไม่รวม State Quarantine ที่มีขนาดประมาณ 2,900 คน

แถมมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับภาวะโควิดกระจายหนัก ประมาณ 4 เดือน ตั้งแต่ 13 ม.ค. - 18 พ.ค. 2563 เฮ้ย!! เราก็ ‘เอาอยู่’ ไม่ระบาดต่อมาเป็นเวลาอีกหลายเดือนจนถึงปลายปี เพราะการ์ดเราเหนียวมาก

แต่พอมาดูขนาดความรุนแรงของ ระลอกใหม่ ที่ติดเชื้อในประเทศและรวมทุกเชื้อชาติที่โผล่เข้ามา ทำไมมันถึงใหญ่โตกว่าขนาดระลอกแรกได้ไวเยี่ยงนี้

• 2 ม.ค. 2021: 2,893 คน

• 3 ม.ค. 2021: 3,187 คน

• 4 ม.ค. 2021: 3,916 คน

ร่วม ๆ ครึ่งเดือนเท่านั้น หากนับจากจุดเริ่มต้นของระลอกใหม่ ซึ่งมันใช้เวลาสั้นมากในการกระจายตัวของเชื้อ

คนเคยเป็นแชมป์ เล่นกันแบบนี้หรอ?

เหตุผลที่ อ.สันต์ วิเคราะห์ให้เห็น และมันใช่แบบขัดใจคนบางกลุ่ม คือ ‘ความลังเล’ ในการจะเลือกปกป้องอะไรและไม่ปกป้องอะไร ซึ่งบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ ‘ผิด’ ในเชิงทฤษฎี

นั่นก็เพราะหลากคนก็หลากความคิด แต่ในทางปฏิบัติจริง ชุดความคิดที่กำลังจะพาประเทศไทย ‘ตกชั้น’ นั่นก็เพราะคนในรัฐบาลกลางและที่ปรึกษาจำนวนมาก รวมทั้งฝ่ายค้าน ยังมีความเข้าใจในยุทธวิธีที่คลาดเคลื่อน ที่ว่า…

• ‘ต้องปกป้องเศรษฐกิจไว้ก่อน’

• ‘เอาปากท้องประชาชนไว้ก่อน’

• ‘อย่าริดรอนสิทธิเด็กไม่ให้ไปโรงเรียน’

แล้วก็อีกหลายเหตุผล ที่ฟังตรง ๆ มัน ‘ดิสเครดิต’ มากกว่าป่ะแว้

สิ่งนี้กระทบมาสู่ฟอร์มการเล่นที่โคตรเลอะเทอะ!! ล่าช้า ไม่เฉียบขาด เพราะตลอดร่วม 1 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่า ยุทธวิธี ‘จับปลาสองมือ’ สุดท้ายเศรษฐกิจก็เสียหายหนักกว่าเก่า แถมชีวิตคนมากมายก็ตายเป็นเบือ

ย้ำนะว่า ‘หากเรายิ่งเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งมากเท่าไร เศรษฐกิจก็จะยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น’ นี่แหละคือความเป็นจริง

อันที่จริงอยากย้อนเป็นภาพชัดๆ เลยนะว่า ‘ฟอร์มแชมป์’ ของเรามันเฉียบขาดขนาดไหน โดยก่อนหน้านี้ ที่เราเอาอยู่ในระลอกแรก เพราะทุกท่านในรัฐบาลและที่ปรึกษาระดับเจ้าสัวต่างๆ ต่างยกให้ ‘เกม’ ของจีนสีจิ้นผิง ที่โค้ชเข้มจีนในช่วงระลอกแรกจากอู่ฮั่น ได้พาประเทศจาก ‘ตกชั้น’ ขึ้นไปนั่งบัลลังก์จ่าฝูง พาประเทศพ้นโควิด-19 ได้อย่างท็อปฟอร์ม

แต่พอมา ระลอกใหม่ มันแปลกตรงที่ ทำไมเราไปเลือกเล่นฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง...

อะไรคือฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง? มันเป็นยังไง? และโค้ชรายไหนที่ชี้นิ้วผิดๆ ให้ลองตาม?

