Saturday, 5 July 2025
NewsFeed

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงข่าวการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดีพื้นที่ สภ.ห้วยไร่ และพื้นที่ สภ.พาน 

(13 พ.ย. 67) เวลา 11.00 น.  พล.ต.ท.กฤตธาพล  ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว การจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ  2 คดี คดีที่  1 จับกุมผู้ต้องหา 3  คน รถยนต์  1  คัน ยาบ้า 620,000 เม็ด พื้นที่ สภ.ห้วยไร่  อ.เด่นชัย จ.แพร่  คดีที่ 2 ด่านตรวจปูแกง  สภ.พาน จ.เชียงราย  จับกุมผู้ต้องหา  4 คน พร้อมของกลางไอซ์  360 กก., เคตามีน 570 กก. และ รถยนต์บรรทุก 2  คัน พื้นที่ สภ.พาน จ.เชียงราย  ณ ลานแถลงข่าวอาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน  ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ 

ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  ผบ.ตร, พล.ต.อ.ธนา ชูวงค์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข  ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ  เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ  มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสั่งการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร  ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง  รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำฯ ช่วยราชการ ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.มานพ เสนากูล  ผบก.ภ.จว.เชียงราย และ พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร  ผบก.ภ.จว.แพร่ ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน  มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายโชตินรินทร์ เกิดสม   รอง ปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการ ผวจ.เชียงราย นายชุติเดช มีจันทร์ ผวจ.แพร่ สำนักงาน ปปส.ภาค 5  โดย นายธันวา ผุดผ่อง  ผอ.ปปส.ภาค 5  แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี 1. คดี สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ ผู้ต้องหา 3 คน ของกลางยาบ้า 600,000 เม็ด 2. คดี สภ.พาน จว.เชียงราย ผู้ต้องหา 4 คน ของกลาง ไอซ์ 360 กก. และ เคตามีน 570 กก.

คดีที่ 1 สืบเนื่องจากคดีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2567 สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ ตำรวจภูธรภาค 5 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จับกุมเครือข่ายรถยนต์กระบะดัดแปลงทำช่องลับ ซุกซ่อนเฮโรอีนจำนวน 92 กก. ที่ โกดังในพื้นที่ จว.นนทบุรี จากการขยายผลจับกุม พบว่า ยังมีเครือข่ายลักษณะดังกล่าวอีกที่ยังคงเคลื่อนไหวลักลอบลำเลียง โดยใช้รถยนต์กระบะดัดแปลงเป็นช่องลับซุกซ่อนยาเสพติดจากแนวชายแดนด้าน จว.เชียงราย ลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ 
ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บูรณาการร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ส., ฝ่ายทหาร, ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มอบหมายชุดปฏิบัติการสืบสวนวิเคราะห์พฤติการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มรถกระบะดัดแปลงทำช่องลับอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 16.30 น. สืบสวนพบรถกระบะต้องสงสัย ใช้เส้นทางจากพื้นที่ จว.เชียงราย มุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ภาคกลาง และมีพฤติการณ์เปลี่ยนป้ายทะเบียน จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองแพร่ และ ด่านตรวจยาเสพติดห้วยไร่ จว.แพร่ ทำการตรวจค้น และนำรถกระบะดังกล่าวเข้าตรวจในเครื่อง X-ray  พบ ยาบ้า 600,000 เม็ด ซุกซ่อนในช่องลับของรถกระบะ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 3 คน คือ นายศริตตรา หรือ ก๊อต อายุ 27 ปี ภูมิลำเนา อ.อัมพวา จว.สมุทรสาคร, นายกฤษณ์ หรือ ทิต อายุ 40 ปี ภูมิลำเนา อ.ดำเนินสะดวก  จว.ราชบุรี และ น.ส.อารี หรือ นุ่น อายุ 27 ปี ภูมิลำเนา อ.ปากท่อ จว.ราชบุรี พร้อมด้วยยาเสพติดและรถยนต์ของกลางนำส่ง พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจปูแกง สืบสวนทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติด จาก จว.เชียงราย เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์บรรทุกเป็นพาหนะลำเลียงยาเสพติด จึงได้รายงาน ให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นทราบ และบรูณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งด่านตรวจบริเวณด่านตรวจปูแกง ต.แม่เย็น อ.พาน จว.เชียงราย  กระทั่งถึงเวลาประมาณ 22.00 น. พบรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ตู้ทึบ ยี่ห้อ ฮีโน่ สีขาว เลขทะเบียน 71 – 2060 ปทุมธานี เข้ามาที่ด่านตรวจ มีนายวัลลพ เป็นผู้ขับ มี นายมานะ และ นายเหม เป็นผู้โดยสาร จึงได้เรียกให้หยุดรถเพื่อขอทำการตรวจสอบและขอทำการตรวจค้น ระหว่างทำการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นว่าชายทั้ง 3 มีลักษณะอาการ กระวนกระวาย ให้การวกวนไปมา จึงทำการตรวจค้นตู้ทึบ และพบว่าเป็นการนำแผ่นเหล็กมาปิดดัดแปลงทำเป็นช่องลับขึ้นมาใหม่  จึงได้ทำการเปิดช่องดังกล่าวออกมา พบยาเสพติด ไอซ์ จำนวน 360 กก. และพบเคตามีน จำนวน 570 กก. ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับ จึงได้ควบคุมตัวบุคคลทั้ง 3 คน ตรวจยึดของกลาง นำส่ง พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เวลาประมาณ 14.00 น. ได้ทำการสืบสวนขยายผลไปจับกุมตัวนายฉลาด พร้อมรถยนต์หัวลาก ยี่ห้อ ฮีโน่ เลขทะเบียน 700-4518 กทม. ซึ่งเป็นรถยนต์นำ/สำรวจเส้นทาง ได้ที่บริเวณ ต.เนินกุ่ม  อ.บางกระทุ่ม จว.พิษณุโลก ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย
อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลหาเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไปในส่วนการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ในห้วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงปัจจุบัน ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บรูณาการร่วมกับหน่วยเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ได้ จำนวน 19 คดี ของกลางยาบ้าประมาณ 10 ล้านเม็ด ไอซ์ 1,384 กิโลกรัม, เฮโรอีน 143 กิโลกรัม และ เคตามีน 622 กิโลกรัม

