Saturday, 5 July 2025
NewsFeed

‘นศ. แพทย์พระมงกุฎฯ’ นำทีมคว้าแชมป์ระดับนานาชาติ แข่งเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบิน NASA

(13 พ.ย. 67) “นศ.แพทย์ฯพระมงกุฎฯ” นำทีมเยาวชนไทยคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ในรายการ Kibo Robot Programming Challenge รอบสุดท้าย 

วันนี้ (13 พ.ย. 2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขัน Kibo Robot Programming Challenge เป็นการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee หุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ให้ปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศตามที่วางแผนไว้ โดยมีการแข่งขันจริงบนโมดูลคิโบะของสถานีอวกาศนานาชาติ ภายใต้การควบคุมดูแลของ ฌานเน็ตต์ เจ. เอปส์ นักบินอวกาศของ NASA ซึ่งประเทศไทยเรามีตัวแทนไปแข่งขันคือทีมแอสโทรนัต(Astronut) โดยมี ธรรญธร ไชยกายุต นักศึกษาชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า กองทัพบก เป็นหัวหน้าทีมฯ และมีสมาชิกในทีมประกอบด้วย ชิษณุพงศ์ ประทีปพงศ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล, ชยพล เดชศร นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สิรวิชญ์ แพร่วิศวกิจ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยมี ปริทัศน์ เทียนทอง นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ดูแลทีม

ทั้งนี้ ทีมแอสโทรนัต (Astronut) เป็นตัวแทนเยาวชนไทยเข้าแข่งขันรอบสุดท้ายกับตัวแทนเยาวชนจาก 13 ประเทศทั่วโลก ณ ศูนย์อวกาศสึคุบะ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน โดยแต่ละทีมที่เข้าแข่งขันต้องออกแบบการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เพื่อไปทำภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายได้อย่างครบถ้วนและใช้เวลาได้น้อยที่สุด โดยผลปรากฏว่าทีมแอสโทรนัตของประเทศไทยสามารถคว้าอันดับ 1 ด้วยคะแนน 253.09 คะแนน ตามด้วยอันดับ 2 ทีมตัวแทนจากฟิลิปปินส์ 250.88 คะแนน และอันดับ 3 เป็นของตัวแทนจากบังกลาเทศ 153.92 คะแนน โดย โนริชิเงะ คะไน นักบินอวกาศของ JAXA มาร่วมให้ความเห็นระหว่างการแข่งขัน และมอบรางวัลแก่ตัวแทนเยาวชนไทย โดยการแข่งขัน Kibo Robot Programming Challenge ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 โดยมีผู้เข้าแข่งขันรวมกว่า 661 ทีมจาก 35 ประเทศทั่วโลก ก่อนคัดเลือกเหลือ 13 ทีมในรอบสุดท้าย

นายธรรญธร ไชยกายุต นักศึกษาชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า หัวหน้าทีมแอสโทรนัต กล่าวว่า พวกเราดีใจเป็นอย่างมากที่สามารถคว้าชัยชนะมาได้จากความตั้งใจและความพยายามของทีมพวกเรา แม้จะเจอปัญหาซึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมจริงในสถานีอวกาศนานาชาติ แต่พวกเราได้เตรียมรับไว้ก่อนอยู่แล้ว จึงทำให้สามารถบรรลุภารกิจได้สำเร็จและยังคงทำเวลาได้ดี การที่ได้นำโค้ดที่พวกเราพัฒนาไปใช้จริงในสถานีอวกาศนานาชาตินับเป็นประสบการณ์อันทรงคุณค่า ซึ่งพวกเราจะนำประสบการณ์เหล่านี้ไปปรับใช้และต่อยอดในงานอื่นๆ ต่อไป

นร.เกาหลีใต้กว่า 5 แสน เข้าสอบ'ซูนึง' เผยปีนี้เด็กสอบซิ่วเพียบ หลังคณะแพทย์รับนศ.เพิ่ม

(15 พ.ย. 67) จะเป็นวันสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของบรรดานักเรียนชั้นมัธยมปลายในเกาหลีใต้ เนื่องจากถือเป็นวันสอบ “ซูนึง” (Suneung) หรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเกาหลีใต้ ถือว่าเป็นการสอบครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของบรรดาวัยรุ่นแดนโสมขาว

