Saturday, 4 May 2024
เศรษฐา

‘THEOS-2’ ทะยานขึ้นสู่วงโคจรสำเร็จ พร้อมเริ่มปฏิบัติการสำรวจโลก ด้าน ‘นายกฯ’ ร่วมยินดี หนุนใช้เทคโนโลยีทันสมัยช่วยขับเคลื่อนประเทศ

ดาวเทียม ‘THEOS-2’ ประสบความสำเร็จขึ้นสู่วงโคจรแล้ว เริ่มปฏิบัติการสำรวจโลก นายกฯ เศรษฐา ร่วมยินดี ขอบคุณกระทรวง อว. ขณะที่ ‘ศุภมาส’ ชี้ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะถูกนำมาวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 5 – 8 วันจากนี้

(9 ต.ค. 66) มีการนำส่งดาวเทียมสำรวจโลก ‘THEOS-2’ (Thailand Earth Observation Satellite 2) ขึ้นสู่วงโคจรจากท่าอวกาศยานยุโรปเฟรนช์เกียนา (Guiana Space Center) เมืองกูรู รัฐเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ มี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ ‘GISTDA’ รวมทั้งสักขีพยานจากประเทศไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศสรวมถึงประชาชนทั่วโลก ที่สนใจในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้

โดยเมื่อถึงเวลา 08.36 น.ตามเวลาในประเทศไทย ดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ได้ถูกนำส่งด้วย จรวด ‘VEGA’ พร้อมมีการให้สัญญาณนับถอยหลังใน 10 วินาทีสุดท้ายหลังจากนั้นดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ได้ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจ หลังจากลุ้นระทึก โดยผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญต่างพากันจับมือแสดงความยินดี

ทั้งนี้ น.ส.ศุภมาส กล่าวภายหลังจากดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ขึ้นสู่วงโคจรของอวกาศว่า รู้สึกดีใจและโล่งใจที่การปล่อยดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ราบรื่น ประสบความสำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการ

โดยขณะนี้ สามารถกล่าวได้ว่าดาวเทียม THEOS-2 ได้เริ่มปฏิบัติการสำรวจโลกแล้ว โดยหลังจากปล่อยดาวเทียมในเวลา 08:36 น. จะใช้เวลากว่า 52 นาทีในการเข้าสู่วงโคจรที่ระดับความสูง 621 กิโลเมตร เมื่อดาวเทียมขึ้นไปแล้ว จะทดสอบระบบในอวกาศร่วมกับสถานีภาคพื้นดินราวๆ 3 เดือน ก่อนจะใช้งานได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากมีสถานการณ์เร่งด่วนเกิดขึ้น อาทิ ภัยพิบัติ THEOS-2 ก็สามารถสั่งถ่ายภาพได้ภายใน 5 – 8 วัน หลังจากดาวเทียมเข้าสู่วงโคจร

“ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของกระทรวง อว.และประเทศไทย หลังจากนี้จะมีการต่อยอดยกระดับด้านต่างๆ ของประเทศรวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนให้รู้ว่าดาวเทียม THEOS-2 มีประโยชน์อย่างไร สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะถูกใช้ในการปรับปรุงและทำให้ข้อมูลในทุกพื้นที่ของไทยเป็นปัจจุบัน ทันสมัย และมีความละเอียดที่ถูกต้อง ช่วยให้ทุกการวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” รมว.กระทรวง อว.กล่าว

ในโอกาสนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดี ว่า ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนคนไทยทุกคน ขอแสดงความยินดีที่วันนี้ประเทศไทยประสบความสำเร็จสามารถส่งดาวเทียม THEOS-2 ขึ้นสู่วงโคจรได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นมาตลอดว่าจะใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในการนำไปพัฒนาสร้างประโยชน์ได้ในหลากหลายมิติ อาทิ การบริหารจัดการเกษตร การบริหารจัดการเมือง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ และการบริหารจัดการภัยธรรมชาติ ซึ่งจะนำมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงของพี่น้องประชาชน

“ผมขอขอบคุณกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ GISTDA ที่จะช่วยขับเคลื่อนและผลักดันวงการอวกาศของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้า” นายเศรษฐา กล่าว

ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า “หลังจากดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรแล้ว จะทำการปรับตัวเพื่อเข้าสู่โหมดของการทำงาน รวมทั้งทดสอบระบบควบคุมและติดต่อสื่อสารกับภาคพื้นดิน เพื่อความเสถียรและความแม่นยำของข้อมูลโดยใช้เวลาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้น GISTDA จะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้าถึงข้อมูล เพื่อนำไปต่อยอดหรือให้การบริการเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงจะเป็นแรงผลักดันขับเคลื่อนด้านการศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมในการใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ และเทคโนโลยีอวกาศในการพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในสาขาที่เกี่ยวข้องต่อไป”

‘นายกฯ’ สั่ง ‘กรมสรรพากร’ ศึกษากฎหมาย แก้ภาษี ‘มรดก-ที่ดิน’ หวังเพิ่มรายได้-ลดความเหลื่อมล้ำ ชี้!! ต้องปรับให้สอดคล้องปัจจุบัน

