Saturday, 4 May 2024
เศรษฐา

‘เศรษฐา’ ฟิต!! ยกทัพลุย ‘พังงา’ รับฟังผู้ประกอบการ ‘ด้านท่องเที่ยว’ พร้อมผลักดันสร้างสนามบินแห่งใหม่ หวังกระตุ้นเม็ดเงินเข้าประเทศ

(26 ส.ค.66) ที่รร.มอริซี เขาหลัก พังงา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบายพรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพท. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.พังงา เพื่อพูดคุยกับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว มีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผวจ.พังงา และ นายกฤษ สีฟ้า อดีตผู้สมัครสส.พังงาพรรคพท.โดยผู้ประกอบการได้เสนอให้มีการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ จัดระบบขนส่งมวลชนให้มีคุณภาพ เพื่อรับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้จ.พังงาและจังหวัดใกล้เคียง และขอให้รัฐบาลช่วยจัดกิจกรรมดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในช่วงโลซีซัน

จากนั้นนายเศรษฐา กล่าวว่า แปลกใจไม่มีนายกฯ มาถึงจ.พังงาถึง 10 ปี เพราะทราบกันดีว่าพื้นที่โซนนี้เป็นแหล่งรายได้ที่มีอนาคต ทำรายได้ให้ประเทศ พรรคพท.ไม่มีสส.ในพื้นที่ ต้องขอบคุณนายกฤษ รวมถึงนายพร้อมพงษ์ที่ดูแลพื้นที่ไม่เหน็ดเหนื่อยแม้เพื่อไทยไม่มีสส. แต่ตนก็จะมาพื้นที่อีก แม้เราไม่มีสส.แต่เพื่อไทย ไม่ยึดเรื่องการเมืองแต่ยึดคนไทยทั้งประเทศ เราดูองค์รวมการพัฒนาประเทศเป็นหลัก วันนี้เศรษฐกิจตกต่ำมาก เราต้องเพิ่มรายได้ซึ่งการเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน คือเรื่องของการท่องเที่ยว เรารับฟังการสร้างสนามบินใหม่ ขอให้มั่นใจสนามบินใหม่รับเที่ยวบินขนาดใหญ่ได้แน่นอน และโครงการต่างๆ ที่มีการพูดถึงแม้หากดูรายโครงการอาจคุ้มทุนช้า แต่ถ้าดูองค์รวมผลตอบแทนน่าจะคุ้ม หากรัฐบาลพท.ผ่านการถวายสัตย์แล้วจะไม่ดูแยกโปรเจกต์ แต่จะดูองค์รวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่พังงา ภูเก็ต จะไปดูถึงระนอง รวมถึงจะไปดูเรื่องหลังบ้านเรื่องสิ่งแวดล้อมต้องทำควบคู่ไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจ การดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่ก็สำคัญเช่นกัน สำหรับการท่องเที่ยวด้านสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะมีการพักอาศัยระยะยาวและมีค่าใช้จ่ายที่ดี แต่ถ้าหลายจังหวัดเปิดพร้อมกันอาจขาดแคลนบุคลากร รัฐบาลก็จะให้ความสำคัญในส่วนนี้ด้วย สำหรับเรื่องของอีวีบัส ผู้ว่าการท่าฯ ระบุติดต่อได้เลยพร้อมทำได้เลย เรื่องครม.สัญจร อาจแยกเป็นครม.เศรษฐกิจ หรือครม.มั่นคงเป็นกลุ่มเล็กสะดวกมากกว่า ยืนยันว่าจะกลับมาอีก 

จากนั้นนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์หลังพูดคุยกับผู้ประกอบการว่า มีข้อเสนอที่คล้ายคลึงกับจ.ภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน สนามบิน เมื่อถามว่าโอกาสสร้างสนามบินพังงา เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญของพรรคพท.ที่จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้น เมื่อถามว่าในระยะสั้นเราจะนำสนามบินเดิมมาปรับปรุงหรือจัดสร้างสนามบินใหม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดก่อน แต่หากจะทำก็อยากให้ดีเลย และเข้าใจว่ามีแผนอยู่แล้ว และมีการกำหนดที่ไว้แล้ว 

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กจะส่งต่องานให้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอบคุณ แต่ตนยังไม่ได้อ่านเฟซบุ๊กของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตนจะรับไปพิจารณา และมีหลายท่านที่อยู่ในรัฐบาลเดิม ก็จะไปพูดคุยและไปรับฟังงานที่ทำค้างไว้ โดยเฉพาะการลงทุนที่ทำจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าจะสามารถต่อยอดไปได้ 

เมื่อถามว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่พล.อ.ประยุทธ์จะฝากไว้กับรัฐบาลใหม่ พรรคพท.จะสานต่ออย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องมาดูกันว่าในส่วนไหนที่สามารถทำได้หรือไม่ได้อย่างไร เพราะโลกปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปโดยเร็วพอสมควร ซึ่งต้องดูให้ดีก่อน ไม่อยากบอกว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ย้ำว่าขอศึกษาก่อน 

เมื่อถามว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ลงตัวขึ้นพร้อมที่จะเสนอชื่อเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ใกล้เคียงมาก พยายามเต็มที่ โดยชื่อที่มีการนำเสนอในข่าวถือว่าใกล้เคียง เรามีคณะเจรจาและการเจรจาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี โดยลงรายละเอียดไปถึงรัฐมนตรีช่วยฯ ว่าควบคุมกรมอะไร อยู่ในช่วงการต่อรอง สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือเรื่องของความถนัดของบุคคลที่จะมาดูแลในเรื่องของกรมนั้นๆ ด้วย เพราะเราต้องเอาเรื่องของความเจริญบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งสรรอะไรอย่างเดียว อีกนิดเดียว ขอให้ใจเย็น เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยรอบนี้ ได้กระทรวงมหาดไทยไปคุมภูมิภาคท้องถิ่นทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยจะเสียเปรียบหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องดูไปก่อน ขอดูก่อนว่าจะมีการแบ่งงานกันอย่างไร เพราะต้องมีรัฐมนตรีช่วยด้วย ขอให้ใจเย็นๆ

