Friday, 4 July 2025
NewsFeed

จ.ส.อ.รอด อาสนพรรณ แห่งกองพันพยัคฆ์น้อย เกาหลีใต้บรรจุอัฐิในสุสานเมืองปูซาน

(12 พ.ย.67) เกาหลีใต้จัดพิธีบรรจุอัฐิทหารผ่านศึกเกาหลีชาวไทยให้แก่ จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกเกาหลีชาวไทยคนแรกที่ได้รับการบรรจุอัฐิในสุสานอนุสรณ์สถานแห่งสหประชาชาติในเมืองปูซาน

ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีในประเทศไทยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลา 12.00 น. สำนักงานบริหารสุสานอนุสรณ์สหประชาชาติในเกาหลี ได้จัดพิธีบรรจุอัฐิทหารผ่านศึกสงครามเกาหลีชาวไทย จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีรำลึกถึงทหารผ่านศึกเกาหลีที่ชื่อว่า 'Turn Toward Busan' โดยมีผู้ร่วมงานประมาณ 100 คน รวมทั้งลูกสาวและหลานสาวของท่าน (นางสมทรง และ นางสาวจิรัชญา เจริญพงศ์อนันต์) รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกเกาหลีใต้ นางคัง จองเอ เอกอัครราชทูตไทยประจำเกาหลี นายธานี แสงรัตน์ และทหารผ่านศึก พร้อมด้วยครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการเยือนเกาหลี รวมถึงนักศึกษาจากโครงการอาสาสมัครสันติภาพสหประชาชาติ

จ.ส.อ. รอด อาสนพรรณ เป็นทหารผ่านศึกชาวไทยที่เข้าร่วมสงครามเกาหลีระหว่างวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ถึง 28 ตุลาคม พ.ศ. 2496 โดยประจำการในกองพัน 'พยัคฆ์น้อย' ที่โดดเด่นด้านความกล้าหาญและความรวดเร็ว รัฐบาลไทยมอบเหรียญชัยสมรภูมิให้เป็นเกียรติและเพื่อยกย่องคุณงามความดีของท่าน การบรรจุอัฐิครั้งนี้ทำให้สุสานอนุสรณ์สหประชาชาติมีทหารผ่านศึกจำนวนทั้งสิ้น 2,330 นายจาก 14 ประเทศทั่วโลก

จ.ส.อ. รอด เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2465 และเสียชีวิตอย่างสงบในวัย 100 ปี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ก่อนวันเกิดครบ 101 ปีเพียง 2 เดือน ท่านเคยเดินทางไปเกาหลีอีกครั้งเมื่อปีที่แล้วในโครงการเยี่ยมเยียนทหารผ่านศึกเกาหลี และแสดงความปรารถนาที่จะบรรจุอัฐิของตนไว้ที่สุสานแห่งนี้ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจัดการสุสานนานาชาติในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ครอบครัวของ จ.ส.อ. รอด เปิดเผยว่ารู้สึกภาคภูมิใจในท่านอย่างยิ่ง ท่านเคยเล่าเรื่องราวความยากลำบากในช่วงสงครามให้ครอบครัวฟังอยู่เสมอ ซึ่งทำให้พวกเขาได้ตระหนักถึงความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่าน จ.ส.อ. รอดยังยึดมั่นในระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และเป็นผู้ที่มุ่งมั่นแบ่งปันความสุขให้ครอบครัวและผู้คนรอบข้าง

‘ทนายเชาว์’ แนะฟ้องศาลเอาผิด คกก. คัดเลือกฯ เหตุเลือก ‘กิตติรัตน์’ นั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ ทั้งที่มีลักษณะต้องห้าม

(12 พ.ย.67) ‘ทนายเชาว์’ ชี้ ‘กิตติรัตน์’ ขาดคุณสมบัตินั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ แนะฟ้องศาลฯ เอาผิด คกก.คัดเลือก ฐานจงใจเลือกคนมีลักษณะต้องห้าม เหตุพ้นตำแหน่งทางการเมืองไม่ถึง 1 ปี เชื่อส่งผลทำคนติดคุกได้ ชี้ตำแหน่ง 'ที่ปรึกษาของนายกฯ' แม้ไม่ใช่ ขรก.การเมือง แต่ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายเชาว์ มีขวด ทนายความ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า 'กิตติรัตน์' ขาดคุณสมบัตินั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดคณะกรรมการคัดเลือก 7 คน จึงมีมติเลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และเตือนไว้เลยว่า ใครก็ตามที่ลงคะแนนให้นายกิตติรัตน์ นั่งเก้าอี้ตัวนี้ ท่านเตรียมสู้คดีในชั้นศาล ที่อาจต้องจบที่เรือนจำได้เลย