(9 ต.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมสรรพากรไปพิจารณา การปรับปรุงกฎหมายการจัดเก็บภาษีการรับมรดก เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมองว่า กฎหมายการจัดเก็บภาษีการรับมรดกในปัจจุบันนั้น ถูกมองว่า เป็นกฎหมายที่มีขึ้นในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่สามารถจัดเก็บได้จริง

“ผมได้มอบหมายให้อธิบดีกรมสรรพากรไปพิจารณาแก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยกฎหมายจะต้องมีผลบังคับใช้ได้จริงทั้งในมุมการจัดเก็บรายได้และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรเผยว่า หลักในการพิจารณาแก้ไขกฎหมายภาษีการรับมรดกนั้น ต้องพิจารณาใน 3 ประเด็นหลัก คือ

1.) ฐานในการจัดเก็บ ซึ่งปัจจุบัน จัดเก็บมรดกในส่วนที่มีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาทต่อราย ซึ่งประเด็นนี้ ก็ต้องมาดูว่า รัฐบาลต้องการปรับเพิ่ม หรือ ลดลงหรือไม่อย่างไร
2.) รายการทรัพย์สินมรดกที่เข้าข่ายการเสียภาษี
3.) ข้อยกเว้นในการเสียภาษีดังกล่าว โดยภรรยาหรือสามีตามกฎหมายเมื่อได้รับมรดกจะได้รับการยกเว้นภาษี

ทั้งนี้ กรณียกเว้นการจัดเก็บภาษีการรับมรดกที่มีมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อรายนั้น ก็ถือเป็นช่องที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้ ยกตัวอย่าง บิดาซึ่งเสียชีวิตมีมรดกอยู่ 300 ล้านบาท แบ่งให้ภรรยา 100 ล้านบาท และ ลูก 2 คนๆละ 100 ล้านบาท มรดกดังกล่าว จะไม่มีภาระภาษีเลย เนื่องจาก ได้รับมรดกไม่เกิน 100 ล้านบาท กรณีภรรยานั้น ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว เนื่องจาก กฎหมายให้ยกเว้นเฉพาะคู่สามีภรรยา

สำหรับภาษีการรับมรดก เป็นภาษีที่เก็บจากมูลค่ามรดกที่ทายาทแต่ละคนได้รับจากกองมรดก โดยผู้ที่ได้รับมรดกเป็นผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีและมักจะมีการกำหนดค่าลดหย่อนและอัตราภาษีที่เป็นประโยชน์กับผู้รับมรดกที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ตาย ทำให้ผู้รับมรดกที่มีความใกล้ชิดกับผู้ตายมีภาระภาษีที่น้อยกว่าผู้รับมรดกแต่ละคนมากกว่า เพราะรับภาระภาษีตามสัดส่วนมูลค่าของมรดกที่ได้รับ

“ภาษีการรับมรดกนั้น เกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย ผู้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายได้รับมรดกสุทธิมาในคราวเดียวหรือหลายคราว ถ้ามรดกที่ได้รับมาจากเจ้าของมรดกแต่ละรายรวมกันมีมูลค่าของทรัพย์สินทั้งสิ้นที่ได้รับมรดกหักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดจากการรับมรดกเกิน 100 ล้านบาท ต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท” นายเศรษฐา กล่าว

ส่วนทรัพย์สินมรดกที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี อาทิ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น เงินฝาก ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน สำหรับการยกเว้นภาษีการรับมรดกนั้น อาทิ บุคคลผู้ที่ได้รับมรดกที่เจ้ามรดกแสดงเจตนา หรือเห็นได้ว่า มีความประสงค์ให้ใช้มรดกเพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษา หรือกิจการสาธารณประโยชน์ หรือ หน่วยงานรัฐและนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกิจการศาสนา กิจการศึกษา หรือ กิจการสาธารณประโยชน์ หรือ บุคคล หรือองค์การระหว่างประเทศ ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีต่อองค์กรสหประชาชาติหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติกันกับนานาประเทศ

แหล่งข่าวกล่าวว่า ภาษีมรดกนั้น เคยถูกนำมาใช้เมื่อปี 2476 แต่ได้ยกเลิกไป เนื่องจาก จัดเก็บได้น้อย ต่อมาในปี 2558 รัฐบาลได้ตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาใหม่ โดยยอดการจัดเก็บภาษีในแต่ละปีจะอยู่ในหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่า น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนมรดกที่ถูกส่งต่อมาให้ผู้รับมรดก เนื่องจาก วัฒนธรรมของประเทศไทย คือ การสะสมความมั่งคั่งเพื่อส่งต่อให้ลูกหลาน ซึ่งประเด็นการสะสมความมั่งคั่งเพื่อส่งต่อให้ลูกหลานนั้น ถือเป็นละเอียดอ่อนสำหรับสังคมไทยเช่นกัน เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการทำมาหากิน และในระหว่างที่ได้ทรัพย์สินมา ทางผู้มีทรัพย์สินก็ได้ชำระภาษีให้กับรัฐบาลมาก่อนหน้านี้แล้ว