ทั้งนี้ ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้นำบัญชาและข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

องค์การสวนสัตว์ฯ จับมือ GMM MUSIC สานต่อกระแสซอล์ฟพาวเวอร์ “น้องหมูเด้ง” มอบโปรเจคเพลงพิเศษ 4 ภาษา ไทย จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น ส่งความสุขแฟนคลับทั่วโลก ดาวน์โหลดฟรีได้แล้วทุกเครือข่าย

(13 พ.ย. 67) ต่อยอดกระแสซอล์ฟพาวเวอร์ “น้องหมูเด้ง” ซูเปอร์สตาร์ ฮิปโปแคระระดับโลก  องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จับมือ GMM MUSIC ส่งมอบความสุข ความบันเทิงผ่านเสียงเพลงให้กับเหล่าแฟนคลับของน้องหมูเด้ง กับโปรเจคผลงานเพลงสุดพิเศษอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อน้องหมูเด้งสุดน่ารักและแฟนคลับทั่วโลก โดยโปรเจคนี้ทาง GMM MUSIC ได้คัดสรรศิลปินและทีมงานมืออาชีพในการร่วมสร้างสรรค์บทเพลง เพื่อนำเสนอความน่ารักน่าเอ็นดู และพลังงานเด้งดึ๋งอันโดดเด่นของน้องหมูเด้งที่ทุกคนชื่นชอบและประทับใจ ผ่านผลงานเพลง 2 ซิงเกิล ที่มีทั้งเพลงแดนซ์จังหวะสนุกๆในสไตล์สามช่าและเพลงจังหวะมีเดียมน่ารักชวนโยกชวนยิ้มสไตล์ T-Pop และที่พิเศษสุดคือ ทั้ง 2 เพลงจะมีถึง 4 เวอร์ชั่น 4 ภาษา ทั้ง ไทย, จีน, อังกฤษ และ ญี่ปุ่น  อีกด้วย ซึ่งเพลงแรกมีชื่อว่า “หมูเด้ง หมูเด้ง” ที่เพิ่งปล่อยออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกันเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา  เป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกสามช่าสไตล์ไทยๆ ที่คุ้นหู ถูกจริตชาวไทยและถูกใจชาวต่างชาติ จากฝีมือการแต่งและโปรดิวซ์โดย คุณเหมือนเพชร อำมะระ โปรดิวเซอร์มากฝีมือที่เคยร่วมสร้างสรรค์ผลงานให้กับศิลปินดังๆมากมายใน GMM MUSIC ส่วนเจ้าของเสียงร้องในเพลงนี้คือ “กีต้าร์” ณัฐเอก ทอนสูงเนิน สมาชิกน้องเล็กจากวงลูกทุ่งโมเดิร์นชื่อดัง นิว คันทรี่ ( New Country) นั่นเอง

สำหรับเพลงที่ 2 มีชื่อว่า “หมูเด้ง ลิตเติล ฮิปโป” เพลงจังหวะชวนโยกเบาๆ น่ารักสไตล์ T-Pop  ที่จะปล่อยออกมาให้ได้ฟังในวันที่ 20 พ.ย.นี้

คุณอรรถพร ศรีเหรัญ  ผู้อำนวยการ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์  กล่าวถึงโปรเจคนี้ว่า... “เป็นเรื่องราวดีดีอีกเรื่องหนึ่งของปรากฏการณ์หมูเด้งในครั้งนี้ องค์การสวนสัตว์ต้องขอบคุณทางจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ที่เห็นถึงความน่ารักความสดใสของหมูเด้งจนนำไปแต่งเป็นบทเพลง เพื่อมอบความสุขให้กับประชาชนและ แฟนคลับของหมูเด้ง ได้ชม ได้ฟัง และดาวน์โหลดไว้ใช้เป็นเสียงเรียกเข้าเสียงเพลงรอสายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

หวังว่านอกจากเพลงที่ไพเราะมิวสิควิดีโอที่สวยงามแล้วผู้ที่ได้รับสิ่งนี้ไปจะกลับมาเที่ยวชมสวนสัตว์และสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สัตว์ป่าทั้งในถิ่นอาศัยและนอกอาศัยอันจะ เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากยิ่งขึ้นต่อไปครับ”

คุณจามร จีระแพทย์ รองกรรมการ ผู้อำนวยการ หน่วยงาน Music Creator จาก GMM MUSIC ได้เล่าถึง concept และการทำงานในโปรเจคนี้ว่า “ทาง GMM MUSIC ตั้งใจทำเพลงเพื่อน้องหมูเด้ง ให้ออกมาเป็นเพลงที่ฟังง่ายๆ สบายๆ จดจำง่าย เหมาะกับการร้องตามและสะดวกที่จะนำไปใช้ประกอบคอนเท้นท์บน Social Media โดยเป็นรูปแบบของเพลงสั้น 1 นาที  มี ทั้งหมด 2 เพลง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นตัวตนของน้องหมูเด้งที่คนทั่วโลกจดจำและหลงรัก และความพิเศษของโปรเจคนี้คือ ทั้ง 2 เพลงจะถูกแปลเป็น 4 ภาษาทั้ง อังกฤษ จีน และญี่ปุ่นอีกด้วย”