ที่พูดแบบนี้ก็เพราะ ระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 กำหนดไว้ชัดเจนในหมวดที่ 2 การเสนอชื่อ การพิจารณาและการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไว้ในข้อ 16 (4) ว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

โดยเจตนารมณ์ของระเบียบฯ ที่กำหนดไว้เช่นนี้

ต้องการให้ บุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็น ประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเป็นกลาง ไม่มีส่วนได้เสีย หรือ เกี่ยวข้อง กับการเมือง 

แต่นายกิตติรัตน์ เคยเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ. 2535 มีทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

โดยให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกดนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี

เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีของนายกิตติรัตน์ แม้โดยนิตินัยจะไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง โดยเลี่ยงใช้คำว่าที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แต่โดยพฤตินัย ตามคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 214 / 2566 ระบุให้ นายกิตติรัตน์ ทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา และพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และให้ส่วนราชการสนับสนุนงานของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอและให้สำนักเลขาธิการนายกฯ อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามระเบียบของราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขานายกรัฐมนตรี

ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ของนายกิตติรัตน์ จึงอยู่ในความหมายของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามความใน ข้อ 16 (4) ของระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือกฯ เพราะนายกิตติรัตน์ ยังพ้นตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกฯ ไม่ถึงหนึ่งปี โดยพ้นตำแหน่งไปในวันที่นายเศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.67 เท่ากับเพิ่งพ้นหน้าที่มาเพียงแค่ไม่ถึงสามเดือน

ถ้าเราปล่อยให้นายกิตติรัตน์ ได้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ด้วยข้ออ้างว่าตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง จึงไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย ต่อไประเบียบฯ เรื่องห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาเป็นประธานหรือกรรมการแบงก์ชาติ เว้นพ้นตำแหน่งแล้ว 1 ปี จะกลายเป็นหมันใช้บังคับในทางปฏิบัติไม่ได้ เพราะการเมืองใช้วิธีศรีธนญชัยเล่นแร่แปรธาตุทางกฎหมาย

ผมยืนยันว่าในทางกฎหมายแม้ตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกฯ จะไม่ใช่ข้าราชการการเมือง แต่หน้าที่ที่ทำตามคำสั่งนายกฯ ถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างแน่นอน กรณีนี้ผมเสนอให้มีการฟ้องศาลฯ เอาผิดคณะกรรมการคัดเลือก จงใจเลือกคนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ไปให้สุดจะได้รู้ว่าต้องไปหยุดที่คุกหรือไม่

เชียงใหม่-ท่าอากาศยานเชียงใหม่ สรุปเที่ยวบินเปลี่ยนแปลง-ยกเลิกในช่วงเทศกาลยี่เป็ง ประจำปี 2567 รวมทั้งสิ้น 170 เที่ยวบิน 

(12 พ.ย.67) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ปรับเวลาให้บริการในช่วงเทศกาลลอยกระทง โดยสายการบินยกเลิกและเปลี่ยนแปลงเวลาทำการบินหลังเวลา 19.00 น.เพื่อลดความเสี่ยงจากโคมลอยที่อาจเกิดอันตรายต่ออากาศยาน

นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลยี่เป็ง ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567) มีเที่ยวบินที่ยกเลิกและเปลี่ยนแปลงเวลาการบิน รวมทั้งสิ้น 170 เที่ยวบิน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.เที่ยวบินที่ยกเลิก จำนวน 74 เที่ยวบิน แบ่งเป็นเที่ยวบินในประเทศ 36 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 38 เที่ยวบิน
2.เที่ยวบินที่เปลี่ยนแปลงเวลาทำการบินจำนวนทั้งสิ้น 96 เที่ยวบิน เป็นเที่ยวบินภายในประเทศ เที่ยวบิน 68 และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 28 เที่ยวบิน
3.เที่ยวบินพิเศษเพิ่มเติม จำนวน 16 เที่ยวบิน เป็นเที่ยวบินภายในประเทศ 8 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 8 เที่ยวบิน       

ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงและยกเลิกเที่ยวบินดังกล่าว คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน เนื่องจากสายการบินได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวทราบล่วงหน้า เพื่อวางแผนการเดินทางที่เหมาะสมแล้ว พร้อมกันนี้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้เข้มงวดมาตรการรักษาความปลอดภัย เพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการรักษาความปลอดภัย อาทิ เพิ่มวงรอบการตรวจการณ์ ทั้งภายในอาคารผู้โดยสาร และบริเวณพื้นที่รอบท่าอากาศยาน ตั้งจุดสุ่มตรวจยานพาหนะ ที่ผ่านเข้ามาในพื้นที่ท่าอากาศยานเป็นระยะ สุ่มตรวจสัมภาระและผู้โดยสารตามมาตรฐานที่กำหนด สุ่มตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ของพนักงานที่ปฏิบัติงานในเขตการบิน 

รวมทั้งห้ามจอดยานพาหนะบริเวณชานชาลาหน้าอาคารผู้โดยสารอย่างเด็ดขาด เพื่อดูแลความปลอดภัยและป้องปรามกลุ่มผิดกฎหมายที่อาจฉวยโอกาสกระทำการในช่วงผู้โดยสารคับคั่ง อย่างไรก็ตามขอให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาในการเดินทางมายังท่าอากาศยานมากกว่าปกติ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีผู้โดยสารคับคั่งแออัดตลอดทั้งวัน ขณะเดียวกันยังได้เพิ่มรอบความถี่ในการตรวจ  ทางวิ่งทางขับจากเดิมวันละ 6 รอบ เป็น 10 รอบ เพื่อตรวจเก็บซากโคมที่อาจถูกกระแสลมพัดมาตกในพื้นที่เขตการบิน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังการเก็บโคมลอยและโคมควัน โดยพร้อมออกไปเก็บซากโคมลอยได้ทันที หากได้รับแจ้งจากหอบังคับการบินหรือจากนักบิน

สำหรับการรณรงค์เรื่องการปล่อยโคมลอยให้ปลอดภัย ก่อนหน้านี้ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ได้มีหนังสือขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานราชการและเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วัด สถานศึกษาและชุมชนที่อยู่ในเขตความปลอดภัยในการเดินอากาศ ประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนให้รับทราบถึงแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการปล่อยโคมลอยในช่วงเทศกาลลอยกระทง โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามประกาศจังหวัดเชียงใหม่ เรื่อง มาตรการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยและการดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนในการจุดและปล่อยโคมลอย โคมไฟ โคมควัน (ว่าวฮม) หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกันขึ้นสู่อากาศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 ที่กำหนดว่า ห้ามจุดและปล่อยโคมลอย โคมไฟ โคมควัน (ว่าวฮม) หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกันขึ้นไปสู่อากาศในเขตปลอดภัยการเดินอากาศ และพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษระดับ 1 (พื้นที่สีแดง) คือบริเวณแนวขึ้น-ลง สนามบิน ที่อยู่ห่างจากทางขึ้น-ลงของเครื่องบิน ห่างข้างละ 4.6 กิโลเมตร เป็นระยะทางยาว 18.5 กิโลเมตร จากหัวทางวิ่งทั้งสองด้าน นอกจากนี้ยังได้ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน กำนันผู้ใหญ่บ้าน และช่องทาง Social Media ต่างๆ ด้วย
    
ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ในฐานะประตูบานแรกที่เข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสืบสานประเพณีลอยกระทง โดยได้ประดับตกแต่งโคมไฟและโคมแขวนภายในอาคารผู้โดยสาร ซึ่งเป็นรูปแบบกิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตามวิธีพุทธและประเพณีเดือนยี่เป็ง รวมทั้งเปิดเพลงบรรเลงท้องถิ่น เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นล้านนาตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางมาถึง และยังกำหนดจัดกิจกรรมแจกกระทงให้แก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนด้วย

วัยรุ่นจีนนับหมื่น ปั่นจักรยานข้ามเมือง ชิมเสี่ยวหลงเปาเจ้าดังยามราตรี

(12 พ.ย.67) กลายเป็นไวรัลฮิตในจีนหลังจากที่มีการแชร์เรื่องราวว่า มีนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งได้ปั่นจักรยานเป็นระยะทาง 48 กิโลเมตร จากเมืองเจิ้งโจวไปเมืองไคเฟิง เพื่อลิ้มรสร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าดัง จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียจีน 