‘นายกฯ เศรษฐา’ หวังเพิ่มความร่วมมือ BRI กับจีน ปั้น ‘โครงสร้างพื้นฐาน-พลังงานสีเขียว’ ดึงทุนใหญ่เข้าไทย

(17 ต.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว เผยบทสัมภาษณ์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ระบุว่า แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ได้ส่งเสริมการร่วมสร้างการเชื่อมต่อระดับชาติ และไทยมุ่งหวังเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนในด้านโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานสีเขียว รวมถึงขยับขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ขณะสัมภาษณ์พิเศษก่อนเดินทางเยือนจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 ในกรุงปักกิ่ง นายเศรษฐา กล่าวว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา แผนริเริ่มฯ ได้พัฒนาการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ และไทยหวังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังล้าหลังของประเทศผ่านความร่วมมือตามแผนริเริ่มฯ

“ถ้าไม่มีวิธีการขนส่งที่ทันสมัย ย่อมไม่สามารถหมุนเวียนสินค้าได้ดี” นายเศรษฐากล่าว โดยหลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกฯ แล้ว เศรษฐาได้เดินทางเยือนจังหวัดหนองคายเพื่อตรวจสอบการเชื่อมต่อทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย และเผยว่าสถานะจุดเปลี่ยนผ่านของหนองคายบนทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย จะส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมาก

นายกฯ ให้สัมภาษณ์อีกว่า ไทยจะขยับขยายการเชื่อมต่อระหว่างทางรถไฟภายในประเทศกับทางรถไฟจีน-ลาว พร้อมกับเดินหน้าการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย ยกระดับทางรถไฟที่มีอยู่เดิมและกระตุ้นการเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงปรับปรุงท่าอากาศยานและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการอำนวยความสะดวกอื่นๆ

“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังมีสิ่งที่สามารถทำได้และควรทำให้สำเร็จอยู่อีกมาก” นายเศรษฐา กล่าว

ขณะเดียวกันการร่วมสร้างแผนริเริ่มฯ มีบทบาทส่งเสริมการพัฒนาพลังงานสีเขียวอันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ โดยนายเศรษฐาสำทับว่าไทยหวังยกระดับการพัฒนาพลังงานสีเขียว ดึงดูดการลงทุนระดับสูงเข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานสีเขียวภายใต้แผนริเริ่มฯ

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนที่กำลังเติบโต นายเศรษฐากล่าวว่า มีบริษัทจีนเข้าลงทุนและก่อสร้างโรงงานในไทยไม่น้อย ทำให้ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน โดยไทยและจีนควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะสร้างงานในไทย รวมถึงยกระดับการผลิตและการส่งมอบยานยนต์

นอกจากนั้น นายเศรษฐา ยังแสดงความหวังว่าไทยและจีนจะเสริมสร้างความร่วมมือทางเทคโนโลยี โดยชี้ว่าการจัดตั้งโรงงานในไทย บริษัทจีนย่อมต้องนำทีมวิศวกรชั้นนำมาด้วย ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ไทยจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ความก้าวหน้าของจีน ขณะเดียวกันหวังว่าบุคลากรของไทยจะมีโอกาสเดินทางไปฝึกอบรมที่จีนด้วย

ส่วนการดำเนินนโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นระยะเวลา 5 เดือน นายเศรษฐากล่าวว่า จีนเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุดของไทย การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าจะเกื้อหนุนนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทย รวมถึงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสองประเทศ วางรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับความร่วมมือเพิ่มเติม

เมื่อเอ่ยถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน นายเศรษฐา เผยว่า ไทย-จีน มีประวัติศาสตร์ยาวนาน จีนถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยและหนึ่งในแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งเขาจะนำคณะผู้แทนชุดใหญ่ที่ร่วมเยือนจีนครั้งนี้เข้าหารือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางการเกษตร การค้า การลงทุน และอื่นๆ

“ผมตั้งตารอการเดินทางเยือนครั้งนี้อย่างมาก” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘สีจิ้นผิง’ พบปะ ‘นายกฯ ไทย’ ร่วมหารือความร่วมมือระหว่างประเทศ มุ่งเพิ่มมิติใหม่สู่ความสัมพันธ์ฉันครอบครัว พัฒนาเพื่ออนาคตร่วมกัน

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานความคืบหน้า นายสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้พบปะหารือกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนกรุงปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 และเยือนจีนอย่างเป็นทางการ

นายสีจิ้นผิง กล่าวว่า จีนเป็นประเทศแรกนอกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่นายเศรษฐาเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนอย่างเต็มที่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ของไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคีอย่างมาก

จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อสร้างนิยมความเป็นไปได้ในยุคใหม่นี้ให้กับคำกล่าว “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” อย่างต่อเนื่อง และทำให้ข้อได้เปรียบของมิตรภาพอันยาวนาน เป็นพลังขับเคลื่อนความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน

นายสีจิ้นผิงกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายควรเร่งรัดการก่อสร้าง ‘ทางรถไฟจีน-ไทย’ ขยับขยายความร่วมมือด้านต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาสีเขียว และพลังงานใหม่ ตลอดจนเสริมความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและการพนันออนไลน์ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมอันปลอดภัยสำหรับการพัฒนาของสองประเทศ

นายสีจิ้นผิงเสริมว่า จีนยินดีแบ่งปันโอกาสจากตลาดขนาดใหญ่ และการเปิดกว้างระดับสูงของจีน เพื่อเพิ่มพูนพลังเชิงบวกสู่การพัฒนาของเอเชีย

ด้านนายเศรษฐากล่าวว่า ไทยจะทำงานร่วมกับจีนเพื่อสร้างประชาคมไทย-จีน ที่มีอนาคตร่วมกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น

ไทยจะพยายามอย่างสุดกำลังในการรับรองความปลอดภัยของพลเมืองจีนในไทย และยินดีต้อนรับผู้ประกอบการชาวจีนเข้ามาลงทุน และพลเมืองจีนเดินทางเยือนไทย

อนึ่ง คณะเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีน รวมถึงช่ายฉีและหวังอี้ ได้เข้าร่วมการพบปะหารือครั้งนี้ด้วย

วิพากษ์ภาพรวม ‘เศรษฐา’ เสนอแนะท่วงท่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถ้าอยากชนะก้าวไกล ต้องเติม ‘กึ๋น-วุฒิภาวะ’ พอดู

ฤกษ์ที่จะมาส่องกล้องมอง (รัฐบาล) พรรคเพื่อไทยให้เป็นเรื่องเป็นราวสักเล็กน้อย… ด้วยข้อมูลและความรู้สึก ความคิดเห็นของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ บนพื้นฐานความรักและปรารถนาดี… แต่รู้สึกขัดอกขัดใจ…

#สถานการณ์ตัวนายกฯ
ว่าด้วย ‘นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน’ ความขยันขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน บวกกับท่วงท่ากิริยาอาการไหว้สวย อ่อนน้อมถ่อมตนในบางเรื่องบางราว เอาคะแนนไปเต็มร้อย แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘วุฒิภาวะ’ โดยรวมๆ แล้ว เท่าที่สดับตรับฟังมาจากหลายทิศทาง ก็ต้องบอกว่ายังสอบไม่ผ่าน… ล่าสุดทริปไปประชุมที่จีน และซาอุฯ ต้องบอกว่า “ดูไม่จืด” เอาแค่ประเด็นเดียว เรื่องการแต่งกายและถุงเท้าสีชมพู ตลอดจนท่วงท่าตอนพบปูติน แทบทุกคนดูคลิปแล้วต้องร้อง “พระเจ้าช่วย กล้วยทอด… ไม่สง่างาม… อยากปิดตา ไม่กล้าดู”

อันที่จริงเวทีต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษ… เศรษฐาน่าจะโชว์ให้เหนือกว่า ‘ลุงตู่’ ที่เก้ๆ กังๆ เพราะภาษาปะกิตไม่คล่อง… แต่เอาเข้าจริง เรื่องภาษาก็ถูกเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมากลบฝังจุดแข็งไปเกือบหมด น่าเสียดาย…

#ผลงานรัฐบาล
อาจจะเร็วไปที่จะมองภาพรวมผลงานรัฐบาล เพราะแต่ละกระทรวงเพิ่งทำงานได้แค่ 2 เดือน… หลายรัฐมนตรี หลายกระทรวงก็พยายามทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ที่จะกล่าวถึงวันนี้ คือ นโยบายหลัก นโนยบายที่เป็นเรือธงของรัฐบาลคือ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต เติมเงิน 1 หมื่นบาท’

นาทีนี้กลับกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเพื่อไทยที่จะต้องรีบถอดสลัก เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดพลีชีพ แบบว่า… พรรคต้องจบชีวิตไปด้วยการถอดสลัก ก็คือ ต้องยอมทบทวน ปรับแต่งกันใหม่… หาไม่แล้วต้องจบชีวิตกันจริงๆ เพราะเท่าที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แอบได้ยินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 2-3 พรรคเขากระซิบกันก็คือ ถ้าสุ่มเสี่ยงเกินไปก็ไม่ขอเล่นด้วย… บ้านเมืองจะเสียหาย ดีไม่ดีถูกฟ้องร้องติดคุกติดตะรางเอาได้

ก็ดีแล้ว… เมื่อยังไม่พร้อม ข้อมูลไม่พอ… เลื่อนการประชุมกรรมการดิจิทัล วอลเล็ตชุดใหญ่จากวันที่ 24 ต.ค. ออกไปไม่มีกำหนด… แต่การแถลงของนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทยจากนี้ไป ต้องไม่พร่ำเพรื่อสะเปะสะปะ อย่าไปปลุกมวลชนในขณะที่แม่ทัพนายกองก็ยังตอบคำถามชัดๆ ไม่ได้ มันจะไปไม่เป็น…