สำหรับการสอบซูนึงในปีนี้ ยอนฮับ รายงานว่า มีจำนวนผู้เข้าสอบซ้ำทำสถิติสูงสุด ส่วนหนึ่งมาจากการเพิ่มจำนวนรับนักศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ของหลายสถาบัน

ในปีนี้มีนักเรียนเข้าสอบทั้งหมด 522,670 คน แบ่งเป็นนักเรียนระดับมัธยมปลายมีจำนวน 340,777 คน คิดเป็น 65.2 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ในขณะที่ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายแล้วเข้ามาสอบซ้ำ มีจำนวน 161,784 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่ปี 2003 

โดยผู้สำเร็จการศึกษาประมาณ 93,195 คน เชื่อว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่งที่ต้องการสอบใหม่เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีกว่าในปีหน้า ตามข้อมูลจาก Jongro Academy

จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาที่เข้าสอบสูงเชื่อมโยงกับการเพิ่มจำนวนรับนักศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ปีหน้า โดยมีโรงเรียนแพทย์ 39 แห่งทั่วประเทศที่จะรับนักศึกษา 4,610 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีนี้ถึง 1,497 คน

การเพิ่มจำนวนดังกล่าวมาจากนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดียุน ซอก ยอล ที่ตัดสินใจเพิ่มตำแหน่งนักเรียนแพทย์ประมาณ 2,000 ตำแหน่งต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ภายในประเทศ

การสอบ CSAT หรือ ซูนึง ถือเป็นเหตุการณ์ทางวิชาการที่สำคัญที่สุดของประเทศ เพราะการเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังถือเป็นเส้นทางสำคัญในการมีอาชีพที่ดี

รัฐบาลประกาศว่าจะไม่มีข้อสอบยากพิเศษหรือ "killer" questions ในการสอบปีนี้ตามนโยบายที่วางไว้

การสอบจะเริ่มตั้งแต่ 8:10 น. ถึง 17:45 น. โดยในช่วงเวลานี้ ทางการจะควบคุมเสียงรบกวนบริเวณสนามสอบ 1,282 แห่งทั่วประเทศ

ในช่วงการสอบฟังภาษาอังกฤษตั้งแต่ 13:05 น. ถึง 13:30 น. จะห้ามเครื่องบินขึ้นและลงจอดทั้งหมด โดยมีการปรับตารางบินของเครื่องบิน 156 ลำเพื่อให้เหมาะสม

เครื่องบินที่กำลังบินอยู่จะต้องรักษาระดับความสูงไม่ต่ำกว่า 3 กิโลเมตร ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน และการฝึกซ้อมทางทหารที่ทำให้เกิดเสียงรบกวนจะถูกระงับชั่วคราว

รัฐบาลกรุงโซลประกาศขยายเวลาให้บริการรถไฟใต้ดินช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าเป็น 6:00 น. ถึง 10:00 น. จากปกติ 7:00 น. ถึง 9:00 น. เพื่อช่วยให้นักเรียนเดินทางไปยังสนามสอบได้ทันเวลา

ตำรวจจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 10,000 นาย เพื่อดูแลการขนส่งเอกสารสอบไปยังสถานที่สอบและรักษาความสงบเรียบร้อยรอบโรงเรียน

MAHASAMUT SEAFOOD ส่งตรงอาหารทะเลขึ้นห้าง ที่สุดของความสดจากทะเลใต้! การันตีด้วยด้วยมาตรฐาน GI

(14 พ.ย. 67) มหาสมุทรซีฟู้ด (Mahasamutfoods) ผู้จำหน่ายวัตถุดิบอาหารทะเลคุณภาพ เปิดบูธในห้างใหญ่ นำเสนออาหารที่ได้รับมาตรฐาน GI ที่ทั้งสดใหม่ สะอาด อร่อย 

โดยเฉพาะ ‘ปลากะพง 3 น้ำ’ จากลุ่มทะเลสาบสงขลา ซึ่งเจ้าแรกในไทยที่ได้การรับรองความสดอร่อย จากมาตรฐาน GI ด้วยความพิเศษที่ไม่เหมือนใครในเรื่องของคุณภาพ ที่สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าได้ดีสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านตัวแทนจำหน่ายอาหารทะเลสด แม้กระทั่ง ‘เจ๊ไฝ’ เชฟ และเจ้าของร้านอาหารมิชลิน 1 ดาว 7 ปีซ้อน ยังเชื่อมั่นให้ความไว้วางใจในคุณภาพสินค้า มาอุดหนุนถึงร้าน