ประเทศที่รัฐบาลกลางรณรงค์ให้ประชาชนลดการ์ด และห่วงเศรษฐกิจหนักหนา และพาชาวประชาให้เห็นว่าโควิดไม่ได้น่ากลัวนั้น ก็คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ภายใต้ผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และบราซิลภายใต้ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ผู้สร้างวลี “โควิดก็แค่ไข้หวัดเล็กน้อย”

แล้วสรุปผลลัพธ์เป็นไงบ้างจนถึงวันนี้? ใช่เลย!! สองตาที่เห็นเต็มๆ จากทั้ง 2 ประเทศ คือ เศรษฐกิจพัง คนตายเป็นแสนเป็นล้าน

ประเด็น คือ ในทุกวันนี้ หลาย ๆ พฤติกรรมของรัฐบาลเรา ก็ดันเทไปตามสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฌาอีร์ โบลโซนารู เทรนเข้าไปเรื่อยๆ อ้าว!! ก็ไหนว่าจะชวนท่านสีจิ้นผิงมาลงทุนในประเทศไทย ทำไมกลับไปเดินตามทรัมป์

ตรงนี้เป็นเรื่องประหลาด แต่เป็นตลกร้ายของจริง เพราะ อ.สันต์ มองว่า ความคิดแบบเศรษฐกิจนำหน้า ได้ปลูกผลไม้พิษเอาไว้สำเร็จ และทำให้คนทั่วโลก รวมถึงไทย อยากเดินตามทรัมป์มากกว่าจะเดินตาม สี จิ้นผิง ในการสู้กับโควิด-19 แบบทิ้งการ์ด เพราะคำว่า ‘เสรีภาพ’ (ถรุย)

นาทีนี้ไทยจะพัง หรือจะปัง จึงขึ้นอยู่ที่จะเลือกเล่นฟอร์มไหน?

ทรัมป์จะเปิดจะปิดจะปล่อยอะไร ก็เรื่องของอดีตผู้มีอำนาจ แต่ในส่วนของไทยขอแค่ไม่ปล่อยการ์ดให้ตก ปิดคือปิด ล็อคคือล็อค เข้มคือเข้ม ไม่แคร์คนหรือเสียงนกเสียงกา แต่มองหาเส้นทางสู่แชมป์ที่แท้จริง แม้จะเล่นฟอร์มอุดแบบ มูริญโญ่ ตอนคุม ปอร์โต้ และ เชลซี จนได้มหาแชมป์มาครอบครอง ก็หาได้แคร์

เพราะ ‘ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ’ (พี่ตูนไม่ได้กล่าวไว้ แต่ร้องไว้) แต่ถ้าไม่มีชีวิต เศรษฐกิจมันจะยังเกิดอีกรึ?

เอาเป็นว่า หลาย ๆ สิ่งที่ไทยเราเคยเดินตามฟอร์มแชมป์แบบจีน จนทำให้ระลอกแรก ‘คุมอยู่’ ไม่รู้ตอนนี้จะต้องมาย่อยยับในระลอกใหม่เพราะระบบคิดในสมองคนมีอำนาจผิดเพี้ยนหรือไม่ อันนี้ยังไม่กล้าพูด แต่แววมันออก

แต่อย่างไรเสีย แม้วันนี้ไทยเราจะ ‘ล่าช้า’ ในการจัดการโควิดระลอกใหม่ แต่ถ้าความเข้มงวดของ ‘โค้ช’ ที่เข้มแข็งและไหวตัวทัน ก็เชื่อว่าไทยยังชนะได้อยู่

ขอแค่คนเป็นแชมป์ต้องรู้ตัวเองว่า เรานี่แหละเคยเป็นแชมป์ เพราะเรามีวิธีของเรา และเราก็จะชนะอีกครั้งหนึ่ง

แต่ต้องเล่นแบบแชมป์นะ ไม่ใช่ไปเล่นแบบทีมตกชั้น!!

เมื่อ ไชน่า = ลิเวอร์พูล

แล้ว แมนยู = อเมริกา...เกี่ยวกันไหม 555+ ทัวร์ลง!!


ที่มา: Sunt Srianthumrong

จงภูมิใจเถิด ที่เกิดบนผืนดินไทย หลังพบประเทศศิวิไลซ์อย่างญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 122 คนทั่วประเทศ เหตุเกิดเพราะอาการทรุดหนักจากโควิด-19 เพราะต้องรักษาตัวเองที่บ้าน

ญี่ปุ่น อาจจะเป็นประเทศในฝันของคนต่างชาติ ที่ทั้งอยากไปเที่ยว และอยากไปอยู่แบบยาวๆ เพราะหลงใหลในทุก ๆ มิติของความเป็นญี่ปุ่น ทั้งที่เที่ยว อาหารการกิน อากาศ ความสะอาด และวินัยของคนในประเทศ

