ตอนนี้ ถ้านั่งดูหัวตารางพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เขาเล่นกัน โดยเฉพาะกับทีมดัง ๆ ที่คุ้นตา เริ่มปรับฟอร์มการเล่นให้แฟน ๆ กลับมาชมได้สนุกขึ้น (มั้ง)

จริง ๆ มันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากหรอก แค่ ‘ทีมดัง’ ที่เคยอวดโอ้โม้ถ้วยและความสำเร็จสมัยอดีต (หลาย ๆ ทีม) กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงขึ้น (ทีมไรน้า?) เท่านั้นแหละ

แต่รู้ไหมว่า เวลาเห็นทีมดังๆ กลับมาเล่นได้ดี สิ่งหนึ่งที่คิดแว่บมาในหัวได้แบบไวๆ เลย คือ พวกเมิงก็เล่น ‘ฟอร์มแชมป์’ เป็นเหมือนกันนิหว่า ต่อบอลเข้าท่า กล้าเลี้ยงกล้าลุย จบสกอร์เป็นจบสกอร์ ไม่ป้อไปแป้มา แล้วก็โดนสวนตูมหายแบบเดิม แล้วก่อนหน้านั้นไปกระแดะเล่นทรง ‘ทีมตกชั้น’ เพื่ออัลไล?

คำตอบของเรื่องนี้ มันมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของผู้เล่น และแท็กติกในการทำทีมของโค้ช ถ้าจะทำให้ดีมัน ก็ทำได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่มันดี แล้วผลลัพธ์ไม่ได้ตรงใจ ก็ไม่ใช่ความผิดมหันต์ และควรคงของดี ๆ เอาไว้ อย่าเขว ‘แฟนบอล’ ที่แม่มคอยพร่ำบอกให้เล่นแบบนั้นนี้ ตามสไตล์โค้ชคีย์บอร์ด

เพราะสุดท้ายคนรับผิดชอบมันไม่ใช่ไอ้พวกหลังแป้นว้อยย!!

พอพูดถึงเรื่อง ‘ฟอร์มแชมป์’ กับ ‘ฟอร์มตกชั้น’ มันก็พลันให้จิตโยงคิดมาเรื่องประเทศไทย (ได้ยังไง แต่เออ มันก็วกได้)

เพราะวันก่อนได้อ่านบทความหนึ่งของ อาจารย์ สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ทำให้เบิกเนตรได้พอควรว่า...

‘ประเทศนี้’ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมีใครก็ได้จะมาบอกว่าควรทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แล้วก็ไปเชื่อเสียหมด!! แต่เราควรต้องปล่อยให้คนที่มีหน้าที่และทำได้ ทำไปตามเกมที่ถูกต้องและควรจะเป็น

เอาง่าย ๆ ก็กรณีโควิด-19 นี่แหละ!!

วันนี้ เราต้องยอมรับว่า ‘ระลอกใหม่’ หรือใครจะเรียกระลอกสอง ก็ตามแต่ มันกำลังวิ่งแซง ‘ระลอกแรก’ ทั้งในแง่ปริมาณและความร้ายแรง

รู้ไหมว่าเพราะอะไร?

เหตุผลเพราะ การเดินเกมแบบ ‘แชมป์’ หรือที่เคย ‘เล่นตามฟอร์มแชมป์’ ของประเทศไทย มันกำลังเบี่ยงวิถีไปเดินตาม ‘ฟอร์มตกชั้น’ แบบ Why Not?!!