สำหรับ บูธ มหาสมุทรซีฟู้ด นอกจากปลากะพง 3 จากลุ่มทะเลสาบสงขลา ยังมีผลิตภัณฑ์มาตรฐาน GI อย่าง ปูดำ จากนครศรีธรรมราช และ หอยนางรม จากสุราษฎร์ธานี นำมาจำหน่ายอีกด้วย โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ที่บูธ 3 แห่ง ประกอบด้วย

Gourmet Market Siam Paragon ชั้น G (โซนซีฟู้ด) โซนงาน Gourmet Tastival, Gourmet Market Siam Paragon (ติดกับโซนสลัดบาร์) Gourmet Market The Mall ท่าพระ ชั้น B1
(หน้าร้าน You Hunt We Cook)

ต่างชาติ แห่ลงทุน Data Center ปีนี้กว่า 1.7 แสนล้าน หนุนไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน

(14 พ.ย. 67) ‘รองโฆษกรัฐบาล’ เผย ต่างชาติเชื่อมั่น ลงทุนในกิจการ Data Center ในประเทศไทยต่อเนื่อง ล่าสุด BOI ไฟเขียว 2 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท รวมทั้งปี 47 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 1.73 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 67 เวลา 9.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเป็นเป้าหมายและยุทธศาสตร์สำคัญด้านการลงทุน Data Center และ Cloud Service อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)  พบว่าในรอบปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ในกิจการ Data Center และ Cloud Service รวม 47 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่ทั้งสัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย 

จากข้อมูลล่าสุด BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Alphabet Inc. (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท เป็นการลงทุนตามแผนธุรกิจที่ Google ได้ประกาศระหว่างการพบนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ว่าจะสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเป็นศูนย์ Data Center แห่งที่ 5 ในเอเชียของ Google ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2570

และโครงการ Data Center ของบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส ในเครือ GDS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำระดับโลก ที่ให้บริการทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในปี 2569

นางสาวศศิกานต์กล่าวว่า จากนโยบายเชิงรุกของรัฐบาล ที่ส่งเสริมด้าน Cloud First Policy ช่วยกระตุ้นให้ภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยี Cloud ส่งผลให้ตลาด Data Center ในไทยขยายตัวมากขึ้น ตอกย้ำการพัฒนาก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัล อีกทั้งจากผลประโยชน์จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศไทย และเป็นการเปิดโอกาสให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มเม็ดเงินในหลายมิติ ทั้งภาคการผลิต การค้า และการท่องเที่ยว อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Digital Innovation Hub ของภูมิภาคอาเซียนด้วย

‘สนธิ’ เปิดหน้าแฉ ทนายดาวไถ ผกก.โจ้ 10 ล้าน ชาวเน็ตห่วง ‘ทนายเดชา’ จบไม่สวยตามรอย ‘ทนายตั้ม’

(14 พ.ย. 67) เดือด ‘สนธิ’ ถาม ‘ทนายเดชา’ พอทราบไหมมีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน สะกิดข้อเท็จจริงสืบไม่ยาก เข้าไปเจออดีตนายตำรวจคงทราบชื่อนักกฎหมายจอมไถ ก่อนอีกฝ่ายโร่ย้ำรายการช่องดัง ถูกใส่ร้ายท้าไปดูสรุปสำนวนที่ สน.

จากกรณีเปิดศึกน้ำลายออกมากล่าวหาไปจนพาดพิงกันนอกรอบ ระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โดยปมเดือดล่าสุดเป็นประเด็นที่เจ้าของและผู้ก่อตั้งนสพ.ผู้จัดการ ได้ปลุกผีคดีผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ซึ่งมีคดีซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยแต่ลดโทษจากประหารเหลือจำคุกตลอดชีวิต

โดยนายสนธิมีการเกริ่นเนื้อหาบางช่วงที่ระบุ “มีทนายผมหยิก ตัวดำ หน้ากล้อ คอสั้น ฟันเหยิน ตบทรัพย์ ผกก.โจ้ 10 ล้าน” ก่อนจะร่ายยาวในรายการ sondhitalk ระบุ ตนไม่ได้ข่มขู่ใครส่วนนายเดชาเคยไปข่มขู่ใครหรือไม่ ตนไม่อาจทราบได้จริง ๆ แต่มีคนเล่าให้ฟังถึงผู้กำกับโจ้ว่ามีทนายคนหนึ่งมีคลิปว่าคนตายนั้นเสียชีวิตจากที่ผกก.โจ้นั้นคลุมถุง ถ้าไม่ให้เปิด ขอ 10 ล้าน แต่ทนายความของนายตำรวจปฏิเสธ คลิปจึงถูกส่งต่อมาที่ทนายตั้ม

