Saturday, 4 May 2024
เพื่อไทย

พท. จี้ ทปอ. รับผิดชอบทำข้อมูลเด็ก TCAS รั่ว เหน็บเก็บค่าสอบแพง แต่คุณภาพเก็บข้อมูลต่ำ

พท. จี้ ทปอ. รับผิดชอบทำข้อมูลเด็ก TCAS ปี 64 รั่ว 2.3 หมื่นรายการ เหน็บเก็บค่าสอบแพง ต้องลงทุนระบบไอทีความปลอดภัยสูงด้วย

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก TCAS หลุดกว่า 23,000 รายการ และแฮกเกอร์นำไปประกาศขายว่า ถือเป็นการตอกย้ำความเสื่อมเสียของ TCAS อีกครั้ง ที่ทำให้ข้อมูลของเด็กที่สมัครสอบ TCAS ปี 2564 ในรอบ 3 หลุดไปจำนวนมากมายขนาดนี้ แม้ ทปอ. จะออกมาระบุว่าได้ประสานงานกับตำรวจในการสืบหาผู้กระทำความผิดที่ทำให้ข้อมูลหลุด แต่ยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะข้อมูลที่หลุดมีทั้งชื่อ นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน และข้อมูลอื่นๆ สิ่งที่ ทปอ. ควรทำ คือ ต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลที่หลุดออกมา เพื่อป้องกันการเกิดกรณีที่มิจฉาชีพนำข้อมูลไปใช้ในการหลอกลวงต่อ เพื่อสร้างความเสียหายให้กับเด็กและครอบครัวในอนาคต 

“ธนกร” ซัด "เพื่อไทย" มโน รัฐบาลอยู่ไม่ถึงจัด ”เอเปค” ยัน “นายกฯ” ไม่คิดยุบสภาฯ ชี้ ทำเสียเงินจัดลต.อื้อ เย้ย ฝ่ายค้านงัดข้อมูลตัดแปะ-ซักฟอกไร้นำ้หนัก

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะอยู่ถึงเป็นเจ้าภาพจัดประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APEC 2022)ต้อนรับผู้นำนานาชาติสู่ไทยในเดือนพ.ย.นี้ เพราะเจอทั้งศึกในและศึกนอก ว่า การที่พรรคการเมือง มีหลายกลุ่ม หลายก๊วน และแยกตัวออกไปอยู่กับพรรคอื่น ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมือง

เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยน่าจะเข้าใจดีที่สุด เพราะสมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย ก็มีหลายกลุ่มหลายก๊วน จนต้องแยกแกนนำพรรคแต่ละคนไปคุมแต่ละก๊วน เกิดปัญหามากกว่าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่อยากให้นายประเสริฐ รีบมโนว่าพรรคพปชร. จะต้องเป็นเหมือนพรรคเพื่อไทย เพราะอุดมการณ์ทางการเมือง ความเด็ดขาดกับการทุจริตคอรัปชั่น ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทย ที่มีอดีตรัฐมนตรีถูกตัดสินจำคุก อย่างแน่นอน

นายธนกร กล่าวว่า ยืนยันว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยังทำหน้าที่นายกฯบริหารประเทศเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยุบสภาฯเพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประชาชน มีแต่จะเสียงบประมาณจัดการเลือกตั้งใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของพรรคการเมืองบางพรรค คนบางกลุ่ม ที่แอบหวังว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาบริหารประเทศบ้าง ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล ยังเหนียวแน่น มีแต่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่พยายามยุยงรายวัน หวังจะให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองให้ได้ ทั้วที่รู้อยู่เต็มอกว่า เป็นแค่ความฝัน แต่ก็ขอให้ได้ฝัน

‘ทิพานัน’ ซัด ‘เพื่อไทย’ จงใจบิดเบือน ปัดรัฐบาลถังแตก ยันติดโควิดยังรักษาฟรี

“ทิพานัน” ซัดเพื่อไทยฆ่าคนทั้งแผ่นดิน จงใจสื่อสารบิดเบือนรัฐบาลปลดโควิดจากการรักษาฟรี ชี้เข้าข่ายผิดพรบ.คอมพ์ฯ - ผิดมนุษยธรรม ยันหากปรับออกจากภาวะฉุกเฉิน (UCEP) เพราะสถานการณ์คลี่คลาย ย้ำผู้ป่วยโควิดยังรับการรักษาฟรีทุกคน ตามสิทธิเดิมที่มีได้