#อุ๊งอิ๊งกับงานช้าง ‘ผู้นำพรรค’
วันที่ 27 ต.ค. ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย ก็จะได้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งชาวเพื่อไทยคงไม่มีใครขัดข้องในฐานะลูกสาวนายห้าง และเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็รอดูนโยบายเรือธงอีกเรื่องของพรรคคือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นกระดานหกสำคัญ แต่ก็นั่นแหละจากบทเรียนกรณี ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ถ้าคิดไม่จบจริงๆ ได้แค่เป็นการจุดพลุสุดท้ายจากบวกอาจกลายเป็นลบ…

แต่โจทย์สำคัญไม่แพ้เรื่อง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ คือ การลอกคราบพรรคเพื่อไทยใหม่ ให้ไฉไลกว่าเก่าและยิ่งใหญ่พรรคคู่แข่งอย่างก้าวไกล ที่ทุกวันนี้ยังติดหล่มในเรื่องที่ตัวเองชอบสอนชาวบ้านด่าชาวบ้านแต่เป็นซะเองหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ… ซึ่งตอนแรก ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองว่าไม่น่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้พรรคส้มได้

แต่ดูไปดูมา… มันหนักสาหัสกว่าที่คิด!!

ดังนั้น หาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยกระดับวุฒิภาวะด้านต่างๆ ของตัวเองขึ้นอีกหน่อย มองโลกให้กว้างกว่าครอบครัว กระตุ้นให้พรรคเป็นผู้นำในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กล้านำทำจริงเรื่องการนิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมืองให้กับทุกสีเสื้อ ไม่หมกมุ่นอยู่กับอิสรภาพของคุณพ่ออยู่เรื่องเดียว… รวมทั้งโชว์ความคิดการปฏิรูปด้านอื่นๆ ให้เห็น โอกาสที่อุ๊งอิ๊งจะเป็นผู้นำประเทศอย่างสง่างาม ก็อาจจะฉายแววมากกว่าเดิม… เพราะถ้ายังเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ยังไม่พอ…

ดู ‘อานิด เศรษฐา’ ก็ได้… สูงยาวเข่าดี ไหว้สวยขนาดไหน ยังเหนื่อยโคตร… ต้องมีกึ๋น มีวุฒิภาวะที่เพียงพออีกด้วย 

สวัสดี!!

วิพากษ์ภาพรวม ‘เศรษฐา’ เสนอแนะท่วงท่า ‘อุ๊งอิ๊ง’ ถ้าอยากชนะก้าวไกล ต้องเติม ‘กึ๋น-วุฒิภาวะ’ พอดู

ฤกษ์ที่จะมาส่องกล้องมอง (รัฐบาล) พรรคเพื่อไทยให้เป็นเรื่องเป็นราวสักเล็กน้อย… ด้วยข้อมูลและความรู้สึก ความคิดเห็นของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ บนพื้นฐานความรักและปรารถนาดี… แต่รู้สึกขัดอกขัดใจ…

#สถานการณ์ตัวนายกฯ
ว่าด้วย ‘นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน’ ความขยันขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน บวกกับท่วงท่ากิริยาอาการไหว้สวย อ่อนน้อมถ่อมตนในบางเรื่องบางราว เอาคะแนนไปเต็มร้อย แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘วุฒิภาวะ’ โดยรวมๆ แล้ว เท่าที่สดับตรับฟังมาจากหลายทิศทาง ก็ต้องบอกว่ายังสอบไม่ผ่าน… ล่าสุดทริปไปประชุมที่จีน และซาอุฯ ต้องบอกว่า “ดูไม่จืด” เอาแค่ประเด็นเดียว เรื่องการแต่งกายและถุงเท้าสีชมพู ตลอดจนท่วงท่าตอนพบปูติน แทบทุกคนดูคลิปแล้วต้องร้อง “พระเจ้าช่วย กล้วยทอด… ไม่สง่างาม… อยากปิดตา ไม่กล้าดู”

อันที่จริงเวทีต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษ… เศรษฐาน่าจะโชว์ให้เหนือกว่า ‘ลุงตู่’ ที่เก้ๆ กังๆ เพราะภาษาปะกิตไม่คล่อง… แต่เอาเข้าจริง เรื่องภาษาก็ถูกเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมมากลบฝังจุดแข็งไปเกือบหมด น่าเสียดาย…

#ผลงานรัฐบาล
อาจจะเร็วไปที่จะมองภาพรวมผลงานรัฐบาล เพราะแต่ละกระทรวงเพิ่งทำงานได้แค่ 2 เดือน… หลายรัฐมนตรี หลายกระทรวงก็พยายามทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ที่จะกล่าวถึงวันนี้ คือ นโยบายหลัก นโนยบายที่เป็นเรือธงของรัฐบาลคือ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต เติมเงิน 1 หมื่นบาท’