“ตนไม่ทราบว่าใคร ใครทราบช่วยแจ้ง คุณเดชาพอทราบหรือไม่”

หลังจากเปิดโปงพฤติกรรมจนชัดเจนในความไม่ชอบมาพากล นายสนธิยังยืนกรานเรื่องนี้ตรวจสอบไม่ยาก เพียงแค่ตนทำเรื่องขอเข้าไปสอบถามผู้กำกับโจ้ในเรือนจำคลองเปรม “โจ้ครับ มีเรื่องนี้จริงไหม ถ้าเขาบอกว่าจริงก็อาจรบกวนให้ช่วยบอกชื่อหน่อยได้หรือไม่“

ขณะที่นายเดชาหลังถูกพาดพิงก็ออกมาชี้แจงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าทุกครั้ง โดยกล่าวในรายการคนดังนั่งเคลียร์ของช่อง 8 ยืนกรานไม่ใช่คนที่ได้คลิปคลุมถุงผกก.โจ้ ก่อนแล้วไปเรียกเงิน พอไม่ได้จึงส่งให้ทนายตั้ม

ทนายเดชาย้ำเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแน่นอน เนื่องจากสรุปสำนวนคดีอยู่ที่ สน.โคกคราม พร้อมกับเตือนไปถึงคนที่พาดพิง ถ้ายังนำมาเป็นประเด็นนี้มาใส่ร้ายก็เตรียมรอหมายศาลได้เลย

“อันนี้ไม่จริงเป็นความเท็จ และผมได้แจ้งความดำเนินคดีกับทนายตั้มไว้ที่ สน.โคกครามแล้วก็พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปพบผกก.โจ้แล้วสอบปากคำเรียบร้อยแล้วว่าทนายเดชาไม่ได้เข้าไปเรียกเงินแต่อย่างใด สามารถไปขอดูหลักฐานดังกล่าวได้ ถ้าใครอยากจะได้ตนก็พาไปได้ เรื่องพวกนี้เป็นข่าวใส่ร้าย อันนี้ 100% ถ้าใครยังพูดอยู่ เดี๋ยวผมก็จะเอาหมายศาลใส่ไปให้ที่บ้าน” นายเดชา ระบุ

‘ผู้นำพรรคฝ่ายค้านญี่ปุ่น’ ถูกชาวเน็ตถล่มยับ หลังผุดไอเดียจับผู้หญิงตัดมดลูกทิ้ง ถ้าไม่ยอมมีลูกก่อนอายุ 30

(14 พ.ย. 67) ชาวเน็ตญี่ปุ่นจัดทัวร์กฐิน ผ้าป่า ทัวร์สารทิศไปจอดลงที่บ้านนายฮายากุตะ นาโอกิ ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมแห่งญี่ปุ่น หนึ่งในพรรคฝ่ายค้านโดยพร้อมเพรียง เมื่อเขานำเสนอไอเดียสุดพิสดารผ่านรายการ News Asahi 8 o'clock! ทาง Youtube เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในการแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อยในญี่ปุ่นด้วยการกดดันให้ผู้หญิงรีบแต่งงาน และมีลูกให้ได้ก่อนอายุ 30 ไม่เช่นนั้น ก็จับไปตัดมดลูกทิ้งซะ 

ฮายากุตะ ได้กล่าวถึงสมมติฐานที่ว่าทำไมญี่ปุ่นถึงประสบปัญหาเด็กเกิดน้อยมาก อาจเป็นเพราะ ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่คิดว่าพวกเธอมีเวลาเหลือเฟือจะมีลูกเมื่อไหร่ก็ได้ จึงไม่คิดที่จะรีบมีในขณะที่ยังอยู่ในวัยสาว ดังนั้นเขามีแนวคิดที่จะกดดันให้ผู้หญิงควรรีบมีลูก ก่อนที่จะไม่มีโอกาส ด้วยการจำกัดช่วงเวลาที่จะให้ผู้หญิงสามารถแต่งงาน หรือตั้งครรภ์ได้ 

