Thursday, 2 May 2024
พรรคประชาธิปัตย์

ปชป. จ่อเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. เมืองคอนทั้ง 9 เขต ‘ชินวรณ์’ ยกปชป.เป็นยางพารา พรรคอื่นแค่บอนสี

‘จุรินทร์-เฉลิมชัย’ จ่อ...เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.เมืองคอนทั้ง 9 เขต ‘ชินวรณ์’ ส่งลูกสาวลงชิงเขต 6 ลั่นกวาดยกจังหวัดเปรียบ ‘ปชป.’ เหมือนยางพารา มีขึ้นมีลง พรรคอื่นเป็นแค่บอนสี

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการเตรียมผู้สมัคร ส.ส.ในจังหวัดนครศรีธรรมธรรมราช ทั้ง 9 เขต ว่า ขณะนี้ได้ผู้สมัครครบทั้ง 9 เขต แล้ว โดยจะมีการเปิดตัวผู้สมัครอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 พ.ย. 65 มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. พร้อมด้วยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค เป็นผู้ไปเปิดตัวผู้สมัครทั้ง 9 เขต

นายชินวรณ์ เปิดเผยว่า มีบุตรสาวของตนลงสมัครในเขต 6 ด้วย คือ น.ส.ปุณณ์สิริ บุณยเกียรติ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถประสานกับคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ในพรรคได้ มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราชจะขานรับพรรค ปชป. จึงเชื่อว่าเราสามารถทำได้ทั้ง 9 เขต เนื่องจากเราได้คนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่าประสานเป็นเนื้อเดียวกัน พรรค ปชป.มีกระแสที่ดีขึ้นในภาคใต้ และการเลือกตั้งในระบบบัตร 2 ใบ จะทำให้ประชาชนตัดสินใจ ‘เลือกคนที่เรารัก เลือกพรรคที่เราชอบ’ เหมือนที่ประชาชน เคยตัดสินในมาแล้ว

“วันนี้ พรรค ปชป. ที่ประชาชนพูด เขาบอกว่า พรรคปชป.ก็เหมือนกับยางพารา มีขึ้นมีลง แต่เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่พรรคอื่นเป็นบอนสี ดังชั่วคราวเท่านั้นเอง” นายชินวรณ์ กล่าว


เรื่อง : นายหัวไทร

‘สรรเพชญ บุญญามณี’ ยืนเด่นเขต 1 สงขลา การหลีกทางให้หลานได้แจ้งเกิดทางการเมือง

เขต 1 สงขลา เป็นเขตคาดหวังของพรรคประชาธิปัตย์ โดยส่ง ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ ลูกชายของ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2562 สรรเพรช พ่ายให้กับ ‘วันชัย ปริญญาศิริ’ จากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งวันชัยก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นเพื่อนรุ่นน้องของนิพนธ์นั้นเอง เป็นรุ่นน้องจากมหาวชิราวุธ สงขลา โดยนิพนธ์เป็นรุ่นพี่ของวันชัย 1 ปี

มาถึงวันนี้ ‘วันชัย’ เปิดทางให้สรรเพชญ โดยลาออกจาก ส.ส.ไปลงชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครสงขลา เท่ากับเป็นการหลีกทางให้หลานได้แจ้งเกิดทางการเมือง

กล่าวถึงสนามเลือกตั้งเขต 1 สงขลา เมื่อวันชัยลาออกไปลงเล่นการเมืองท้องถิ่น ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐยังไม่เห็นขยับว่าจะส่งใครลงแทน เดิมมีผู้การฯ ชาติ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีต ส.ส.สงขลา เป็นคนคุมทีมพลังประชารัฐอยู่ แต่เมื่อผู้การฯ ชาติก้าวออกไปจากพลังประชารัฐ ไปร่วมหัวจมท้ายกับพรรคสร้างอนาคตไทย ของอุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงค์ ทำให้พรรคพลังประชารัฐไม่มีหัวเรือใหญ่ 