นาทีนี้กลับกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเพื่อไทยที่จะต้องรีบถอดสลัก เพื่อไม่ให้กลายเป็นระเบิดพลีชีพ แบบว่า… พรรคต้องจบชีวิตไปด้วยการถอดสลัก ก็คือ ต้องยอมทบทวน ปรับแต่งกันใหม่… หาไม่แล้วต้องจบชีวิตกันจริงๆ เพราะเท่าที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แอบได้ยินแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 2-3 พรรคเขากระซิบกันก็คือ ถ้าสุ่มเสี่ยงเกินไปก็ไม่ขอเล่นด้วย… บ้านเมืองจะเสียหาย ดีไม่ดีถูกฟ้องร้องติดคุกติดตะรางเอาได้

ก็ดีแล้ว… เมื่อยังไม่พร้อม ข้อมูลไม่พอ… เลื่อนการประชุมกรรมการดิจิทัล วอลเล็ตชุดใหญ่จากวันที่ 24 ต.ค. ออกไปไม่มีกำหนด… แต่การแถลงของนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทยจากนี้ไป ต้องไม่พร่ำเพรื่อสะเปะสะปะ อย่าไปปลุกมวลชนในขณะที่แม่ทัพนายกองก็ยังตอบคำถามชัดๆ ไม่ได้ มันจะไปไม่เป็น…

#อุ๊งอิ๊งกับงานช้าง ‘ผู้นำพรรค’
วันที่ 27 ต.ค. ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย ก็จะได้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งชาวเพื่อไทยคงไม่มีใครขัดข้องในฐานะลูกสาวนายห้าง และเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็รอดูนโยบายเรือธงอีกเรื่องของพรรคคือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นกระดานหกสำคัญ แต่ก็นั่นแหละจากบทเรียนกรณี ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ถ้าคิดไม่จบจริงๆ ได้แค่เป็นการจุดพลุสุดท้ายจากบวกอาจกลายเป็นลบ…

แต่โจทย์สำคัญไม่แพ้เรื่อง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ คือ การลอกคราบพรรคเพื่อไทยใหม่ ให้ไฉไลกว่าเก่าและยิ่งใหญ่พรรคคู่แข่งอย่างก้าวไกล ที่ทุกวันนี้ยังติดหล่มในเรื่องที่ตัวเองชอบสอนชาวบ้านด่าชาวบ้านแต่เป็นซะเองหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการคุกคามทางเพศ… ซึ่งตอนแรก ‘เล็ก เลียบด่วน’ มองว่าไม่น่าจะสร้างความสั่นสะเทือนให้พรรคส้มได้

แต่ดูไปดูมา… มันหนักสาหัสกว่าที่คิด!!

ดังนั้น หาก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ยกระดับวุฒิภาวะด้านต่างๆ ของตัวเองขึ้นอีกหน่อย มองโลกให้กว้างกว่าครอบครัว กระตุ้นให้พรรคเป็นผู้นำในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กล้านำทำจริงเรื่องการนิรโทษกรรมคดีชุมนุมการเมืองให้กับทุกสีเสื้อ ไม่หมกมุ่นอยู่กับอิสรภาพของคุณพ่ออยู่เรื่องเดียว… รวมทั้งโชว์ความคิดการปฏิรูปด้านอื่นๆ ให้เห็น โอกาสที่อุ๊งอิ๊งจะเป็นผู้นำประเทศอย่างสง่างาม ก็อาจจะฉายแววมากกว่าเดิม… เพราะถ้ายังเป็นอยู่แบบทุกวันนี้ยังไม่พอ…

ดู ‘อานิด เศรษฐา’ ก็ได้… สูงยาวเข่าดี ไหว้สวยขนาดไหน ยังเหนื่อยโคตร… ต้องมีกึ๋น มีวุฒิภาวะที่เพียงพออีกด้วย 

สวัสดี!!

‘พี่เต้’ ติง!! ‘เศรษฐา’ ลดแฟชันในเวทีโลก ยึดสากล เพื่อหน้าตาประเทศ พร้อมเผย!! โชคยังดี ‘น่านฟ้าเปิด’ เหตุ ‘อานิสงส์ลุงตู่ - เศรษฐาปรับตัว’

(22 ต.ค. 66) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ ‘เต้’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอถึงกรณี การแต่งกายของ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ในการเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยระบุว่า…

“ตอนนี้มีข่าวที่ดีคือ พระมหากษัตริย์และเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ได้สั่งการให้ประเทศกลุ่มอาหรับ เปิดทางให้เครื่องบินทหารของไทย สามารถบินผ่านน่านฟ้าของกลุ่มประเทศอาหรับได้แล้ว เพื่อให้สามารถเดินทางไปรับพลเมืองชาวไทยจากประเทศอิสราเอล กลับมาสู่ประเทศไทยได้ในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ไม่ต้องบินอ้อมไกล ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจาก 12-13 ชั่วโมง เหลือเพียงแค่ประมาณ 8 ชั่วโมง

