Saturday, 4 May 2024
เศรษฐา

‘หมอเดชา’ เผย ตัวเลขค่าใช้จ่าย ‘นายกฯ เศรษฐา-รองฯ อ๋อง’ ลั่น!! ไม่แปลกใจ ทำไม ‘ยุคลุงตู่’ 9 ปี ฐานะการเงินมั่นคงขึ้น

(20 ก.ย. 66) นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

คนไทยเพิ่งเลือกสมาชิก​สภา​ผู้แทน​ราษฎร​ (สส.)​ และจัดตั้งรัฐบาล​ชุดใหม่ได้ไม่ถึงเดือน ก็มีข่าวทั้งจากฝ่ายรัฐบาล​ (เศรษฐา)​ และฝ่ายค้าน (หมออ๋อง)​ เรื่องการใช้จ่ายที่ดูฟุ่มเฟือย

เมื่อนำไปเปรียบกับการใช้จ่ายในงานแบบเดียวกัน​ ของนายกฯ​ คนก่อน​ (ลุงตู่)​ ยิ่งเห็นชัด

ระยะเวลา​ 9​ ปี​ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี​ของลุงตู่​ ไม่มีข่าวเช่าเหมาลำ​ เครื่องบินเดินทาง และทางด้านรัฐสภา​ ก็ไม่มีข่าวประธาน​ฯ หรือรองประธานสภาฯ​ พาลูกพรรคเดินทางดูงาน

จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังจาก​ 9​ ปี​ของยุคลุงตู่​ ประเทศไทย​มีฐานะการเงินการคลังมั่นคงขึ้น

ข้อมูลตัวเลขทางการ​ บ่งบอกฐานะของประเทศไทย​ที่รัฐบาล​ชุดใหม่รับไว้ มารอดูกันว่า​ เมื่อจบหน้าที่ของรัฐบาลเศรษฐาแล้ว​ ฐานะของประเทศ​จะเป็นอย่างไร…

‘นายกฯ เศรษฐา’ หารือประธาน FIFA สานต่อความร่วมมือด้านกีฬา พร้อมย้ำ!! ‘ไทย-อาเซียน’ ดีพอเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกปี 2034

เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 66  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อนุญาตให้นายจีอันนี อินฟันติโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) เข้าเยี่ยมคารวะ ในห้วงการประชุม UNGA78 เพื่อหารือแนวทางขยายความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างไทยและอาเซียนกับ FIFA โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสาระสำคัญจากการหารือ ดังนี้

ทั้งสองฝ่ายหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไทย-อาเซียน-ฟีฟ่าในอนาคต โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพ และมีพัฒนาการด้านฟุตบอลต่อเนื่อง พร้อมขอบคุณ FIFA สำหรับความร่วมมือในการสนับสนุนให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้กีฬาฟุตบอลขั้นพื้นฐาน (Grassroots)

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ FIFA ขยายความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพด้านฟุตบอล พร้อมย้ำว่าอาเซียนมีความพร้อมและจะมุ่งพัฒนาศักยภาพต่อไปเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกร่วมกันของอาเซียน ปี 2577 (ค.ศ. 2034)

ประธาน FIFA เห็นพ้องที่จะสานต่อความร่วมมือระหว่าง ‘ไทย-อาเซียน-ฟีฟ่า’ เพื่อขยายโอกาสและทำให้ฟุตบอลเป็นกีฬาสำหรับทุกคน พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสามัญของ FIFA สมัยที่ 74 (74th FIFA Congress) ช่วงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ซึ่งจะจัดขึ้นภายใต้การเป็นเจ้าภาพของไทย ในฐานะประเทศแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะมีผู้เข้าร่วมกว่า 211 ประเทศทั่วโลก

‘นายกฯ’ ขอบคุณ ‘Microsoft’ ร่วมมือ-ลงทุนในไทยมายาวนาน ด้าน Microsoft ชมจุดแข็งไทย เป็นศูนย์กลางข้อมูลของภูมิภาค

(22 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พบกับผู้บริหารบริษัท Microsoft เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ Microsoft ที่มีความร่วมมือ และมีการลงทุนในไทยมาอย่างยาวนาน และพร้อมจะร่วมมือต่อไปให้มีความต่อเนื่องและเกิดผลรูปธรรมในอนาคตอันใกล้

ขณะที่ผู้บริหารบริษัท Microsoft กล่าวชื่นชมไทยที่มีจุดแข็งสามารถเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค (Regional Hub) มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของภูมิภาค

“บริษัทฯ ต้องการสนับสนุนให้ทั้งภาคเอกชน และภาครัฐในการใช้ Cloud ซึ่งการมี Cloud investment ในไทย จะช่วยส่งเสริมความสามารถของคนไทย ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น สายงาน IT สาขาวิศวกร และจะช่วยพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรบุคคล ที่ใช้ระบบงานต่างๆ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของไทย”

‘นายกฯ’ พบ ‘เลขาฯ ยูเอ็น’ ย้ำ ไทยให้ความสำคัญสิทธิมนุษยชน ยัน!! พร้อมดูแลผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาชายแดน ตามสิทธิ์ที่ควรได้รับ

(22 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างการเดินทางเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า เมื่อเวลา 17.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ซึ่งช้ากว่าไทย 11 ชั่วโมง) วันที่ 21 ก.ย. นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยกับนายอันโตนิอู กุแตเรช เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่า ได้กำชับว่าไทยต้องดูแลสถานการณ์เมียนมา ต้องพูดคุยสนทนากัน และเห็นว่าการพูดคุยกันเป็นเรื่องสำคัญ

