Saturday, 5 July 2025
NewsFeed

นายกฯ อิ๊งค์ หารือ บิ๊ก Google ขอบคุณทุ่ม 3.5 หมื่นล้านลงทุนในไทย

(15 พ.ย. 67)นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกับนายมาริส เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท Google, TikTok และ Microsoft ในสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างไทยกับบริษัทเหล่านี้

ระหว่างการหารือกับนาย Karan Bhatia รองประธานฝ่ายกิจการภาครัฐและนโยบายสาธารณะของ Google นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ Google ประกาศลงทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไทยเพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานกว่า 14,000 ตำแหน่งในช่วงปี 2568 - 2572 และสร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2572 ไทยพร้อมร่วมมือกับ Google ในการพัฒนาทักษะเทคโนโลยีของแรงงาน ส่งเสริมการทำงานภาครัฐ การขับเคลื่อนนโยบาย Go Cloud First รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ โดยต่อยอดจากบันทึกความเข้าใจที่ Google ลงนามกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเมื่อปี 2566

การหารือครั้งนี้ยังติดตามผลจากการพบปะของนายกรัฐมนตรีกับนาง Ruth Porat ประธานและซีอีโอฝ่ายการลงทุนของ Alphabet และ Google ซึ่งได้เดินทางมาไทยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 เพื่อหารือถึงความคืบหน้าโครงการลงทุนของบริษัทในไทยและความร่วมมือเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและดิจิทัลของไทย

นายกรัฐมนตรีได้พบกับนาย Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมในความร่วมมือระหว่าง TikTok กับหน่วยงานไทยที่ช่วยเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยทั้งสองฝ่ายหารือถึงแนวทางการเพิ่มความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล รวมถึงการสนับสนุนโครงการ Data Center ของ TikTok ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในไทยกว่า 49 ล้านบัญชี

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนาย Antony Cook รองประธานฝ่ายกฎหมายลูกค้าและพันธมิตรของ Microsoft ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแผนความร่วมมือในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และ AI และโครงการพัฒนาทักษะ AI ให้แก่บุคลากรไทย ซึ่งสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของแรงงานทักษะสูง รองรับเทคโนโลยีขั้นสูง สอดคล้องกับเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาค

การหารือกับ Microsoft ครั้งนี้ยังเป็นการต่อยอดจากการเยือนไทยของนาย Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งประกาศแผนการจัดตั้ง Data Center แห่งแรกในไทย การสนับสนุนทักษะด้าน AI และการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยนำ Generative AI ของ Microsoft มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

‘เอกนัฏ’ สั่งปูพรมลุยตรวจโรงงานต่อเนื่อง ย้ำ! หากพบคนทำผิดให้จัดการตาม กม.อย่างเด็ดขาด

(15 พ.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) บูรณาการร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ทั่วประเทศ เปิด 'ปฏิบัติการตรวจสุดซอย' ต่อเนื่อง ปูพรมตรวจกำกับดูแลโรงงานกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เฝ้าระวัง เช่น จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ เป็นต้น รวมจำนวน 218 ราย โดยเฉพาะโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม หรือโรงงานลำดับที่ 101, 105 และ 106 ทั้งที่เป็นของเสียอันตรายและไม่เป็นของเสียอันตราย เช่น การคัดแยก หลุมฝังกลบ ทำเชื้อเพลิงผสม ทำเชื้อเพลิงทดแทนจากน้ำมันและตัวทำละลายใช้แล้ว สกัดแยกโลหะ ถอดแยกบดย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลอมตะกรัน รีไซเคิลกรดด่าง เป็นต้น ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม และจะดำเนินการขยายผลปูพรมตรวจโรงงานทั่วประเทศ โดยให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัดตรวจสอบและวางแผนดำเนินการ คาดใช้เวลาภายในเวลา 2 เดือน หากพบโรงงานที่มีการกระทำผิดจะสั่งลงโทษเด็ดขาด

นายเอกนัฏฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้ให้นโยบายและสั่งการให้ กรอ. และ สอจ. ทั่วประเทศ ปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานทั้งระบบ โดยใช้แนวคิด 'เพิ่มแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการที่ดี' โดยการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่ดีในทุกช่องทาง ควบคู่ไปกับการขึ้นบัญชี Blacklist ผู้ประกอบการที่มีประวัติไม่ดีหรือมีความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อยกระดับการตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามโรงงานกลุ่มดังกล่าวอย่างเข้มข้น การปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงป้องกันที่ต้นเหตุ อย่างไรก็ตาม การจะสู้กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบาย 'สู้ เซฟ สร้าง' นั้น การดำเนินการดังกล่าวอาจจะยังไม่เพียงพอ มีความจำเป็นต้องปฏิรูปการกำกับโรงงานทั้งระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ

“ผมได้กำชับเจ้าหน้าที่ กรอ. และ สอจ. ทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบทุกโรงงานสุดซอยอย่างเข้มข้น พร้อมย้ำ! หากตรวจพบการประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้ดำเนินการสั่งการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดให้ถึงที่สุด โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ๆ” รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าว

ด้านนายพรยศ กลั่นกรอง รักษาการอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ปฏิบัติการตรวจสุดซอย” เป็นปฏิบัติเชิงรุกในการตรวจสอบกำกับโรงงานเชิงลึกในทุกมิติ ทั้งด้านการติดตั้งเครื่องจักร กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีมาตรฐาน มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตอย่างครบถ้วน ด้านสิ่งแวดล้อม มีการติดตั้งระบบบำบัดมลพิษที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ด้านการบริหารจัดการสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรมต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และด้านอาชีวอนามัย การปฏิบัติงานต้องมีความปลอดภัยของทั้งพนักงานและประชาชนโดยรอบโรงงาน อีกทั้ง การประกอบการต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายโรงงาน กฎหมายวัตถุอันตราย กฎหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบ เช่น ระบบตรวจกำกับดูแลสถานประกอบการ หรือระบบ i-Auditor ระบบห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ (E-Report) และระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษ (Pollution Online Monitoring System) เป็นต้น

“กรอ. พร้อมทำงานเป็นเนื้อเดียวกับ สอจ. ในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ รวมทั้งพร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสู้กับผู้ประกอบการที่เย้ยกฎหมาย หากพบโรงงานทำผิดกฎหมาย จะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด” นายพรยศฯ กล่าวทิ้งท้าย

นักการเมืองไทยขยันแสดงจุดยืน ‘ไม่แตะมาตรา 112’

(15 พ.ย. 67) “นักการเมืองไทยขยันแสดงจุดยืน ‘ไม่แตะมาตรา 112’ อยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าท่องกันสามเวลาหลังอาหาร คิดว่าพวกเขาต้องการบอกประชาชนหรือครับ? ผมคิดว่าไม่”

ปิยบุตร แสงกนกกุล
โพสต์ข้อความ X
เมื่อ 14 พ.ย. 67

'ยูเนสโก' ยก ‘สุวรรณภูมิ’ ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2024

(15 พ.ย. 67) 'สุริยะ' ปลื้ม! 'ยูเนสโก' ยกย่อง 'ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ' ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก ประจำปี 2567 ด้าน 'อาคาร SAT-1' สุดปัง! ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสถาปัตยกรรมสวยที่สุดของโลก โชว์ความโดดเด่นด้านความงาม-ความคิดสร้างสรรค์ ชูอัตลักษณ์ความเป็นไทย ลุ้นประกาศผล 2 ธ.ค.นี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ให้ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s most beautiful List 2024)