เมื่อถามว่าผู้แทนการค้าไทยที่ในรัฐบาลเดิมเหมือนจะมีบทบาทน้อย รัฐบาลใหม่จะนำมามีบทบาทอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าโลกเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเอฟทีเอ เรื่องการเปิดตลาดเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการเชื้อเชิญนักลงทุนของต่างประเทศเข้ามา เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตามความเข้าใจของตน ผู้แทนการค้าไทยมี 5 คน และสามารถตั้งประธานได้อีก 1 คน จะเป็นหัวหอกสำคัญในการพัฒนาประเทศ ส่วนจะเป็นของพรรคพท.ทั้งหมดเลยหรือไม่นั้น ตรงนี้เราต้องให้เกียรติกันนิดนึง เราต้องดูความเหมาะสมและความสามารถของบุคลากร เมื่อถามว่าที่บอกว่าครม.สัดส่วนของพรรคพท.ลงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า “นิดๆ หน่อยๆ 2-3 ตำแหน่ง” เมื่อถามว่าทีมเศรษฐกิจของพรรคพท.จะเป็นทีมที่แข็งแกร่งหรือไม่เพราะนายกฯ จะควบตำแหน่งรมว.คลังด้วยตัวเอง นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ ไม่อยากพูด แต่เราพยายามเต็มที่ ในสภาวะที่ค่อนข้างจะลำบากเศรษฐกิจที่มีปัญหา คาดว่ามีความคาดหวังสูง แต่ตนเชื่อว่าคนที่ถูกคัดเลือกตัวมาก็พร้อมที่จะทำงานบนความเหน็ดเหนื่อย 

เมื่อถามว่า รมช.คลังต้องทำงานรู้ใจรัฐมนตรีเลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่ต้องทำงานร่วมกันได้ แต่เชื่อว่าทั้ง 11 พรรคที่มาทำงานร่วมกัน เข้าใจถ่องแท้ถึงความต้องการและปัญหาของพี่น้องประชาชน เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่กระทรวงมหาดไทยที่เดิมมีชื่อของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ล่าสุดมีชื่อเป็นรองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ท่านจะเสียใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนเข้าใจ และกระทรวงใหญ่ๆ ตนก็คิดว่ามีการพูดคุยกันแล้ว หลายคนที่เป็นผู้ใหญ่และไม่ใช่แค่พรรคเดียวก็มีความเข้าใจ และชำนาญไม่ใช่แค่กระทรวงเดียว หลายคนผ่านการทำงานมาเยอะ เชื่อว่าเหมาะสมและพร้อม เมื่อถามว่าวันที่ 28 ส.ค.นี้รายชื่อ ครม.จะเรียบร้อยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “หวังว่า” 

เมื่อถามว่ากระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะใช้ได้เมื่อไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เราเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน ขอดูรายละเอียดอีกเล็กน้อย ซึ่งในวันที่ 28-29 ส.ค. นี้จะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาพบปะพูดคุยกัน เพื่อจะรวบรวมข้อมูลแล้วจะขอเขียนไทม์ไลน์อีกครั้ง หวังว่าในไตรมาส 1 ปีหน้าจะทำได้ เมื่อถามว่ามีผลสำรวจของศรีปทุมโพลระบุว่าพรรคพท.มีความนิยมลดลงจะเร่งฟื้นความเชื่อมั่นอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าผลงานอย่างเดียว วันนี้เราทำงานตลอดทุกวัน ทุกคนไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ส่วนเรื่องของความคาดหวังของบุคคลอื่นนั้น เราควบคุมไม่ได้ และเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจถึงความบอบบางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เราจะต้องเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้

‘เศรษฐา’ เรียก 8 สายการบิน ร่วมถกรับมือไฮซีซันไตรมาส 4 ปลื้ม!! สายการบินตอบรับฟรีวีซ่า เพิ่ม นทท.-กระตุ้นเศรษฐกิจ

(28 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ 8 สายการบิน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และหาแนวทางแก้ไขด้านการบิน เพื่อยกระดับการท่องเที่ยว โดยมีตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานด้านนโยบาย, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สส.บัญชีรายชื่อ, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่

ด้านตัวแทนของสายการบิน ได้แก่ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผอ.ใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน), นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผอ.สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย, นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน), นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยเวียตเจ็ท, นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย, นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์, นายชัยยง รัตนาไพศาลสุข รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จํากัด, นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน), นายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และนายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท สายการบินนกแอร์ จํากัด (มหาชน)

สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการสะท้อนมายังนายกฯ และพรรคเพื่อไทย เช่น
1.) การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินให้ทันกับฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างน้อย 20%
2. การเพิ่มศักยภาพเครื่องบินให้ทันกับการปรับเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น
3.) การเพิ่มโอกาสผลักดันนักท่องเที่ยวในตลาดขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดียให้มากขึ้น
4.) การเพิ่มจำนวนเครื่องบินให้มีความเหมาะสมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล

นายเศรษฐา กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณที่ทุกคนสละเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องของการท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล วันนี้พรรค พท. เรามาพร้อมกับว่าที่รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ว่าที่ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ว่าที่เลขานายกฯ ว่าที่ รมว.คมนาคม และว่าที่ รมช.คลัง วันนี้เราพร้อมมาฟังความคิดเห็นจากสายการบินทั้งหมดว่ามีอะไรให้เราช่วยเหลือบ้าง เมื่อถวายสัตย์ฯแล้วจะดำเนินการทันที ซึ่งรัฐบาลพรรค พท.มีความร้อนใจว่าไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว ถ้าเราเริ่มทำงานได้ก่อนจะเป็นการแสดงความได้เปรียบ เพื่อให้ภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะรองรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยว

นายเศรษฐา กล่าวว่า และขอขอบคุณ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยกันส่งเสริมการทำงานกับรัฐบาล พท.ในการเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน ซึ่งเป็นการส่งเสริมรายได้เข้าประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น ทั้งในเรื่องของการบริหารจัดการภายในสนามบิน การเพิ่มเที่ยวบิน การเพิ่มหรือขยายรันเวย์ เป็นต้น

ส่วนข้อเสนอของสายการบินต่างๆ ถือว่าเป็นความร่วมมือที่ดีในการร่วมกันส่งเสริม และสร้างรายได้เข้าประเทศ เป็นเรื่องดีที่ทุกสายการบินให้การตอบรับนโยบาย Free visa ในบางประเทศที่มีศักยภาพ เช่น จีน ซึ่งคาดว่าทุกสายการบินมีความต้องการขยายจำนวนเที่ยวบินรับนักท่องเที่ยว ทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและต่างประเทศ รัฐบาลที่นำโดยพรรค พท.มีแผนที่จะไปโปรโมทการท่องเที่ยวไทยในต่างประเทศในปีหน้าในเที่ยวบินที่มีความพร้อม ซึ่งแต่ละสายการบินมีสัญญาณที่ดีว่า หากรัฐบาลสามารถเพิ่มความต้องการนักท่องเที่ยวไทยได้ สายการบินจะมีการแข่งขันกันโปรโมทการท่องเที่ยวร่วมกัน ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงตั๋วโดยสารได้ในราคาที่เหมาะสม

'เศรษฐา' ลั่น!! ประชุม ครม.นัดแรกประกาศลดราคาพลังงานแน่ แย้ม!! 'สุพัฒนพงษ์' เน้นส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

(30 ส.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้การต้อนรับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพื่อหารือถึงการส่งไม้ต่อในการทำงานด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดทำร่างนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา

เวลา 12.50 น. นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการหารือเรื่องของราคาพลังงาน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ก็ได้ฝากฝังไว้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือขั้นตอนในการลดราคาค่าไฟกับค่าน้ำมันดีเซล โดยจะมีประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกแน่นอน 

เมื่อถามว่าหลังการประชุมครม. นัดแรกจะสามารถลดได้ทันทีแน่นอนใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ทันทีครับทันที ประกาศทันทีและขอดูขั้นตอนนิดหนึ่ง” ก่อนจะย้ำว่าทำงานไม่หยุด เพราะต้องดูนโยบายอื่นๆ ด้วย และถือว่านายสุพัฒนพงษ์ให้ความกรุณาและยินดีส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการลดราคาพลังงานว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค เมื่อถามถึงนโยบายหลักที่เสนอต่อ พท. ที่จะนำไปเป็นนโยบายร่วมของรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่า ส่วนการพูดคุยอย่างเป็นทางการต้องให้ หัวหน้าพรรค รทสช.มาพูดคุยกันอีกครั้ง วันนี้เป็นการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า มีอะไรจะส่งไม้ต่อไปถึงรัฐบาลใหม่ได้ การมาหารือวันนี้ เป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลรักษาการ จะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่ามีอะไรจะส่งมอบ หรือส่งต่อความคิดเห็นใดๆ ไปถึงรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ได้ขอรับทราบสิ่งที่รัฐบาลรักษาการ หรือรัฐบาลที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้บ้าง ส่วนจะสานต่อเรื่องอะไร จะดัดแปลง หรือทำให้ดีขึ้นก็เป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ ว่าจะพิจารณา และในการหารือ นายเศรษฐาก็รับทราบสิ่งต่างๆ ของรัฐบาลที่ทำมาแล้ว ถือเป็นการให้ข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้รัฐบาลใหม่สามารถพิจารณานโยบายเดิมที่ทำอยู่แล้วไปพิจารณาต่อได้โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยข้อคิดเห็นต่างๆ มีการคุยกันครั้งนี้ก็คงจะมีการไปพิจารณาในรายละเอียดอีกที

เมื่อถามว่ามีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำนโยบาย ร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อแถลงต่อรัฐสภาหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษในลักษณะของการหารือด้านนโยบาย เพราะคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่นำข้อมูลต่าง ๆ ไปพิจารณา

‘เศรษฐา’ ย้ำตรวจคุณสมบัติ รมต.เสร็จ จะนำยื่นทูลเกล้าฯ ทันที กำชับ สส.รับผิดชอบองค์ประชุม ยัน!! พร้อมตอบกระทู้ด้วยตัวเอง

(1 ก.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ กรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบกลับคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรีแล้วหรือยังว่า “ยังครับ เข้าใจว่าวันนี้น่าจะตอบกลับมา” โดยตนพยายามเร่ง โดยจะตามไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตอนนี้รอเพียงความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเท่านั้น และตนไม่อยากให้ไปเน้นที่นายพิชิต ชื่นบาน ว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะดูคนอื่นด้วยเหมือนกันรอให้แน่นอนดีกว่า 

เมื่อถามย้ำว่า หากทุกอย่างเรียบร้อยจะสามารถยื่นทูลเกล้าฯ ได้ในวันนี้เลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ครับ นั่นคือความตั้งใจครับ” เมื่อถามถึงความคืบหน้าการร่างนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาตอนนี้เรียบร้อยแล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า “ยังเหลืออีกนิด โดยวันนี้จะมีการพูดคุยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งน่าจะจบได้ด้วยดี”