ส่งผลให้นักปั่นชาวจีนจำนวนมากรวมตัวกันเมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน ทำให้เกิดการจราจรในเมืองไคเฟิงติดขัดเป็นอย่างมาก เพื่อไปชิมเกี๊ยวซุปร้านดัง จนทำให้ถนนหนาแน่นไปด้วยจักรยาน และบริษัทร้านเช่าจักรยานบางแห่งต้องปิดให้บริการชั่วคราวเพราะขาดแคลนจักรยาน

การปั่นจักรยานกลางคืนนี้ยังสะท้อนถึงเทรนด์การท่องเที่ยวแบบประหยัดที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของจีน โดยสื่อของรัฐยกย่องกิจกรรมนี้ว่าเป็นการแสดงออกถึง 'ความกระตือรือร้นของคนรุ่นใหม่' และยังมองว่าเป็นโอกาสในการโปรโมทการท่องเที่ยว โดยในวันที่จัดกิจกรรมดังกล่าวทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่พยาบาลมาคอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง

สังคมไทย สุดป่วยด้วย 'โรคอวดรวย' ระบาด สุดท้ายหลงภาพลักษณ์จนตกเป็นเหยื่อนักต้มตุ๋น

สังคมไทยกำลัง 'ติดโรคอวดรวย' ที่ได้เงินมาจากการต้มตุ๋นผู้คน แพร่เชื้อโรคมาจากคนเด่นดังทางสังคม

คนไทยยุคนี้ได้ชื่อว่า 'ขยันเข้าสังคมเก่ง' แต่กลับขาดทักษะในการเรียนรู้นิสัยใจคอของคนอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่ยังมีความคิดในเชิงโลกสวย เชื่อคนง่าย มองคนแค่เปลือกนอก จึงมักถูกหลอก ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด จนเกิดความสูญเสียตามมาเสมอ

ยิ่งเวลาเห็นข่าวคนดังทางสังคม โผล่ออกมาหน้าจอทีวี เห็นหน้าตาเขาดี พูดจาดี ฉายโชว์แต่เรื่องราวดี ๆ และดูร่ำรวยออกสื่อ ก็จะกระโจนเข้าหา หลงชื่นชม ติดตาม และนิยมชมชอบแบบขาดสติ ไร้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ สำรวจ ศึกษาที่มาที่ไปของคนให้ถ่องแท้ ยิ่งสื่อช่องดังแต่ละช่องขยันเชิญมาแบบขาดการไตร่ตรองให้ครบด้าน คนดูก็ยิ่งตายใจ คิดไปเองว่าทั้งหมดนั้นคือแบบอย่างที่ดี ที่ถูกสื่อคัดกรองมาดีมากพอแล้วที่จะให้สังคมอ้าแขนต้อนรับ

คนดังทางสังคมเหล่านี้เมื่อร่ำรวยขึ้นมา ก็จะโชว์เสื้อผ้าแบรนด์เนม นาฬิกาหรู บ้าน รถ ภาพการกินหรูอยู่โรงแรมคืนละหลักแสน เที่ยวต่างประเทศ กลายเป็น 'ภาพจำโง่ ๆ' ที่คล้าย 'โรคระบาด' ใครมีความร่ำรวยขึ้นมาก็จะติดทำตาม ๆ กันให้เห็นอย่างรวดเร็ว เราจึงพบเห็นคนดัง คนรวย แสดงแต่สิ่งที่กลวงโบ๋ทางปัญญา บ้าบอแต่วัตถุ ความฟุ้งเฟ้อ เป็นภาพลวง ๆ แม้ไม่จีรังแต่ก็ยังสามารถดึงดูด 'คนคิดไม่เป็น' ที่มีอยู่มากมายในสังคมไทยให้มาหลงเชื่อได้ไม่น้อยเลย 

'โรคอวดรวย' ได้กลายเป็นหนึ่งใน 'โรคระบาด' ที่กำลังแพร่กระจายในสังคม 'เศรษฐีใหม่' ที่มักจะมีรายได้มาโดยวิถีทางที่ไม่สะอาด เบื้องหลังมักทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซ่อนเร้นไปด้วยเล่ห์เพทุบาย บางคนก็หลอกต้มทุกคนไม่ขวางหน้า ไม่สนบาปบุญคุณโทษ หรือแม้แต่ผู้มีพระคุณ 

