Wednesday, 8 May 2024
Econbiz

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 15-16 พ.ค. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 22-26 พ.ค. 66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ในสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง 0.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 75.71 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจถดถอยและถูกลดความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) หากการเจรจาขยายเพดานหนี้ (Debt Ceiling ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 31.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ) ระหว่างพรรค Democrat และพรรค Republican ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ หลังวันที่ 1 มิ.ย. 66

อย่างไรก็ดี การเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden (พรรค Democrat) และประธานสภาผู้แทนราษฎร นาย Kevin McCarthy (พรรค Republican) มีความคืบหน้า และทั้ง 2 ฝ่ายใกล้จะบรรลุข้อตกลงในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ โดยมีนัดหารือกันอีกในวันที่ 22 พ.ค. 66

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

• กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ประกาศเข้าซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ปริมาณ 3 ล้านบาร์เรล ส่งมอบภายในเดือน ส.ค. 66 หลังระบายน้ำมันจาก SPR ปริมาณ 180 ล้านบาร์เรล ในปี 2565 เพื่อบรรเทาสภาวะน้ำมันตึงตัว หลังผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

• รายงานฉบับเดือน พ.ค. 66 ของ  International  Energy Administration  (IEA) คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.21 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 102.01 ล้านบาร์เรลต่อวัน (เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน 70,000 บาร์เรลต่อวัน)

• สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (National Bureau of Statistics) รายงานโรงกลั่นนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Refinery Throughput) ในเดือน เม.ย. 66 เพิ่มขึ้น 18.9% จากปีก่อน อยู่ที่ 14.87 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อเตรียมรองรับอุปสงค์ในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

• ผู้บริหารของบริษัทและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ 150 ราย อาทิ Goldman Sachs และ JP Morgan ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden และประธานรัฐสภา เตือนว่าหากการเจรจาเพดานหนี้ไม่ได้ข้อสรุปทันเวลา สหรัฐฯ จะผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้สถานะของสหรัฐฯ ในระบบการเงินโลกอ่อนแอลง กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ เป็นการส่งคำเตือนที่หนักแน่นที่สุดจากภาคธุรกิจในรอบหลายปีที่ผ่านมา บ่งชี้ความสำคัญของการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ 

• Energy Information Administration (EIA) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ที่สหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 พ.ค. 66 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 5.0 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 467.6 ล้านบาร์เรล

ให้จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) วันที่ 13-14 มิ.ย. 66 ซึ่งล่าสุด ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นาย Jerome Powell กล่าวว่า FOMC อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 5.0-5.25% หากอัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% สัปดาห์นี้คาดการณ์ราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวในกรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

'พีทีจี เอ็นเนอยี' กางแผนธุรกิจสถานี EV Charging ชู จุดเด่นตู้ชาร์จฟาสต์สปีด ชิมลาง 65 จุดทั่วไทยในปีนี้

(26 พ.ค. 66) นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานีอัดประจุไฟฟ้า EV Charging ของพีทีจีฯ ได้จับมือร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยดำเนินงานภายใต้ชื่อ EleX by EGAT Max ปัจจุบันเปิดให้บริการ 42 จุด โดยสาขาแรกที่เปิดอยู่ที่ เขาใหญ่ ปากช่อง 

สำหรับจุดเด่นของสถานีอัดประจุไฟฟ้า EleX by EGAT Max ประกอบไปด้วย แท่นชาร์จไฟเป็นแบบควิกชาร์จ ใช้เวลาการชาร์จประมาณ 30-40 นาที โดยติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบชาร์จเร็ว (DC Fast Charge) ขนาด 125 kW สะดวก รวดเร็ว, คุณภาพการให้บริการ มาตรฐานต่าง ๆ ที่ร่วมกับ EGAT ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าจะไม่สร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ของลูกค้า นอกจากนั้นแล้ว ระบบเครือข่ายการให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน EleXA ที่มีความเสถียร ใช้งานง่าย รองรับการชำระเงิน ครบจบที่เดียว ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีความแข็งแกร่ง

นายรังสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนงานในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้าของธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า หากมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯ ก็พร้อมที่จะขยายธุรกิจ เราได้ทำการศึกษาหลายโมเดลธุรกิจ เกี่ยวกับสถานีอัดประจุไฟฟ้า ทั้งในกลุ่มรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุก รถขนาดใหญ่ รวมไปถึงตู้สวอปแบตเตอรี่ ซึ่งหากตลาดมีการเติบโต มีความต้องการ เราในฐานะผู้ให้บริการถ้าลูกค้ามีความเชื่อมั่น ก็พร้อมขยายเข้าไป พร้อมลงทุน เราพร้อมทำทุกอย่างให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย ขณะเดียวกันอาจจะนำระบบสมาชิก หรือ มอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Max me ให้กับลูกค้าด้วย

EVme จับมือ on-ion ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง เปิดสถานีชาร์จ EV ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน 1 มิถุนายนนี้

บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVme Plus) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรรายแรกของประเทศไทย พร้อมด้วย ออน-ไอออน (on-ion) ภายใต้บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EVme Charging Station) บนทำเลศักยภาพ ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน (Siam Paragon) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV และสนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ EV เดินทางได้อย่างไร้กังวล โดยพร้อมเปิดให้บริการวันที่ 1 มิถุนายน 2566 นี้

นายสุวิชชา สุดใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด เผยว่า อีวี มี ดำเนินธุรกิจเพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร นอกเหนือจากการให้บริการแพลตฟอร์มเช่ารถยนต์ไฟฟ้า สถานีอัดประจุไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยรองรับการขยายตัวของตลาด EV และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคให้หันมาใช้งานรถ EV อย่างเต็มรูปแบบ ตอกย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรในการเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเพื่อการขนส่งและการเดินทางอย่างยั่งยืนชั้นนำของอาเซียน