ทั้งนี้ ล่าสุดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังได้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Prix Versailles หมวดหมู่สนามบิน จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ซึ่งร่วมกับ UNESCO โดยจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยเกณฑ์การให้คะแนนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในด้านความงาม ทั้งภายนอก และภายในอาคาร ประกอบด้วย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่ผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับอาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นอาคารสูง 4 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น มีพื้นที่ 216,000 ตารางเมตร มีประตูทางออกเชื่อมต่อกับหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) จำนวน 28 หลุมจอด ถือว่ามีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบ การสร้างประสบการณ์ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการถ่ายทอดความวิจิตรของเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทย สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ทอท.ยังได้มีการออกแบบที่สวยงาม โดยนำจุดแข็งทางวัฒนธรรมมานำเสนอ ประกอบกับการตกแต่งภายในอาคารเป็นแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมกับศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และวิถีชีวิต โดยมีผลงานการตกแต่งประติมากรรมชิ้นเอกเป็นช้างคชสาร ตั้งอยู่บริเวณโถงกลางของชั้น 3 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาออก

ขณะเดียวกัน ภายในชั้น 3 ของอาคารฯ ได้รับการออกแบบให้เป็นสวนตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์ตามคติความเชื่อไทยแต่โบราณ เช่น กินนร กินรี เหมราช และหงสา ส่วนชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับผู้โดยสารขาเข้า ได้ออกแบบเป็นสวนสัญจรที่จัดแสดงงานภูมิทัศน์ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมของไทย เช่น หุ่นละครเล็ก หนังใหญ่ หัวโขน และว่าวไทย เป็นต้น

ในส่วนปลายอาคารทั้ง 2 ด้าน คือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ติดตั้งสุวรรณบุษบก และรัตนบุษบก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธปฏิมา ปางมารวิชัย และปางเปิดโลก โดยถอดแบบมาจากวัดผาซ่อนแก้ว เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อสถานที่ ขณะที่ ห้องน้ำ ได้เสนออัตลักษณ์อันงดงามของแต่ละภาค มีภาพจิตรกรรม 4 ภาคของไทย ไปจนถึงประเพณีวัฒนธรรมของไทยมาใช้ออกแบบรูปลักษณ์ภายใน อีกทั้ง สุขภัณฑ์ทั้งหมดยังใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการประหยัดน้ำอีกด้วย

สำหรับ 6 สนามบินที่เว็บไซต์ www.prix-versailles.com ได้ประกาศ 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 ได้แก่ 1. อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย 2. อาคารผู้โดยสาร E ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน (Logan International Airport) สหรัฐอเมริกา 3. อาคารผู้โดยสารที่ 2 ท่าอากาศยานชางงี (Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์ 4. ท่าอากาศยานนานาชาติซายิด (Zayed International Airport) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 5. ท่าอากาศยานนานาชาติเฟลิเป แองเจเลส (Felipe Ángeles International Airport) ประเทศเม็กซิโก และ 6. ท่าอากาศยานนานาชาติแคนซัสซิตี้ (Kansas City International Airport) สหรัฐอเมริกา

ประเทศไหนบนโลกที่มีผลิตภาพด้านแรงงานสูงสุด

จากข้อมูลขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศได้ออกบทความชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันยุโรปเป็นภูมิภาคที่ได้รับการยอมรับในด้านผลิตภาพแรงงาน (worker productivity) ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการผลิตของแรงงาน โดยเฉพาะประเทศลักเซมเบิร์กที่ขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียงเล็กน้อยนี้ กลับสร้างรายได้เฉลี่ยต่อแรงงานที่สูงกว่าประเทศใหญ่ ๆ หลายเท่า โดย 10 ประเทศที่มีผลผลิตด้านแรงงานสูงสุดในโลกประกอบไปด้วย

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยุโรปและลักเซมเบิร์กมีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าชาติอื่นๆคือ 
1. อุตสาหกรรมการเงินที่แข็งแกร่งและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน: หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ลักเซมเบิร์กมีผลิตภาพแรงงานสูงกว่าประเทศอื่น ๆ คืออุตสาหกรรมการเงินที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ลักเซมเบิร์กเป็นที่ตั้งของบริษัทการเงินระดับโลกหลายแห่ง และได้กลายเป็นศูนย์กลางการเงินในยุโรปที่แข็งแกร่ง 