นายเศรษฐา กล่าวว่า จริงๆ แล้ว ในอดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ก็โตมาจากสายงานผู้ลี้ภัย ท่านเคยมาอยู่เมืองไทยและทำงานใกล้ชิด ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนสูงอยู่แล้ว และเป็นที่ชื่นชมของนานาประเทศ ทั้งนี้ หน้าที่ของตน คือสานต่อเท่านั้นเอง และยึดหลักตามที่กระทรวงการต่างประเทศประสาน

“ขอย้ำว่า เราสนับสนุนให้มีการพูดคุยและเจรจากันอย่างสันติสุข ถ้าหากมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในแง่ของชายแดน หรือเรื่องการเข้า และออก เราช่วยดูแลตามสิทธิ์ที่ทุกคนควรได้ ส่วนประเทศเขาก็เป็นเรื่องของเขา” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยบทบาทกับกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ว่า ปัญหาที่มีอยู่บริเวณชายแดนจะทำอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้รับฟังโจทย์จากเลขาฯ ยูเอ็น ไปก็จะทำให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

เมื่อถามถึงวันสันติภาพโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ก.ย.ของทุกปี นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นเรื่องที่เราพูดในเชิงสัญลักษณ์มากเกินไป ส่วนการปฏิบัติ ตนอยากให้เราปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นวันไหนแล้วค่อยมาทำกัน พอทำแล้วก็ลืมกันไป จากนั้นก็มาจับอาวุธห้ำหั่นกัน

“ความจริงแล้วการประชุม UNGA 78 ในครั้งนี้ เราทราบดีว่ามีหลายประเทศ มีภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่จับคู่ทะเลาะกัน ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราหาข้อตกลงกันไม่ได้ ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็น มีความสามารถสูงที่จะหาจุดร่วม ให้ทุกประเทศอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โดยดึงเรื่องอากาศสะอาดเข้ามา ซึ่งเลขาฯ ยูเอ็นรู้อยู่แล้วว่าทุกประเทศ ให้ความสนใจเหมือนกัน จึงสามารถช่วยได้ และหล่อหลอมจิตใจกัน ความจริงเรื่องวันสันติภาพโลกกับเรื่องนี้ไม่ได้ห่างไกลกัน เป็นเรื่องที่เรามองเห็นตรงกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญ” นายเศรษฐา กล่าว

วัดใจ 'ทักษิณ' ห่วง 'อิ๊ง-ฐา' ต้องสวมชุด นช.อย่างสง่าผ่าเผย ฟาก 'ก้าวไกล' 3ป.ถูกปิดสวิตช์ โดนโปลิตบูโรยึดพรรค

เลียบการเมือง ประจำวันเสาร์สุดสัปดาห์...ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' ขอหมายเหตุขีดเส้นใต้ข่าวสารสำคัญเอาไว้เป็นบันทึกช่วยจำและทำนายทายทักเหตุการณ์แบบไม่กลัวหน้าแหก...

โกอินเตอร์... ประเดิมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีป้ายแดง บนเวทีประชุมสมัชชายูเอ็นครั้งที่ 78 ... ตัดเรื่องหยุมหยิมที่ยังตรวจสอบกันต่อได้คือค่าเครื่องบินเหมาลำ 30 ล้านบาทออกไป ก็ต้องยอมรับว่า ... เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ของเรา 'สอบผ่าน' แต่จะได้กี่คะแนนก็ว่ากันไป  

สำหรับ เล็ก เลียบด่วน เต็ม 10 เอาไป 7.5 ... รอบหน้าฟ้าใหม่ถอดบทเรียนความผิดพลาดจากครั้งแรก ประเภทบอกตัวเองในใจว่า ‘รู้งี้…’  ให้ดีๆ มีโอกาสได้คะแนน 9.9 ทีเดียวเชียวแหละ...

ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับนายกฯ เศรษฐา กรณีข่าวที่ว่าจะตั้งทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาก็ต้องบอกว่า นายกฯ เศรษฐาไม่ถึงกับตอบนักข่าวบลูมเบิร์กว่าจะตั้งเป็นที่ปรึกษา แต่บอกว่าเมื่อทักษิณพ้นโทษแล้วก็คงต้องขอคำปรึกษาเหมือนกับที่ไปปรึกษากับนายกฯ ท่านอื่นๆ ... จะว่าไปกรณีนี้ ก็เป็นข่าวผสมการตีความจากสารตั้งต้นที่บลูมเบิร์กเขาพาดหัวข่าว ... Thaksin Has Role to Play After Prison Term, New Thai Leader Says…นั่นแล...

พูดถึงกรณีทักษิณ คนชื่อเศรษฐาก็พึงตระหนักให้ตลอดว่า... เป็นสายล่อฟ้าทางการเมือง ยิ่งทักษิณยังทำตัวเป็นนักโทษเทวดาสายล่อฟ้านี้ ก็จะยิ่งอันตราย จะทำลายคุณค่าของนายกฯ ให้เสื่อมทรามลง ตรงข้ามหากทักษิณบำเพ็ญตนเป็นนักโทษธรรมดา... หนุนเศรษฐาให้เป็นนายกฯ ที่นำความปรองดองสมานฉันท์กลับคืนสู่สังคมไทยดังที่ สว.สมชาย แสวงการ เสนอแนะเอาไว้เมื่อวันก่อน ก็จะเป็นคุณกับรัฐบาล เป็นผลดีกับบ้านเมือง และตระกูลชินวัตรที่กำลังปลุกปั้นซอฟต์พาวเวอร์อุ๊งอิ๊งไปสู่ดวงดาว... เฮ่อ พูดก็เหนื่อยใจ จะเป็นไปได้ซัก 50 เปอร์เซ็นต์มั้ยเนี่ย...!?