นายโทรณ หงศ์ลดารมภ์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ EV Charger บริษัท อรุณ พลัส จำกัด กล่าวว่า การจับมือกับ อีวี มี ในครั้งนี้ เพื่อเสริมทัพขับเคลื่อนความมั่นคงด้านพลังงานแห่งอนาคต ส่งเสริมไลฟ์สไตล์การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด โดย ออน-ไอออน ในฐานะผู้ร่วมให้บริการสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าบนพื้นที่สยามพารากอน ซึ่งเป็นศูนย์การค้าชั้นนำของประเทศ จะช่วยให้ผู้ใช้ EV เกิดความมั่นใจในการเดินทางอย่างไร้กังวล นอกจากนี้ รถ EV ที่ใช้บริการชาร์จไฟที่นี้จะได้รับพลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% และเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งผู้ใช้บริการนอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการใช้รถ EV และพลังงานสะอาดแล้ว จะได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ อีกมากมายจาก ออน-ไอออน อีกด้วย

อีวี มี และ ออน-ไอออน พร้อมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและส่งเสริมการใช้ EV อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการขยายพื้นที่ให้บริการเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยเป็นเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC Charger) ขนาดกำลังไฟ 7 กิโลวัตต์ จำนวน 6 ช่องจอด ติดตั้งบริเวณชั้น 3A ฝั่งนอร์ท เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. สามารถรองรับรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV : Plug-in Hybrid) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV: Battery Electric Vehicle) ได้ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ที่รองรับหัวชาร์จ Type 2 และควบคุมการใช้งานผ่าน on-ion Mobile Application ทั้งในระบบ Android และ iOS

‘ทีวีดี โบรกเกอร์’ ผนึกกำลัง ‘กรุงไทยพานิชประกันภัย’ เปิดตัว ‘ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี’ รับสังคมผู้สูงอายุ

‘ทีวีดี โบรกเกอร์’ ในเครือ บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ หรือ TVDH ผนึกกำลัง ‘กรุงไทยพานิชประกันภัย’ เปิดตัว ‘ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี’ ที่ได้สิทธิขายเพียงรายเดียว รับโอกาสประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ให้ความคุ้มครองตั้งแต่อายุ 20 - 75 ปี และต่อประกันได้ถึงอายุ 100 ปี ชูจุดเด่นไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ เพิ่มการคุ้มครองแบบ อบ.2 เต็มทุน ครอบคลุมกรณีเสียชีวิต อวัยวะ สายตา หู หรือทุพพลภาพ พร้อมรับสิทธิพิเศษจากโรงพยาบาลเครือข่าย 350 แห่ง เริ่มเปิดจำหน่ายแล้วผ่านช่องทางคอลล์เซ็นเตอร์ของทีวี ไดเร็ค เว็บไซต์ทีวีดี โบรกเกอร์ และตัวแทนขายประกัน ปักธงเบี้ยรายรับปีแรก 45 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของเป้าหมายเบี้ยรายรับรวม 350 ล้านบาทในปีนี้

ดร.อาทิตย์ น้อยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวีดี โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัย ในเครือบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2566 บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจนายหน้าประกันภัยอย่างเต็มรูปแบบเพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่ง หลังจากก้าวสู่บริษัทนายหน้าประกันภัยที่มียอดขายประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลผ่านช่องทางคอลล์เซ็นเตอร์ (ไม่รวมช่องทางอื่นๆ) ติด 1 ใน 3 อันดับแรกในปีที่ผ่านมา โดยมียอดขายรวมกว่า 35,000 กรมธรรม์ ดังนั้นแผนงานในปีนี้จะเปิดตัวประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพื่อสร้างการจดจำแก่บริษัทฯ และรับโอกาสจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย รวมถึงต่อยอดนำเสนอประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลดังกล่าวกับฐานลูกค้าของบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด ในเครือ TVDH ที่มีอยู่กว่า 7 ล้านรายในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่พร้อมตัดสินใจซื้อหากเจอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ 

ล่าสุดบริษัทฯ จึงผนึกความร่วมมือกับบริษัท กรุงไทยพาณิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ ‘ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี’ (ประกัน PA 100 ปี) ซึ่งบริษัทฯ ได้รับสิทธิการขายเพียงรายเดียวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยร่วมกันออกแบบกรมธรรม์และเงื่อนไขที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและความคุ้มค่า แบ่งเป็น 

1) กลุ่มอายุ 20 - 75 ปี เบี้ยประกันเริ่มต้น 1,500 บาทต่อเดือน 
2) กลุ่มอายุ 76 - 80 ปี (ต่ออายุ) เบี้ยประกันเริ่มต้น 2,250 บาท 
และ 3) กลุ่มอายุ 80-100 ปี (ต่ออายุ) เบี้ยประกันเริ่มต้น 2,950 บาทต่อเดือน 

ทั้งนี้ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคล 100 ปี มีจุดเด่นด้านเงื่อนไขรับทำประกันที่ให้ลูกค้าสามารถต่อประกันได้ถึงอายุ 100 ปี โดยไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ รองรับผู้เอาประกันที่มีชั้นอาชีพ 1, 2 และ 3 กำหนดทุนประกันเริ่มต้นที่ 1 แสนบาท และสูงสุด 2 ล้านบาท   

นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิการคุ้มครองที่เหนือกว่า ได้แก่ การคุ้มครอง อบ.2 แบบคุ้มครองเต็มทุนเพิ่มเติม ครอบคลุมถึงการสูญเสียชีวิต อวัยวะ สายตา การรับฟังเสียง พูดออกเสียงหรือทุพพลภาพถาวร จากปกติผู้ทำประกันจะได้รับคุ้มครองเฉพาะ อบ.1 ได้แก่ การสูญเสียชีวิต มือ เท้า สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ขณะที่ทุนประกันจะเพิ่มขึ้นปีละ 3% ในกรณีที่ต่ออายุประกันปีที่ 1 - 4 พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลกระดูกแตกหักเนื่องจากอุบัติเหตุ (จ่ายเพิ่มจากผลประโยชน์การรักษาพยาบาล ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง) เริ่มต้น 5,000 บาท ไม่ต้องสำรองจ่าย ค่ารักษาพยาบาลกรณีเข้ารักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่าย 350 แห่งทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน, โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 และ 2, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ 
ประชาชื่น, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง ฯลฯ อีกทั้งผู้เอาประกันสามารถใช้บริการเทเลเมดิคัล รับคำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านโทรศัพท์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100 ปี เริ่มจำหน่ายแล้ว มุ่งเจาะกลุ่มผู้สูงอายุ ลูกหลานที่ห่วงใยสุขภาพของพ่อ-แม่หรือญาติพี่น้องและบุคคลทั่วไป โดยขายผ่านช่องทางคอลล์เซ็นเตอร์ของทีวี ไดเร็ค เว็บไซต์ของทีวีดี โบรกเกอร์ และตัวแทนขายประกัน 50 ราย

“ความร่วมมือระหว่างทีวีดี โบรกเกอร์ และกรุงไทยพานิชประกันภัยครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่ตอบสนองความต้องการทุกเจนเนอเรชั่น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มมีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น โดยวางเป้าหมายมียอดเบี้ยรายรับประกันอุบัติเหตุ 100 ปีในปีแรกที่ 45 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของเป้าหมายยอดเบี้ยรายรับรวมทั้งบริษัทฯ 350 ล้านบาท” ดร.อาทิตย์ กล่าว

‘บิ๊กตู่’  ปลื้ม!! อาหารไทย ติดอันดับ 4 อาหารต่างถิ่นยอดนิยม มั่นใจ!! เป็น soft power ชูเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยสู่สากล

(27 พ.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับอาหารไทย ได้รับการชื่นชมว่าเป็นผู้นำด้านอาหารในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดอันดับ 4 ของอาหารต่างถิ่นยอดนิยมของชาวจีน รองจากอาหารตะวันตก อาหารญี่ปุ่น และอาหารเกาหลี จากรายงานการจัดอันดับร้านอาหารห้ามพลาดประจำปี 2565 ของเว็บไซต์ ‘เตี่ยนผิง’ (dianping) ซึ่งเป็นเว็บไซต์นำเสนอไลฟ์สไตล์คนเมืองในจีน สะท้อนความสำเร็จของเอกลักษณ์วัฒนธรรมอาหารไทย ที่ได้รับการยอมรับต่อเนื่อง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสอดรับกับการขับเคลื่อนนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อมูลระบุว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนร้านอาหารไทยในปักกิ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า มีขนาดทั้งเล็กและใหญ่กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง และเสิร์ฟอาหารไทยสารพัดเมนู ตั้งแต่ตำรับชาววังจนถึงสตรีทฟู้ด โดยเฉพาะเมนูต้มยำกุ้ง ซึ่งสำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของคุณสุขุมาล ตู้ คนไทยที่ได้เปิดธุรกิจร้านอาหารไทยในเขตทงโจว กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมากว่า 20 ปี ทั้งร้านในชื่อ ‘ครัวคุณแม่’ และ ‘สองพี่น้อง’ รวมถึงล่าสุด ‘นกเอี้ยงและควาย’ (Bird & Buffalo) ซึ่งได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปลายปี 2022 เพื่อยืนยันว่า การประกอบอาหาร วัตถุดิบ และรสชาติของร้านนี้มีความ ‘ไทยแท้’ โดยคุณสุขุมาล กล่าวว่า มีลูกค้าแวะเวียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยบางวันมีลูกค้าเข้ามาที่ร้านมากกว่า 50 โต๊ะ แม้ที่ตั้งร้านจะไกลจากใจกลางเมืองปักกิ่ง อีกทั้งยังเคยมีลูกค้าขับรถมาไกลกว่า 60 กิโลเมตร เนื่องจากอยากรับประทานต้มยำกุ้ง รวมทั้งยังซื้อน้ำซุปต้มยำกลับบ้านอีก 5 กิโลกรัมด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า การค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างไทยและจีนยังมีพัฒนาการต่อเนื่อง ด้วยอานิสงส์จากแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) โดยชาวจีนสนใจอาหารไทยเพิ่มขึ้น ไปจนถึงการแวะเช็กอินร้านอาหารไทยและซื้อวัตถุดิบกลับไปทำกับข้าวด้วยตนเองที่บ้าน เนื่องจากปัจจุบันสามารถหาวัตถุดิบอาหารไทยในจีนได้สะดวก ทำให้สามารถฝึกทำอาหารไทยที่บ้านได้ ประกอบกับความเชื่อมั่นจากการให้ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากหน่วยงานไทย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคตามคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ว่า ร้านอาหารดังกล่าว จะต้องใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ร้านมีความสะอาด ถูกสุขอนามัย บรรยากาศภายในร้านสะท้อนความเป็นไทย รวมถึงเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการร้านอาหารไทยเพื่อยกระดับคุณภาพร้านอาหารให้มีมาตรฐาน สร้างโอกาสทางการตลาดให้เป็นที่รับรู้ในหมู่ผู้บริโภคอีกด้วย