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยมีการเผยแพร่รูปภาพตัดตอนบิดเบือนข้อความให้ประชาชนหลงเข้าใจผิดว่าจะมีปลดโควิดจากการรักษาฟรีว่า เป็นการสื่อสารที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ที่นอกจากจะแสดงถึงมาตรฐานการสื่อสารของพรรคเพื่อไทยที่ตกต่ำลงแล้ว ยังส่งผลเสียหายอย่างประเมินไม่ได้ต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนที่หลงเชื่อข้อความดังกล่าว แล้วไม่ยอมเข้ารับการรักษาเพราะคิดว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำเพื่อประชาชนตามที่มักชอบกล่าวอ้าง 

“พรรคเพื่อไทยต้องระวังการตัดตอนข้อความไปสื่อสารเป็นภาพ แม้จะมีข้อความด้านใน แต่สะท้อนความจงใจบิดเบือนและสร้างความเข้าใจผิด เพียงแค่หวังจะโจมตีทางการเมืองอย่างนั้นหรือ อาจทำให้ประชาชนรู้สึกสิ้นหวัง หมดสิ้นหนทาง ไม่กล้าไปรักษา จนอาจเป็นการฆ่าคนทั้งแผ่นดินให้ตายทั้งเป็น เป็นการผิดหลักมนุษยธรรมที่ควรพึ่งมีต่อชีวิตมนุษย์ทั้งสิ้น" น.ส.ทิพานัน กล่าว

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ที่สำคัญกรณีนี้อาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดมาตรา 14 (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” 

น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงคือ แม้ในอนาคตอาจมีการปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ออกจากภาวะฉุกเฉินวิกฤติรักษาทุกที่ (UCEP) มาเป็นการรักษาตามสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพ ผู้ป่วยโควิดก็ยังสามารถเข้ารับการรักษาฟรีทุกคน สามารถเข้ารักษาตามระบบตามสิทธิสุขภาพของแต่ละคน ได้แก่ สิทธิสวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม บัตรทอง ฯลฯ และหากป่วยเป็นโควิดแล้วมีอาการฉุกเฉินด้วย เช่น มีไข้สูง หายใจไม่สะดวก หอบเหนื่อย ความดันต่ำ ไม่ค่อยรู้สึกตัว รู้สึกจะเป็นลม ก็สามารถเข้าโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่นอกระบบได้ด้วยอาการฉุกเฉินวิกฤตินั้น ทางกองทุนสุขภาพของผู้ป่วยรายนั้นๆ จะตามไปดูแลให้

‘เพื่อไทย’ อัดรัฐปล่อยกยศ.ล่าช้า ส่งผลร้าย ทำเด็กพลาดเรียนต่อมหาลัย

วันนิวัติ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนนักศึกษาเยาวชนของชาติในยุครัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและเยาวชนของชาติ ว่า “การดำเนินการของกองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ขณะนี้มีปัญหาอย่างมาก ล่าสุดโอนเงินให้นักศึกษาไม่ทันตามกำหนดเวลา ส่งผลให้นักศึกษาหลายคนพลาดโอกาสในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย เป็นการทำลายอนาคตของเด็กไทยที่จะสามารถศึกษาต่อ”

วันนิวัติ ชี้ว่า ปัญหาการโอนเงินให้นักศึกษาไม่ทันตามกำหนดเวลาดังกล่าวนี้ทำให้นักศึกษาหลายคนพลาดโอกาสทางการศึกษา เมื่อได้มีการสอบถามไปยังผู้รับผิดชอบก็อ้างว่าจะเร่งดำเนินการ และในประเด็นนี้ก็เป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ทราบว่าติดขัดในส่วนไหนปัญหาจึงเกิดขึ้นมาอยู่ตลอด ทั้งที่ กยศ. มีรายได้มหาศาล ในแต่ละปีใช้เงินจ้างทนายติดตามหนี้สิน ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ไล่ยึดทรัพย์ผู้ค้ำประกัน นำไปขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้จำนวนมาก 