แต่มันก็ไม่ได้มีมุมดี ๆ ทั้งหมด เพราะทราบหรือไม่ว่าในญี่ปุ่น แม้คุณจะรู้สึกไม่สบาย แต่ต้องใช้เวลาสักระยะ ก่อนที่คุณจะได้เข้ารับการรักษาในสถาบันทางการแพทย์ได้

ไม่นานมานี้มีข่าวการเสียชีวิตรวมตัวเลข 122 รายจากทั่วประเทศญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลที่น่าสะเทือนใจ เพราะตัวเลขจำนวนดังกล่าว คือ กลุ่มผู้ที่ติดเชื้อโควิด และมีอาการลุกลามแบบฉับพลันภายในที่พักอาศัยของตน โดยผู้ป่วยเหล่านี้คาดว่าถูกปฏิเสธจากพยาบาล เพราะมองว่ายังไม่หนักหนา

ปัญหานี้เป็นจุดอ่อนที่โผล่ออกมาของระบบสาธารณสุขญี่ปุ่นที่ต้องประสบกับโควิดระบาดเมื่อต้นปีก่อน โดยสมาคมการแพทย์เฉียบพลันญี่ปุ่น และ สมาคมการแพทย์ฉุกเฉินญี่ปุ่น เคยให้ข้อมูลตรงกันว่า บรรดาห้องฉุกเฉินตามโรงพยาบาลปฏิเสธที่จะรับผู้ป่วยที่มีอาการเส้นเลือดตีบ หัวใจวาย และ อาการบาดเจ็บภายนอก เนื่องจากมีภารกิจดูแลผู้ป่วยโควิด-19 จนล้นมือ

ช่วงแรก ๆ ญี่ปุ่นสามารถควบคุมการระบาดได้ จึงไม่เกิดปัญหาใด ๆ แต่เมื่อแกะรอยเส้นทางระบาดไม่ได้ จึงเริ่มเผยให้เห็นจุดอ่อนในระบบสาธารณสุข ซึ่งเคยมีชื่อเสียงว่า มีระบบประกันสุขภาพที่มีคุณภาพ และ ค่ารักษาอยู่ในราคาเหมาะสม แต่ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญตำหนิรัฐบาลที่ไม่เตรียมการให้พร้อม ปล่อยให้อุปกรณ์การแพทย์ขาดแคลน

ญี่ปุ่นขาดแคลนตั้งเตียงผู้ป่วย บุคลากร และ อุปกรณ์ แต่ต้องรับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งหมด แม้แต่ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักมาก ทำให้โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วย โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลช่วยดูแล

บุคลากรทางการแพทย์ต้องใช้หน้ากากอนามัย N95 แบบรียูส หรือนำกลับมาใช้ใหม่ ส่วนโรงพยาบาลในโอซากาต้องขอรับบริจาคเสื้อกันฝนพลาสติก มาใช้ใส่ป้องกันเชื้อในโรงพยาบาล

ที่สำคัญ ญี่ปุ่นมีห้องไอซียูในอัตราส่วนเพียง 5 ห้องต่อประชากร 1 แสนคน เทียบกับเยอรมนีที่มี 30 ห้อง สหรัฐฯ มี 35 ห้อง และ อิตาลีมี 12 ห้อง

ด้าน ศาสตราจารย์ คาซึฮิโระ ทาเทดะ แห่งมหาวิทยาลัยโทโฮ ซึ่งเป็นประธานของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงอาการของผู้ป่วยในญี่ปุ่นว่า "แม้ว่าอาการจะดูไม่รุนแรง แต่ก็มีบางกรณีที่อาการจะแย่ลงกะทันหัน ในกรณีนั้นจำเป็นต้องสร้างระบบ เพื่อรับการรักษาที่สถาบันทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด”

สุดท้ายแล้ว คนไทยบางคนที่ชอบบอกว่าเมืองไทยไม่มีอะไรดีเลยนั้น ข่าวนี้น่าจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐในประเทศ ที่สามารถดูแลผู้ป่วย กักกัน แกะรอย และรักษาจนหายได้ ไม่ได้ปล่อยให้คนที่ติดเชื้อ ต้องดูแลตัวเอง และตายคาบ้านเสียเท่าไร...