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าอาหารไทยจะเป็นอีก Soft power สำคัญในการเผยแพร่ความนิยมของเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยผ่านมิติด้านอาหาร โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญโดยไทยมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตและส่งออกวัตถุดิบต่าง ๆ สอดรับกับนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกของไทยซึ่งรัฐบาลผลักดันมาโดยตลอด เป็นการขยายโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งการสนับสนุนธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ตลอดจนการผลิตและส่งออกวัตถุดิบของไทยให้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละประเทศมากขึ้น” นายอนุชา กล่าว

‘พงษ์ภาณุ’ อดีตปลัดคลังฯ ชี้ 1 มิถุนายนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่มีเงินจ่ายข้าราชการ ชำระหนี้ และดอกเบี้ย

(28 พ.ค. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00-08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 66 โดยระบุว่า ...

‘วิกฤตเพดานหนี้’ (Debt Ceiling) ของสหรัฐฯ เดินมาถึงฉากสุดท้ายยังหาข้อยุติไม่ได้ หากไม่จบ 1 มิถุนายนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่เงินสดเพียงพอที่จะจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญข้าราชการ รวมทั้งชำระหนี้และดอกเบี้ยเงินกู้ที่ครบกำหนดได้

การผิดนัดชำระหนี้ที่จะเกิดขึ้นหลังวันที่ 1 มิถุนายน ถือเป็นวิกฤตการเงินของโลกครั้งใหญ่ เพราะตลาด Treasury ถือเป็นตลาดสินทรัพย์ทางการเงินที่ใหญ่ที่สุด นักลงทุนทั่วโลก ทั้งรัฐและเอกชน ลงทุนในพันธบัตรัฐบาลสหรัฐ โดยเชื่อว่าเป็นตราสารการเงินที่ไม่มีความเสี่ยง แต่ที่สำคัญวิกฤตเพดานหนี้สะท้อนภาพฐานะการคลังของรัฐบาลทั่วโลกที่อ่อนแอและน่าเป็นห่วง รวมทั้งฐานะการคลังของรัฐบาลไทย ปัญหาการคลังที่สะสมมาเป็นเวลานาน ยังไม่ได้รับการแก้ไข รายจ่ายมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากสังคมสูงอายุและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ขณะที่รายได้ภาษีอากรชะงักงัน ส่งผลให้ขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะสูงขึ้น ถือเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามาดูแล การประชุมสุดยอด G7 ที่ Hiroshima ส่งสัญญาณเตือนจีนในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจฝ่ายประชาธิปไตย การย้ายฐาน Supply Chain การบังคับขู่เข็ญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการคุ้มครองเทคโนโลยีสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรม Semiconductor ล้วนเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องสดับตรับฟัง เพราะมีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและนโยบายอุตสาหกรรมของรัฐบาลใหม่

ในด้านความมั่นคง การประชุมที่ Hiroshima ซึ่งเป็นเมืองแรกในโลกที่ถูกทำลายด้วยระเบิด Atomic Bomb ประกอบการมาร่วมของประธานาธิบดี Zelenskyy แห่ยูเครน ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงรัสเซียที่ได้ขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถึงภัยร้ายแรงของสงครามที่รัสเซียจะต้องรับผิดชอบในฐานะอาชญากรสงครามอีกด้วย

‘ดร.ธนวรรธน์’ ชี้ ความไม่ชัดเจน ทำให้ทิศทางคลุมเครือ ย้ำ  นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ควรนำมาหาเสียงอีกแล้ว เพราะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อธุรกิจ

หลังเลือกตั้ง ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร? คำตอบนี้คงเริ่มมีบรรดานักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ออกมาวิเคราะห์กันมากขึ้น เฉกเช่นเดียวกันกับ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งเป็นอีกท่านหนึ่งที่มีมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งที่น่าสนใจไม่น้อย โดยครั้งนี้ท่านได้เล่าฉากทัศน์ของเศรษฐกิจไทยให้เราได้เห็นภาพว่า...

ตอนนี้ถ้าพูดถึงบริบทของความชัดเจนในตอนนี้ มันคือ 'ความไม่ชัดเจน' ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้จะมีภายใต้ 3 เงื่อนไขทางการเมือง ที่แม้ว่าวันนี้เราจะทราบถึงว่าที่นายกรัฐมนตรี ว่าที่รัฐบาลกันแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอุปสรรคอีกหลายอย่างที่ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจคลุมเครือภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ เช่น...

>> 'เงื่อนไขที่หนึ่ง' 
แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยที่มีเสียง 313 เสียง จากพรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค โดยที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายก ซึ่งเป็นหลักที่น่าจะเกิดขึ้นตามกลไกของการเลือกตั้ง แต่ในเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญจะมี 2 ประเด็นที่เกิดขึ้นได้ตอนนี้ก็คือ หากนายพิธา ถือครองหุ้นสื่อ ก็จะมีความเป็นไปได้ว่าต้องหลุด ไม่มีผล หรือหลุดจากการเป็น ส.ส. เพราะว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งตรงนี้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ทำให้โอกาสที่นายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นยังมีความไม่ชัดเจน 

แต่ถ้าหลุดด่านนี้ไปได้นายพิธาจะต้องเจออีกประเด็นคือ การที่ ส.ว. จะต้องมาสนับสนุนรวมกับ ส.ส. ในสภาอย่างน้อยอีก 63 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราตีความถึงความน่าจะเป็นแล้ว โอกาสที่นายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลของพรรคก้าวไกล มีโอกาส 50 : 50 และน่าจะมีโอกาสที่ออกไปทางไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีค่อนข้างสูงด้วย