ประเทศไทยยุคนี้มีคนที่ 'ติดโรคอวดรวย' แทบจะทุกอาชีพแล้ว เช่นดารานักแสดง นักร้อง พิธีกร แม่ค้าขายทอง ตำรวจ ทนาย หรือแม้แต่เจ้าของค่ายมวยที่หน้าฉากกับหลังฉากราวขาวกับดำ แม้จะเกมไปนอนคุกแล้วบางส่วน แต่ที่ยังรอดเล่นบทตีสองหน้ากับสังคมยังมีอีกไม่น้อยเลย 

จับตาดูให้ดี ๆ 

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ยอมรับอ้างชื่อ ‘หนุ่ม กรรชัย’ จริง แต่ถูกตัดต่อ แจงปมเรียกเงิน 20 ล้าน ยัน! แค่อยากได้งานพีอาร์เท่านั้น

(13 พ.ย. 67) ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ยอมรับทำผิดจริง ปมอ้างชื่อ หนุ่ม กรรชัย และรายการ โหนกระแสยันไม่เจตนาตบทรัพย์ เรียกเงิน 20 ล้าน เป็นเพียงค่าทำพีอาร์เท่านั้น

หลังจากที่ทาง หนุ่ม กรรชัย ออกมาเปิดคลิปเสียง ศิลปินชาย ร่วมมือนักร้องหญิง ตบทรัพย์ 20 ล้านบาท จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักในขณะนี้ ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถามว่าศิลปินดังคนนั้นคือใคร สุดท้ายหวยไปออกที่ ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ และเจ้าตัวก็รีบติดต่อรายการดังทางช่อง 8 เพื่อชี้แจงความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดในทันที ทั้งยืนยันว่าเป็นเสียงของตนจริง แต่ถูกตัดต่อให้เข้าใจผิดว่าเป็นการเรียกเงิน 20 ล้านบาท

ฟิล์ม รัฐภูมิ ติดต่อไปที่รายการ คนดังนั่งเคลียร์เพื่อที่จะออกมาชี้แจงถึงประเด็นที่มีเสียงตัวเองโผล่อยู่ในคลิปเสียงตบทรัพย์ 20 ล้าน โดยเจ้าตัวเผยว่า ได้รับการติดต่อให้ทำพีอาร์ให้กับทางดิไอคอนผ่าน คุณกฤษอนงค์ ตอนนั้นยังไม่เกิดคดีความขึ้น ตนอยู่ในสถานะของผู้ถูกจ้าง

โดยคนกลางกำหนดงบประมาณมาให้เองว่ามีงบ 20 ล้านบาท และจากที่ฟังเรื่องที่เขาเล่ามาตนก็ไม่ได้ตกใจอะไร ก็คิดว่าเป็นบริษัทที่ขายของเท่านั้น ไม่ได้ทราบว่า ดิไอคอนกรุ๊ป คืออะไร ตนมีหน้าที่แค่วางแพลนมาร์เก็ตติ้งเพื่อให้เขาได้ไปดีแคร์ตัวเองผ่านทางรายการโทรทัศน์เท่านั้น เพราะเขาอ้างว่ากำลังถูกสื่อและสังคมโจมตีอย่างหนัก

ส่วนประเด็นที่อ้างชื่อ หนุ่ม กรรชัย นั้น ศิลปินดัง ยอมรับว่าในเรื่องนี้ตนผิดจริง ๆ พิธีกรดังโทรศัพท์มาหาแล้วตั้งแต่เมื่อคืน (11 พ.ย. 67) ตนก็โดนด่าเหมือนที่พี่เขาด่าในรายการวันนี้เลย อยากจะขอโทษที่กล่าวอ้างไปแบบนั้นไม่ได้มีเจตนาทำให้เสียชื่อเสียง น้อมรับทุกสิ่งที่เขาต่อว่ามา และพร้อมจะปรับปรุงให้ดีขึ้น 

สาเหตุที่เอ่ยชื่อ หนุ่ม กรรชัย ไปแบบนั้น เพราะหลงเชื่อคนกลาง เพื่อต้องการจะขายงานของตัวเองให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วบริษัทดิไอคอนก็ไม่ได้ซื้องานของตน ตนไม่ได้รับเงินก้อนนี้ และไม่ทราบว่าใครได้งานนี้ไป ยืนยันว่าไม่ได้ตบทรัพย์หรือรีดทรัพย์ 20 ล้านตามที่คลิปเสียงถูกตัดต่อจนคนมองผิดไปแน่นอน ย้ำว่าเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้าที่บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จะถูกดำเนินคดี ถือว่าเป็นบทเรียนให้ต้องมีสติในการรับงานมากกว่านี้