แฟนคลับและบุคคลทั่วไปสามารถฟังเพลงและชมมิวสิควิดีโอเพลง “หมูเด้ง หมูเด้ง” ได้แล้วทาง Youtube: GMM SAUCE Thai Ver. https://youtu.be/htTWYzP9Omw
English Ver.  https://youtu.be/6aMJ8U96bVg
Chinese Ver.  https://youtu.be/UqyeB5whmc4
Japanese Ver. https://youtu.be/7qn1yhkJ02c

และฟัง Music Streaming ได้ทาง JOOX, Spotify, Apple Music, iTunes Store และ Plern
พร้อมทั้งสามารถดาวน์โหลดบริการเสียงเรียกเข้าริงโทน (Ringtone) และเสียงรอสาย (Ring Back Tone) ฟรีได้แล้วตามช่องทางในการดาวน์โหลดต่อไปนี้ ลูกค้า AIS ใช้บริการได้ทาง https://www.ais.th/callingmelody/home และแอปพลิเคชั่น calling melody ทั้ง app store และ playstore ลูกค้า True ใช้บริการได้ทาง https://www.true.th/ring-back-tone และแอปพลิเคชั่น True iService และ TrueID ทั้ง app store และ playstore ลูกค้า dtac สามารถใช้บริการได้ทาง https://music.dtac.co.th/render/home/portal#/home และช่องทาง Line Melody สามารถดาวน์โหลดเพลงเพื่อตั้งเป็นเสียงรอสายและเสียงเรียกเข้าได้ฟรีเช่นกัน ผ่านทาง http://melody.line.me

ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ที่ช่องทาง
องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ https://www.facebook.com/ZPOTthailand
GMM MUSIC https://bio.to/GMMMUSIC และช่อง facebook :ขาหมูแอนด์เดอะแก๊ง

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย

เมื่อวันที่ (12 พ.ย. 67) เวลา 10.00 นาฬิกา นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนายหาน จื้อเฉียง (H.E. Mr. Han Zhiqiang) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ที่มาเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง โดยมีพลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ นางสุมิตรา จารุกําเนิดกนก รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ นายธนภัทร ตวงวิไล รองโฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ รองเลขาธิการวุฒิสภา รักษาราชการแทนเลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนที่ใกล้ชิดและผูกพันกันมาอย่างยาวนาน ดังคำกล่าวที่ว่า “ไทยจีนใช่อื่นไกลพี่น้องกัน” โดยที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล รัฐสภา และประชาชน ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภาเป็นที่น่ายินดีที่ทราบว่ามีสมาชิกวุฒิสภาสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาไทย - จีนเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความใกล้ชิดและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โอกาสนี้ ประธานวุฒิสภากล่าวว่าวุฒิสภาพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือกับจีนในทุกมิติโดยเฉพาะด้านนิติบัญญัติให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และจะร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปีของการสถานาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568 นี้

เอกอัครราชทูตฯ กล่าวมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับวุฒิสภาไทยในการสานต่อความสัมพันธ์ไทยกับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม ในฐานะที่ไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันและมีการเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไทยและจีนร่วมมือกันสร้างอนาคตที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรืองให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ จีนพร้อมที่จะเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนากับไทยเพื่อส่งเสริมด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้มีพลวัตที่ยั่งยืนร่วมกัน โดยปัจจุบันมีบริษัทของจีนมาลงทุนในไทย อาทิ พลังงานทดแทน และเทคโนโลยีชีวภาพ ในขณะเดียวกันมีหลายบริษัทของไทยเข้าร่วมงาน Shanghai Cleaning Expo เชื่อมั่นว่าทั้งสองฝ่ายพร้อมที่ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในปีหน้าทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีนอย่างยิ่งใหญ่และจะมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคี นอกจากนี้ ช่วงระหว่างวันที่ 10 ธันวาคม 2567 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 จะมีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากกรุงปักกิ่งมาประดิษฐานที่ประเทศไทยเพื่อเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 6 รอบ และความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน ครบรอบ 50 ปีด้วยเช่นกัน เอกอัครราชทูตฯ เชื่อมั่นว่าด้วยการสนับสนุนจากวุฒิสภาไทยความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนจะมั่นคงและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป

‘หมอยง’ ไขข้อข้องใจ ‘ไอกรน’ ระบาด ชี้ ทางออกที่ดีที่สุดให้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

เมื่อวันที่ (13 พ.ย. 67) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กให้ความรู้ถึงโรคไอกรนที่มีการระบาด ว่า 
ไอกรน ไขข้อข้องใจ ที่มีการระบาดอยู่ขณะนี้

ข่าวที่มีการพบโรคไอกรน ในวัยรุ่น นักเรียนและมีการปิดโรงเรียน จำเป็นหรือไม่ วันนี้จะขอให้ความรู้เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง

1. โรคไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis เป็นโรคตั้งแต่โบราณ เรามีวัคซีนในการป้องกันและใช้ในประเทศไทยมาร่วม 50 ปี ทำให้เกิดโรค ทางเดินหายใจมีอาการ ไอเรื้อรัง โรคนี้จะเป็นอันตรายในเด็กเล็กต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉพาะถ้าต่ำกว่า 3 เดือน อาจทำให้เสียชีวิตได้ และอาจจะมีปัญหาอีกกลุ่มหนึ่งคือผู้สูงอายุที่มีร่างกายอ่อนแอ ในเด็กโตและวัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่จะไม่เป็นปัญหามาก เหมือนโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่ง ที่มียาปฏิชีวนะรักษา 

2. เราใช้วัคซีนในการป้องกันโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ให้ตั้งแต่ 2 เดือนมาเกือบ 50 ปี และให้ตามกำหนดที่ 2 เดือน 4 เดือนแล้ว 6 เดือน กระตุ้นที่ขวบครึ่ง,  4 ขวบ รวมแล้วอย่างน้อย 5 ครั้ง และแนะนำให้มีการกระตุ้นอีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะผู้มีสตางค์ ที่อายุ 10-12 ปี ด้วยใช้วัคซีนรวม  โรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยักสำหรับผู้ใหญ่ จะมีราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะไอกรน สำหรับผู้ใหญ่จะเป็นชนิดที่เรียกว่า ไร้เซลล์ มีอาการข้างเคียงน้อย เราให้ความสำคัญกับคอตีบกับบาดทะยักมากกว่า ส่วนไอกรน ในผู้ใหญ่จะมีราคาแพง จึงฉีดด้วยความสมัครใจ เพราะโรคในผู้ใหญ่ไม่ร้ายแรง ยกเว้นผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีและมีร่างกายอ่อนแอเพราะโรคประจำตัว

3. วัคซีนที่ฉีดในระยะหลังนี้มี 2 ชนิด ชนิดที่ทำมาจากเซลล์ทั้งตัว และชนิดไร้เซลล์ ชนิดไร้เซลล์มีราคาแพงกว่า และอาการข้างเคียงโดยเฉพาะการเป็นไข้หลังฉีดน้อยกว่า ยาชนิดนี้จึงไม่ได้อยู่ในข้อบังคับของกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่จะให้ฟรี จึงฉีดกันเฉพาะในหมู่ผู้ที่สามารถจ่ายได้

4. ประสิทธิภาพของวัคซีนโดยรวมไม่แตกต่างกันทั้ง 2 ชนิด แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด วัคซีนที่ได้ฟรีที่ทำให้มีไข้ได้ นอกจากป้องกันโรคได้แล้ว ยังสามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อไอกรนมาที่หลอดลมทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี ส่วนวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีไข้ต่ำ จะไม่สามารถป้องกันการเกาะติดของเชื้อแบคทีเรีย colonization ได้ แบคทีเรียยังสามารถมาอยู่ที่คอและเพิ่มจำนวน แพร่กระจายได้ แต่ไม่ก่อโรคหรือมีการติดโรคก็มีอาการน้อยมาก ในเด็กถ้าเป็นลูกชาวบ้าน ส่วนใหญ่จะได้แบบของฟรี ส่วนเด็กที่พ่อแม่ให้ความสนใจและกลัวความเสี่ยงที่มีไข้ ก็จะฉีดชนิดไร้เซลล์ โดยเฉพาะเด็กในโรงเรียนที่มีชื่อทั้งหลาย โอกาสที่จะพบเชื้อที่คอจึงมีมากกว่า 

5. เมื่อศึกษาภูมิต้านทานต่อไอกรนที่ศูนย์ของเราทำ จะพบว่าภูมิต้านทานต่อไอกรนสูงมากใน 10 ปีแรกเมื่อหลังอายุ 10 ปีไปแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ได้ฉีดกระตุ้น ภูมิต้านทานจะลดลงโดยเฉพาะในวัยรุ่นตรวจพบภูมิต้านทานได้ประมาณร้อยละ 50 เท่านั้น แต่ในอดีตก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะโรคไม่รุนแรง

6. การตรวจหาเชื้อไอกรน ในอดีตทำได้ยากมากเพราะต้องใช้วิธีการเพาะเชื้อ และเชื้อนี้ขึ้นได้ยาก และใช้เวลาในการตรวจมาก แต่ปัจจุบันนี้การตรวจโรคทางเดินหายใจทำได้ง่ายมากใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง และสามารถทำได้ถึง  23 pathogens รวมไอกรนด้วย  แต่ราคาก็แพงมากทำเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลใหญ่ๆซึ่งมีราคาค่าตรวจประมาณ 5,000 - 6,000 บาท ในนี้จะรวมเชื้อไอกรนอยู่ด้วย ดังนั้น เด็กที่พ่อแม่มีฐานะเท่านั้น เมื่อไม่สบายเล็กน้อยก็อยากจะรู้ว่าเป็นเชื้ออะไร ก็ยอมที่จะทำการตรวจ และจากการตรวจจำนวนมาก จะได้เชื้อหลายชนิดพร้อมกัน ในการแปลผลบางครั้งยากมากว่าเป็นตัวไหนก่อโรค และการตรวจพบไอกรน ด้วยวิธีนี้ จึงง่ายมาก และเมื่อพบเชื้อแล้วก็จะตื่นเต้น ทั้ง ๆ ที่อาการน้อยมาก หรือการพบเชื้อนี้อาจจะพบ เชื้อที่เกาะอยู่ colonization โดยไม่ได้ก่อโรค หรือเป็นการพบโดยบังเอิญเชื้อก่อโรคอาจจะเป็นตัวอื่นก็ได้ และอาการของเด็กก็ไม่ได้มากมายโดยเฉพาะในเด็กโต ก็จะเกิดการตื่นตระหนก ดังนั้น ถ้ามีการตรวจกันมากก็มีค่าใช้จ่ายมาก ก็จะเจอมาก โรงเรียนที่ลูกไม่มีสตางค์ โรงเรียนวัด โรงเรียนชนบท ก็จะไม่มีโรคไอกรนระบาดแน่นอน เพราะไม่ได้ตรวจ