>> 'เงื่อนไขที่สอง'
แล้วใครจะเป็นรัฐบาล อันนี้ก็ต้องเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พรรคเพื่อไทยจะต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลต่อไป คำถามคือ พรรคเพื่อไทยจะรวมกับพรรคไหนบ้าง ซึ่งมีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแน่นอนว่าเงื่อนไขสองเงื่อนไขนี้ เงื่อนไขที่สอง มีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะถ้า ส.ว. สนับสนุนภายใต้การเลือกนายกรัฐมนตรีที่ ส.ว. ยอมรับโอกาสที่จะเป็นรัฐบาลก็มีมากขึ้น และเมื่อเรามาพิจารณานโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยแล้วนั้น แนวนโยบายทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 พรรค ไม่ต่างกัน เพราะแนวนโยบายเศรษฐกิจของทั้ง 2 พรรค จะเป็นลักษณะที่ใช้การลดค่าครองชีพ การเติมเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีทำให้เกิดความเติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 

>> 'เงื่อนไขที่สาม' 
หาพิจารณาดูแล้วเงื่อนไขที่สอง จะมีโอกาสทำให้ภาพของเศรษฐกิจฉายได้ชัดขึ้น เพียงแต่ยังมีเงื่อนไขซ้อนเงื่อนไขนี้อยู่คือ ใครเป็นนายก? จะเป็นนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ นายเศรษฐา ทวีสิน หรือจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น อย่างนายอนุทิน ชาญวีระกุล หรือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เงื่อนไขนี้ไม่มีผลต่อ ส.ว. จึงทำให้การเมืองในรัฐสภาสงบนิ่ง แต่การเมืองนอกสภานิ่งหรือไม่? ตรงนี้น่าจับตา เพราะถ้าการเมืองนอกสภาไม่นิ่ง ก็ต้องมาดูกันว่าจะมีการประท้วงมากน้อยแค่ไหนและรุนแรงหรือไม่ ซึ่งจะเห็นการเคลื่อนตัวของภาคีขององค์กรต่างๆ ที่ต้องการจะผลักดันให้ ส.ว. สนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี 

>> การเมืองมีเสถียรภาพ = ไปรอด!!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล แต่ถ้าสามารถประคองการเมืองให้มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโอกาสที่การเมืองจะมีเสถียรภาพแค่ไหนในตอนนี้นั้น รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า มีอยู่สูงมาก และต่อให้ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกลด้วย แต่ต้องทำให้ภาพการเมืองมีความชัดเจนให้ได้ แล้วโอกาสที่นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ จะสร้างความมั่นใจต่อสังคมไทย นักลงทุนไทย ผู้บริโภคไทย นักลงทุนชาวต่างประเทศ บรรยากาศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว การบริโภคดีขึ้น ทุกอย่างจะดีขึ้นหมด และอาจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในกรอบ 3–5% ได้เลยทีเดียว

แต่ถ้าการเมืองขาดเสถียรภาพ สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ การจะมีเสถียรภาพจะกลับมาเร็วหรือไม่ ถ้ายังพอได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่อาจจะมีปัญหาสั่นคลอนไปบ้าง เศรษฐกิจไทยก็ยังคงน่าจะโตได้ในกรอบ 3–5% เช่นเดิม แต่ถ้ามีการเมืองในท้องถนนมากขึ้น จนทำให้ประชาชนกังวล ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 3%

>> ต่อข้อคำถามเกี่ยวกับการที่ตลาดหุ้นร่วงหลังจากเลือกตั้ง รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า เพราะนักลงทุนคาดการณ์จากที่นักวิเคราะห์มองว่า...

...ปัจจัยที่หนึ่ง : การไม่มั่นใจว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยแกนนำของพรรคก้าวไกล จึงทำให้การเมืองมีความสับสนไม่ชัดเจนทำให้ภาพเศรษฐกิจไม่ชัด 

...ปัจจัยที่สอง : เพราะพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลใช้คำว่า 'ทุนผูกขาด' นั่นหมายความว่า จะมีการปรับกฎหมาย ปรับวิธีการทำการทั้งหมด เพื่อทำให้กลุ่มทุนอาจจะมีกำไรน้อยลงหรืออาจจะได้สัมปทานของรัฐน้อยลงในอนาคต หรืออาจจะมีการแก้ไขสัญญา ซึ่งทำให้นักลงทุน นักวิเคราะห์ไม่มั่นใจว่า การเข้ามาของรัฐบาลใหม่จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผิดไปจากที่คาดไว้เดิมหรือไม่ 

...ปัจจัยที่สาม : ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเพิ่มขยายเพดานหนี้สาธารณะได้ จึงทำให้สหรัฐฯ อาจจะมีความสูญเสียต่อการที่จะผิดนัดชำระหนี้ เพราะฉะนั้นสามปัจจัยนี้จึงทำให้หุ้นไทยมีสัญญาณปรับตัวลดลงตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง แต่ถ้ามองในภาพรวมหุ้นทั่วโลกไม่ได้ดิ่งลง มีแค่หุ้นสหรัฐฯ ที่ Sideway Down (ขึ้น-ลงในทิศทางที่ร่วง) เพราะปัญหาเพดานหนี้บวกกับปัญหาของจีนที่ผูกพันกับสหรัฐฯ ในเรื่องการส่งออกค่อนข้างเยอะและตลาดหุ้นไทย