เมื่อถามถึงกรณีสภาฯ ล่มเมื่อวันที่ 31 ส.ค. พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแกนนำเสียงข้างมาก จะกำชับพรรคร่วมในการให้ความสำคัญกับสภาฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ความรับผิดชอบต่อสภาฯ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด และในการประชุม สส.สัปดาห์หน้า จะพูดคุยเรื่องนี้กัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรเกิด”

เมื่อถามว่า เมื่อเป็นนายกฯ แล้วจะเข้าไปตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเองหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ต้องดูว่าติดภารกิจอะไรหรือไม่ เพราะอยู่ฝ่ายบริหาร แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อฝ่ายนิติบัญญัติด้วย หากฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อกังวลหรือข้อเป็นห่วง เป็นหน้าที่ของนายกฯ ที่จะต้องเข้าไปตอบ หรือมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยตอบ

เมื่อถามถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาระบุได้รับหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯแล้ว นายเศรษฐา กล่าวว่า “ยังไม่ทราบเรื่อง”

เมื่อถามว่า หากรัฐบาลรักษาการดำเนินการตามขั้นตอนยังไม่เสร็จสิ้น รัฐบาลต่อไปจะดำเนินการอย่างไรต่อ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ยังไม่ทราบเรื่อง และเรื่องของนายทักษิณถือเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านก็บอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับทางพรรค”

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่อำลาตำแหน่ง นายเศรษฐาจะมีอะไรฝากไปยัง พล.อ.ประยุทธ์บ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า วันที่ตนไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำเนียบ เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ถามว่าท่านจะไปทำอะไร เพราะเข้าใจว่าท่านชอบตีกอล์ฟ ซึ่งตนได้แนะนำว่าท่านควรไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง ซึ่งท่านได้บอกว่า ลูกสาวของท่านทั้งสองคนไปเที่ยวต่างประเทศก็สนุกดี ตนจึงบอกให้ท่านลองให้ลูกสาวพาไปเที่ยวต่างประเทศ ขอให้รักษาสุขภาพให้ดี ไปเที่ยวต่างประเทศก็ขอให้สนุก

‘เศรษฐา-สุทิน’ ร่วมวงทานข้าวกับ ‘ผบ.เหล่าทัพ’ กระชับความสัมพันธ์ ขอให้ทหารช่วยพัฒนาประเทศ-เป็นแบ็กอัป จับมือทำงานไปด้วยกัน

(3 ก.ย. 66) ที่โรงแรมโรสวูด ย่านเพลินจิต กทม. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้นำนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ร่วมพบปะรับประทานอาหารกลางวัน กับผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ ได้แก่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รองผู้บัญชาการทหารบก ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยว ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ ส่วน พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ โดยการพบปะครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้มีรายงานว่า การพบปะครั้งนี้เพื่อทำความรู้จักกัน โดยนายเศรษฐาได้ขอให้ทหารมาร่วมกันพัฒนาประเทศ และขอให้ทหารช่วยเป็นแบ็กอัป อยากให้จับมือไปด้วยกัน เพราะประเทศเป็นของพวกเราทุกคน ซึ่งการพบปะครั้งนี้ยังไม่มีการพูดคุยลงลึกในรายละเอียดแผนงานของกองทัพ เพราะยังไม่ถึงเวลา พร้อมกันนี้นายเศรษฐาได้ให้นายสุทิน ในฐานะ รมว.กลาโหม ไปทำการบ้านงานในตำแหน่งมา ซึ่งนายสุทิน ก็รับฟังและร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ

'สมชัย' เทียบฟอร์มแถลงนโยบาย 'เศรษฐา-ประยุทธ์' ชำแหละ 5 ข้อ คนหนึ่งวนไปวนมา อีกคนทำได้ไม่ถึง 30%

(11 ก.ย. 66) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแถลงนโยบายของรัฐบาล ดังนี้…

เมื่อคืนนั่งอ่านนโยบาย เศรษฐา แล้วกลับไปอ่านนโยบายประยุทธ์ 2

มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง

1. ความยาวนโยบาย : เศรษฐา ยาว 14 หน้า ของประยุทธ์ 33 หน้า
2. การใช้เวลาในการจัดทำหลังจากวันได้รับเลือกเป็นนายก จนถึงวันแถลงนโยบาย : เศรษฐา 21 วัน ประยุทธ์ 51 วัน
3. สไตล์การเขียน : เศรษฐา เป็นแบบพรรณนา แบ่งเป็น ระยะสั้น 5 เรื่อง ระยะกลางและยาว 3 กลุ่มเรื่อง โดยมีนโยบายเรื่องต่างๆ แทรกอยู่ ต้องไปอ่านจับประเด็นให้ได้ 

ส่วน ประยุทธ์ เป็นแบบวิชาการ แบ่งหัวข้อ ระยะยาว 12 ข้อ ระยะสั้น 12 ข้อ ในแต่ละข้อแบ่งเป็นข้อย่อย .1 .2 .3 อ่านจับประเด็นได้ง่ายกว่า

4. เดาเรื่องคนเขียน : เศรษฐา น่าจะเป็นคนในพรรค หรือหากใช้คนของราชการ อาจเวลาน้อยเลยได้แค่นี้ ส่วนของประยุทธ์ สภาพัฒน์ เขียนให้ชัวร์ 
5. ความรู้สึกเมื่ออ่านแล้ว : เศรษฐา วนไปวนมา คลุมเครือ แต่มีความหวังในบางเรื่อง เช่น เรื่องเงิน 10,000 บาท ได้แน่ สิ้นหวังบางเรื่อง เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ พูดอ้อมๆ แอ้มๆ การปฏิรูปกองทัพ พูดเรื่องไม่ใช่แก่นสาร