7. อย่างที่กล่าวมาแล้ว ครอบครัวที่สามารถจะใช้จ่ายได้ ก็จะฉีดวัคซีนชนิดไร้เซลล์ที่มีราคาแพงกว่า เพราะกลัวอาการแทรกซ้อนเรื่องไข้ ดังนั้นโอกาสที่เชื้อไอกรน จะตรวจพบได้ก็จะมีมากกว่า แต่การก่อโรคจะไม่รุนแรงเลย โดยเฉพาะในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ และในอดีตที่ผ่านมาก็เชื่อว่ามีเชื้ออยู่ตลอด เพราะวัคซีนฉีดครั้งสุดท้ายที่อายุ 6 ขวบ เราเพิ่งเอาวัคซีนไอกรนมาฉีดในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ในระยะ 10 กว่าปีที่แล้ว และฉีดอยู่ในหมู่ที่จะเสียเงินเองได้เท่านั้น

8. การพบเชื้อไอกรนในปัจจุบัน ในเด็กโตและผู้ใหญ่จึงเป็นการพบโดยมีเทคโนโลยี PCR ที่ทำได้ง่ายและรู้ผลเร็ว แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตรวจในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ

9. เมื่อมีการตรวจพบและตรวจมากขึ้น ก็จะพบว่ามีการระบาด เพราะเป็นมากกว่า 2 คน และมักจะอยู่ในโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถตรวจเชื้อนี้ได้เท่านั้น ด้วยราคาที่แพง โรงเรียนทั่วไปจะไม่ระบาดแน่นอนเพราะไม่ได้ตรวจ ก็เลยไม่มีปัญหา

10. เมื่อพบการระบาดเกิดขึ้น มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องปิดโรงเรียน ด้วยประการที่ 1 โรคนี้มีความรุนแรงต่ำในเด็กโต อาจจะน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่เสียอีก หรือน้อยกว่าโควิด 19 ส่วนใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัดทั่วไป  และโรคนี้สามารถป้องกันด้วยวัคซีน การปิดโรงเรียนไปแล้ว เมื่อเปิดมาก็จะพบเหตุการณ์แบบนี้อีก เราจะปิดต่อไปไหวหรือ

11. ทางออกที่ดีที่สุดคือเมื่อพบ หรือตรวจ ก็ทำการรักษาไปด้วยยาปฏิชีวนะ และถ้าจะป้องกันไม่ให้เกิดในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนที่พ่อแม่สามารถจะใช้จ่ายค่าวัคซีนได้ ก็ควรจะให้วัคซีน จะให้วัคซีนชนิดไอกรนตัวเดียว หรือให้พร้อมกันทั้ง  คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโตก็ได้ โดยทำการตรวจเช็คว่าเด็กที่ฉีดวัคซีนเมื่อ 10-12 ปีที่มีไอกรนอยู่แล้ว อาจจะไปฉีดอีกครั้งหนึ่งทุก 10 ปี เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้น คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ชนิดผู้ใหญ่ตอนอายุ 10-12 ปี และไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ก็ควรจะมีการกระตุ้น วัคซีนนี้ทุกคน 

12. เมื่อเด็กได้รับวัคซีนครบแล้ว ถือเป็นเข็มกระตุ้น ภูมิต้านทานจะขึ้นได้ดีหลัง 7 วัน โรคก็จะสงบ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดโรงเรียน เพราะการเรียนของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การศึกษาก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กไทย การเรียนในโรงเรียนดีกว่าเรียนออนไลน์แน่นอน และการให้วัคซีนเป็นการป้องกันระยะยาวอย่างน้อยก็ 10 ปีขึ้นไป และโดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่ เราก็ไม่ค่อยได้ตรวจกันทั้งที่เชื่อว่าถ้าตรวจมากก็เจออีก

13. การปิดโรงเรียน 2 สัปดาห์ ไม่เกิดประโยชน์เลย เพราะเปิดมาก็ต้องเจอกันอีก เชื้อไอกรนมีระยะฟักตัว 7-10 วัน ถ้าเป็นโรครุนแรง ถึงกับชีวิต การกักตัว ไม่ให้มีการระบาด เราจะใช้เวลา 2 เท่าของระยะฟักตัว ดังนั้นก็จะเป็น 20 วัน ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยสำหรับโรคไอกรน ในเด็กโตและผู้ใหญ่

14. การตื่นตระหนก และเป็นอะไรนิดหน่อย ก็ตรวจหาเชื้อ 23 โรคเลย ไม่เป็นประโยชน์เลย และเมื่อตรวจมาแล้วบางครั้งพบเชื้อ 3 4 5 ชนิด ไม่รู้เลยว่าชนิดไหนก่อโรค และก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษามากมาย นอกจากในผู้ที่เป็นรุนแรง และการตรวจนั้นมาประกอบการรักษา โดยเฉพาะโรคที่มียาต้านไวรัสจะเป็นประโยชน์กว่า เช่น ตรวจเฉพาะไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด 19  เพราะ 2 โรคนี้มียาต้านไวรัส