สวนทางต่างชาติสนใจย้ายมาไทย ชอบคุณภาพชีวิต-ค่าครองชีพไม่สูง

(13 พ.ย. 67) คนไทยสมองไหล? Gen Z 79% อยากย้ายประเทศเพื่อโอกาสงานที่ดีขึ้น

ปรากฏการณ์ “สมองไหล” ในไทยกำลังทวีความรุนแรง ล่าสุดรายงานจาก Jobsdb by Seek เผยว่า 66% ของคนไทยสนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศเพื่อหางานที่มีเงินเดือนสูงขึ้นและคุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่มีถึง 79% อยากหาประสบการณ์ทำงานระดับนานาชาติ

รายงาน Global Talent Survey 2024 จาก Jobsdb เผยว่าแรงงานไทยมากถึง 66% สนใจย้ายไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ให้ความสนใจสูงถึง 79% ความต้องการย้ายประเทศนี้มีสาเหตุจากความต้องการก้าวหน้าในอาชีพ รายได้ที่สูงขึ้น และประสบการณ์ทำงานระดับโลก 

แม้จะยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดของผู้ต้องการย้าย แต่แนวโน้มนี้มีการเติบโตอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด โดยหลังจากการระบาด ความสนใจย้ายประเทศเพื่อหางานของคนไทยพุ่งสูงขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณถึงปรากฏการณ์สมองไหลที่เพิ่มขึ้น

ประเทศปลายทางที่แรงงานไทยต้องการย้ายไป ได้แก่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งการเลือกเหล่านี้อาจมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม 60% ของผู้ที่ได้ไปทำงานในต่างประเทศมีแผนจะกลับมาทำงานในไทยในอนาคต ส่วนอีก 18% ต้องการอยู่ต่างประเทศอย่างไม่มีกำหนด อาชีพยอดนิยมที่แรงงานไทยสนใจไปทำในต่างประเทศ ได้แก่: การศึกษาและการฝึกอบรม (85%): ผู้สอนต้องการขยายประสบการณ์ในสายการสอนระหว่างประเทศ, กฎหมาย (73%): นักกฎหมายไทยมองหาบทบาทระดับนานาชาติ, การจัดการธุรกิจ (73%): ผู้จัดการธุรกิจต้องการโอกาสด้านการตลาด สื่อดิจิทัล และ AI โดยเฉพาะในสิงคโปร์และฮ่องกง, ไอที (72%): ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมุ่งหวังทำงานในสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มพูนทักษะด้านซอฟต์แวร์และการวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรรมและเทคนิค (69%): วิศวกรไทยมุ่งหวังทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ที่ครบวงจร

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสแรงงานไทยแห่ไปทำงานต่างแดน แต่สวนทางแรงงานต่างชาติที่ให้ความสนใจเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น โดยไทยขึ้นจากอันดับ 39 เป็นอันดับ 31 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของแรงงานต่างชาติในปี 2023 แรงงานเหล่านี้ชื่นชอบคุณภาพชีวิต ค่าครองชีพที่ไม่สูง และวัฒนธรรมที่เป็นมิตรและครอบคลุม โดยข้อมูลจากกระทรวงแรงงานเผยว่า ไทยมีแรงงานต่างชาติ 2.7 ล้านคน คิดเป็น 7% ของแรงงานในประเทศ

‘เอกนัฏ’ สั่งปรับปรุง มอก. 2333 ย้ำ รถแก๊สต้องปลอดภัยกว่าเดิม เพิ่มวาล์วตัดแก๊สอัตโนมัติรถ NGV คาดเริ่มประกาศใช้ใน ก.พ. 68

(13 พ.ย. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี) ได้มีการยื่นหนังสือขอให้ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.2333 เล่ม 1 และ 2-2550 (ระบบการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ เล่ม 1 ข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เล่ม 2 วิธีทดสอบ) เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) จึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.2333 ให้ทันต่อสถานการณ์และเพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สุขของประชาชนที่โดยสารรถที่ใช้ CNG (COMPRESSED NATURAL GAS) เป็นเชื้อเพลิง หรือเรียกกันว่ารถ NGV (NATURAL GAS VEHICLE)