นับเป็นการประสานงานการเจริญสัมพันธไมตรี สืบเนื่องจาก ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่ท่านได้เคยทำการเจรจา พูดคุยเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี”

“แต่เหตุที่ในช่วงแรก ยังไม่มีการประกาศให้ไทยได้ทำการบินผ่านน่านฟ้านั้น ก็เพราะเป็นการ ‘ตักเตือน’ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับนายกคนใหม่คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นเดิมทีเป็นนักธุรกิจ ทำให้อาจจะยังไม่เข้าใจขนบธรรมเนียม ประเพณี ความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนนี้หมายความว่า เขาแค่เตือนเฉยๆ แต่ยังไม่ได้ลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวคือ อาจจะลดจากเอกอัคราชทูต เหลือแค่ราชฑูต หรือลดในสถานะต่ำกว่านั้น เป็นการแนะนำให้นายกฯ เศรษฐาได้รับทราบ

ซึ่งนายกฯ เศรษฐา ก็มีได้เริ่มปรับตัวที่จะเรียนรู้ ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร และไม่ได้ฝืนจนมากเกินไป ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้”

“เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่มีสภาวะสงคราม ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะเรามีเป็นความเป็นความตายของพี่น้องประชาชนคนไทย ที่พำนักอยู่ในอิสราเอล เกือบ 30,000 คน เป็นที่ตั้ง

เพราะฉะนั้น ความสำคัญในการเป็นผู้นำประเทศ ในสภาวะเช่นนี้ย่อมต้องมีมากขึ้นตามไปด้วย การแสดงสัญลักษณ์ การพูดคุย หรือการแสดงท่าทาง อิริยาบถต่างๆ ล้วนถือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เชิงทางการทูตทั้งสิ้น”

“ส่วนการแต่งตัวแบบแฟชัน ใส่ถุงเท้าสีชมพู สีแดง สวมเสื้อแจ็กเกต หรือเสื้อสูทที่มีความแฟชันมากกว่าทางการนั้น อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และบุคลิกของแต่ละบุคคล นายกรัฐมนตรีแต่ละประเทศจะมีบุคลิกที่ไม่เหมือนกัน

แต่ในมุมของความเป็น ‘ทางการ’ นั้น ควรที่จะต้องใส่สูทแบบสากล ถุงเท้าควรเป็นสีดำ หรือสีเทาเรียบๆ เพื่อเป็นการเคารพผู้นำของแต่ละประเทศ เพราะผู้นำของแต่ละประเทศนั้น มิได้มีเพียงแค่คนที่เป็นสามัญชนทั่วไป ผู้นำประเทศที่เป็นกษัตริย์ เป็นมกุฎราชกุมาร เป็นองค์จักรพรรดิก็มี ฉะนั้น การนอบน้อมจึงถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อเรามีความนอบน้อมแล้ว ในยามที่เราต้องการขอความช่วยเหลือ ต่างประเทศเขาก็จะเต็มใจ พร้อมใจกันให้ความช่วยเหลือ เป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน”

“ซึ่งผมเชื่อว่า หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว นายกฯ เศรษฐา น่าจะมีการปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เพราะถือเป็นบุคคลสำคัญในการเจรจา การขอบินผ่านน่านฟ้าของซาอุดีอาระเบียและประเทศอาหรับทั้งหมด

ในเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ผมต้องยกความดีความชอบให้กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเบอร์ 1 และเบอร์ 2 คือ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน

ส่วนเรื่องกาละเทศะนั้น คงต้องปรับปรุงตัวต่อไป เพื่อปกกันไม่ให้สื่อมวลชนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ร่วมถึงประชาชนติติงเอาได้ และหากมีใครติติงมาก็ควรรับฟังไว้ และนำไปแก้ไข

เพราะตอนนี้คุณไม่ได้เป็นแค่นายเศรษฐา ทวีสิน แล้ว แต่คุณดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นตัวแทนประเทศไทย เป็นตัวแทนของราชอาณาจักรไทย เพราะฉะนั้น จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ รู้จักกาลเทศะ นี่คือสิ่งสำคัญในการเป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยครับ”

‘เศรษฐา’ เรียก รมต.ติดตามงาน ก่อนประชุมช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล พร้อมจับตา!! ‘เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง’ คิกออฟ ‘30 บาทพลัส’ นัดแรก 24 ต.ค.นี้

(23 ต.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้ากระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นประธานการประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินความไม่สงบในอิสราเอล-กาซา (RRC)

ก่อนการประชุมดังกล่าวนายกฯ ได้เรียกรัฐมนตรีมาหารือนอกรอบ ประกอบด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน, นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เพื่อติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล รวมถึงเรื่องการช่วยเหลือตัวประกัน นอกจากนี้จะมีหารือ เรื่องการแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน และการเตรียมข้อมูลด้านเอกสารในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่  24 ต.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในวันที่ 24 ต.ค.เวลา 13.00 น. ภายหลังการประชุมครม.นายกฯ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1 /2566 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพ เข้าร่วมประชุมด้วย