15. ข้อคิดที่ให้มาทั้งหมดเป็นความรู้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ สำหรับผู้ปกครองเพื่อลดการตื่นตระหนก โดยเฉพาะทุกคนเชื่อว่าห่วงลูกหลานของตน แต่เรื่องนี้ไม่ได้เรื่องใหญ่โตเลย อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อกระจายออกไปมากๆ ตรวจมากๆ เด็กก็จะขาดเรียนมากๆโดยใช่เหตุ ควรพิจารณาตามสถานการณ์ และข้ออ้างอิงทางวิชาการ

แกรมมี่ ต้อนรับศิลปินใหม่ 'หมูเด้ง' ปล่อยเพลง ไทย-จีน-อังกฤษ-ญี่ปุ่น เอาใจแฟนๆทั่วโลก

(13 พ.ย. 67) โลกโซเชียลกลับมาฮือฮาอีกครั้ง เมื่อ GMM MUSIC เปิดตัว "น้องหมูเด้ง" สัตว์เลี้ยงจากสวนสัตว์เขาเขียวในฐานะศิลปินสาวน้องใหม่ พร้อมปล่อยซิงเกิ้ลเพลงพิเศษที่มาพร้อมความหลากหลายทางภาษา โดยมีเนื้อเพลง 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย, จีน, อังกฤษ และญี่ปุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้แฟนคลับทั่วโลกได้สัมผัสความพิเศษของเพลงในหลายมิติและวัฒนธรรม

อรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “โปรเจกต์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ของปรากฏการณ์หมูเด้งที่เราภูมิใจ องค์การสวนสัตว์ฯ ขอขอบคุณ GMM Grammy ที่เห็นความน่ารักและความสดใสของหมูเด้ง จนได้ทำเพลงเพื่อมอบความสุขให้กับประชาชนและแฟนคลับ รวมถึงสามารถดาวน์โหลดเป็นเสียงเรียกเข้าและเพลงรอสายได้ฟรี หวังว่าเพลงและมิวสิกวิดีโอจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมอยากเยี่ยมชมสวนสัตว์ และร่วมกันอนุรักษ์สัตว์ป่าเพื่อสังคมในอนาคต”

จามร จีระแพทย์ รองกรรมการผู้อำนวยการหน่วยงาน Music Creator จาก GMM MUSIC กล่าวถึงคอนเซ็ปต์โปรเจกต์นี้ว่า “GMM MUSIC ตั้งใจทำเพลงสำหรับน้องหมูเด้งให้เป็นเพลงที่ฟังง่าย สบายๆ และจดจำได้ง่าย เพื่อให้ทุกคนสามารถร้องตามได้และนำไปใช้ประกอบคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย โดยเป็นเพลงสั้น 1 นาที จำนวน 2 เพลง ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของหมูเด้ง ซึ่งได้รับความรักจากคนทั่วโลก และที่พิเศษคือ ทั้ง 2 เพลงจะมีการแปลเป็น 4 ภาษา ได้แก่ ไทย, อังกฤษ, จีน และญี่ปุ่น”

โปรเจกต์เพลงพิเศษนี้มุ่งหวังที่จะมอบความสุขและความบันเทิงให้กับแฟนเพลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการใช้ภาษาแตกต่างกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเพลงได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การออกซิงเกิ้ลใน 4 ภาษายังช่วยเพิ่มฐานแฟนคลับของ "น้องหมูเด้ง" และส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยให้ไปไกลถึงระดับสากล สามารถดาวน์โหลดเพลงได้ฟรีจากคอมเมนต์!

แม่เผยสาเหตุเสียชีวิต บิว เจ้าของเพจ 'แม่บ้านมีหนวด'

เปิดใจคุณแม่เผยสาเหตุการเสียชีวิตของ "แม่บ้านมีหนวด" หลังลูกกลับบ้านได้เดือนกว่า ก่อนอาการทรุดแล้วจากไป

(13 พ.ย. 67) จากกรณีของ บิว-อิษณัฐ ชลมูณี อายุ 34 ปี อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่รู้จักกันในชื่อ "แม่บ้านมีหนวด" ซึ่งเสียชีวิตที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ และญาติได้นำศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดปัณณระสาราม (วัดผัง 15) อ.มะนัง จ.สตูล

นางอรุณ อายุ 64 ปี แม่ของบิว เปิดใจเล่าถึงชีวิตของลูกสาวว่า "มีลูกทั้งหมด 2 คน บิวเป็นคนสุดท้อง เป็นเด็กที่เรียนเก่งและพูดน้อย แต่ร่าเริงแจ่มใส บิวป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง และต่อมาเกิดอาการช็อคจากเชื้อราในสมอง จึงตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน โดยกลับมาอยู่ได้ประมาณเดือนครึ่งก่อนที่อาการจะทรุดและจากไป"

นางอรุณกล่าวถึงความสัมพันธ์กับบิวว่า "บางครั้งบิวเคยน้อยใจคิดว่าฉันไม่รัก จึงไปบอกพี่สาว จนทำให้ฉันเรียกมาคุยและบอกว่าบิวคือเด็กที่ตั้งใจมี เพราะไปบนบานศาลกล่าวขอให้ได้ลูกชาย บิวกับพี่สาวห่างกันถึง 11 ปี บิวเรียนเก่งตามที่ฉันหวัง แต่ก็อยากให้ลูกทำงานราชการ บางครั้งยังแซวว่าอยากได้ลูกสะใภ้ แต่บิวบอกว่าจะหาลูกเขยมาให้"