ทาง สมอ. ได้ยกเลิกและปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.2333 เพื่อให้ กรมการขนส่งทางบก นำไปอ้างอิง บังคับใช้ตามกฎหมาย โดยอ้างอิง ISO 15501 ฉบับล่าสุด ซึ่งกำหนดให้รถติดตั้งระบบ CNG ต้องมีวาล์วเปิด-ปิดอัตโนมัติที่หัวถัง ทุกถังเท่านั้น โดยเตรียมนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) หรือ บอร์ด สมอ. เพื่อพิจารณาในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 เมื่อมีมติเห็นชอบคาดว่าจะสามารถประกาศใช้งานมาตรฐานดังกล่าวได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

“การแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เป็นการกำหนดแนวทางให้ผู้ผลิตต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ปลอดภัย เพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญ และนับเป็นอีกก้าวในการสร้างอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประชาชน ตามนโยบาย "การปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส“ เลขาฯ พงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

นิตยสาร Travel + Leisure ยกย่อง ธรรมชาติสวย - 4 ภาคเอกลักษณ์เด่น

(13 พ.ย. 67) ไทยคว้ารางวัลจุดหมายปลายทางแห่งปี 2025 จาก Travel + Leisure - ประกาศศักยภาพ Soft Power สู่สายตาชาวโลก

ประเทศไทยได้รับรางวัล “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวแห่งปี 2025” (Destination of the Year 2025) จากนิตยสาร Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวทรงอิทธิพลระดับโลก โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชี้ว่า นี่เป็นสัญญาณเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาการท่องเที่ยวในปีหน้า

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า Travel + Leisure เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกสำหรับปี 2025 ด้วยความครบครันในด้านแหล่งท่องเที่ยว ทั้งความงามตามธรรมชาติอย่างอ่าวพังงา การอนุรักษ์ช้างไทย และเสน่ห์ของกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยสีสัน ทั้งด้านวัฒนธรรม อาหารอันเลื่องชื่อ และการเปิดกว้างสำหรับชุมชน LGBTQ+

การได้รับตำแหน่งนี้จาก Travel + Leisure ซึ่งจัดอันดับจุดหมายปลายทางแห่งปีมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก โดยในอดีตประเทศที่ได้รับรางวัลนี้ เช่น คอสตาริกา อิตาลี และญี่ปุ่น ต่างก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

นิตยสาร Travel + Leisure ประเมินว่าประเทศไทยโดดเด่นด้วยความผสมผสานของความเป็นไทยและความทันสมัยได้อย่างลงตัว ฌัคกี กิฟฟอร์ด บรรณาธิการใหญ่ของ Travel + Leisure กล่าวว่า “การประกาศให้ไทยเป็นจุดหมายแห่งปี 2025 เป็นความตื่นเต้นสำหรับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการชิมอาหารในกรุงเทพฯ พักผ่อนบนเกาะงดงามกว่า 1,430 เกาะ หรือสัมผัสการบริการระดับโลก เมืองไทยมีทุกสิ่งให้คนทุกสไตล์ได้ค้นพบ”

นอกจากนี้ แต่ละภูมิภาคของไทยยังมีเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าประทับใจ ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และการผจญภัย อย่างกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารชั้นเลิศและชุมชน LGBTQ+ ที่มีชีวิตชีวา ขณะเดียวกัน เกาะสมุยยังเป็นจุดถ่ายทำซีรีส์ดังอย่าง *The White Lotus* ของ HBO ซึ่งต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรีสอร์ตหรูและบรรยากาศอันเงียบสงบ และอ่าวพังงาก็มีทัศนียภาพเขาหินปูนที่งดงามเป็นเอกลักษณ์

ททท. มองว่าการได้รับรางวัลครั้งนี้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งต่อเป้าหมายการท่องเที่ยวในปี 2025 โดยนโยบายภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท และยกระดับประเทศไทยให้เป็น “ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬายิ่งใหญ่” (Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025)

ประเทศไทยยังดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า โดยเฉพาะการดูแลช้างไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งสามารถเยี่ยมชมได้ตามศูนย์อนุรักษ์ช้างทั่วประเทศ 

การคว้าตำแหน่งจุดหมายปลายทางแห่งปี 2025 แสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ Soft Power ของไทยที่ยังคงตรึงใจนักเดินทางทั่วโลกและตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าค้นหาในปีหน้า