ของ ประยุทธ์ อ่านแล้ว เหมือนอ่านแผนพัฒนาประเทศ เขียนไปงั้นๆ พอครบระยะ ห้ามกลับไปอ่านอีก เพราะทำได้ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ 

รอคำแถลงทางการ ที่จะเพิ่มความหวังประชาชนวันนี้ครับ

‘ศิริกัญญา’ อัด!! นโยบาย ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ว่างเปล่า-ไร้เป้าหมาย-ไร้ตัวชี้วัด แถมไม่ตรงปกนโยบายช่วงหาเสียง ลั่น!! ให้อยู่เกรดเดียวกับรัฐบาลบิ๊กตู่

(11 ก.ย. 66) ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นสมาชิกคนแรกที่ขึ้นอภิปรายการแถลงนโยบายในวันนี้ โดยกล่าวถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยระบุว่าคำแถลงนโยบายที่ดีต้องบอกเป้าหมายว่ารัฐบาลใน 4 ปีนี้จะเดินทางไปด้วยเส้นทางไหน ด้วยวิธีการใด และจะไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ ซึ่งคำแถลงนโยบายเมื่อครู่นี้ ไม่แตกต่างไปจากเอกสารที่ออกมาก่อนหน้า ไม่ได้บอกอะไร มีแต่คำพูดกว้างๆ ไม่มีตัวชี้วัดและมีแต่คำขยายเต็มไปหมด ถ้าบอกว่านี่คือจีพีเอส ประเทศก็คงหลงทาง ว่างเปล่า และเบาหวิว

พรรคการเมืองไหนก็ตามที่คิดกลับคำ ไม่ยอมระบุนโยบายที่หาเสียงไว้ในการแถลงนโยบายเมื่อได้เป็นรัฐบาล โดยปราศจากเหตุผลที่รับฟังได้ พรรคการเมืองนั้นก็ย่อมคือผู้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน คำแถลงของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ตนขอให้อยู่ในเกรดเดียวกับรัฐบาลประยุทธ์ ที่น่าผิดหวังคือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาตรฐานตกจากสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายชัด มีนโยบายที่หาเสียงบรรจุไว้ตรงเกือบทั้งหมด มีกรอบเวลาตั้งแต่ช่วง 1 - 4 ปี

การแถลงนโยบายที่ดี สิ่งแรกที่ควรจะมีคือเป้าหมายที่ชัดเจน ตัวชี้วัดที่วัดผลได้ มีกรอบเวลาชัดเจน ไม่ใช่แค่บอกว่าอยากให้ประเทศเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่มีตัวชี้วัดว่าประเทศไทยบรรลุเป้าหมายนั้นหรือยัง ไม่ใช่การเขียนแบบพูดอีกก็ถูกอีก เหมือนพูดว่า ‘น้ำเป็นของเหลว’

ต่อมา คำแถลงนโยบายต้องมีคำอธิบายแต่ละนโยบายที่ชัดเจนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร ไม่ใช่เหมือนเป็นแค่คำอธิษฐานหรือ wish list ที่สำคัญ การหาเสียงเลือกตั้งต้องเป็นสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้รับเลือกมาแล้วก็ต้องทำตามสัญญา ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งก็ไร้ความหมาย 

สุดท้ายต้องกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีรายละเอียดชัดเจน ตรงกับนโยบายที่ได้สัญญาไว้ กรอบเวลาก็ชัดมาก แต่ในรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่เข้าใจว่ามาจากพรรคเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่มีทั้งรายละเอียด ไม่มีการกำหนดเป้า ไม่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน

“คุณเศรษฐาแถลงเป้าหมายของบริษัทแสนสิริด้วยมาตรฐานการแถลงเป้าหมายของบริษัทระดับโลก มีเป้าหมาย กรอบระยะเวลา ตัวชี้วัดที่ชัดเจน แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐากลับแถลงเป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยด้วยมาตรฐานเดียวกันกับรัฐบาลประยุทธ์ คือเลื่อนลอย ไม่ยอมสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรมทั้งนั้น” ศิริกัญญา กล่าว

แต่ที่สำคัญ คือนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้ของพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในเล่มแถลงนโยบาย พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคำพูดไปอย่างชัดเจน จากที่มีตัวเลขเป้าหมายก็กลายเป็นนามธรรม จากที่มีตัวเลขระยะเวลาก็ตัดทิ้งไป

การแถลงนี้ ยังเป็นการแถลงที่ปราศจากความทะเยอทะยานที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลับตาข้างหนึ่งแล้วก้าวข้ามความขัดแย้งเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง สามจังหวัดชายแดนใต้ การลดความเหลื่อมล้ำ ไม่กล้าแตะเรื่องยากที่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ทั้งที่ตอนหาเสียงท่านกล้าหาญกว่านี้มาก คล้ายกับตอน พล.อ.ประยุทธ์แถลง ซึ่งตนคิดว่าเป็นเพราะสองเหตุผล กล่าวคือ

1) รัฐบาลกลัวการผูกมัด กลัวทำไม่ได้อย่างที่สัญญา หรือมองว่าบางนโยบายไม่สามารถทำได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรหาเสียงกับประชาชนไว้แบบนั้นแต่แรก และ 2) การเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่นโยบายเป็นคนละขั้ว ซึ่งสุดท้ายหาข้อตกลงไม่ได้จึงต้องเขียนให้ลอยและกว้างไว้ก่อน แถมที่มาของอำนาจต้องเกรงใจกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มทุน จึงไม่กล้าทำเรื่องยากที่ต้องปะทะกับใครเลย

ส่วนในด้านเนื้อหานั้น มีการแบ่งเป็นตามกรอบระยะสั้น และระยะกลางและยาว โดยในกรอบระยะสั้นมี 6 เรื่อง แต่ยังขาดเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง pm2.5 ความขัดแย้งทางการเมือง และชายแดนใต้ เรื่องเหล่านี้ไม่เร่งด่วนอีกต่อไปแล้วเช่นนั้นหรือ?

ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เมื่อไล่ดูนโยบายที่บรรจุไว้เหลือแค่ 3 เรื่อง ที่ตนอยากเน้นเป็นพิเศษคือการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ถูกลดทอนเหลือแค่ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ทั้งที่ก่อนเข้าทำงานการเมือง นายกรัฐมนตรีเคยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ มีความคิดที่ตนสนับสนุนเห็นด้วยหลายประการ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นอยู่ในคำแถลงนโยบายแล้ว จึงอยากถามว่านายกรัฐมนตรียังคิดอยู่แบบเดิมหรือไม่ จุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทยยังคงเดิมอยู่หรือไม่

ต่อมา ตนขอกล่าวถึงแหล่งรายได้และที่มางบประมาณ โดยเฉพาะต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท ไม่ว่าจะออกแบบให้เป็นแบบใด รัฐบาลจำเป็นต้องมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน เพื่อรับประกันว่า 1 บาทในโลกจริงจะเท่า 1 บาทดิจิทัล ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแหล่งที่มาของเงินน่าเชื่อถือหรือไม่ หากทำไม่ได้ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของร้านค้า และอาจเกิดเป็นเงินเฟ้อในโลกดิจิทัลขึ้นได้

การจะมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน 5.6 แสนล้านบาท มีอยู่สองทางเลือกเท่านั้น คือ 1) การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือ 2) เงินนอกงบประมาณ ซึ่งปัญหาของการใช้งบประมาณแผ่นดินปี 2567 จะไม่พออย่างแน่นอน เพราะงบประมาณ 3.35 ล้านล้านบาท มีหลายค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถตัดทอนได้ เช่น งบประมาณชำระหนี้ ดอกเบี้ย เงินคงคลัง เงินอุดหนุนท้องถิ่น สวัสดิการตามกฎหมาย เหลือใช้จ่ายได้จริงๆ ก็แค่ราว 4 แสนล้านบาท ซึ่งไม่สามารถเอามาลงในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ทั้งหมด

หรือหากจะใช้ดุลเงินสดของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ต้องลดรายจ่ายจาก 1.2 ล้านล้านให้เหลือครึ่งหนึ่ง คุมเงินนอกงบประมาณให้สมดุล ซึ่งเงินสดก็ยังคงจะไม่พออยู่ดี จะมีการกู้ชดเชยขาดดุลล่วงหน้ามาใช้กับโครงการนี้หรือไม่ ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็จะเกิดค่าเสียโอกาสคือค่าดอกเบี้ย หากทำแบบนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงว่านอกจากงบประมาณจะไม่พอแล้ว เงินสดก็จะไม่พอด้วย

ส่วนการใช้เงินนอกงบประมาณ ก็ไม่สามารถใช้ได้ถ้าไม่แก้กรอบวินัยการเงินการคลัง หรือหากจะยืมเงินกองทุนหมุนเวียนมาใช้ ก็มีสองอยู่กองเท่านั้นคือกองทุนของผู้ประกันตนหรือข้าราชการบำนาญ ซึ่งก็ไม่สมควรที่จะทำ หรือสุดท้ายหากจะกู้ธนาคารรัฐ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีกรอบอยู่ที่ไม่เกิน 32% ของรายจ่ายงบประมาณประจำปี ซึ่งวันนี้กำลังจะถึงจุดนั้นแล้ว หากจะกู้จริงก็ต้องแก้ ม.28 ของกรอบนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งก็จะไม่สง่างามเท่าไหร่

สุดท้ายนี้ ความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องพึงระวังและไม่ได้อยู่ในคำแถลงนโยบาย คือการกระตุ้นเศรษฐกิจสมควรทำ แต่การวินิจฉัยโรคไม่ถูกก็อาจจะนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้อง เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ถ้าโตเฉพาะส่วนบน การลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมต้องจัดการระบบภาษีไปพร้อมกัน วิธีคิดนโยบายที่มีแต่การโยกกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา แต่หลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ เช่น กลุ่มทุนที่สามารถมีอำนาจเหนือตลาดและผูกขาด ย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไทยเปลี่ยนไปแล้ว ระดับหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เงินเฟ้อกำลังสูงทั่วโลก ส่งออกก็ไม่รุ่ง ตลาดก็กระจุกตัวขึ้น รัฐบาลจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร

“ดิจิทัลวอลเล็ตย่อมสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่นอน แต่มันไม่เพียงพอให้เกษตรกรขุดแหล่งน้ำบรรเทาภัยแล้ง ไม่สามารถทำให้เกษตรกรได้เอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ไม่สามารถช่วยผู้ส่งออกให้ส่งออกเพิ่มหรือไม่ตัดโอทีในโรงงานได้ จึงขอให้รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญให้ดี จะเทหมดหน้าตักแล้วหวังน้ำบ่อหน้าไม่ได้ แต่ข้อดีของการแถลงกว้างๆ แบบนี้ คือท่านยังมีโอกาสได้แก้ไขในการแถลงงบประมาณ เพื่อส่งมอบนโยบายอะไรบ้างใน 1 ปีข้างหน้าจากนี้” ศิริกัญญา กล่าว

'เศรษฐา' จะไม่ปล่อยมาเฟียครอบงำการทำงานของตำรวจ ขู่!! ถ้าเจอทุจริตฟันไม่เลี้ยงตั้งแต่ข้างบนถึงข้างล่าง 