ทว่าเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่ปัจจัยหลักมาจากการเมือง ดังนั้นถ้าการเมืองของเราไม่นิ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจ พอเศรษฐกิจไม่นิ่งก็จะสะท้อนไปที่ตลาดหุ้น ตลาดหุ้นจะมีผลชี้นำต่อเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ จึงสรุปได้ว่าถ้าการเมืองไม่ชัดเจนจะทำให้เศรษฐกิจเห็นภาพไม่ชัดเช่นเดียวกัน 

>> เกี่ยวกับการลงทุนของจีนกับการลงทุนของซาอุดีอาระเบียที่คืบรุกมาอย่างก้าวหน้าในช่วงที่ผ่านมา หลายคนวิตกกังวล เป็นห่วง ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบเนื่องจากทุกประเทศทราบอยู่แล้วว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง และทุกการเลือกตั้งก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในเชิงธุรกิจย่อมรับทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องนี้ เว้นเสียแต่พรรคก้าวไกลจะมีการเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ เป็นพิเศษ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สมมติฐานหรือข้อกล่าวหาของบางกลุ่มเท่านั้น และผมเชื่อว่า พรรคก้าวไกลคงจะคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีกับประเทศต่าง ๆ และรัฐบาลที่ชาญฉลาดคงไม่เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้ว่าประเทศต่างๆ ต้องการให้ประเทศไทยเลือกข้างก็ตาม

>> เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวเสริมว่า โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยและทรุดตัวลงอย่างรุนแรงยังมีความเป็นไปได้อยู่ แต่น้อยกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว เพราะสหรัฐฯ ประหยุดการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ยังต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อเริ่มปักหัวลง ขณะที่เศรษฐกิจเยอรมนีค่อยๆ ฟื้นตัว ดังนั้นในจังหวะทึ่โอกาสเศรษฐกิจของโลกค่อย ๆ ฟื้นตัว รัฐบาลใหม่ของไทยไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็จะได้อานิสงค์ในเชิงบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวด้วยเช่นกัน

"ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราเจอทั้ง Trade War ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์โควิด19 ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกสะบักสะบอมไปตามๆ กัน ทุกประเทศมีคนตกงาน ทุกประเทศเดือดร้อน เพราะโควิด19 ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินอย่างน้อย 20–30% ของจีดีพี ซึ่งก็เป็นที่มาให้เศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ มีปัญหาอยู่ถึงขณะนี้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจึงเผชิญกับเศรษฐกิจที่โจทย์ยากมาก และใครมาเป็นรัฐบาลถูกตำหนิทั่วโลก 

"ดังนั้นช่วงนี้ จึงเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงของการเตรียมเสวยสุขจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องทำคือ ต้องฟื้นเศรษฐกิจให้ได้เร็ว ต้องทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าเร็ว และต้องทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพต่ำลงให้ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ประชาชนเลือกพรรคการเมือง ที่พร้อมแก้ไขปัญหาเหล่านี้"

>> เกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรต้องทำทันที รศ.ดร.ธนวรรธน์ ขยายความให้ฟังว่า ยิ่งปัจจุบัน ค่าน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งเกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนส่งผลกระทบชิ่งไปสู่ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ลามไปค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อการจับจ่ายใช้สอยซึมลงทั้งโลก สิ่งที่รัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วต้องทำทันที จึงเป็นการลดค่าครองชีพ ลดราคาสาธารณูปโภคให้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งตอนนี้ค่าไฟฟ้าจะถูกลงแน่ๆ เพราะราคาน้ำมันลดลง ดูแลค่าครองชีพให้ประชาชนมีเงินเพียงพอในการใช้ดำรงชีวิต นี่คือข้อแรก อย่างน้อยจิตวิทยาในเชิงบวกจะเกิดขึ้นถ้ารัฐบาลใหม่สามารถดูแลค่าพลังงาน, ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำมัน และก๊าซหุงต้ม 

ข้อที่สองคือ การเติมเงินให้ประชาชน ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้เงิน นั่นก็คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว เอื้ออำนวยให้การส่งออกโดดเด่นทั้งประเทศจะได้ประโยชน์ 

และข้อสุดท้ายคือ เติมเงินเป็นจุด ๆ เช่น การเติมเงินให้กับหมู่บ้าน การเพิ่มค่าแรงงาน หรือเงินโอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินดิจิทัล เบี้ยผู้สูงอายุ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และควรส่งเสริมการลงทุน ตรงนี้จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นได้ใน 'ระยะสั้น' ส่วนการฟื้นเศรษฐกิจใน 'ระยะกลาง' คือ การส่งเสริมการแข่งขัน ด้วยการแก้กฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากต่างประเทศและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนชาวไทยไปแข่งขันกับต่างประเทศ ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย ปรับปรุงเรื่องการศึกษาให้คนไทยมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ดี 

ขณะที่ 'ระยะยาว' ต้องสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนชั้นกลางมีมากขึ้น ทำให้คนจนหมดไป และสิ่งที่สำคัญก็คือส่งเสริมธุรกิจที่อยู่ในบริบท BCG ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม

>> เกี่ยวกับเรื่องของข้อควรระวังในการบริหารด้านเศรษฐกิจไทย รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า ต้องระวังการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยไทยต้องมีเงินเพียงพอในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาคือ การไม่ก่อหนี้ แม้ตอนนี้หนี้สาธารณะของไทยจะอยู่ที่ 61% ของจีดีพีนั้น แต่ก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่มอีกโดยไม่จำเป็น เพราะถ้าเกิดเศรษฐกิจโลกพลิกผันถดถอยอย่างรุนแรงประเทศไทยจะได้มีโอกาสกู้เงินเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในได้ เพราะเงินกู้เท่านั้นจะทำให้เราอยู่รอดได้ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง 