‘เพื่อไทย’ ซัด 8 ปี รัฐบาลประยุทธ์ล้มเหลว ทำการเมืองพัง - ศก.เหลว - ไร้คำตอบส่วนต่างวัคซีน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศว่า 8 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศล้มเหลว สร้างวิกฤตการเมือง นำพาแต่หายนะทางเศรษฐกิจ จนประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า พร้อมตั้งคำถาม ‘ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่พลเอกประยุทธ์จะลาออก-ยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน?’

>> เศรษฐกิจพัง ประชาธิปไตยหาย: ขโมยอำนาจไป แต่บริหารบ้านเมืองไม่เป็น 
จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารบ้านเมืองด้วยอำนาจจากปลายกระบอกปืน ก่อนจะประกอบร่างสร้างอำนาจตนเองด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 จนนำมาสู่การสั่งสมอำนาจ ผ่านสมาชิกวุฒิสภาและองค์กรอิสระได้สำเร็จนั้น สะท้อนได้ว่ารัฐธรรมนูญไทยปัจจุบันนั้นกำลังขัดแย้งกับประชาธิปไตยสากลอย่างชัดเจน 

นั่นจึงหมายความว่า ประชาชนคนไทยต้องทุกข์ทนกับวิกฤตการเมืองมาตลอดตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศบ้านเมือง โดยประเสริฐระบุว่า “ในยุครัฐธรรมนูญ 2560 ของพลเอกประยุทธ์ถือเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองทำสัญญากับประชาชนผ่านนโยบายหาเสียง แต่เมื่อได้อำนาจแล้วกลับไม่ทำตามสัญญา ไม่ว่าจะเป็น สัญญาให้ค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท, เด็กจบใหม่ ป.ตรี ขั้นต่ำ 20,000 บาท อาชีวะ ขั้นต่ำ 18,000 บาท หรือ ลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดา 10%” 

8 ปีที่ผ่านมา การบริหารเศรษฐกิจของประเทศก็มีแต่ตกต่ำและถดถอยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 ขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์มุ่งทำคือ มีแต่ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนี้สาธารณะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ยอดหนี้สาธารณะก็ใกล้ชนกับเพดานที่กำหนดไว้ ดังนั้น วิธีแก้ของพลเอกประยุทธ์จึงเป็นการขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้สูงขึ้นแทน ซึ่งผลที่ตามมาคือ หนี้ครัวเรือนและหนี้ต่อหัวของประชากรสูงขึ้นตามไปด้วย 

โดยเฉพาะสัดส่วนความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน โดยตัวเลขจากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงที่สุดในโลก กล่าวคือคนรวยเพียง 10% ถือครองทรัพย์สินมากถึง 77% 

“ตั้งแต่ที่ท่านเข้ามาบริหารประเทศเศรษฐกิจของประเทศก็ทรุดต่ำลงเรื่อยๆ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนคนรวยสูงขึ้นโดยลำดับ กลุ่มทุนขนาดใหญ่นับวันจะรวยขึ้น แต่ประชาชนระดับฐานรากกลับจนลงทุกวัน เมื่อมาเจอปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจดิ่งเหวลงไปอีก ท่านไม่มีมาตรการหรือวิธีการใด ที่จะกอบกู้ระบบเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้เลย เพราะต้นตอของปัญหาของเรื่องนี้คือ การเอาผู้นำทหารที่ไม่มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ประเสริฐกล่าว

‘จิราพร’ ซัด ‘บิ๊กตู่’ ยกทรัพยากรชาติ ‘คิงส์เกต’ จี้ เปิดเผยค่าโง่หากไทยแพ้คดีเหมืองทองอัครา