ขณะปั่นต้นฉบับเที่ยงวันเสาร์ ... ทราบเบื้องต้นผลการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคก้าวไกลเพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ... เป็นไปตามโผในมือ 'เล็ก เลียบด่วน' หัวหน้าพรรค คือ 'เดอะต๋อม' ชัยธวัช ตุลาธน ที่ขึ้นมาจากเลขาธิการพรรค ส่วนเลขาธิการพรรคคนใหม่ คือ เพื่อนเลิฟของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจและเดอะต๋อม ... เขาคือ ... เดอะติ๋ง หรือ 'ปลัดติ๋ง' อภิชาติ ศิริสุนทร ส่วนไอติม พริษฐ์ วัชรสินธูุ์ โฆษกพรรค

อันว่า ... อภิชาติ ศิริสุนทร นั้นเป็นอดีตนักกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาราม-อีสาน เป็นอดีตเอ็นจีโอนักพัฒนา เป็นปลัดอบต.จระเข้ อ.หนองเรือ ขอนแก่น ยาวนาน เพื่อนๆ จึงเรียกขานว่า 'ปลัดติ๋ง'

กล่าวได้ว่าพรรคก้าวไกลนาทีนี้ ... แม้อาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งหรือขึ้นมาขัดตาทัพ แต่นี่คือกลุ่มกรมการเมืองหรือโปลิตบูโรของพรรค ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนเอก ธนาธร ย่างสามขุมขึ้นกุมบังเหียนพรรคค่อนข้างเต็มรูป ขณะที่ตัวละครดังที่เรียกขานกันเล่นๆ ว่า 3ป. หรือ 3P ของก้าวไกลคือ พิธา ลิ้มแจริญรัตน์, พรรณิการ์ วานิช และปิยบุตร แสงกนกกุล ต้องปิดสวิตช์ตัวเองลงชั่วคราว ด้วยเหตุผลที่เป็นคนละเรื่อง (แต่) เดียวกัน ...

สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ ... เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ... อาเมน!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘ปานปรีย์’ เผย ‘นายกฯ เศรษฐา’ เตรียมเยือนกัมพูชา 28 ก.ย.นี้ นับเป็นอาเซียนประเทศแรก ก่อนเยือนซาอุฯ กระชับความสัมพันธ์

(26 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเตรียมเดินทางเยือนประเทศกัมพูชาเป็นประเทศแรกในอาเซียน ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ หลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดกับประเทศไทย และจะพยายามเดินทางไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนให้ได้มากที่สุด ตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพื่อนแนะนำตนเองและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นายปานปรีย์ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียของนายกรัฐมนตรีนั้น ด้วยความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน แม้จะหยุดชะงักชั่วระยะหนึ่ง แต่ขณะนี้กลับมาดำรงความสัมพันธ์แล้ว ซึ่งระหว่างเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 ที่สหรัฐอเมริกา ได้มีโอกาสหารือทวิภาคี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ได้รับการตอบรับอย่างดี แต่การเยือนของนายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน แต่นักลงทุนของซาอุดีอาระเบีย สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างมาก ซึ่งไทยต้องเตรียมการอย่างดี

นายปานปรีย์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการลงสมัครสมาชิก ‘Human Rights Council’ (HRC) ของไทย นั้นถือว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นหนึ่งในเสาหลักของสหประชาชาติ โดยไทยเคยดำรงตำแหน่งประธาน HRC มาแล้ว เมื่อปีค.ศ. 2012 ส่วนในวาระปี ค.ศ. 2025-2027 ไทยยืนยันความประสงค์ ที่จะกลับเข้าเป็นสมาชิกอีกรอบ

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! แนวโน้ม ศก.โลกไม่เอื้อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ แนะทยอยแจกตลอด 4 ปี ดีกว่าทุ่มรวดเดียว 5.6 แสนลบ.

(3 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ ‘อีโก้ของพรรคเพื่อไทยเรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่เป็นใจเลย’ ว่า…

(1) วิกฤติขาดสภาพคล่อง

ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในเฟสที่ 2 คือการสร้างความวุ่นวาย สร้างวิกฤตทางเศรษฐกิจให้รุนแรงยิ่งขึ้น กับสร้างสงครามกลางเมือง เพื่อไปสู่การสร้างสงครามระหว่างประเทศ และไปสู่เฟสที่ 3 คือการเกิดสงครามใหญ่ หลังจากที่โลกได้ผ่านเฟสที่ 1 ของการเกิดโรคระบาดทั่วโลก (Pandemic) ไปแล้ว

การเกิดโรคระบาดทั่วโลกถูกใช้เป็นข้ออ้างให้ Fed พิมพ์เงินเข้ามาแก้วิกฤตกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ อันที่จริงเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปลายปี 2019 ได้เกิดปัญหาระบบขาดสภาพคล่อง จนดอกเบี้ยกู้ยืมชั่วข้ามคืนระหว่างสถาบันทางการเงิน (Repurchase Agreement) พุ่งขึ้นสูงถึง 9% ทำให้ Fed ต้องรีบพิมพ์เงินเข้ามาเติมสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน (ทำ QE หรือ Quantitative Easing)

และเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ที่ตลาดหุ้นทรุดตัว และ Fed ก็ใช้ข้ออ้างของ Pandemic ทำ QE อีกครั้งเพื่อเข้ามาพยุงตลาดหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเป็นฟองสบู่ ขนาดใหญ่มากกว่าครั้งใด ๆ ในอดีต 

หลังจากได้ถอดบทเรียนจากวิกฤติการเงินในปี 2008 Fed จึงออกกฎกติกาให้สถาบันทางการเงินต้องกันสภาพคล่องเอาไว้ให้เพียงพอ 

นี่เป็นที่มาที่ทำให้เงินที่ Fed พิมพ์เพิ่มเข้ามาในระบบไหลไปที่สถาบันการเงินใหญ่ (Big 4 : Bank of America, JP Morgan, Wells Fargo, Citibank) ไปดันราคาหุ้นจนแทบไม่มีการปล่อยกู้สู่ภาคธุรกิจแท้จริง

นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎเทียบราคาสินทรัพย์กับราคาตลาด ในขณะทำการซื้อขาย เรียกว่า Mark to การเทียบราคาสินทรัพย์ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ แบบ Mark to market ทำให้เกิดกำไร-ขาดทุน ในจังหวะที่ซื้อขายกัน ตามราคาตลาดในขณะนั้น

ดังนั้นเมื่อ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เรื่อยมา จากดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0 จนตอนนี้อยู่ที่กว่า 5% จึงทำให้ราคาหุ้นตก และราคาตราสารหนี้ ลดลง

การขาดสภาพคล่องของธุรกิจที่กู้ยืมเงินไปลงทุนแบบทำ Leverage ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ร่วมกับการชะงักงัน/ถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธนาคาร/เจ้าหนี้

มิหนำซ้ำการลงทุนของธนาคารก็ขาดทุน เพราะเศรษฐกิจไม่ดีทั่วโลกก่อนการเกิด Pandemic และจาก Disruption ร่วมกับการแห่ถอนเงินออกของผู้ฝากเงินจากผลประกอบการ/การลงทุน ที่ไม่ดี/ขาดทุนของธนาคาร และนำเงินไปซื้อตราสารทางการเงินระยะสั้น (MMF: Money Market Fund; อายุไม่เกิน 1 ปี) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึงกว่า 5% ...ได้บังคับให้ธนาคาร จำต้องขายตราสารหนี้/พันธบัตร ออกไป ในราคาขาดทุน

หลายธนาคารในอเมริกาและยุโรปต้องล้มละลาย และถูกซื้อกิจการไป เช่นการซื้อธนาคาร Credit Suisse โดย ธนาคารใหญ่ UBS: Union Bank of Switzerland  

นี่เป็นการลดจำนวนธนาคารขนาดเล็กเพื่อให้เหลือธนาคารใหญ่ไม่กี่แห่งในระบบทางการเงินใหม่แบบดิจิตัล

Fed ให้การช่วยเหลือบางธนาคาร ที่ขาดสภาพคล่อง โดยให้กู้เงินจาก Fed ไปเติมสภาพคล่อง โดยให้ใช้หลักประกันเป็นพันธบัตรอเมริกาตามราคาหน้าตั๋วชดเชยการให้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ราคาแบบ Mark to market ที่มีราคาลดลง

แต่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กลับทำลายเศรษฐกิจ มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในธุรกิจที่กู้เงินมาซื้อกิจการ หรือ LBO: Leveraged BuyOut 

เพราะหนี้เงินกู้ (Equity loan) ได้เกิดเป็น Debt complex ...เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จึงไม่อาจหมุนเงิน มาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ และดอกเบี้ยของหุ้นกู้ของบริษัทตัวเองได้ (เกิด Default บนตราสารหนี้ของตัวเอง) เพราะขาดสภาพคล่อง

(2) การรับมือของจีนที่ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’

เนื่องจากตลอด กว่า 10 ปีที่ผ่านมาจีนได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อต้องเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม จาก ยุค 3.0 สู่ 4.0 

จีนจึงต้องเผชิญกับวิกฤตจากการเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องมีการล้มหายตายจากของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของประเทศ (เช่น Evergrande และ Country Garden)

แต่จีนได้มีการเตรียมความพร้อม ด้วยการให้ 4 ธนาคารใหญ่ของจีนตั้งสำรองหนี้สูญในระดับสูงที่สุดในโลก เพื่อรับมือกับวิกฤตที่ 'เรือเศรษฐกิจโลก' บนการรองรับจาก 'หนี้ดอลลาร์' กำลังจะจม

อันที่จริงจีนได้วางแผนหนีออกจากดอลลาร์มากว่าสิบปีแล้ว เมื่อมองขาดว่า...การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของผู้ควบคุมเรือเศรษฐกิจโลก หรือ Fed ด้วยการใช้ หนี้ดอลลาร์ (พันธบัตรอเมริกา; US Treasuries) เป็นผืนน้ำที่หนุนเรือเศรษฐกิจโลกเอาไว้กำลังจะไปไม่รอด เพราะดอลลาร์เสื่อมค่า  ดอลลาร์ไม่ทำงานเพื่อพยุงเรือ ดอลลาร์กำลังจะเสียหน้าที่ในการประคับประคองเรือเศรษฐกิจ ให้ลอยและแล่นต่อไปได้