จากมุมมองของ อ.สันต์ ที่เคยเขียนไว้ในเฟซบุ๊กของตน ทำให้ฉุดคิดได้อย่างหนึ่งว่า ตอนที่บ้านเราเจอการติดเชื้อในประเทศ ไม่รวม State Quarantine ที่มีขนาดประมาณ 2,900 คน

แถมมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับภาวะโควิดกระจายหนัก ประมาณ 4 เดือน ตั้งแต่ 13 ม.ค. - 18 พ.ค. 2563 เฮ้ย!! เราก็ ‘เอาอยู่’ ไม่ระบาดต่อมาเป็นเวลาอีกหลายเดือนจนถึงปลายปี เพราะการ์ดเราเหนียวมาก

แต่พอมาดูขนาดความรุนแรงของ ระลอกใหม่ ที่ติดเชื้อในประเทศและรวมทุกเชื้อชาติที่โผล่เข้ามา ทำไมมันถึงใหญ่โตกว่าขนาดระลอกแรกได้ไวเยี่ยงนี้

• 2 ม.ค. 2021: 2,893 คน

• 3 ม.ค. 2021: 3,187 คน

• 4 ม.ค. 2021: 3,916 คน

ร่วม ๆ ครึ่งเดือนเท่านั้น หากนับจากจุดเริ่มต้นของระลอกใหม่ ซึ่งมันใช้เวลาสั้นมากในการกระจายตัวของเชื้อ

คนเคยเป็นแชมป์ เล่นกันแบบนี้หรอ?

เหตุผลที่ อ.สันต์ วิเคราะห์ให้เห็น และมันใช่แบบขัดใจคนบางกลุ่ม คือ ‘ความลังเล’ ในการจะเลือกปกป้องอะไรและไม่ปกป้องอะไร ซึ่งบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ ‘ผิด’ ในเชิงทฤษฎี

นั่นก็เพราะหลากคนก็หลากความคิด แต่ในทางปฏิบัติจริง ชุดความคิดที่กำลังจะพาประเทศไทย ‘ตกชั้น’ นั่นก็เพราะคนในรัฐบาลกลางและที่ปรึกษาจำนวนมาก รวมทั้งฝ่ายค้าน ยังมีความเข้าใจในยุทธวิธีที่คลาดเคลื่อน ที่ว่า…

• ‘ต้องปกป้องเศรษฐกิจไว้ก่อน’

• ‘เอาปากท้องประชาชนไว้ก่อน’

• ‘อย่าริดรอนสิทธิเด็กไม่ให้ไปโรงเรียน’

แล้วก็อีกหลายเหตุผล ที่ฟังตรง ๆ มัน ‘ดิสเครดิต’ มากกว่าป่ะแว้

สิ่งนี้กระทบมาสู่ฟอร์มการเล่นที่โคตรเลอะเทอะ!! ล่าช้า ไม่เฉียบขาด เพราะตลอดร่วม 1 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่า ยุทธวิธี ‘จับปลาสองมือ’ สุดท้ายเศรษฐกิจก็เสียหายหนักกว่าเก่า แถมชีวิตคนมากมายก็ตายเป็นเบือ

ย้ำนะว่า ‘หากเรายิ่งเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งมากเท่าไร เศรษฐกิจก็จะยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น’ นี่แหละคือความเป็นจริง

อันที่จริงอยากย้อนเป็นภาพชัดๆ เลยนะว่า ‘ฟอร์มแชมป์’ ของเรามันเฉียบขาดขนาดไหน โดยก่อนหน้านี้ ที่เราเอาอยู่ในระลอกแรก เพราะทุกท่านในรัฐบาลและที่ปรึกษาระดับเจ้าสัวต่างๆ ต่างยกให้ ‘เกม’ ของจีนสีจิ้นผิง ที่โค้ชเข้มจีนในช่วงระลอกแรกจากอู่ฮั่น ได้พาประเทศจาก ‘ตกชั้น’ ขึ้นไปนั่งบัลลังก์จ่าฝูง พาประเทศพ้นโควิด-19 ได้อย่างท็อปฟอร์ม

แต่พอมา ระลอกใหม่ มันแปลกตรงที่ ทำไมเราไปเลือกเล่นฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง...

อะไรคือฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง? มันเป็นยังไง? และโค้ชรายไหนที่ชี้นิ้วผิดๆ ให้ลองตาม?