“จิราพร” ซัด “บิ๊กตู่” แร่เนื้อเถือแผ่นดินให้ “คิงส์เกต” จี้ เปิดเผยค่าโง่หากไทยแพ้คดี พร้อมแฉ 11 รายการไทยขอประนีประนอม หวั่นพื้นที่สำรวจแร่ทับซ้อนที่อุทยานฯ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 ก.พ. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นวันที่สอง โดยมีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงคดีเหมืองทองอัคราตอนหนึ่งว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการเลื่อนออกคำชี้ขาดไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ถามว่าการเลื่อนแต่ละครั้งใครขอเลื่อน เลื่อนเพราะอะไร ใครได้หรือเสียประโยชน์ เพราะมีข้อสังเกตว่าพอเลื่อนอ่านคำชี้ขาด ไม่นานประเทศไทยจะทยอยคืนสิทธิการทำเหมือง เพิ่มพื้นที่สำรวจแร่ทองคำ และให้สิทธิอื่นๆ เกือบทุกครั้ง และตั้งแต่ประเทศไทยถูกบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด หรือ “คิงส์เกต” ฟ้องร้อง รัฐบาลไทยไม่เคยชี้แจงต่อประชาชนเลยว่าคิงส์เกต ฟ้องร้องไทยประเด็นใดบ้าง และเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ จากการเทียบเคียงกรณีเหมืองทองในประเทศเวเนซุเอลา ที่มีความคล้ายคลึงกันประเมินได้ว่า ถ้าไทยแพ้คดีจะต้องจ่ายขั้นต่ำประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยบอกว่าเป็นตัวเลขที่คาดการณ์ไปเอง หากเป็นเช่นนั้นตนขอถามว่าทำไมไม่กล้าบอกความจริงกับประชาชนว่าคิงส์เกตเรียกว่าค่าเสียหายเท่าไหร่ 

“อย่าอ้างว่าตอบไม่ได้เพราะเป็นความลับที่อนุญาโตตุลาการไม่ให้เปิดเผย เพราะในแถลงการณ์ของคิงส์เกตที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 61 ระบุว่า อนุญาโตตุลาการให้กระบวนการพิจารณาเป็นความลับ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามการทำหน้าที่ตามกฎหมาย การตอบคำถามส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติ เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์จะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบไม่ได้ อีกทั้งกระบวนการตอนนี้อนุญาโตตุลาการพร้อมอ่านคำชี้ขาดแล้ว แต่มีการขอเลื่อนไปเรื่อยๆ” น.ส.จิราพร กล่าว 

น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า สรุปแล้วรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์กับคิงส์เกต จะขอยกเลิกกระบวนการอนุญาโตตุลาการหรือจะเดินหน้าเจรจากัน หรือเลือกที่จะไม่เจรจา แต่จะสู้คดีกันจนถึงที่สุด หากไทยเลือกสู้คดีจนถึงที่สุดก็มีโอกาสแพ้คดีสูงมาก และต้องจ่ายค่าโง่ในรูปแบบเงิน ทองคำ หรือทรัพยากรประเทศ ซึ่งตรงกับข้อมูลของคิงส์เกตที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 64 โดยระบุว่าคิงส์เกตมีโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่สำเร็จจากชั้นอนุญาโตตุลาการ หากการเจรจากับไทยไม่สามารถสรุปผลสำเร็จได้ หมายความว่าเขามั่นใจว่าถ้าตัดสินชี้ขาด เขาจะชนะคดีแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบคือพล.อ.ประยุทธ์หรือประเทศ พล.อ.ประยุทธ์จะควักเงินตัวเองจ่ายหรือเอางบประมาณแผ่นดินไปจ่าย