จีนจึงจับมือกับกลุ่มตะวันออก ตั้งกลุ่ม BRICS+ (+ ซาอุดิอาระเบีย, อิหร่าน, ยูเออี, อียิปต์, เอธิโอเปียและ อาร์เจนตินา; กลุ่ม + มีผล 1 มกราคม 2024) เพื่อหาทางรอด...ออกจากเรือเศรษฐกิจที่กำลังจะจม เพราะ ดอลลาร์ที่พยุงเรือเสื่อมค่าลง

จีนออกกฎหมายควบคุมการเติบโตแบบฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ (30% ของ GDP) ที่ถึงตอนนี้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ 3 อันดับแรกของจีน ถูกปล่อยให้ล่มจม

สั้น ๆ จีนจะช่วยบางธุรกิจแห่งเศรษฐกิจอนาคตที่ถูกเลือกเท่านั้น 

สิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ด้วยการเทขายพันธบัตรอเมริกาออกไปอีก, เก็บเพิ่มทองคำในทุนสำรอง, บริหารการอ่อนค่าของเงินหยวน, การสร้าง ‘เรือลำใหม่’ บนตัวพยุงเรือเศรษฐกิจใหม่ (ด้วยเงินดิจิทัลของกลุ่ม BRICs) เป็นเรื่องที่ยากลำบาก ซับซ้อน ยืดเยื้อและอ่อนไหว

มันจึงไม่สามารถพลิกวิกฤติสถานการณ์โลกเฉพาะหน้าได้

(3) สงครามโลกครั้งที่สามเกิดแน่ 

(แต่ไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2)
รัสเซียที่จับมือกับเกาหลีเหนือ กำลังนำชาติตะวันตกไปสู่หายนะระดับโลก เพราะปัจจุบันสหรัฐฯ ไม่มีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนือเลย

ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 

สงคราม​โลกครั้งที่ 3 ในการควบคุมของมหาอำนาจตะวันออก​ จะมาในรูปแบบของ ‘สงครามไฮบริด’ เหตุและผลที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะจะไม่มีการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์  

มหาอำนาจนิวเคลียร์​ คือ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นประเทศ​ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ตามสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT)

แต่เกาหลีเหนือ เป็นประเทศที่พัฒนาทางทหารชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของชมรมนิวเคลียร์ (Nuclear​ Club) แต่ยังไม่เคยลงนามในสนธิสัญญา​ไม่แพร่กระจาย​อาวุธ​นิวเคลียร์​กับใคร 

ชาติตะวันตกกลัวว่าผลจากการร่วมมือกันระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ จะทำให้กองทัพรัสเซียมีกระสุนหลายล้านนัดเพื่อเอาชนะกองทัพยูเครน และเกาหลีเหนืออาจมีเทคโนโลยีขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีทุกเมืองในสหรัฐฯ ด้วยขีปนาวุธ​นิวเคลียร์  

เหตุใดความร่วมมือกับเกาหลีเหนือจึงมีประโยชน์สำหรับรัสเซีย?  

ด้วยการเพิ่มกิจกรรมทางทหารบนคาบสมุทรเกาหลี เกาหลี​เหนือสามารถบังคับให้เกาหลีใต้ทิ้งการจัดหาอาวุธของตนให้กับประเทศ NATO และมุ่งเน้นไปที่ภารกิจการป้องกันประเทศ 

เพราะคาบสมุทร​เกาหลี​จะร้อนระอุกว่าวิกฤติไต้หวัน​

รัสเซียสามารถเสนอเทคโนโลยีทางทหารแก่เกาหลีเหนือได้มากมาย ซึ่งจะเปลี่ยนสมดุลทางอำนาจในภูมิภาค ของพันธมิตรที่เป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์​ ออสเตรเลีย​ นิวซีแลนด์​ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกลุ่มทหาร AUKUS 

คาบสมุทรเกาหลีจะลุกเป็นไฟ ไม่ใช่ไต้หวัน  

อำนาจของผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่ว่าระเบียบโลกที่มีขั้วเดียวจะไม่มีอีกต่อไป และกระแสโลกที่มีต่อระบบหลายขั้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่อเมริกา​จะขัดขวางได้  

แต่อย่างไรก็ตามมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวของโลกมายาวนานอย่างสหรัฐฯ ไม่ต้องการออกจากฐานอย่างสงบ เหมือนกับที่สหภาพโซเวียตของกอร์บาชอฟเคยถูกบีบให้ต้องทำ

และการเป็นมหาอำนาจของรัสเซียในวันนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแนวทางการสู้รบในยูเครน ยิ่งประสบความสำเร็จในสนามรบมากเท่าใด สถานะในการเมืองโลกของโลกหลายขั้วก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้คือ ผลของสงครามโลกครั้งที่สามรูปแบบใหม่ โดยปราศจากการสู้รบจากมหาอำนาจนิวเคลียร์​เหมือนสงครามโลก​ครั้งก่อน ๆ เลย

สั้น ๆ สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นแน่ แต่ในรูปแบบที่จีน รัสเซีย​ เกาหลี​เหนือ และอิหร่าน ควบคุมได้ และผลของสงครามที่เริ่มประจักษ์​แก่สายตาชาวโลก นั่นคือการดำรงอยู่ของ ‘โลกหลายขั้ว’ ที่ไม่มีใครขัดขวางได้

(4) อีโก้ของพรรคเพื่อไทย เรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล

ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐพุ่ง เพราะไม่มีคนซื้อพันธบัตร
ทองดิ่ง น้ำมันดิ่ง หุ้นดิ่งเงินดอลแข็ง เงินบาทอ่อน (เทียบกับเงินดอล)