2. แรงงานข้ามแดนที่ช่วยเพิ่มมูลค่า GDP: ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากแรงงานข้ามแดนที่เดินทางมาทำงานจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เบลเยียม ฝรั่งเศส และเยอรมนี แรงงานเหล่านี้เข้ามาทำงานในลักเซมเบิร์กทุกวัน และมีส่วนช่วยในการสร้างมูลค่าให้แก่เศรษฐกิจได้

3. การสนับสนุนทางเทคโนโลยีและนโยบายภาครัฐ: ประเทศในยุโรปให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการลงทุนในนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เทคโนโลยีช่วยลดภาระงานที่ใช้แรงงานคน ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำของการผลิต รวมถึงการสร้างโอกาสให้เกิดการพัฒนาทักษะแรงงานที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด 

4. การลงทุนในสุขภาพและสวัสดิการของแรงงาน: ยุโรปเองมีมาตรฐานสวัสดิการแรงงานที่ดี ครอบคลุมถึงการดูแลสุขภาพ สวัสดิการการลาเพื่อรักษาตัว และสวัสดิการทางครอบครัวที่เข้มแข็ง การมีสุขภาพที่ดีและได้รับการดูแลด้านสวัสดิการอย่างเพียงพอช่วยให้แรงงานมีสภาพจิตใจและร่างกายที่พร้อมในการทำงาน ส่งผลให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แรงงานมีความสามารถที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันค่ะ

สมรสเท่าเทียม ดันท่องเที่ยวไทย GDPโตอีก 0.3%

(15 พ.ย. 67) งานวิจัยจาก อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทยจะช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถึง 4 ล้านคนต่อปี และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายใน 2 ปีหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ โดยส่งผลให้ GDP ของไทยเติบโตขึ้น 0.3%

งานวิจัยนี้ ซึ่งจัดทำโดย อโกด้าร่วมกับบริษัท Access Partnership ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกัน ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยไทยจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการรับรองกฎหมายนี้ และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย รองจากไต้หวันในปี 2562 และเนปาลในปีที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ จากทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

รายงานยังคาดการณ์ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กระจายไปยังหลายภาคส่วน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 4 ล้านคนต่อปีใน 2 ปี ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น

เพิ่มรายรับจากการท่องเที่ยวประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยกระจายไปยังหลายภาคส่วน เช่น การจองที่พัก 0.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การบริการอาหารและเครื่องดื่ม 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การจับจ่ายซื้อสินค้า 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, การเดินทางภายในประเทศ 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ความบันเทิงและการแพทย์

สนับสนุนการสร้างงานเพิ่มขึ้น 152,000 ตำแหน่ง โดย 76,000 ตำแหน่งจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และอีก 76,000 ตำแหน่งจะกระจายไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจ ผลักดัน GDP ของไทยให้เติบโตขึ้น 0.3%

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมระดับโลกอยู่แล้ว การออกกฎหมายสมรสเท่าเทียมในครั้งนี้จะเพิ่มความน่าสนใจของไทยในสายตานักท่องเที่ยว LGBTQIA+ ที่มองหาจุดหมายที่เปิดกว้างและต้อนรับทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายและเปิดกว้างมากขึ้น

เนื่องจากไทยจะเป็นประเทศที่สามในเอเชียที่มีการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายนี้จะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวสำหรับคู่รัก LGBTQIA+ จากประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการเฉลิมฉลองการแต่งงานในประเทศที่ยอมรับการสมรสเพศเดียวกัน หลายเมืองในไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านสถานที่สวยงามหรือความพร้อมในการบริการต่าง ๆ กฎหมายนี้จะกระตุ้นการเติบโตในอุตสาหกรรมงานแต่งงานและส่งผลดีต่อธุรกิจต่าง ๆ เช่น โรงแรม บริการจัดเลี้ยง และอุตสาหกรรมบันเทิง