น.ส.จิราพร อภิปรายอีกว่า ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงตรงไปตรงมา ว่าการเปิดทางให้คิงส์เกตนำผงเงิน ผงทองคำ ที่ถูกอายัดไว้ไปขาย การให้สิทธิสำรวจแร่เกือบ 4 แสนไร่ การให้สิทธิประทานบัตร 4 แปลง เป็นส่วนหนึ่งของการประนีประนอมเจรจายอมความหรือไม่ คดียังไม่ถึงที่สุดรัฐบาลก็ให้สิทธิเปิดเหมืองทำต่อ และคาดว่าที่รออนุญาตเกือบ 6 แสนไร่ จะได้รับการอนุมัติอย่างแน่นอน เป็นไปได้อย่างไรที่คดีพิพาทในเหมืองเดิมพื้นที่ 3 พันกว่าไร่ ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ตอนนี้นอกจากจะได้พื้นที่เดิมคืนยังได้สิทธิใหม่เพิ่มเติม เท่ากับต้องใช้สมบัติชาติเฉียด 1 ล้านไร่ เพื่อสังเวยค่าโง่จากการใช้มาตรา 44 สั่งปิดเหมืองทองอัครา

“รายการเหล่านั้นเป็นข้อแลกเปลี่ยน ในการเจรจาประนีประนอมยอมความกันหรือไม่ คำตอบอยู่ในแถลงการณ์ของคิงส์เกต ต่อตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 64 ระบุว่า คิงส์เกตและรัฐบาลไทย ได้ร่วมกันร้องขอคณะอนุญาโตตุลาการ ชะลอคำชี้ขาดไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค. 64 เพื่อขยายเวลาให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาหาข้อยุติข้อพิพาทร่วมกัน และคิงส์เกตได้เจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อพิจารณาข้อตกลง ซึ่งจะต้องทำตามขั้นตอนมีทั้งหมด 11 รายการ ตรงนี้ชัดเจนว่ามีการเจรจาประนีประนอมยอมความกัน” น.ส.จิราพร กล่าว

‘เพื่อไทย’ เตือน 'บิ๊กตู่' มีโอกาสเสียตำแหน่งสูง หากอยู่ถึงอภิปรายไม่ไว้วางใจตาม มาตรา 151

21 ก.พ. 65 - นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหาร และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตามที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ร่วมกันอภิปรายไม่ไว้วางใจตาม ม.152 แต่พลเอกประยุทธ์ กลับตอบในสภาไม่ตรงกับคำถาม ตอบเหมือนเขียนบทล่วงหน้ามาอ่าน ไม่ได้ตอบตรงคำถามที่ ส.ส. พรรคเพื่อไทยอภิปรายเลย แถมยังตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว โทษรัฐบาลที่แล้วทั้งที่ผ่านมาตั้ง 8 ปีแล้ว โทษประชาชน โทษภาวะของโลก แต่ไม่ยอมรับความผิดพลาดจากการบริหารของตนเองเลยโดยคนทั้งประเทศเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งหากยังไม่ยอมรับปัญหาทำเหมือนไม่ใช่ปัญหา พูดเหมือนทุกอย่างดีแล้ว ซึ่งจะไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้เลย ประชาชนจะยิ่งลำบากกันมากขึ้น

โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนกันอย่างมากจากความล้มเหลวในการบริหารของพลเอกประยุทธ์ แต่พลเอกประยุทธ์ ทำเหมือนไม่ใช่ปัญหาและปัดความรับผิดชอบ โดยมีหลายประเด็นที่พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ตอบเช่น ปัญหาของแพงพลเอกประยุทธ์ จะรับมืออย่างไร ปัญหาอันดับการทุจริตที่แย่ลงเรื่อยๆ จะแก้ไขอย่างไร จะอ้างว่าตนเองไม่ทุจริตแต่ดัชนีการทุจริตกลับทรุดลง 5 ปีซ้อน ปัญหาคนจนที่เพิ่มขึ้น คนตกงานที่พุ่งสูง ปัญหาราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นไปอีก การโอนเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 20,087.42 ล้านบาทไป จะนำมาคืนประชาชนเมื่อไหร่ การที่ ปตท. ไปซื้อบริษัทต่างชาติ 1.48 แสนล้านบาท เหมาะสมหรือไม่ ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ คนตกงานกันมากเพราะประเทศไทยขาดการลงทุน แต่ ปตท. กลับขนเงินไปลงทุนต่างประเทศ ปัญหาการท่องเที่ยว และจะยกเลิกค่าเหยียบแผ่นดินคนละ 300 บาทที่จะเป็นปัญหาหรือไม่ ความเสียหายจากความล่าช้าในการสร้างรถไฟความเร็วสูงทำให้ลาวแซงหน้าไทย ปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู (ASF) ที่จะทำให้ราคาหมูแพงเป็นปีๆ รวมถึงปัญหาโรคลัมปีสกินในวัว ปัญหาประสิทธิภาพทางการเกษตรที่พลเอกประยุทธ์ ไม่ได้พัฒนาเลยตลอด 7 ปี