(12 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นายเศรษฐาทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าหลัง พ.ต.อ.วชิรา ยาวไธสงค์ ผกก.2 บก.ทล. ยิงตัวเองเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเกี่ยวเนื่องคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงตำรวจ 2 นาย กลางงานเลี้ยงในบ้านพักของนายประวีณ หรือ กำนันนก ที่ จ.นครปฐม ว่า หลังจากที่เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (11 ก.ย.) ได้มีการพบกันกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทางผบ.ตร.ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรม แล้วบอกว่าวันเดียวกันนี้ กองพิสูจน์หลักฐาน จะมีผลที่สรุปค่อนข้างได้แน่นอนว่าเกิดจากอะไรในคดีการยิงตัวตายของ พ.ต.อ.วชิรา ตรงนี้ต้องให้ความสนใจ และเมื่อช่วงค่ำวานนี้ ตนได้พูดคุยกับผบ. ตร.อีกครั้ง ซึ่งผบ. ตร.ได้ยืนยันว่าในช่วงก่อนเที่ยงของวันนี้จะมีการแถลงข่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าผลเป็นอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะที่กำกับดูแลคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) จะให้ความมั่นใจกับข้าราชการตำรวจได้อย่างไร ว่าจะไม่มีอิทธิพลเข้ามาครอบงำ หรือทำให้การทำงานมีปัญหา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนได้พูดย้ำในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปแล้วด้วย ทั้งเรื่องอิทธิพลของกลุ่มทุน มาเฟีย หรือกลุ่มอิทธิพลต่างๆ เราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่ประชาชนมีความกังวลอย่างมาก และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย รับเป็นสิ่งที่เรายอมรับไม่ได้

"และเป็นสิ่งที่เราจะต้องไม่ยอมรับต่อไป และผมขอให้คำมั่นว่าจะจัดการอย่างเต็มที่ จะทำทุกอย่างเท่าที่มีอำนาจ จะไม่ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีก และจะบริหารจัดการอย่างถูกต้องเด็ดขาด และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย"นายเศรษฐา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดูแลข้าราชการตำรวจอย่างไร ตั้งแต่ระดับบนถึงระดับล่าง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะเรื่องแบบนี้ ถ้าหัวไม่ใส่หางจะไม่กระดิก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเข้าใจในความเป็นห่วง แต่ขอนิดนึง เพราะตนก็เพิ่งจะสั่งการได้เมื่อวานนี้เป็นวันแรกหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ก็ทำงานทันที และเข้าใจว่าตั้งแต่ข้างบนลงมาข้างล่าง ส่วนไหนมีปัญหาก็ต้องบริหารจัดการกันไป รับรองได้ว่าถ้าหากเจอเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ จะจัดการทันที

‘นายกฯ เศรษฐา’ หนุนสร้าง ‘สนามบินเชียงใหม่’ 7 หมื่นล้าน เล็งเพิ่มเที่ยวบินรอบดึก รองรับ นทท.-ลดความแออัดสนามบิน

(17 ก.ย. 66) ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พบปะผู้บริหารการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เพื่อร่วมพูดคุยประเด็นการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วม

นายกรัฐมนตรี รับฟังการดำเนินการเตรียมการรองรับการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาปรับปรุงท่าอากาศยานเชียงใหม่ เช่น การพัฒนาปรับอาคารผู้โดยสารเดิม การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ (แต่อยู่ในพื้นที่เดิม) รวมถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ในการแก้ปัญหา capacity หรือความแออัดของผู้โดยสารของสนามบินเชียงใหม่ปัจจุบันที่แม้จะมีการพัฒนาปรับปรุงสนามบินเพื่อรองรับผู้โดยสารแล้ว แต่เพื่อให้มีประสิทธิภาพรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้นตามเป้าหมายคือ 20 ล้านคนต่อปี จึงต้องมีการก่อสร้างสนามบินแห่งที่ 2 ขึ้น ส่วนการเพิ่มเที่ยวบินหลังเที่ยงคืนนั้น ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายที่มีอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า  AOT นอกจากดูแลเรื่อง EIA และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แล้วก็ให้ดูแลเยียวยาประชาชน ลดผลกระทบด้านเสียงให้เป็นไปอย่างเหมาะสม รวมถึงเยียวยาจิตใจด้วย พร้อมสอบถามถึงการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี จะเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับสนามบินปัจจุบันที่ผลกำไรอยู่ที่ 2 พันล้านบาทต่อปี ซึ่ง AOT รายงานว่าเมื่อก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่แล้วเสร็จจะสามารถมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี และสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 20 ล้านคนต่อปี ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ ในส่วนของระยะเวลาดำเนินการ 7 ปีนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม และขอเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ตามเป้าหมาย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้น ขอให้ AOT และ ตม. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเกิดความประทับใจและมีความปลอดภัย ขณะเดียวกันหากมีประเด็นการนำเสนอข้อที่เป็นไปในทิศทางอ่อนไหวและไม่ถูกต้อง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจง ทำความเข้าใจกับสังคมผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ ในรูปแบบที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย หรือการใช้ Influencer ต่าง ๆ เข้ามาช่วยอีกทางหนึ่งก็ได้ ซึ่งจะสามารถสร้างความเข้าใจได้มากขึ้น

‘อุ๊งอิ๊ง’ อุบตอบปมนั่งหัวหน้าพรรค ย้ำ!! พร้อมทำงานเต็มที่ ชม ‘เศรษฐา’ ฟิตมาก อ้อน ปชช.ร่วมให้กำลังใจให้นายกฯ