อาทิเช่น หากเราแบนผู้หญิงที่อายุเกิน 18 ปี เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ห้ามผู้หญิงอายุเกิน 25 ปี มีสิทธิ์แต่งงาน หรือ หากผู้หญิงไม่มีลูกก่อนอายุ 30 ต้องถูกตัดมดลูกทิ้ง จะทำให้ผู้หญิงเริ่มตระหนักถึงช่วงเวลาจำกัดของตนในการวางแผนครอบครัว ที่จะเป็นตัวเร่งให้พวกเธอต้องรีบเรียน รีบแต่งงาน และมีลูกไวขึ้น ซึ่งฮายากุตะเชื่อว่า จะทำให้มีเด็กเกิดใหม่ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นได้ 

แต่เขายอมรับว่า ไอเดียเหล่านี้ เป็นเพียงจินตนาการในโลกนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้ 

เป็นการแสดงความเห็นแบบสุดโต่งที่ แม้แต่ อาริโมโตะ คาโอริ สมาชิกพรรคอาวุโส ที่ร่วมรายการด้วยกันยังท้วงติงว่าไม่เหมาะสม แม้จะอ้างว่าเป็นแค่เรื่องสมมติในนิยายก็ตาม แต่ทั้งนี้เขายืนยันว่าเป็นเพียงยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้ตระหนักถึงช่วงเวลาที่จำกัดของผู้หญิงในการมีลูกนั้นสั้นเพียงใด  

แต่คำแก้ตัวของหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ไม่อาจยับยั้งคณะทัวร์จากสาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ ที่ต่างออกมาตำหนิอย่างรุนแรงถึงการแสดงความเห็นผ่านสื่อออนไลน์เช่นนี้ เข้าข่ายเหยียดเพศ มีทัศนคติเชิงลบกับสตรี ไม่เข้ากับบริบทของสังคมปัจจุบัน แม้นาย ฮายากุตะ จะอ้างว่าเป็นเพียงเรื่องจินตนาการในนิยาย และตัวเขาเองก็เคยมีอาชีพเป็นนักเขียนนิยายมาก่อนที่จะมาเล่นการเมืองก็ตาม 

และล่าสุด นาย ฮายากุตะ นาโอกิ ต้องยอมออกมากล่าวขอโทษออกสื่อ จากความเห็นสาธารณะที่ได้กล่าวออกไปด้วยความคิดน้อยของเขา จนสร้างความไม่สบายใจในสังคม 

ฮายากุตะ นาโอกิ ถือเป็นนักการเมืองสายชาตินิยมขวาจัด โดยได้ตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมแห่งญี่ปุ่น เพื่อต่อต้านพระราชบัญญัติส่งเสริมความหลากหลายทางเพศที่ได้ผ่านสภาในญี่ปุ่นเมื่อปี 2023  โดยพรรคมีนโยบายต่อต้านการเรียกร้องสิทธิ์ของกลุ่ม LGBT ในญี่ปุ่น หรือการรับชาวต่างชาติย้ายถิ่นเข้าประเทศ แล้วมักแสดงความเห็นเชิงเหยียดสตรี และ ชนกลุ่มน้อยทางเพศ ออกสื่ออยู่เสมอ นอกจากนี้ ฮายากุตะ ยังปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการสังหารหมู่ของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามนานกิงเมื่อปี 1937 อีกด้วย  

รู้หรือไม่!! สื่อใดที่ครองตลาดมากที่สุดของปี 2024

(14 พ.ย. 67) ในปี 2024 การแย่งสัดส่วนการครองตลาดของพื้นที่สื่อของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ยังคงมีอยู่อย่างดุเดือด และยังคงเป็นยุคที่ผู้ชมต่างให้ความสนใจแพลตฟอร์มที่นำเสนอเนื้อหาที่สามารถปรับให้เป็นส่วนตัวและหลากหลายมากยิ่งขึ้น 

ตามข้อมูลจาก Brand Finance พบว่า Google ยังคงเป็นผู้นำของกลุ่ม ด้วยมูลค่าแบรนด์ที่สูงถึง 333 พันล้านเหรียญ ซึ่งโตจากปี 2023 ที่อยู่ที่ระดับ 281 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการยืนยันสถานะของ Google ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมสื่อ ด้วยระบบการใช้งานของผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมทั่วโลก