นายพชร กล่าวต่อว่านอกจากนี้ยังมี ปัญหาการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นหลายเรื่องโดยเฉพาะภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะเก็บเพิ่มขึ้น 10 เท่า ปัญหาการอนุญาตให้ปิดกิจการประกันภัยที่รับประกันโควิดเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินคนที่ติดโควิดอีกในอนาคตที่โยงกับการซื้อที่ดิน 600 ล้านบาท ปัญหาการเอื้อประโยชน์เจ้าสัวในการปล่อยให้มีการผูกขาดทั้งการควบรวมแม็คโครกับโลตัส และล่าสุดการควบรวม True-DTAC และที่เป็นประเด็นสำคัญที่คนทั้งประเทศสนใจปัญหาเหมืองทองอัครา ที่มีการให้สัมปทานเกือบล้านไร่ เพื่อแลกการถอนคดีพิพาทที่พลเอกประยุทธ์ อาจจะแพ้เพราะใช้ ม. 44 

‘เพื่อไทย’ อัดนายกฯ ปล่อยแต่งตั้ง ‘เจ้าอาวาส’ ลักลั่น นี่ ‘วงการสงฆ์’ หรือ ‘วงการการเมือง’

นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งเจ้าอาวาส 50 วัด ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม และอาจสร้างปัญหาความร้าวฉานในวงการคณะสงฆ์ไทยไม่จบสิ้น ว่า นายกฯ ปล่อยให้มีการตั้งพระมหาเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวง โยกย้ายพระเด็ก พระลูกน้องในสังกัด ข้ามห้วยไปเป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่เหมือนย้ายข้าราชการ นี่มันวงการสงฆ์หรือการเมืองกันแน่?

นายนิยม ตั้งคำถาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณีมติแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดหลวง จำนวน 50 รูปว่าใช้หลักเกณฑ์อะไรมาตัดสินในการแต่งตั้ง พลเอกประยุทธ์ ไม่รู้เรื่องพระ แต่ปล่อยให้มีการตั้งพระมหา มาเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวง โยกย้ายพระเด็ก พระในสังกัด ข้ามห้วยไปเป็นเจ้าอาวาสวัดใหญ่ เหมือนย้ายข้าราชการ พลเอกประยุทธ์ได้กลั่นกรองมติแต่งตั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน รอบคอบ ตรงตามหลักเกณฑ์หรือไม่ เหตุใดจึงปล่อยให้มีการสอดไส้แต่งตั้งพระระดับมหา ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวง

ขณะนี้เรื่องนี้ในวงการสงฆ์ถกเถียงกันอย่างมากว่าพระระดับเจ้าคณะหน ใช้อำนาจ เล่นพรรคเล่นพวก โยกย้ายพระเด็กในสังกัดไปวัดใหญ่โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม ทำลายจารีตประเพณีที่สืบทอดมานาน จึงเหมือนการยืมมือมหาเถรสมาคมแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรีจะแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้มีการใช้มหาเถรสมาคมตกเป็นเครื่องมืออย่างไร

'เพื่อไทย' ทวง 'นายกฯ' ตอบปมพลังงานหลังจบอภิปราย พร้อมจี้คืนเงินกว่า 2 หมื่นล. คืนกองทุนอนุรักษ์พลังงาน

เลิศศักดิ์ ส.ส. เพื่อไทย ทวงนายกฯ ตอบคำถามเรื่องพลังงาน จี้ คืนเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 20,087.42 ล้านบาท แนะ รับมือกับปัญหาพลังงานล่วงหน้า