ที่มา: https://www3.nhk.or.jp/news/html/20210106/k10012798701000.html?utm_int=all_side_ranking-social_001

https://www.prachachat.net/world-news/news-451578

เพจ : ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น

หลังจากมีโอกาสกวาดสายตาไปอ่านความคิดเห็นในทวิตเตอร์ของคนญี่ปุ่นบางส่วน ที่กำลังเผชิญกับภาวะโควิด-19 หนักหนากว่าไทยเรามากนักนั้น

ก็ทำให้แอบตกใจในความคิดของคนในประเทศเขา เพราะถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีการประกาศภาวะฉุกเฉินในประเทศเพื่อยกระดับป้องกันโควิด-19 ไประดับหนึ่ง แต่วิถีการใช้ชีวิต สภาพการเดินทางในขนส่งสาธารณะก็ยังเหมือนเดิม ซึ่งพฤติกรรมต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึง ‘การ์ดตก’ จากตัวเองล้วน ๆ

คำตอบของการแพร่ระบาดแบบไม่ลด มันเลยถูกชำแหละออกว่าทำไมหลายๆ​ ประเทศถึงไม่สามารถคุมเชื้ออยู่ และไม่มีโอกาสใดๆ เลยที่จะทำให้เกิดการหยุดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลาอันใกล้ได้

ว่าแล้ว!! ดีดออกจากรั้วชาวบ้าน แล้วมาดูรั้วบ้านเราบ้าง​ เพราะรั้วบ้านเราก็มีวิธีคิดไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจากประเทศเขานัก

จากโพสต์เฟซบุ๊กของ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ศิษย์เก่าสงขลานครินทร์ ผู้จัดระบบและวางยุทธศาสตร์รับมือโควิด-19 ที่ได้เคยโพสต์เนื้อหาเชิง ‘ถาม-ตอบ’ เกี่ยวกับมุมคิดของคนไทยที่เริ่ม ‘การ์ดตก’ จนเกิดความหย่อนยานในการระวังตัวให้อ่าน

ในเนื้อหา ถาม - ตอบ ของ นพ.ธนรักษ์ มันทำให้รู้สึกถึงความน่ากังวล เพราะระหว่างที่คนกลุ่มหนึ่งกลัวและหาทางระวัง แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งพร้อมจะไม่สนใจ!!

หมอถาม: คนไทยรู้มั้ยว่าเรามีโอกาสที่โควิด จะกลับมาระบาดอีก?

ไทยตอบ: รู้

หมอถาม: คนไทยกลัวมั้ย ถ้าโควิด จะกลับมาระบาดอีก?

ไทยตอบ: รู้สึกว่าคนไทยจะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่นะ สังเกตได้จากการปฏิบัติตัว

หมอถาม: สังเกตจากอะไร?

ไทยตอบ: จากการที่คนไทยบางคนเริ่มไม่ระมัดระวัง

- ร้านค้าไม่คัดกรอง

- ร้านค้าให้ความสำคัญกับเงินมากกว่าการป้องกัน

- ร้านค้าไม่ใส่ใจที่จะไม่ยอมให้คนไม่ใส่หน้ากากเข้าร้าน

- ร้านค้าไม่ยอมบอกให้ลูกค้าใส่หน้ากาก

- ลูกค้าก็มีความสุขที่จะไม่ต้องใส่หน้ากาก

***เห็นแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้แอบ ‘เบ้ปากมองบน’ ได้เหมือนกัน เพราะหากคนไทยมีมุมคิดแบบนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โควิดจะไหลไปแบบ Super Spread และยากเกินคุม จาก ‘พฤติกรรมของคนไทย’ ล้วน ๆ

แต่อันที่จริง ลองหันมามองมุมกลับและให้ความเป็นธรรมกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาบ้าง ซึ่งหากวิเคราะห์กันแบบฉาบฉวย เรื่องมันก็มาจาก ‘ความอัดอั้น’ ของคนนั่นแหละ!!

...แล้วอะไรคือ ‘ความอัดอั้น’?

แม้ประเทศไทยจะได้รับคำยกย่องชมเชยในการจัดการโควิดระยะแรกเมื่อปีก่อน (2563) ได้ดี แต่อย่าลืมว่าต้นตอของการแพร่ระบาดในแต่ละครั้ง มักมีปมมาจาก ‘รอบรั้วรัฐบาล’ เข้ามาเอี่ยวเกือบทั้งสิ้น

- สนามมวย คนของใคร?

- บ่อนระยอง คนจากที่ไหน?

- และไหนจะย่านสถานบันเทิงที่เปิดกันแบบไม่เกรง พรก.