ตามมาด้วย TikTok แพลตปอร์มสัญชาติจีนซึ่งมีมูลค่าที่ 84.2 พันล้านดอลลาร์ ความนิยมและความสามารถในการสร้างความผูกพันกับผู้ใช้ทั่วโลกช่วยให้ TikTok เป็นแบรนด์สื่อที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับสอง แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของเนื้อหาวิดีโอสั้น ส่วนอันดับสามยังคงเป็นของ Facebook ที่โตจากปี 2023 มาอยู่ที่ระดับ 76 พันล้านเหรียญ

ในขณะเดียวกัน Instagram ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์สื่อที่มีอันดับสูง และได้ก้าวเข้ามาอยู่อันดับที่ 4 จากปีที่แล้วที่อยู่ที่อันดับ 6 โดย Instagram มีการเติบโตของมูลค่าแบรนด์อย่างน่าทึ่งที่ 49% จนมีมูลค่าถึง 70 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการเติบโตนี้สะท้อนถึงบทบาทการพัฒนาของ Instagram ในฐานะผู้เล่นหลักในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะการดึงดูดผู้ชมกลุ่มวัยรุ่นและการเน้นที่เนื้อหาภาพ

การเพิ่มขึ้นของมูลค่าแบรนด์ในกลุ่มนี้แสดงให้เห็นถึงความหมายของคำว่า “สื่อ” ที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เช่น Google, TikTok และ Instagram ยังคงปรับโฉมอุตสาหกรรมสื่อด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างและแบ่งปันเนื้อหา ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสื่อในปัจจุบันได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวโน้มกว้างขึ้น เมื่อผู้บริโภคสื่อมองหาแพลตฟอร์มที่มอบการโต้ตอบ การปรับแต่งส่วนตัว และเนื้อหาที่หลากหลายค่ะ โดยทั้ง 10 อันดับของปี 2024 เป็นไปตามนี้ค่ะ 

‘นายใหญ่’ ทุ่มสุดตัว ลุยลงพื้นที่เอง เดินเกมยึดอบจ.อุดรฯ หวังผลแลนด์สไลด์

(14 พ.ย. 67) เป็นแฟชั่นและแท็กติกทางการเมือง  สำหรับเรื่องการชิงลาออกจากนายกอง์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ด้วยเหตุผลหลักคือชิงความได้เปรียบการเมือง เป็นปรากฏการณ์ที่ควรจะได้ถอดรหัส-ทบทวนกันในอนาคต..

ถึงวันนี้ลาออกกัน 27 จังหวัด 27 นายกอบจ.เลือกกันไปแล้ว 18 จังหวัด 95 เปอร์เซ็นต์ แชมป์เก่ารักษาเก้าอี้ไว้ได้..

เฉพาะหน้าเดือน พ.ย.-ธ.ค.จะชิงกันอีก 9 จังหวัด/นายกอบจ.
23 พ.ย.-สุรินทร์
24 พ.ย.อุดรธานี,นครศรีธรรมราชและเพชรบุรี
1 ธ.ค. กำแพงเพชร
15ธ.ค.ตาก และเพชรบูรณ์
22 ธ.ค.อุตรดิตถ์และอุบลราชธานี

นายกอบจ.และสจ.ที่เลือกกันมาตั้งแต่ปี 2563 จะครบเทอม 18 ธ.ค. 2567นี้  กกต.กำหนดแล้วว่าจะเลือกกันใหม่วันที่ 1 ก.พ.2568  เฉพาะนายกอบจ.ก็จะเหลือแค่ 40 กว่าจังหวัด...

ที่จะขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้ ณ ที่นี้ก็คือ การเลือกนายกอบจ.ที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อุดรธานี ที่เคยเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง ของพรรคเพื่อไทย...แต่สัญญาณจากตั้งเต่ทั่วไปเมื่อปี 2566  เมืองหลวงของเพื่อไทยกำลังจะถูกยึด  เก้าอี้สส.หายไป3 เก้าอี้

ไม่แต่เท่านั้นทั้งภาคอีสาน (133ที่นั่ง) ครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยตั้งเป้าขั้นต่ำ 110 ที่นั่ง  ปรากฏว่าได้รับเลือกแค่ 73 เขต 73 คน..พลาดเป้าไปร่วม 40 ที่นั่ง และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทั้งประเทศได้สส.รวม 141 ที่นั่ง เสียแชมป์เลือกตั้งให้กับพรรคน้องใหม่อย่างพรรคก้าวไกล(พรรคประชาชนในปัจจุบัน)ที่ได้ 151 ที่นั่ง..