ลากดอกเบี้ยเพื่อดันดอลลาร์ให้แข็ง เพื่อทุบราคาน้ำมันของรัสเซีย ซาอุ เพื่อทุบราคาทองในสำรองฝั่ง BRICS

เฟดกะทุบให้เศรษฐกิจโลกเข้าภาวะถดถอยกันให้หมด เพื่อรักษาเงินดอลลาร์เอาไว้ เป็น fight for survival ของเงินดอลลาร์ สู้กับ de-dollarization ที่เป็นเป้าหมายของฝ่าย BRICS ลากดอกเบี้ยหนักขนาดนี้อีกไม่เกิน 2 ปี global recession แน่นอน 

จากเพจ สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา 

วันนี้เพจ ลงทุนแมน เขียนว่า

"เช้านี้ ค่าเงินบาท ทะลุ 37 บาท เป็นที่เรียบร้อย

- ยิ่งไม่มีความชัดเจน ในการแจกเงินดิจิทัล เงินบาทยิ่งอ่อนค่าไปเรื่อย ๆ และค่าเงินบาทที่อ่อนนี้ จะเป็นต้นทุนทางอ้อมของรัฐบาลเอง

1. ต่างชาติเทขายพันธบัตร หุ้น เรื่อยมา อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน หลังจากที่ตลาดรู้ว่ามีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัล 560,000 ล้าน ซึ่งชัดเจนว่าอ่อนกว่าภูมิภาค ทั้ง เยนญี่ปุ่น มาเลเซียริงกิต

2. ที่ต้องขายก็เพราะเหตุผลแรกคือ ข้อแรก ดอกเบี้ยสหรัฐมีอัตราที่สูงกว่า ข้อสอง ตลาดเก็งว่าราคาพันธบัตรของไทยจะลดลงในอนาคต เนื่องจาก Yield ที่สูงขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินของภาครัฐมาแจกเงิน 560,000 ล้าน

3. เมื่อรู้ว่าพันธบัตรจะราคาลดในอนาคต ก็ต้องรีบเทขายตอนนี้ เมื่อขายนำเงินกลับประเทศ ค่าเงินบาทก็อ่อนอย่างต่อเนื่อง

4. เงินต่างชาติก้อนใหญ่ ขายวันเดียวไม่หมด จึงต้องทยอยขายไปเรื่อย ซึ่งเราก็จะเห็นว่า ค่าเงินบาทรันเทรนด์ การอ่อนค่าแบบไปเรื่อย ๆ เหมือนมีคนทยอยขายเรื่อย ๆ

5. อีกประการคือ พันธบัตรระยะยาวสหรัฐ มี yield ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อคืนพันธบัตร 10 ปี ทำจุดสูงสุดใหม่ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงเงินกลับ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ

1. เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่า เราจะต้องใช้เงินมากขึ้นในการนำเข้า น้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย

2. ผู้สินค้านำเข้าทุกอย่างจะจ่ายแพงขึ้นอีก ใกล้ตัวเราที่เห็นแล้วก็ iPhone ในไทยที่จะไม่ได้ขายที่ราคาถูกแบบเมื่อก่อน

3. สุดท้าย แบงก์ชาติ ก็คงพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ย หรือ มีมาตรการอะไรเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท

4. ในขณะเดียวกันก็จะมีโครงการขนาดใหญ่มากดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอีก นั่นก็คือการแจกเงิน 560,000 ล้าน ซึ่งต้องกู้เงิน และดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็แปลว่ารัฐบาลไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นเพื่อมาแจกเงินเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดการแจกเงินยังไม่ชัดเจน และยิ่งไม่ชัดเจน ตลาดก็กังวล และเลือกที่จะขายออกมาก่อนแบบในช่วงนี้"

ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยดันทุรังจะแจกเงิน 560,000 ล้านบาทให้จงได้ ผมขอเสนอแนวทางประนีประนอมดังต่อไปนี้

(1) ควรทยอยแจก 4 ปี ในระหว่างที่เป็นรัฐบาล คือแจกทุกปี ๆ ละ 140,000 ล้านบาท ดีกว่าแจกรวดเดียว 560,000 ล้านบาท ภายในหกเดือนของปีแรก

(2) ตอนที่แจกปีละ 140,000 ล้านบาท ควรทยอยแจกทุกเดือน ๆ ละ 10,000 กว่าล้านบาท ผ่านแอป ‘คนละครึ่ง’ ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดแล้วว่าได้ผลจริงในการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้คน

ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลเพื่อไทยจะยอมลดอีโก้ของตนเองลงหรือไม่ หรือจะยอมปล่อยให้นโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัล ทำให้การคลังของบ้านเมืองพังเหมือนนโยบายจำนำข้าวที่ฉาวโฉ่ในอดีต

ด้วยความปรารถนาดี

‘บิ๊กต่อ’ เผย ‘นายกฯ’ กำชับขจัดช่องว่าง-ยกระดับกฎหมายอาวุธปืน พร้อมขอบคุณสื่อ ช่วยนำเสนอวิธีเอาชีวิตรอดยามเกิดเหตุฉุกเฉิน

(4 ต.ค. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงแนวทางการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุยิงในห้างพารากอนหลังจากนี้ว่า คนทำความผิดเป็นเด็ก จึงขอว่าอย่าไปแตะตรงนั้น ตอนนี้ตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ เนื่องจากผู้ต้องหา ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้ปากคำได้ จึงมีส่วนที่จะต้องไปดำเนินการต่อ