ประเทศที่รัฐบาลกลางรณรงค์ให้ประชาชนลดการ์ด และห่วงเศรษฐกิจหนักหนา และพาชาวประชาให้เห็นว่าโควิดไม่ได้น่ากลัวนั้น ก็คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ภายใต้ผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และบราซิลภายใต้ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ผู้สร้างวลี “โควิดก็แค่ไข้หวัดเล็กน้อย”

แล้วสรุปผลลัพธ์เป็นไงบ้างจนถึงวันนี้? ใช่เลย!! สองตาที่เห็นเต็มๆ จากทั้ง 2 ประเทศ คือ เศรษฐกิจพัง คนตายเป็นแสนเป็นล้าน

ประเด็น คือ ในทุกวันนี้ หลาย ๆ พฤติกรรมของรัฐบาลเรา ก็ดันเทไปตามสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฌาอีร์ โบลโซนารู เทรนเข้าไปเรื่อยๆ อ้าว!! ก็ไหนว่าจะชวนท่านสีจิ้นผิงมาลงทุนในประเทศไทย ทำไมกลับไปเดินตามทรัมป์

ตรงนี้เป็นเรื่องประหลาด แต่เป็นตลกร้ายของจริง เพราะ อ.สันต์ มองว่า ความคิดแบบเศรษฐกิจนำหน้า ได้ปลูกผลไม้พิษเอาไว้สำเร็จ และทำให้คนทั่วโลก รวมถึงไทย อยากเดินตามทรัมป์มากกว่าจะเดินตาม สี จิ้นผิง ในการสู้กับโควิด-19 แบบทิ้งการ์ด เพราะคำว่า ‘เสรีภาพ’ (ถรุย)

นาทีนี้ไทยจะพัง หรือจะปัง จึงขึ้นอยู่ที่จะเลือกเล่นฟอร์มไหน?

ทรัมป์จะเปิดจะปิดจะปล่อยอะไร ก็เรื่องของอดีตผู้มีอำนาจ แต่ในส่วนของไทยขอแค่ไม่ปล่อยการ์ดให้ตก ปิดคือปิด ล็อคคือล็อค เข้มคือเข้ม ไม่แคร์คนหรือเสียงนกเสียงกา แต่มองหาเส้นทางสู่แชมป์ที่แท้จริง แม้จะเล่นฟอร์มอุดแบบ มูริญโญ่ ตอนคุม ปอร์โต้ และ เชลซี จนได้มหาแชมป์มาครอบครอง ก็หาได้แคร์

เพราะ ‘ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ’ (พี่ตูนไม่ได้กล่าวไว้ แต่ร้องไว้) แต่ถ้าไม่มีชีวิต เศรษฐกิจมันจะยังเกิดอีกรึ?

เอาเป็นว่า หลาย ๆ สิ่งที่ไทยเราเคยเดินตามฟอร์มแชมป์แบบจีน จนทำให้ระลอกแรก ‘คุมอยู่’ ไม่รู้ตอนนี้จะต้องมาย่อยยับในระลอกใหม่เพราะระบบคิดในสมองคนมีอำนาจผิดเพี้ยนหรือไม่ อันนี้ยังไม่กล้าพูด แต่แววมันออก

แต่อย่างไรเสีย แม้วันนี้ไทยเราจะ ‘ล่าช้า’ ในการจัดการโควิดระลอกใหม่ แต่ถ้าความเข้มงวดของ ‘โค้ช’ ที่เข้มแข็งและไหวตัวทัน ก็เชื่อว่าไทยยังชนะได้อยู่

ขอแค่คนเป็นแชมป์ต้องรู้ตัวเองว่า เรานี่แหละเคยเป็นแชมป์ เพราะเรามีวิธีของเรา และเราก็จะชนะอีกครั้งหนึ่ง

แต่ต้องเล่นแบบแชมป์นะ ไม่ใช่ไปเล่นแบบทีมตกชั้น!!

เมื่อ ไชน่า = ลิเวอร์พูล

แล้ว แมนยู = อเมริกา...เกี่ยวกันไหม 555+ ทัวร์ลง!!


ที่มา: Sunt Srianthumrong