ย้อนดูตัวเลข 133 ที่นั่งของภาคอีสานครั้งที่แล้ว..เพื่อไทย 75, ภูมิใจไทย 35, ก้าวไกล 7, พลังประชารัฐ 6, ไทยสร้างไทย 5, ไทรวมพลัง 2 ประชาธิปัตย์ 2 และชาติไทยพัฒนา 1

วันที่  3  พ.ย. วัฒนา ช่างเหลา  ประธานสโมสรฟุตบอลชขอนแก่น ยูไนเต็ด อดีต สส.เขต 2 ขอนแก่น เพิ่งชนะศึกเลือกนายกอบจ.ขอนแก่นด้วยการชูป้ายทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ และหัวคะแนน/แฟนคลับที่ใส่เสื้อแดง ล้มแชมป์เก่า 6 สมัยลงได้อย่างน่าอัศจรรย์  กลายเป็น “ขอนแก่นโมเดล” ทำให้การเลือกตั้งนายกอบจ.อุดรธานี  กลายเป็นหมุดหมายให้ “นายใหญ่” ชักธงรบส่งสัญญาณครั้งสำคัญที่จะยึดสมรภูมิอีสานมาอ้อมกอดของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง...

การไปปรากฏตัวของทักษิณ  ชินวัตร  ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย  ในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียง” ถูกออกแบบและปฏิบัติการส่งสัญญาณสำคัญ...

ไม่เพียงให้พรรคส้ม(ประชาชน)ที่หวังลึกๆจะปักธงนายกอบจ.อุดรฯและสยายปีกแบ่งเค้กอีสานเกิดอาการขยาดเท่านั้น  ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงครูใหญ่..เนวิน  ชิดชอบ ประมุขตัวจริงของพรรคสีน้ำเงิน  ที่บารมีกำลังเบ่งบานไม่น้อยกว่า “นายใหญ่” ให้รับทราบ..

ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคสีน้ำเงิน..ภูมิใจไทย นั้นมีทั้งสัมพันธภาพที่ดูอบอุ่นจากท่าทีท่วงทำนองนอบน้อมของอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค แต่ในความเป็นพรรค..วันนี้ ภท.และพท.คือสองพรรคที่มีดุลทางการเมืองที่พูดได้ว่าเสมอกัน..เพราะ-ภท. มีสภาสีน้ำเงินเป็นอาวุธ(ไม่)ลับ ไม่นับรวม 70 เสียงสส.ที่เป็นหมากล็อกอยู่แล้ว...

ภายในพรรคพท...หรือเพื่อไทยขณะนี้พยายามปลุกคำขวัญ..แลนด์สไลด์ขึ้นมาอีกครั้ง..การเดินสายของทักษิณ ปลุกบ้านใหญ่รักษาเอฟซีเก่าๆ สร้างเอฟซีใหม่ๆ หวังให้เพื่อไทยทั้งอีสาน..หรือแดงทั้งอีสานเกิดขึ้นอีกครั้ง..

เพียงแต่โจทย์ครั้งนี้มันยากขึ้น  สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่น้อย  ถ้าเดอะป๊อบ..ศราวุธ  เพชรพนมพร อดีตสส.เพื่อไทย “เขยอินทรีอีสาน” ประชา พรหมนอก  ชนะขาดนายกอบจ.อุดรฯ ก็น่าจะทำให้แนวรบทักษิณ-เพื่อไทย คึกคัก

แต่ถ้าชนะแบบฉิวเฉียดไม่กี่พันแต้มหรือล็อคถล่มแพ้ขึ้นมา..แลนด์สไลด์ที่แอบหวังก็จะถูกฝังกลบเป็นแลนด์สลบอย่างแน่นอน..!!

ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา กรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (นายภูมิธรรม เวชยชัย) 

(13 พ.ย. 67) เวลา 14.00 – 16.00 นาฬิกา พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา กรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และหารือข้อราชการเกี่ยวกับนโยบายด้านกิจการทหารและความมั่นคง รวมทั้งการดูแลกำลังพลและทหารผ่านศึก ณ ศาลาว่าการกลาโหม กระทรวงกลาโหม 

ในการนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับและหารือในประเด็น ดังนี้ 
1. ผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในด้านกิจการทหารและความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม
2. นโยบายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในด้านกิจการทหารและความมั่นคงในระยะเร่งด่วน
3. แนวความคิดในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีของทหารผ่านศึก (ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นนายกสภาทหารผ่านศึก)
4. แนวความคิดในการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมความมั่นคงและการป้องกันประเทศสู่สากล (ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ)
๕. เรื่องอื่น ๆ /ประเด็นสำคัญที่ต้องการให้กรรมาธิการในฐานะสมาชิกวุฒิสภาผลักดันให้ประสบผลสำเร็จ 

โดยที่ประชุมหารือได้มีการพูดคุยและข้อเสนอแนะที่สำคัญทั้งเรื่องการพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพกับการพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคง รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชน และการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติ รวมถึงเรื่องกิจการกำลังสำรอง ทหารผ่านศึก และทหารนอกประจำการ เรื่องความมั่นคงแบบองค์รวมที่เกี่ยวข้องกับหลายเรื่องต้องร่วมคิดร่วมขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนสืบไป
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะได้นำข้อมูลและข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ได้หารือร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงกลาโหมไปพิจารณาศึกษาและดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นรูปธรรมต่อไป 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนลอยกระทงปลอดภัย ต้องใส่ใจส่วนรวม แนะ 6 สิ่งต้องคำนึง ก่อนนึกถึงพระแม่คงคา

(14 พ.ย. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ และเนื่องด้วยวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ที่จะถึงนี้เป็น “วันลอยกระทง” ที่พี่น้องประชาชนร่วมเฉลิมฉลองด้วยการลอยกระทงตามแม่น้ำลำคลอง เพื่อขอขมาพระแม่คงคาและขอให้สิ่งไม่ดีลอยไปกับกระทง รวมไปถึงทางภาคเหนือยังมี “ประเพณียี่เป็ง” โดยเป็นการปล่อยโคมลอยหรือโคมไฟขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อบูชาและขอขมาแม่คงคา เช่นเดียวกัน ซึ่งในช่วงเทศกาลดังกล่าวจะมีพี่น้องประชาชนออกมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น เพื่อให้เทศกาลลอยกระทงเป็นไปอย่างปลอดภัย สนุกสนาน และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแนะนำ 6 สิ่งที่ต้องคำนึง ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ดังนี้

1. “ความปลอดภัยทางน้ำ” ควรระมัดระวังไม่ลงไปลอยกระทงในน้ำโดยตรง และเด็กเล็กควรอยู่ในสายตาผู้ใหญ่เสมอ โดยผู้ดูแลสถานที่ลอยกระทงควรจัดเตรียมเสื้อชูชีพ หรือห่วงยาง ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

2. “หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด” โดยเฉพาะบริเวณริมตลิ่ง แม่น้ำ และท่าเรือต่าง ๆ เพราะอาจเกิดอันตรายจากการเบียดเสียดกัน หรืออาจมีมิจฉาชีพฉวยโอกาสในการลักทรัพย์ได้

3. “งดเล่นประทัดและดอกไม้ไฟ” เพราะอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ หรือทำให้ตนเองและผู้อื่นบาดเจ็บได้

4. “ลอยโคมในจุดที่กำหนด” โดยห้ามลอยโคมในบริเวณที่ใกล้กับสนามบิน หรือพื้นที่หวงห้าม เพราะโคมอาจลอยไปรบกวนการบิน หรืออาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้

5. “ใช้กระทงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” หลีกเลี่ยงการใช้กระทงที่ทำจากวัสดุย่อยสลายยาก เช่น โฟม พลาสติก และหลีกเลี่ยงการใช้กระทงขนมปัง เพราะอาจทำให้น้ำเน่าเสียได้

6. “ระวังการลอยกระทงออนไลน์” เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพทำเว็บไซต์มาหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล หรือหลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันอันตราย

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือในกรณีต่าง ๆ ได้ที่สายด่วนดังต่อไปนี้ เหตุด่วนเหตุร้าย สายด่วน 191 , เจ็บป่วยฉุกเฉิน สายด่วน 1669 , เหตุด่วนทางน้ำ สายด่วน 1196 และเหตุเพลิงไหม้ สายด่วน 199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top