เมื่อบิวกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังและมีแฟนคลับติดตามมาก แม่ก็ภูมิใจและห่วงใยบิวอยู่เสมอ "ฉันเตือนเขาอย่าฟุ่มเฟือย อาหารที่บิวชอบที่สุดคือ น้ำพริกปลาทู ผักต้ม ผักลวก โดยเฉพาะสะตอ และคั่วกลิ้งหมู ฉันจะทำให้เขากินทุกครั้งเมื่อขึ้นไปหา"

นางอรุณกล่าวด้วยน้ำตาว่า "ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่มาให้กำลังใจกับลูกแม่ ถึงแม้แม่ไม่มีอะไรจะตอบแทน แต่ขอบคุณที่มีน้ำใจให้กับลูกของแม่ หากลูกแม่ได้ล่วงเกินไปก็ขออภัย ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว อยากให้ลูกของแม่ไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์"

การฌาปนกิจของน้องบิวจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ที่วัดปัณณระสาราม (วัดผัง 15) อ.มะนัง จ.สตูล

แม่ทัพภาคที่ 3 เน้นย้ำป้องกันสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้น และสิ่งผิดกฏกมายแนวชายแดน จังหวัดตาก

(13 พ.ย. 67) พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังพล กองกำลังนเรศวร  ตามฐานปฏิบัติการ พื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก  อำเภอพบพระ อุ้มผาง และแม่สอด รวมทั้งติดตามตรวจเยี่ยมกำลังพล ที่ด่านตรวจร่วมเพื่อความมั่นคงบ้านห้วยหินฝน ถนนหมายเลข 12 แม่สอด -ตาก อำเภอแม่สอด

แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ได้มีการเน้นย้ำการบูรณาการในการทำงานของทุกภาคส่วนร่วมกัน อย่างสามัคคี กลมเกลียว เพื่อให้ประชาชน มีความมั่นใจในข้าราชการของรัฐ เหนือสิ่งอื่นใด ชายแดนต้องมีความสงบสุข ประชาชนมีความอุ่นใจ   ส่วนเรื่องยาเสพติด ช่วงนี้อาจมีการเล็ดรอด เข้ามาด้านนี้  จึงเน้นย้ำกำลังพลเพิ่มการสังเกตุ ตรวจตรา และนำเครื่องมือที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการทำงานที่ด่านตรวจอาจมีผลกระทบต่อประชาชนบ้าง  แต่จะดำเนินการด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพื่อความสุขของประชาชนเป็นหลัก

"ในส่วนของสารตั้งต้น จะต้องนำเครื่องมือพิเศษมาใช้โดยได้หารือ กับทาง ป.ป.ส. ไว้แล้ว ซึ่งอาจะต้องใช้อุปกรณ์ เพื่ออำนวยความสะดวก ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างสะดวกขึ้น ที่สามารถตรวจสอบ โดยไม่ต้องมีการขนสินค้าการเกษตรขึ้นลง ลงจากรถในอนาคต แต่ตอนนี้ จะเน้นการทำงานด้านการการสังเกตุและการข่าวเป็นหลัก" แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว
ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

เครื่องดื่มแบรนด์ไทย ตีตลาดจีน ปีเดียวขยายแล้ว 160 สาขา

(14 พ.ย. 67) “โกโก้ร้านไอต้น” (Da HuZi Bing KeKe) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดจีนเมื่อปี 2023 และเพียงหนึ่งปีให้หลัง แบรนด์ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นจีน

ความสำเร็จของแบรนด์ส่วนหนึ่งมาจากเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของโลโก้ ซึ่งเป็นภาพ "นักเรียน" ที่มีลักษณะเหมือนเจ้าของแบรนด์ คุณต้น-ประชานารถ โพธิสาราช เมนูของร้านมุ่งเน้นที่โกโก้เป็นหลัก โดยใช้วัตถุดิบประมาณ 50% จากประเทศไทย ลูกค้าสามารถเลือกระดับความเข้มข้นได้ 4 ระดับ ได้แก่ "ละอ่อน" "เข้ม" "โคตรเข้ม" และ "โคตรหวาน" ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 18-22 หยวน (87-106 บาท) 

อีกจุดขายสำคัญของ “โกโก้ร้านไอต้น” คือการปรับเปลี่ยนภาพหนวดและการแต่งกายของตัวการ์ตูนบนแก้วตามเมนูและระดับความเข้มข้น เช่น หากสั่งโกโก้รสมินต์ หนวดจะเป็นสีเขียว หรือหากเป็นเมนูพิเศษช่วงคริสต์มาส ตัวการ์ตูนจะแต่งเป็นซานตาคลอส กลยุทธ์การตลาดสร้างสรรค์นี้ช่วยดึงดูดกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบถ่ายภาพและแชร์ลงโซเชียลมีเดียอย่าง Little Red Book

กลยุทธ์การขยายสาขาของโกโก้ร้านไอต้นในจีนเน้นการลงทุนน้อย และเลือกขยายตามศูนย์การค้า โดยเปิดสาขาแรกในสิบสองปันนาเมื่อเดือนเมษายน 2023 ซึ่งต่างจากไทยที่เน้นสตรีทฟู้ด ปัจจุบัน ร้านได้ขยายสาขาไปแล้วกว่า 160 แห่งในหลายมณฑล เช่น ยูนนาน เหอเป่ย กว่างซี กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้ และอื่น ๆ 