ปิติโชค จุลภมรศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดของอโกด้า และผู้สนับสนุนกลุ่ม Agoda Pride กล่าวว่า “อโกด้าสนับสนุนชาว LGBTQIA+ มาตลอดทั้งในหมู่พนักงานและผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มของเรา ปีนี้เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือและสนับสนุน Bangkok Pride Parade 2024 ด้วยงานวิจัยชิ้นนี้ เราต้องการเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของความหลากหลายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสะท้อนถึงคุณค่าที่เกิดจากการยอมรับความแตกต่างในสังคม”

จากการพูดคุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมและผู้จัดงาน Bangkok Pride งานวิจัยเผยให้เห็นถึงโอกาสสำคัญที่กฎหมายจะนำมา เช่น งาน WorldPride ที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ ได้มหาศาล

ปิติโชคกล่าวเสริมว่า “การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมถือเป็นก้าวสำคัญของไทย ทั้งในด้านการส่งเสริมสิทธิที่เท่าเทียมและการตอกย้ำภาพลักษณ์ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่เปิดกว้างและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน” วาดดาว ชุมาพร ประธานและผู้ก่อตั้งบางกอกนฤมิตรไพรด์ กล่าวเสริมว่า “การยอมรับความหลากหลายและการรับรองสิทธิในการสมรสของคู่รักทุกคู่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทผู้นำของไทยในการส่งเสริมความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของมนุษย์”

อเมริกันแห่แบน X หลังมักส์ร่วมครม.ทรัมป์ หันใช้ Bluesky แทน

(15 พ.ย. 67) หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชาวอเมริกันกว่า 115,000 รายพากันยกเลิกบัญชี X และหันไปใช้ Bluesky แทน ท่ามกลางความกังวลเรื่องการแพร่กระจายข้อมูลเท็จและข้อกำหนดการใช้งานใหม่ของ X ที่อาจทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมาย โดย Bluesky มีจำนวนผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นถึง 2.5 ล้านคนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ยอดรวมผู้ใช้งานทะลุ 16 ล้านคน 

Bluesky ซึ่งก่อตั้งโดยแจ็ค ดอร์ซีย์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Twitter เน้นการเป็นแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถโพสต์ข้อความ รูปภาพ และโต้ตอบกับผู้อื่นได้คล้ายกับ X 

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Bluesky เกิดขึ้นหลังจากที่องค์กรและบุคคลสำคัญ เช่น สำนักข่าว The Guardian และอดีตผู้ประกาศข่าว CNN ดอน เลมอน ประกาศเลิกใช้ X เนื่องจากกังวลเรื่องการควบคุมเนื้อหาที่หละหลวม การแพร่กระจายข้อมูลเท็จในช่วงเลือกตั้ง และการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดการให้บริการใหม่ของ X ที่อาจส่งผลต่อข้อกฎหมาย 

แม้ Bluesky จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้ใช้รวมยังตามหลัง Threads ซึ่งมีผู้ใช้งานรายเดือน 252 ล้านคน และ X ที่มีผู้ใช้งาน 317 ล้านคน นักวิเคราะห์เชื่อว่า X ยังคงมีความได้เปรียบในฐานะช่องทางสื่อสารสำคัญของทรัมป์ ซึ่งมีอิทธิพลด้านเครือข่าย ทำให้การเติบโตของแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Bluesky เป็นเรื่องที่ท้าทาย

มูลนิธินักศึกษาพระปกเกล้าฯ และกลุ่ม SEED Thailand ร่วมหารือ ‘นายกสมาคมมิตรภาพจีน-ไทย’ ถึงความร่วมมือในอนาคต

มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคมและเยาวชน SEED Thailand ให้การต้อนรับนายกสมาคมมิตรภาพจีน-ไทย พร้อมคณะ

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม นายกรรณภว์ ธนภรรคภวิน ที่ปรึกษามูลนิธิฯ และ ดร.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ให้การต้อนรับ Mr. Yang Wanming นายกสมาคมมิตรภาพจีนไทย และคณะ ในโอกาสหารือพูดคุยการดำเนินงานด้านเยาวชนระหว่างประเทศไทยและจีนร่วมกันในอนาคต เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน

ในการนี้ Mr.Yang Wanming ได้กล่าวทักทายผู้บริหารมูลนิธิฯ และตัวแทนเยาวชน SEED Thailand ที่ให้การต้อนรับ ว่า “การทำงานของสมาคมให้ความสำคัญในด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจและการศึกษา แต่หน้าที่หลักที่สำคัญคือการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนในประเทศจีน และต่างประเทศ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนกับต่างประเทศ ต้องมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันให้ต่อเนื่องจึงจะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ เนื่องด้วยเยาวชน SEED Thailand และมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า ได้มีการจัดโครงการศึกษาดูงาน ณ ประเทศจีนอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 2 ปี Mr.Yang Wanming ยืนยันว่ารัฐบาลจีนยินดีให้การสนับสนุนการศึกษาดูงานของเยาวชนไทยอย่างต่อเนื่องทุกปี” 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม ได้หารือถึงประเด็นการต่อยอดการศึกษาของเยาวชนไทยและจีน โดยเฉพาะการนำองค์ความรู้ของจีน หลักแนวคิดต่าง ๆ มาปลูกฝังเยาวชนให้เกิดการต่อยอดในทุกด้าน นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาของประเทศจีนร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ร่วมมือกันพัฒนาสถานที่การเรียนรู้ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทยอีกด้วย เพราะการศึกษาเป็นเสมือนสิ่งสำคัญที่สุดของเยาวชน ดังนั้นจึงต้องมีการสนับสนุนเยาวชนให้มีการศึกษาในทุกระดับ 

จุดมุ่งหมายของการหารือในวันนี้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ระหว่างเยาวชนไทยและจีนในอนาคต และการที่เยาวชนไทยเดินทางไปศึกษาดูงานในประเทศจีน ทำให้เกิดการเรียนรู้วัฒนธรรมจีนที่ถูกต้อง รู้จักความเป็นอยู่ของประชาชนในทุกระดับ ปัจจุบันประเทศจีนมีความพร้อมด้านการศึกษา วัฒนธรรม เทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ จีนพร้อมต้อนรับเยาวชนจากเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ในอนาคต และมุ่งหวังว่ามูลนิธินักศึกษาพระปกเกล้าเพื่อสังคมจะร่วมสร้างกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนไทยและจีนอย่างต่อเนื่อง โดยทางสมาคมฯ พร้อมให้การสนับสนุน

ทั้งนี้ มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม และเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ระบุถึงความยินดีที่จะร่วมการดำเนินงานสนับสนุนเยาวชนร่วมกับสมาคมจีน-ไทยในอนาคต เยาวชนของทั้ง 2 ประเทศ จะดำเนินการร่วมกันในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ในปีที่จะถึงนี้ และเยาวชนของเครือข่าย SEED Thailand ที่ได้ไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศจีนทั้ง 2 ปีที่ผ่านมา จะนำองค์ความรู้ที่ได้ไปศึกษามาต่อยอดการทำงานเพื่อพัฒนาบ้านเกิด ประเทศชาติของตัวเองต่อไป

พบซากพะยูนถูกตัดหัว ลอยในทะเลภูเก็ต คาดถูกนำไปทำเครื่องรางตามความเชื่อ

โลกออนไลน์แห่แชร์ภาพสุดสะเทือนใจ พบซากพะยูนถูกตัดหัวอยู่บริเวณใกล้ท่าเทียบเรือบ้านบางโรง อ.ถลาง จ.ภูเก็ต คาดถูกนำไปทำเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ

เมื่อวันที่ (14 พ.ย. 67) มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Theerasak Saksritawee' ได้โพสต์ภาพสุดสะเทือนใจพบซากพะยูนตายลอยขึ้นอืดถูกตัดหัวขาด อยู่บริเวณใกล้ท่าเทียบเรือบ้านบางโรง ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งคาดว่าการตัดหัวพะยูนนั้นต้องการเขี้ยว เพื่อนำไปทำเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ

โดยผู้โพสต์ระบุข้อความว่า "เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว กับซากพะยูนไร้หัว ท่าเรือบางโรง ภูเก็ต (14/11/2024) !!!! ต้องจริงจังเต็มกำลังกับเรื่องนี้แล้วสิ !!!!