เมื่อวันที่ 25 กพ. 65 นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเลย กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ร่วมกับพรรคฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ม.152 โดยที่ตนได้อภิปรายสอบถามพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องพลังงาน แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ จึงอยากขอให้พลเอกประยุทธ์ได้ชี้แจงเรื่องพลังงานให้ครบถ้วนจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมันที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และได้ทะลุ 100$ ต่อบาร์เรล หลังจากที่รัสเซียบุกยูเครนตามที่ได้เตือนแล้ว พลเอกประยุทธ์ได้คิดหรือยังว่าจะช่วยประชาชนอย่างไร เพราะราคาน้ำมันอาจจะพุ่งขึ้นไปอีก และราคาสูงอีกนาน ดังนั้น การลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพียง 3 บาทแค่ 3 เดือน ไม่น่าจะรับมือไหว เป็นการดำเนินการที่น้อยเกินไปและช้าเกินไป อีกทั้งเวลายังสั้นเกินไป ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้แล้ว

นอกจากนี้ คณะทำงานเศรษฐกิจได้พยายามทวงเงิน 20,087.42 ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ถูกโอนไปเป็นรายได้รัฐบาล แต่ไม่เคยได้รับคำชี้แจง และตนก็อภิปรายในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ม.152 ที่ผ่านมาในสภา ดังนั้นถ้าพลเอกประยุทธ์บอกว่าตอบได้ทุกเรื่องก็ให้ตอบเรื่องนี้ด้วย และตอบด้วยว่าจะนำมาคืนประชาชนเมื่อไหร่ เพราะกองทุนเป็นเงินที่เก็บจากประชาชนผู้เติมน้ำมันไป

"อดีตส.ส.ปชป." เรียกร้อง "เพื่อไทย" หยุดสร้างตราบาปให้ชาติรื้อฟื้นโครงการจำนำข้าว แนะสานต่อโครงการประกันรายได้ดีกว่า

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์  โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ผมได้เห็นกระแสข่าวการรีเทิร์นของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับโครงการจำนำข้าวเวอร์ชั่นใหม่ และการแถลงข่าวของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีแนวความคิดจะรื้อฟื้นโครงการรับจำนำข้าวขึ้นมาใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อโครงการเป็นชื่อใหม่ เพื่อไม่ให้แสลงใจต่อพี่น้องคนไทย ที่ติดภาพลักษณ์การทุจริตของโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยสร้างไว้ จนรัฐบาลชุดนี้ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ด้วยงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ สูงถึง 7 แสนล้านบาท นับเป็นความเสียหายของประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง

การต้องการรื้อฟื้นโครงการรับจำนำข้าว กลับคืนมาอีก จะเป็นภาพหลอนของพี่น้องประชาชนคนไทยอีกครั้งหนึ่ง เพราะวันนี้ได้มีการพิสูจน์ด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงที่ชัดเจนแล้วว่า โครงการประกันรายได้เกษตรกรของพรรคประชาธิปัตย์ ดีกว่าโครงการรับจำนำของพรรคเพื่อไทย ที่มีแต่ความสูญเสีย ความเสียหาย เปิดช่องให้มีทุจริตคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร

แต่โครงการรับประกันรายได้เกษตรกร สามารถป้องกันการทุจริตได้ทุกขั้นตอน เพราะเป็นการโอนเงินส่วนต่างของราคาประกัน เข้าบัญชีธนาคารของเกษตรกรโดยตรง ไม่มีการใช้เงินสดผ่านมือบุคคลใด จึงไม่มีการรั่วไหลของเงินจากโครงการประกันรายได้  ส่วนโครงการรับจำนำ กลับมีช่องว่างให้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่เจ้าของโรงสี เจ้าของโกดัง พ่อค้าคนกลาง นักการเมือง เกษตรกร รัฐบาลต้องเสียเงินค่าเช่าโกดัง ข้าวเน่า ข้าวเสีย ข้าวถูกขโมย มีสต๊อกลม หรือไฟไหม้โกดังเก็บข้าว ล้วนแล้วแต่เป็นความสูญเสียทั้งสิ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top