'เยอรมนี' ชาติยอดนิยมในยุโรป นักศึกษา 'อินเดีย-จีน' แห่ไปเรียนมากสุด

(13 พ.ย. 67) เยอรมนีพบจำนวนนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยในภาคการศึกษาฤดูหนาวปี 2023-2024 มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 380,000 คนลงทะเบียนเรียน เพิ่มขึ้น 3% จากปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ DAAD (German Academic Exchange Service) นักศึกษาต่างชาติเหล่านี้คิดเป็นเกือบ 13% ของนักศึกษาทั้งหมดในเยอรมนี

นักเรียนจากอินเดียมีจำนวนมากที่สุด โดยมีนักเรียนลงทะเบียนประมาณ 49,000 คน รองลงมาคือจีน (38,700 คน) ตุรกี (18,100 คน) ออสเตรีย (15,400 คน) และอิหร่าน (15,200 คน) ขณะที่ซีเรีย ซึ่งเคยอยู่ในห้าอันดับแรก ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ 13,400 คนหล่นอยู่ในอันดับที่หก

นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่อยู่ในรัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย (78,500 คน) รองลงมาคือบาวาเรีย (61,400 คน) และเบอร์ลิน (40,800 คน)

ศาสตราจารย์ Monika Jungbauer-Gans ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์ศูนย์วิจัยอุดมศึกษาและการศึกษาวิทยาศาสตร์เยอรมัน กล่าวว่า จำนวนผู้ลงทะเบียนนักศึกษาต่างชาติในเยอรมนีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 15 ปี นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความน่าดึงดูดของมหาวิทยาลัยในเยอรมนี โดยเฉพาะหลักสูตรปริญญาโทที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ “เพื่อเพิ่มจำนวนการลงทะเบียน เราจำเป็นต้องยกระดับการสนับสนุนนักศึกษาในทุกระดับการศึกษา” เธอกล่าวในแถลงการณ์ของ DAAD

ปัจจุบัน หลักสูตรวิชาการในเยอรมนีราว 10% ใช้การสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับหลักสูตรภาษาอังกฤษที่เพิ่มขึ้นจนเกิดข้อจำกัดในบางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ ตามรายงานของ The PIE News

การสำรวจจาก Study in Germany เว็บไซต์การศึกษาต่อเยอรมนี ระบุเหตุผลสำคัญสามประการที่ดึงดูดนักเรียนต่างชาติ ได้แก่ 1.การเรียนฟรี มหาวิทยาลัยของรัฐในเยอรมนีไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียน โดยนักศึกษาชำระเพียงค่าธรรมเนียมการบริหารปีละประมาณ 150-250 ยูโร (160-268 ดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรกว่า 500 หลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเยอรมนี 49 แห่งติดอันดับโลกโดย Times Higher Education

2.ค่าครองชีพต่ำ นักศึกษาต่างชาติใช้ชีวิตด้วยงบประมาณเฉลี่ย 930 ยูโร (1,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกามาก 3.โอกาสทำงานหลังเรียนจบ นักศึกษาสามารถอยู่ในเยอรมนีได้นานถึง 18 เดือนเพื่อหางาน โดยผลสำรวจยังชี้ว่านักศึกษาต่างชาติ 70% ต้องการทำงานในเยอรมนีหลังเรียนจบ

Kai Sicks เลขาธิการ DAAD กล่าวถึงความสำคัญของการสนับสนุนหลักสูตรภาษาอังกฤษพร้อมกับการส่งเสริมการเรียนภาษาเยอรมันเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ “นักเรียนต่างชาติที่ประสบความสำเร็จในเยอรมนีมักจะเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและมหาวิทยาลัยได้ดี” เขากล่าวกับ The PIE

นอกจากนี้ เยอรมนี เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะถึง 7 ล้านคนภายในปี 2035 เนื่องจากประชากรสูงวัย DAAD ได้เรียกร้องให้รัฐบาล มหาวิทยาลัย และธุรกิจต่างๆ เพิ่มอัตราการคงอยู่ของบัณฑิตต่างชาติ โดยตั้งเป้ารักษาบัณฑิตไว้ประมาณ 50,000 คนต่อปีภายในปี 2030

ในปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Steffen Kaupp รองผู้อำนวยการสถาบันเกอเธ่ ฮานอย เปิดเผยว่า จำนวนนักศึกษาชาวเวียดนามในเยอรมนีเพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากช่วงก่อนโควิด-19 โดยส่วนใหญ่สนใจการฝึกอาชีวศึกษาในสาขาการพยาบาลและการบริการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top