นอกจากโลโก้และการตลาดที่โดดเด่น การเข้าถึงลูกค้าด้วยการสร้างอารมณ์ขันยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญของแบรนด์ การปรับภาพลักษณ์โลโก้ให้เข้ากับรสชาติและบรรยากาศเทศกาลสร้างความสนุกสนานและเข้าถึงง่าย ซึ่งเข้ากับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความผ่อนคลายในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ การใช้ต้นทุนการลงทุนที่ต่ำช่วยให้แฟรนไชส์ขยายสาขาได้รวดเร็ว ตอบโจทย์ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

ตลาดเครื่องดื่มชงในจีนยังมีแนวโน้มเติบโตสูง โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 421,300 ล้านหยวนในปี 2022 เป็น 1.18 ล้านหยวนในปี 2028 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 18.7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มโดยรวม ปัจจุบันการบริหารและขยายสาขาของโกโก้ร้านไอต้นในจีนดำเนินการโดยบริษัทจีน 100% โดยใช้วัตถุดิบจากไทยราว 50%

จากการเติบโตของโกโก้ร้านไอต้นในจีน กลยุทธ์การตลาดที่สร้างสรรค์ การจัดการต้นทุน และการเลือกทำเลที่ตั้งอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้แบรนด์สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง

ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองเซี่ยเหมิน

สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา - ปตท. ขยายความร่วมมือ ต่อยอดพัฒนานวัตกรรม - สร้างเกษตรกรรุ่นใหม่สู่สังคม

(12 พ.ย. 67) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ณ อาคารรัตนเกษตร สำนักวิชาเกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันทนีย์ ผาสุข รองอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. พร้อมด้วยข้าราชการ ผู้บริหาร และพนักงานเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จฯ

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง เปิดเผยว่า สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และ ปตท. มีความร่วมมือในการส่งเสริมการเรียนการสอนและงานวิจัย เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเกษตร มุ่งสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ พร้อมขยายผลสู่ชุมชน ผ่านบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ฉบับที่ 1 มาตั้งแต่ พ.ศ. 2563 – 2566 ตลอดระยะเวลา 3 ปี ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ทำให้เกิดการพัฒนาที่เด่นชัดเป็นรูปธรรม อาทิ การพัฒนาหลักสูตรฝึกประสบการณ์วิชาชีพ “นักเพาะกล้า” การพัฒนาเครื่องมือการประเมินคาร์บอนไดออกไซด์ของพื้นที่สวนยางพาราด้วยเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล การวิจัยติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์การเจริญเติบโตและความหลากหลายทางชีวภาพของป่านิเวศป้องกัน การพัฒนาพื้นที่สวนสมรมเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ รวมถึงการจัดทำระบบฐานข้อมูลสำหรับศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต 

ในการนี้ เพื่อต่อยอดความร่วมมือดังกล่าว สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา และ ปตท. จึงเห็นชอบร่วมกันในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ฉบับที่ 2 โดยมีระยะเวลาการดำเนินงาน 3 ปี เพื่อร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญระหว่างองค์กรและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ด้วยกรอบการดำเนินงาน 4 ด้าน ได้แก่ สนับสนุนเชิงวิชาการเพื่อพัฒนาการศึกษา พัฒนาศักยภาพบุคลากร ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และจัดหาที่ปรึกษาด้านวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ต่อยอดสู่การสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน”

เผยอีก 3 ปีไม่ต้องพึ่งมนุษย์ AI แปลได้หมดทุกภาษา

(14 พ.ย. 67) Unbabel เปิดตัวบริการแปลภาษาใหม่ Widn.AI ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดแปลภาษาที่มีการแข่งขันสูง โดยซีอีโอของบริษัทเตือนว่าอีกเพียง 3 ปีข้างหน้า AI อาจพัฒนาได้ถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการแปลโดยมนุษย์อีกต่อไป

Widn.AI สร้างขึ้นจากโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองในชื่อ Tower ซึ่งเป็นระบบ AI ที่คล้ายกับโมเดลเบื้องหลัง ChatGPT ของ OpenAI

วาสโก เปโดร ซีอีโอของ Unbabel ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า LLM ของบริษัททำให้ AI สามารถแปลได้ถึง 32 ภาษา แต่จากการตรวจสอบบนเว็บไซต์ของบริษัท บริการนี้ยังไม่รองรับภาษาไทย

เปโดรกล่าวว่า “เมื่อเราเริ่มก่อตั้ง Unbabel เมื่อ 10 ปีก่อน AI ยังไม่สามารถทำงานได้ถึงระดับนี้ เราจึงพัฒนาโซลูชันที่ผสานมนุษย์กับ AI … แต่ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เราเชื่อว่าการแปลภาษาอยู่ในขอบเขตที่ AI สามารถทำได้เต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์”

ผลิตภัณฑ์เดิมของ Unbabel เคยใช้ระบบ Machine Learning ร่วมกับการตรวจสอบโดยมนุษย์เป็นขั้นตอนสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เปโดรชี้ว่า Widn.AI นั้นไม่จำเป็นต้องใช้มนุษย์เข้ามาช่วยอีกต่อไป

“ผมคิดว่ามนุษย์ยังมีข้อได้เปรียบเล็กน้อยในกรณีการใช้งานที่ซับซ้อนมาก แต่นั่นเป็นข้อได้เปรียบที่เล็กน้อยจริง ๆ ยกเว้นในงานที่ยากและท้าทายอย่างมาก เราเชื่อว่า AI กำลังจะถึงจุดที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ และในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมมองไม่เห็นว่าเราจะยังจำเป็นต้องใช้มนุษย์ในการแปลอีกต่อไป”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top