ส่วนประเด็นที่นายกรัฐมนตรีได้กำชับ คือ ให้ยกระดับการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ซึ่งที่จริงเราทำกันมาแล้ว สถิติอาชญากรรมทางอาวุธปืน ในช่วงก่อนหน้านี้ 2 เดือน ตำรวจก็ได้มีการปิดล้อมตรวจค้นหลายร้อยที่หมาย จับผู้ต้องหาได้ 2,000 กว่าคดี ได้ปืน 900 กว่ากระบอก ซึ่งในช่วงที่ตนดูแลงานปราบปราม ยืนยันมีการดำเนินการจับอย่างจริงจัง ไม่ใช่การเมคขึ้นมา แต่ดูจากสถิติที่มีการส่งขึ้นมา ปืนที่เป็นปืนจริงแทบจะไม่ได้ถูกนำมาก่อเหตุ แต่สถิติที่เห็นว่าปืนที่นักเรียนมักจะนำมาใช้ในการทะเลาะวิวาทกัน เป็นปืนชนิดแบลงค์กัน

โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ส่งรายละเอียดมาให้ แต่การใช้ปืนแบลงค์กันไม่มีกฎหมายที่จะไปบังคับการนำเข้า ผ่านพิธีทางศุลกากร คนขายแค่ขออนุญาตแต่คนซื้อไม่มีใบอนุญาต นี่คือช่องว่างทางกฎหมาย แล้วก็นำไปดัดแปลง ซึ่งปืนที่ใช้ก่อเหตุเมื่อวานเป็นปืนแบลงค์กัน และนำไปดัดแปลงตาม youtube โดยในขั้นแรกตนได้สั่งการไปที่ สอท. ให้เจาะเว็บไซต์ของกลุ่มพวกนี้ให้ได้ ตั้งเป็นทีมจับกุมเว็บที่ขายปืนเถื่อนทางออนไลน์โดยเฉพาะ โดยมีการสั่งตั้งทันที

ขณะที่ประเด็นทางข้อกฎหมาย ตนได้ประสานทางกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ทำให้ปืนแบลงค์กันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อขายกันได้ ให้ตีว่าเป็นอาวุธยกระดับข้อกฎหมายขึ้นไปเลย เพราะการนำเข้ามาแบบสิ่งเทียมอาวุธปืน ทำให้สิ่งของเหล่านี้หลุดมาในตลาด เราจะไม่ใช่แค่ดำเนินการจับกุมแต่จะเป็นการยกระดับให้มีข้อกฎหมาย ห้ามนำเข้าเลยให้ถือว่าเป็นปืนจริง ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่าจะทำตรงนั้น

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  ยังขอร้องสื่อมวลชนอย่าให้มีการนำเสนอถึงพฤติกรรมการก่อเหตุ เพราะจะเป็นการสร้างจุดสนใจ เป็นเป้าและถูกมองว่าเป็นฮีโร่ ทำให้อาจจะเกิดเป็นพฤติกรรมการเลียนแบบขึ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ห้างสรรพสินค้าในจังหวัดนครราชสีมา และเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ตนก็ขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ไม่นำเสนอข่าวในจุดนี้ เป็นสิ่งที่ดีมาก และตนก็ฝากเผยแพร่คลิป ‘วิ่ง-ซ่อน-สู้’ เพื่อนำไปกระจายให้กับประชาชน เป็นแนวทางวิธีปฏิบัติขณะเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน หลังจากนี้จะมีการมอบโล่รางวัลให้กับนายตำรวจที่เข้าไปดำเนินการควบคุมตัวผู้ก่อเหตุเป็นขวัญกำลังใจ ซึ่งถือว่าตำรวจนครบาลทำได้อย่างดี

ยกเลิกส่วนต่อขยายสายสีเหลืองเชื่อมเขียว ดับฝัน ‘ชาวลาดพร้าว-รัชดา’ เศรษฐาทบทวนให้ดี

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 66 นายภูวสิทธิ์ พนมสิงห์ อาจารย์พิเศษ คณะสถาปัตยกรรมและการผังเมือง สาขาสถาปัตยกรรมเพื่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของเพจ ‘ขอบอสัง’ และ TikTok ‘สพีทโรเจอร์’ อดีตทีมพัฒนาธุรกิจและจัดซื้อที่ดินบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ได้ออกมาแสดงมุมมองความคิดเห็น กรณีที่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ประกาศยกเลิกโครงการส่วนต่อขยายเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยระบุว่า…

“รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ประกาศยกเลิกโครงการส่วนต่อขยายเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียว กระทบชีวิตคนกรุงฯ งานนี้ชาวลาดพร้าวโดนหนักสุด”

นายภูวสิทธิ์ กล่าวว่า ‘รถไฟฟ้าสายสีเหลือง’ เป็นสายที่วิ่งรถผ่านตั้งแต่สำโรง เทพารักษ์ ศรีนครินทร์ แยกบางกะปิ-ลำสาลี เข้าเส้นลาดพร้าว และสิ้นสุดการเดินรถอยู่ที่บริเวณแยกรัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งจากเดิมรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมีแผนจะสร้างส่วนต่อขยายการเดินรถไปจนถึงแยกรัชโยธิน ที่จะเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งประชาชนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการยกเลิกโครงการส่วนต่อขยายครั้งนี้ คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณลาดพร้าว ทั้งทางด้านค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทาง

โดยรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ถูกบริหารโดย บริษัท อีสเทิร์น บางกอก โมโนเรล จำกัด (Eastern Bangkok Monorail : EBM) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ รถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือ ‘BTS’ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หรือ ‘MRT’ ถูกบริหารโดย EBM เช่นกัน

ซึ่งในปัจจุบัน หากประชาชนต้องการนั่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินไปต่อสายสีเขียว จำเป็นต้องนั่งเพิ่มอีก 1 สถานี เพื่อเดินทางไปส่วนต่อขยายสถานีระหว่างสายสีน้ำเงินและสายสีเขียว ซึ่งถือเป็นการเพิ่มต้นทุนชีวิตคนกรุงเทพฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และระยะเวลาในการเดินทางที่จะต้องรอต่อขบวนรถไฟในส่วนต่อขยาย อยู่ที่ประมาณ 15-30 นาทีต่อรอบ นับเป็นการสูญเสียที่เปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

“ในส่วนนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนหลากหลายกลุ่ม ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นทั้งหมด อาทิ สถานศึกษาอย่าง มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม หน่วยงานราชการอย่างศาลอาญา สำนักการเจ้าหน้าที่ สำนักงานศาลยุติธรรม หรือแม้แต่คอนโดมิเนียมในเส้นทางรัชดา ลาดพร้าว-วังหิน ตลอดจนบริเวณลาดพร้าว-โชคชัย 4 ถึงบางกะปิ ที่ประชาชนจำนวนมากอาศัยอยู่ และมีการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่นอย่างมาก จึงอยากให้รัฐบาลและคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทบทวนในเรื่องนี้ดูอีกครั้ง” ภูวสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘นายกฯ’ ยัน!! ไม่ยกเลิกแจกเงินดิจิทัล คาด ปลาย ต.ค.นี้ ชัดเจน เผย ลงพื้นที่มีแต่ชาวบ้านทวงถามเงินหมื่น ย้ำพร้อมรับฟังทุกฝ่าย

เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กรณีประชาชนหลายพื้นที่เรียกร้องโครงการเงินดิจิทัลว่า มีประชาชนหลายพื้นที่แสดงเจตจำนงว่าอยากได้มาก ตนดีใจเพราะตลอด 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีนักวิชาการหลายท่านไม่เห็นด้วย เรียกร้องให้ยกเลิกโครงการ ตนยืนยันตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกฯ รัฐบาลและคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ ข้อแนะนำทั้งหลายจากทุกหน่วยงาน รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) ด้วย เราน้อมรับไปพิจารณา เพื่อปรับปรุงแต่งเติมให้ทุกอย่างดูดีขึ้น แต่ไม่มีการยกเลิก ยืนยันว่าโครงการเงินดิจิทัล ไม่ใช่โครงการหาเสียง ไม่ใช่โครงการที่มาโปรยเงินให้ประชาชนเลือกตั้งให้เรากลับมาใหม่ แต่เป็นโครงการที่เราตระหนักดีถึงความจำเป็นและความต้องการของประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

“คนต่างจังหวัดไม่ได้มีเงินเยอะเหมือนคนที่อยู่บนฐานบนของสังคม ความเหลื่อมล้ำมีเยอะมากในสังคมไทย เขาไม่มีเงิน งบประมาณของโครงการนี้ประมาณ 5 แสนกว่าล้านบาท ไม่ใช่งบประมาณที่ทำทุกปี ขอทำความเข้าใจว่าทำแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ตั้งใจเอามาเพื่อซื้อเสียง เราทำออกมาเพื่อให้โดนใจประชาชนและมีเงินทุนในการประกอบอาชีพอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี”

“นักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ผมน้อมรับ แต่ท่านก็เป็นแค่หนึ่งเสียง พี่น้องประชาชนมีอีกหลายสิบล้านเสียงที่ต้องการเงินดิจิทัล เราน้อมรับฟังและนำไปปรับปรุงเพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เสียภาษี ฝ่ายประชาชนที่มีความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจอย่างมากที่หมักหมมมานาน ผมขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะไม่ลุด้วยอำนาจ และจะฟังความคิดเห็น แต่เหนือสิ่งอื่นใดความลำบากของประชาชน การที่ประชาชนขาดเงินทุนที่จะไปดำรงชีพเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญที่สุด ยืนยันจะไม่มียกเลิกเงินดิจิทัล” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับนักวิชาการที่เห็นต่างเพื่อให้ไม่ให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ดี นายเศรษฐากล่าวว่า ยืนยันตนคุยตลอด สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และทีมงานก็คุยกับนักวิชาการหลายท่าน ได้ไปพูดคุยและรับฟังตลอด

เมื่อถามว่า การที่ยังมีเสียงคัดค้านเป็นไปได้หรือไม่เพราะยังไม่เห็นรายละเอียด นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นไปได้ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาจยังไม่เข้าใจ ดังนั้น ขอให้ตกผลึกทั้งหมดก่อนในแง่นโยบายว่ารายละเอียดมีอะไรบ้าง เช่น บางคนบอกว่าระยะทาง 4 ตารางกิโลเมตรอาจไม่พอ เพราะบางพื้นที่มองไปมีแต่ทุ่ง ไม่มีร้านค้าจะทำอย่างไร รัฐบาลรับฟังเดี๋ยวจะไปพิจารณาใหม่ คาดว่าน่าจะปลายเดือนตุลาคมน่าจะออกมาได้ทุกอย่าง ขอให้อดทนนิดหนึ่ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top