ขอความร่วมมือหลายๆ อย่างจากทุก ๆ คน ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องช่วยดูแลพวกเขาให้ปลอดภัยด้วย ใครอยากมาช่วยเป็นอาสาสมัครนักวิทยาศาสตร์พลเรือนก็สามารถติดต่อมาร่วมงานกันได้ และตอนนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลดผลกระทบต่อพวกเขาให้มากที่สุดเพราะสถานการณ์ถึงขั้นวิกฤติ จึงอยากขอความร่วมมือละเว้นการลอยกระทงลงทะเล"

อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตแห่คอมเมนต์สุดเศร้ากันเป็นจำนวนมาก เช่น ปกติไม่แช่งใครเลย แต่อันนี้ขอสาปแช่งคนทำ สิ่งใดทำลงไปขอให้ได้รับผลกรรมนั้นเหมือนกัน, สงสารน้องจับใจค่ะ ความเชื่อบ้าๆ บอๆ แต่ทำลายอีกชีวิต, ความเชื่อที่งมงายและโง่เขลา มาเบียดเบียนสัตว์ น่าสงสารพะยูนมากค่ะ

‘Vitalik Buterin’ ผู้ก่อตั้งเหรียญคริปโต Ethereum โผล่โหนรถไฟฟ้าที่ไทย หลังเข้าร่วมงานที่ศูนย์สิริกิติ์

เมื่อวันที่ (13 พ.ย.67 ) เพจ Stocker Day ได้สร้างกระแสฮือฮาบนโลกโซเชียล หลังจากโพสต์ภาพและข้อความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ซึ่งเป็นหนึ่งในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดสูงถึงกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 10 ล้านล้านบาท โดยในโพสต์ระบุว่า มีผู้พบเห็น Vitalik กำลังโดยสารรถไฟฟ้า BTS ในกรุงเทพฯ หลังมาร่วมงาน DevCon 7 ที่ ศูนย์สิริกิติ์ โดยระบุข้อความว่า

“มีคนเจอ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum อยู่บน BTS ถ้าไม่รู้จักมาก่อน ก็คงไม่รู้นะว่านี่คือ founder ของเหรียญคริปโตมูลค่าตลาดกว่า $300B ติดดินเว่ออ ปล. เสื้อแกก็น่ารักเกินนน”

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ Vitalik Buterin เลือกเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ โดยก่อนหน้านี้ เคยมีภาพของ  Vitalik Buterin ที่มีชาวเน็ตพบเห็นว่า เขากำลังนั่งรอขึ้นรถไฟฟ้า MRT ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT King Albert Park ในประเทศสิงคโปร์ 

เป็นที่น่าสังเกตว่า Vitalik Buterin มีวิถีชีวิตและการเดินทางที่เรียบง่าย ซึ่งมักจะมีคนพบเห็นเขาเดินทางโดยใช้ในระบบขนส่งสาธารณะ แม้เขาจะเป็นมหาเศรษฐีอายุน้อยที่มีทรัพย์สินมหาศาล แต่ยังคงมีสไตล์การใช้ชีวิตที่ไม่หรูหราจนเกินไป

Vitalik Buterin มักสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นแบบสบาย ๆ ซึ่งทำให้เขาดูเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย เป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของมหาเศรษฐีส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยได้แสดงความเป็นห่วงต่อความปลอดภัยของ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum โดยกังวลว่า การเดินทางด้วยรถสาธารณะในลักษณะนี้ อาจทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดีได้ หลายคนชี้ว่า หากข้อมูลส่วนตัวหรือทรัพย์สินดิจิทัลของเขาถูกชิงไป เช่น กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) ที่มักใช้เก็บสินทรัพย์คริปโตมูลค่ามหาศาล อาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งส่วนตัวและวงกว้างในโลกคริปโต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top