นอกจากนี้ ก็ต้องใช้ศาสตร์พระราชา หลักเศรษฐกิจพอเพียง ใช้เงินภายในช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ นี่คือการเฝ้าระวังสูงสุด แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่มีความเสี่ยง เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้น สิ่งที่จะต้องทำคือ ต้องเป็นเจ้าภาพในการท่องเที่ยวที่ดี, ดูแลนักท่องเที่ยวให้ปลอดภัย, ดูแลเรื่องของระบบโลจิสติกส์, ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว, ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว ที่สำคัญต้องเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว, ต่อวีซ่าสะดวกขึ้นง่ายขึ้น, ส่งเสริมการส่งออกด้วยการทำค่าเงินบาทให้อ่อนอยู่ระหว่าง 34–36 บาท ส่งออกจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งพยายามลดต้นทุนของผู้ประกอบการให้ได้มากที่สุด ไม่นานเศรษฐกิจประเทศไทยก็ฟื้น และสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการดูแลเศรษฐกิจระยะยาว คือ ส่งเสริมให้ชาวต่างชาติมาทำงานที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของอุตสาหกรรมใหญ่ ตอนนี้กำลังฟื้นตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า, อสังหาริมทรัพย์, อุตสาหกรรมเกษตร ถ้าเราแปรรูปอุตสาหกรรมเกษตรให้ดีเน้นทางด้าน BCG ประเทศไทยน่าจะประคองเศรษฐกิจไปได้

ขณะเดียวกันสิ่งที่โดดเด่นมากๆ ของประเทศไทย คือการเป็นเมืองบริการเรื่องการดูแลสุขภาพ ความสวยความงาม การท่องเที่ยว และ HUB การขนส่งในเขตเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในการลงทุน ตรงนี้ต้องคงไว้

ก่อนจบบทสนทนา รศ.ดร.ธนวรรธน์ ได้เตือนถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (450 บาท) ตามที่พรรคการเมืองได้ประกาศหาเสียงไว้ ว่าจะเป็นดาบ 2 คม ที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงภาคธุรกิจหลายรายย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

"เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและต้องการให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องพิจารณาให้จงหนัก เนื่องจากภาคเอกชนมีไตรภาคี เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงควรไปคุยในไตรภาคีและขอให้เป็นไปตามกลไกราคา จึงฝากเตือนไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ควรนำมาหาเสียงอีกแล้ว เพราะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อธุรกิจได้ง่าย แต่ถ้าจะขึ้นค่าแรงต้องหาทางแก้ไขให้ครอบคลุมทุกมิติ จะให้ภาคเอกชนมาแบกรับภาระนี้คงจะหนักเกินไป อาจจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตตามมา"

CEO กลุ่มธุรกิจ TCP หวังการเมืองไทย มีเสถียรภาพ  มองการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ธุรกิจรายใหญ่สามารถปรับตัวได้

เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 66 ในงาน THAIFEX - ANUGA ASIA 2023 นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงภาพรวมธุรกิจภายหลังการเลือกตั้งไว้ว่า...

"หากพูดถึงกลุ่มธุรกิจ TCP ก็ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ หลังจากการเลือกตั้ง เนื่องจากธุรกิจในกลุ่ม TCP ไม่ได้ทำธุรกิจหรือสัมปทานกับภาครัฐ ถ้าจะห่วงก็คงเป็นสถานการณ์ในต่างประเทศมากกว่า เพราะธุรกิจส่วนใหญ่ของกลุ่ม TCP มีฐานลูกค้าอยู่ที่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากประเมินแล้วมีความเสี่ยงสูง ก็จะชะลอการดำเนินงานไปก่อน อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่อาจต้องจับตาในไทย คงเป็นเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่า เพราะถ้าการเมืองมีเสถียรภาพ ธุรกิจต่าง ๆ ก็จะเดินหน้าไปได้ ฉะนั้นถ้าการเมืองตอนนี้เป็นไปตามกระบวนการ ก็ไม่น่ามีอะไรให้ต้องกังวล"

เมื่อถามถึงประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของพรรคก้าวไกล นายสราวุฒิ กล่าวว่า "นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทนั้น จะกระทบหรือไม่ ต้องไปดูตามตัวบทกฎหมาย อีกทั้งทางภาคธุรกิจยังมีคณะไตรภาคีที่จะพิจารณาเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่โดยส่วนตัว ผมมองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากธุรกิจของ TCP ใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้าเป็นส่วนใหญ่จำนวนแรงงานที่ใช้จึงไม่ได้เยอะ แต่ปัญหาการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะไปเป็นภาระหนักของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางมากกว่า ส่วนธุรกิจรายใหญ่สามารถปรับตัวได้หมดเนื่องจากสามารถลงทุนด้านเครื่องจักรได้"

เมื่อถามถึงภาพรวมความสัมพันธ์กับต่างประเทศ หลังพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จะมีผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกับประเทศจีนหรือไม่ นายสราวุฒิ มองว่า "ในแง่ของภาคเอกชนที่ได้ดำเนินธุรกิจในต่างแดน ย่อมต้องสร้างสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องกับประเทศต่าง ๆ ตลอดอยู่แล้ว กลับกันในส่วนของภาครัฐนั้นจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่า แต่ก็แน่นอนว่า ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดี ภาคเอกชนก็จะสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น"