นอกจากนี้ยังมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการและเลขานุการฯ เพื่อประชุมพิจารณาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคพลัส ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา

‘ภูมิธรรม’ ยัน!! ‘เศรษฐา’ ไร้นัย ส่งสัญญาณอยู่ไม่ครบ 4 ปี แค่ชื่นชม ‘อุ๊งอิ๊ง’ มีคุณสมบัติครบเหมาะเป็นนายกฯ สบาย

(28 ต.ค.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระบุภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้สบายๆ ว่า ไม่มีนัยอะไร แต่ถือเป็นความจริงที่มีความเหมาะสม และเมื่อขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว หัวหน้าพรรคทุกคนก็มีโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยมองว่าความพร้อมของนางสาวแพทองธารมีครบถ้วน ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีพูดเช่นนี้ ก็เป็นความจริงที่นางสาวแพทองธาร ก็มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และทุกคนก็รู้สึกเช่นนั้น 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายเศรษฐา ระบุว่า น.ส.แพทองธาร สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้เป็นการส่งสัญญาณว่านายกฯ เศรษฐา จะอยู่ไม่ครบ 4 ปีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า สามารถคิดได้หลายอย่าง อาจจะอยู่ครบ 4 ปี แล้วน.ส.แพทองธาร เป็นนายกฯ ต่อได้ ย้ำว่าน.ส.แพทองธาร มีความพร้อม เมื่อได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งในด้านคุณสมบัติ ประสบการณ์ทำงาน การหาเสียง ทุกอย่างก็พร้อมหมด ทั้งนี้ไม่ถึงขั้นที่จะต้องแบ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนละ 2 ปี เพราะไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้น แต่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำงานมากกว่า

เมื่อถามย้ำว่า ภาพที่นายเศรษฐา ทำท่าจูบมือน.ส.แพทองธาร ตามธรรมเนียมต่างชาติ หลังได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นการส่งสัญญาณหรือส่งไม้ต่ออะไรหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า แล้วแต่จะตีความ แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการแสดงความชื่นชม และเคารพซึ่งกันและกัน ยืนยันไม่ได้มีนัยอะไร  

ผู้สื่อข่าวถามว่าน.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว จะนำพาพรรคไปเป็นพรรคอันดับหนึ่งในใจประชาชนได้อย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า เชื่อว่าด้วยความพร้อมและประสบการณ์ของนางสาวแพทองธารมีมากกว่าคนอื่น ส่วนจะนำพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่าทุกการเลือกตั้ง เรามั่นใจ อยู่ที่ความพร้อมของทุกฝ่าย และวันนี้เราก็พร้อมแล้วที่น.ส.แพทองธาร จะมาเชื่อมต่อคนระหว่างวัย ให้สามารถทำงานได้มากขึ้น

‘นิด้าโพล’ เผย ปชช.ค่อนข้างพอใจผลงาน 2 เดือน ‘นายกฯ เศรษฐา’ แม้บางส่วนไม่ค่อยได้ติดตามข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศ

(29 ต.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘สนใจเรื่องนายกฯ เศรษฐา เยือนต่างประเทศหรือไม่?’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-25 ตุลาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับประเด็นที่สนใจจากข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบ หลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจ เมื่อถามประชาชนถึงประเด็นที่สนใจจากข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วง 2 เดือนของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.01 ระบุว่า ไม่ได้ติดตามข่าว การเยือนต่างประเทศของนายกฯ เลย
รองลงมา ร้อยละ 24.43 ระบุว่า การเข้าพบผู้นำ หรือบุคคลสำคัญในต่างประเทศ ร้อยละ 24.35 ระบุว่า บทบาทและผลการเยือนต่างประเทศของนายกฯ ร้อยละ 21.83 ระบุว่า การแต่งกาย/เสื้อผ้าของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ
รองลงมา ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ลักษณะท่าทาง และ/หรือ ภาษากายของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ ร้อยละ 10.31 ระบุว่า การจัดการต้อนรับของประเทศเจ้าภาพ และร้อยละ 1.98 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อถามผู้ที่ติดตามข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศของนายกฯ (จำนวน 799 หน่วยตัวอย่าง) ถึงความพอใจต่อบทบาทของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เกี่ยวกับการเดินทางเยือนต่างประเทศในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.31 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 23.40 ระบุว่า พอใจมาก ร้อยละ 20.27 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 0.63 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพอใจในบทบาท/ผลงานของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในช่วง 2 เดือนที่ดำรงตำแหน่ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.87 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.40 ระบุว่า พอใจมาก ร้อยละ 13.74 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 4.12 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.74 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.71 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.93 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.74 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.41 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.14 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 1.45 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 34.43 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.98 สมรส และร้อยละ 2.59 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 23.89 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 38.02 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.01 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 25.42 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.66 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 10.23 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.11 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.75 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจส่วนตัว/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.83 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.74 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.00 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.34 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

ตัวอย่าง ร้อยละ 23.28 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 20.61 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.09 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.19 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.35 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.16 ไม่ระบุรายได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top