แค่จั่วหัวแบบนี้ขึ้นมา วงเป้าของการ์ดที่ตกลง ก็คงจะไม่ใช่แค่ ‘พฤติกรรมคน’ อย่างเดียว

แต่มันเกิดขึ้นจาก ‘แรงเหวี่ยง’ ของความไร้สำนึกจากคนแค่บางกลุ่มที่เร่งกระตุ้นพฤติกรรมให้คนที่เคย​ 'ใส่ใจ'​ เริ่ม​ 'หมดใจ'​ ลุกลามจนคิดสั้นแบบชาติตะวันตกที่ว่าโควิดมันก็แค่เชื้อหวัดอย่างหนึ่ง​ แล้วก็​ 'ปลดการ์ด' ตนเองลง​ แม้จะมีภัยมาเยือนถึงตัวแบบ​ 'จ่อคอหอย'​

จนเชื่อได้ว่าวันนี้น่าจะมี​ 'คนไทย'​ บางกลุ่มเริ่มอยากตั้งคำถาม 'กันเอง' ที่อาจจะดูย้อนแย้งกับสิ่งที่ นพ.ธนรักษ์ โพสต์ไว้!!

ไทยถาม: คิดว่าทหาร ตำรวจ และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เขาจะรู้ไหมว่าโควิดมีโอกาสที่จะกลับมาระบาดอีกครั้ง?

ไทยตอบ: รู้

ไทยถาม: แล้วคิดว่าหน่วยงานเหล่านี้เกรงกลัวหรือไม่ หากโควิดจะกลับมาระบาดอีกรอบ?

ไทยตอบ: อาจจะไม่ค่อยกลัวเท่าไรนะ เพราะเคยคุมอยู่แล้วครั้งหนึ่ง รอบนี้ก็คงเอาอยู่ ลองสังเกตดูได้จากการปฏิบัติตัวก็รู้แล้ว?

ไทยถาม: สังเกตจากอะไร?

ไทยตอบ: ก็จากการที่หน่วยงานของรัฐ ทหาร ตำรวจและอื่นๆ เริ่มไม่ค่อยระมัดระวังแล้วน่ะสิ

- เอาจากเรื่องคนเข้าประเทศแล้วไม่ต้องคัดกรองในบางกลุ่ม

- หน่วยงานของรัฐเริ่มไม่ใส่ใจ และยอมให้คนไม่ตรวจคัดกรองสามารถวางแผนเดินทางเข้าประเทศได้

- แถมหน่วยงานของรัฐอนุมัติให้เข้ามาไม่ควบคุมให้ผู้มาเยือนปฏิบัติตัวตามระเบียบ

- ยิ่งไปกว่าไอผู้มาเยือนก็มีความสุขที่จะไม่ต้องคัดกรอง ไม่ต้องอยู่ในที่จัดไว้ให้ โดยเจ้าหน้าที่ก็ยินยอมให้เป็นไปตามนั้น

- และยิ่งของยิ่งไปกว่านั้น ตอนเกิดเหตุแพร่ระบาดสถานที่ต่างๆ ที่เป็นตัวระบาด ก็มาจากความหละหลวมของรัฐที่ยังปล่อยให้ไปรวมตัวกันเหมือนครั้งสนามมวยรอบแรกเกือบทั้งสิ้น

หน่วยงานของรัฐบางหน่วยไม่มีสติ ไม่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน และต่อให้บางหน่วยอยากทักท้วง ก็ไม่กล้าพอที่จะพูดอะไร

***ฉะนั้นถ้าโควิดจะหนักจนเอาไม่อยู่ในรอบนี้ มันก็มีส่วนมาจากความหย่อนยานของหน่วยงานของรัฐด้วยเช่นกัน!!***

สรุปแล้ว ถ้ามองรอบด้าน มันคือความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะทั้งจาก ‘พฤติกรรมคน’ หรือแม้แต่ ‘พฤติกรรมรัฐ’

- มันจึงไม่น่าจะใช่แค่ใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ผิด

- เพราะมัน ‘ผิดทั้งคู่’

- แต่ผิดแล้ว ผิดอีก ไม่ว่าจะใครหรือใคร อันนี้แหละน่าเขกกะโหลก ทั้งนั้น!!

อยากให้คนไทยได้เที่ยวได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย และกลับมาช่วยกันดูแลธุรกิจ/เศรษฐกิจให้สามารถพอเดินไปได้

ก็อย่า ‘การ์ดตก’ จน ‘หย่อนยาน’

ทั้ง ‘คน’ ทั้ง ‘รัฐ’...นะจ๊ะ!!


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top