เมื่อถามถึงเรื่องเร่งด่วนที่อยากฝากถึงรัฐบาลให้ดำเนินการ นายสราวุฒิ กล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ผมอยากให้ช่วยเข้าไปพัฒนาในเรื่องของระบบการศึกษาให้ดีขึ้นกว่านี้ ทำให้เยาวชนไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ ไม่ใช่แค่กระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิธีการเรียนรู้ของเยาวชนไทย เพราะภาคธุรกิจจะเดินหน้าไม่ได้ หากไม่มีทรัพยากรมนุษย์ที่เก่งและเชี่ยวชาญมารองรับธุรกิจต่าง ๆ ตนไม่อยากเห็นภาพที่คนต่างชาติเข้ามาทำงานในเมืองไทยมากกว่าที่จะเป็นคนไทยทำงานในเมืองไทยกันเอง"

‘WHAUP’ ดีล ‘ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์’ เซ็นติดตั้ง ‘โซลาร์รูฟท็อป’ เฟส 2 เร่งเพิ่มกำลังผลิต ตอกย้ำศักยภาพการเป็นผู้นำโซลาร์บนหลังคา

(29 พ.ค. 66) บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘WHAUP’ เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบนหลังคาโรงงาน ปริ๊งซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) เฟสที่ 2 ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 4.80 เมกะวัตต์ รวมเป็น 24.24 เมกะวัตต์ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 3 บนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ด้าน นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ในโครงการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) เฟสที่ 2 ที่มีขนาดการผลิตไฟฟ้า 4.80 เมกะวัตต์ ต่อกับ ปริ๊นซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2567 โดยเฟสที่ 2 มีการติดตั้ง Solar Rooftop บนพื้นที่หลังคาโรงงานขนาด 40,000 ตารางเมตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อ WHAUP นับตั้งแต่ที่ได้ย้ายฐานการผลิตมาตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 3 บนพื้นที่ 285 ไร่ เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา และยังเป็นพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 

ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้ดำเนินการโครงการโซลาร์บนหลังคาขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 24.24 เมกะวัตต์ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการให้บริการติดตั้ง Solar rooftop แบบครบวงจรของ WHAUP โดยโครงการทั้ง 2 เฟสนี้สามารถช่วยให้ลูกค้าลดการปล่อย CO2Offset ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 445,251 ตัน ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 22 – 26 พ.ค. 66 และแนวโน้มสัปดาห์ที่ 29 พ.ค. – 2 มิ.ย. 66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ปิดตลาดสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ วันที่ 26 พ.ค. 66 เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ 76.88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยราคาวันที่ 26 พ.ค. 66 อยู่ที่ 76.95 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

วันที่ 28 พ.ค. 66 นาย Joe Biden ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และนาย Kevin McCarthy ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงในการขยายเพดานหนี้ และจะเสนอเข้าที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 31 พ.ค. 66 ส่งสัญญาณบวกต่อราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม สมาชิกกลุ่ม OPEC+ แสดงความเห็นต่อนโยบายแนวทางการผลิตน้ำมันขัดแย้งกัน รมว.กระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบีย เจ้าชาย Abdulaziz bin Salman กล่าวในงานสัมมนา Qatar Economic Forum เตือนนักลงทุนที่เปิดสถานะ Short Position (เก็งกำไรโดยคาดว่าราคาน้ำมันจะลดลง) ให้ระวังการขาดทุน ส่งสัญญาณว่าหากราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง กลุ่ม OPEC+ อาจพิจารณาลดการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 4 มิ.ย. 66 ทั้งนี้ในการประชุมวันที่ 3 เม.ย. 66 กลุ่ม OPEC+ มีมติลดการผลิตปริมาณรวม 1.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2566

ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย นาย Alexander Novak เห็นว่ากลุ่ม OPEC+ ไม่น่าจะมีมาตรการใหม่ในการประชุมวันที่ 4 มิ.ย. นี้ เพราะหลายประเทศได้สมัครใจลดการผลิตน้ำมันไปแล้ว ในการประชุมครั้งก่อน และมองว่าราคา Brent จะสูงกว่าระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ภายในปี 2566 สอดคล้องกับประธานาธิบดีรัสเซีย นาย Vladimir Putin ซึ่งกล่าวก่อนหน้าว่าราคาน้ำมันกำลังเข้าใกล้ระดับที่เหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์ (Economically Justified) ส่งสัญญาณรัสเซียไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิต

สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางตึงเครียด หลังอิหร่านทดสอบการยิงจรวดขีปนาวุธ (Khoramshahr 4) แบบพื้น-สู่-พื้น รุ่นใหม่ล่าสุดที่ผลิตในประเทศ โดยใช้ชื่อ Kheibar ซึ่งมีพิสัย 2,000 กม. และบรรทุกหัวรบได้ 1,500 กก. จึงสามารถโจมตีครอบคลุมฐานทัพของอิสราเอล และสหรัฐอเมริกา ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และเคลื่อนไหวในกรอบ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังการเจรจาขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น และติดตามการประชุมกลุ่ม OPEC+ วันที่ 4 มิ.ย. 66 ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการผลิตเพิ่มเติมหรือไม่

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

• บริษัท Equinor ของนอร์เวย์เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบแหล่ง Johan Sverdrup ในทะเลเหนือจาก 7.2 แสนบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ก.พ. 66 สู่ระดับ 7.55 แสนบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

• สำนักสถิติแห่งชาติของเยอรมนี (Federal Statistical Office) รายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 1/66 อยู่ที่ -0.3% จากไตรมาสก่อนหน้า หดตัวต่อเนื่อง หลังไตรมาส 4/65 อยู่ที่ -0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า กล่าวคือเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

• Baker Hughes Inc. รายงานจำนวน Rig ขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ค. 66 ลดลง 5 แท่น WoW อยู่ที่ 570 แท่น

• สำนักสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (Office for National Statistics) รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อ ในเดือน เม.ย. 66 อยู่ที่ +8.7% จากปีก่อนหน้า ต่ำสุดตั้งแต่เดือน มี.ค. 65


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top