(19 ก.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกที่พรรคเพื่อไทยย่างเข้าสู่ปีที่ 16 ว่า วันนี้เป็นวันร่วมทำบุญพรรคเพื่อไทย แต่วันเกิดพรรคคือช่วง ก.ค. แต่ช่วงนั้นค่อนข้างยุ่ง และช่วงนี้สามารถจะจัดทำบุญได้ จึงรวบรวมคนในพรรคให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้มาทำบุญร่วมกัน

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยเดินหน้ามาถึงวันนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนคิดว่าวันนี้เราผ่านอะไรกันมามาก ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ก่อตั้งพรรคมา โดนยุบไปแล้ว 2 รอบ และสามารถกลับมาได้ ตนคิดว่าทุกคนมีความเข้มแข็ง ทุกคนประสบความสำเร็จในแต่ละแง่มุมที่แตกต่างกัน และส่วนตัวของพรรคที่ทุกวันนี้เราสามารถมีพรรคอยู่ และคิดนโยบายทำประโยชน์เพื่อประชาชนได้ ตนถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง ส่วนกรณีที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ตนตื่นเต้นมาก ที่อยากจะเริ่มทำงาน เพราะโครงการนี้เราคิดเป็นนโยบาย ก่อนที่จะออกแคมเปญในการเลือกตั้ง ซึ่งทำการบ้านเรื่องนี้มาเป็นปี ถ้าได้ทำเมื่อไหร่เราจะทำอย่างเต็มที่ ทั้งทีมงานและที่ปรึกษามีการเตรียมกันมามากพอสมควร เมื่อมีการฟอร์มทีมเป็นที่เรียบร้อยจะเริ่มทำงานทันที หากเริ่มคิกออฟแมตช์แรกเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะทำงานทันที

เมื่อถามว่าจะเข้าไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คงมีโอกาสได้เข้าไปทำงาน แต่ตนคิดว่าต้องดูที่สะดวกทั้งในส่วนของทีมงาน ซึ่งอาจจะต้องมีหลายวงประชุม และทำหลายหน้าที่ ดังนั้นสามารถทำงานได้หมด ในทุกสถานที่ที่สะดวกกับทีมงาน เพื่อให้ได้มีผลงานออกมาเร็วที่สุด

เมื่อถามถึงกรณีที่จะเข้าไปดูที่ทางตำแหน่งอื่นด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวติดตลกว่า “สื่อมวลชนชอบมอบตำแหน่งให้ตนทุกครั้ง ที่ได้มีการให้สัมภาษณ์ ซึ่งขอขอบคุณ แต่ยังคงไม่มองถึงตำแหน่งอื่น และหากได้มีโอกาสเข้าไป คงรู้สึกตื่นเต้น เพราะเคยเข้าไปทำเนียบตอนเด็ก สมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ คิดว่าหากได้เข้าไปอีก จะต้องดูว่ายังคงเหมือนเดิม เหมือนภาพจำหรือไม่ เพราะตนไม่ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลนานมากแล้ว”

เมื่อถามถึงกรณีที่มีรายชื่อติดโผที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่มีความพร้อมหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่หากถามว่าพร้อมหรือไม่ ส่วนตัวทำเพื่อพรรคอย่างทุ่มเทเต็มที่ ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และวันนี้เป็นวันเกิดพรรคครบ 16 ปี ดังนั้นความรักความผูกพันจึงพร้อมทำเพื่อพรรคอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม การจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่เป็น ตนเต็มที่กับพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่าเหมือนผู้ใหญ่ในพรรคต้องการดันคนรุ่นใหม่ เข้ามาทำงานในพรรค น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนพร้อมทำเพื่อพรรคอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเสียงเชียร์สนับสนุนเป็นกำลังใจให้ตน แต่ในช่วงไทม์มิ่งต่างๆ ที่ตนเข้ามาหากเกิดผลดีกับพรรคมากที่สุด รวมถึงกับสส. และทุกคน ดังนั้น ความหมายของตนคือถ้ามีคนที่ดีกว่า และจะนำพรรคได้ดีกว่าตนก็ยอม แต่ถ้าเป็นตนหากคิดว่าดีที่สุดก็ยอมเช่นกัน ซึ่งตนเป็นคนมองที่เป้าหมาย เมื่อมีคนพูดว่าตนควรเป็นหัวหน้าพรรค ตนเต็มที่แม้ว่ามีหรือไม่มีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้น จะไม่มีการน้อยใจ หากไม่ได้เป็นหรือได้เป็นหัวหน้าพรรค เพราะจุดยืนของเราคือทำเพื่อพรรค

เมื่อถามว่าได้ให้กำลังใจกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จริงๆ ทุกคนก็คงได้วางแพลนชีวิตตัวเองไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรทั้งในสภาฯ หรือนอกสภาฯ ก็รู้จักกันอยู่แล้ว ตนก็ขอให้กำลังใจด้วย

น.ส.แพทองธาร กล่าวถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลังในการทำงานว่า ได้มีโอกาสคุยกับนายกฯ และนายกฯ สู้มาก ซึ่งตนได้แซวนายเศรษฐาว่าเหนื่อยหรือไม่ นายกฯ ตอบว่าไม่เหนื่อย และมีงานเยอะมาก พร้อมบอกให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง นอกจากนี้ ตนยังแซวอีกว่าฝากดูทีมงานด้วย เดี๋ยวสลบกันไปหมดแล้ว และตนยอมรับว่านายกฯ สู้ และฟิตมาก ขยันมากจริงๆ จึงอยากขอฝากพี่น้องประชาชนให้กำลังใจนายกฯ ด้วย เนื่องจากอยากทำงานให้เต็มที่ เพื่อจะให้ประเทศไทยไปถึงจุดที่ดีขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top