พรรคพลังประชารัฐสงขลาจึงเหลือ ส.ส.อยู่สองคน คือ ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี เขต 4 ศาสตรา ศรีปาน เขต 2 และพยม พรหมเพชร ซึ่งศักยภาพในการคุมทีมยังไม่เพียงพอ หรือการจะควานหาคนมาแทนวันชัยก็ยังไม่มีบารมีพอ ทำให้สนามเลือกตั้งเขต 1 สงขลา ของพลังประชารัฐยังว่างอยู่

กล่าวเฉพาะที่เห็นเวลานี้ก็จะมี ‘สรรเพชญ บุญญามณี’ เป็นตัวยืนในนามประชาธิปัตย์ และมีประสงค์ บุรีรักษ์ นายกฯ แบน อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเขารูปช้าง ที่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วหลุดจากเก้าอี้ มาเปิดตัวลงชิง ส.ส.เขต 1 ในนามพรรคภูมิใจไทย ฟัดกับเด็ก ๆ น่าจะมีพลังมากกว่า และยังมีพ่อเป็นลมใต้ปีกอยู่อีกด้วย ‘นิพนธ์’ พยายามไม่เข้าไปยุ่งมากกับการหาเสียง ปล่อยให้น้องเพรชจัดการไป ไม่งั้นเขาจะไม่โตสักที

แต่เขต 1 สงขลา นอกจากนายกฯแบน และน้องเพชญ แล้ว ให้จับตาว่า ‘เจือ ราชสีห์’ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ ๆ สด ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ จะตัดสินใจอย่างไร แน่นอนว่าจะลงเขตในนามประชาธิปัตย์ไม่ได้แล้ว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดตัวน้องเพรชไปแล้ว ถ้าเจือยังยืนยันอยู่ประชาธิปัตย์ก็ต้องขึ้นไปอยู่ระบบบัญชีรายชื่อ และลำดับต้องดีกว่าเดิม ถ้ายังประชาสงค์จะลงเขต 1 ก็ต้องย้ายพรรค หาพรรคใหม่สังกัด โอกาสจึงน่าจะเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค คนเก่าจากประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้าพรรคอยู่ และมีเครือข่ายประชาธิปัตย์อยู่ไม่น้อย หรือไม่ก็พรรคพลังประชารัฐที่พื้นที่ว่างอยู่ แต่เวลานี้เจือคงยังพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะยังเป็น ส.ส.ประชาธิปัตย์อยู่

'ไตรรงค์' ประกาศลาออกจากสมาชิกปชป. ทิ้ง 38 ปีไว้เบื้องหลัง ขอมีลมหายใจเป็นของตัวเอง

(27 ต.ค. 65) ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า #ผมขอมีลมหายใจเป็นของตนเอง #ใส่เสื้อฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย #38ปีกับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อ 15:00 น. ของวันนี้ (27  ตุลาคม 2565) ผมได้ให้เลขาส่วนตัวไปยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์แล้วครับ

ผมลาออก #ทั้งๆที่ยังรักพรรคประชาธิปัตย์อยู่ แต่ผมไม่ได้รักที่ตัวตึก หรือตัวบุคคล ผมไม่เคยยึดมั่นในสิ่งลวงตาเหล่านั้นที่ผมรักก็คือ “อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” ที่ได้ประกาศไว้ในวันก่อตั้งพรรคเมื่อปี พ.ศ.2489 จึงได้เข้าเป็นสมาชิกมาตลอดเวลา 38ปี

อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัย อุดมการณ์ ปี 2489 ทั้ง 10 ข้อ จึงต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคให้เข้ากับบริบทใหม่ๆของประเทศและของโลก ที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อล้อมกรอบมิให้ผู้บริหารหรือสมาชิกแสดงท่าทีที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในอุดมการณ์ เช่นต้องไม่มีใครมีท่าทีทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคฯตั้งตัวเป็นศัตรูกับทหารของชาติเพราะทหารในปัจจุบันแตกต่างไม่เหมือนกับทหารสมัยก่อนแล้ว ส่วนศัตรูของอุดมการณ์ต้องเขียนใหม่ให้ชัดว่าไม่ใช่เฉพาะเผด็จการทหารแต่หมายรวมถึงเผด็จการรัฐสภาด้วย และในนโยบายต่างประเทศต้องเขียนใหม่ให้ชัดว่าเราจะเป็นมิตรกับทุกประเทศแม้ว่าระบอบการเมืองการปกครองจะแตกต่างจากของของเราที่กำลังใช้อยู่ เป็นต้น แต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้อธิปไตยของชาติต้องถูกครอบงำโดยประเทศอื่นอย่างเด็ดขาด ซึ่งทั้งหมดนี้ผมได้พูดให้สมาชิกและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ฟังโดยละเอียดแล้วเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2565 ที่โรงแรม Kantary Hill จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพรรคฯ ก็ได้พยายามปรับปรุงจุดยืนและท่าทีคล้ายๆอย่างที่ผมเคยแนะนำไว้อยู่บ้างคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์

แต่ก็ยังมีพรรคการเมืองอื่น ๆ อีกหลายพรรคที่มีจุดยืนด้านอุดมการณ์ที่ตรงกับใจของผม ที่ผมอยากสนับสนุนโดยเฉพาะมีอยู่หลายพรรค ที่เกิดใหม่จากคนที่ต้องออกจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถจะบอกใครได้ (เพราะเกรงใจกัน) แต่เมื่อไปตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาก็ได้มีการประกาศจุดยืนแห่งอุดมการณ์พร้อมมีนโยบายปฏิรูปหลายประการเหล่านี้ทำให้ผมเห็นด้วยและอยากสนับสนุน

ผมจึง #อยากขอโอกาสมีลมหายใจเป็นของตนเองสักครั้งหนึ่งในบั้นปลายชีวิตทางการเมืองของผม เพื่อจะได้สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ ๆ (ที่ใหม่กว่าพรรคประชาธิปัตย์) การแสดงออกจะได้สามารถทำได้อย่างเปิดเผย จะได้ไม่รู้สึกว่าผมแอบเป็นกบฏลับ ๆ ต่อพรรคประชาธิปัตย์เพราะผมยังรักและสนับสนุนอุดมการณ์ประชาธิปัตย์แต่ก็จะสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น ๆ ทุกพรรคที่ผมเห็นด้วยกับอุดมการณ์และนโยบาย จะยินดีให้ความช่วยเหลือตามที่ถูกร้องขอโดยไม่หวังผลอะไรเป็นการตอบแทนใดๆทั้งสิ้นเพราะว่าแก่แล้ว

#หมายเหตุ จนถึงปัจจุบันนี้ได้มีพรรคการเมืองใหม่ๆมาขอคำปรึกษาไปแล้วถึง 5 พรรคครับ

ส่วนการสนับสนุนช่วยเหลือหลายๆพรรคควรจะทำอย่างไรนั้น มันเป็นศิลปะที่ผมเรียนรู้มาและจะลองนำมาปฏิบัติดูในรูปแบบที่ว่า #ต้องรวมมิตรและแยกศัตรูในเชิงอุดมการณ์ให้ชัดเจน ถ้าได้ผลก็ดีถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรเพราะผมยึดถือคำว่า #สันโดษ ตามภาษาพระที่สันโดษแปลว่าได้ก็ดีไม่ได้ก็ได้ (ไม่ใช่ตามภาษาคนที่หมายถึงการอยู่คนเดียว) และผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆคนหนึ่งจึงไม่คิดว่าทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเสียหายเพราะพรรคฯเขามีบุคลากรมากอยู่แล้วส่วนมากก็มีความสามารถตามความเห็นของผู้บริหาร และผมก็ไม่เคยจะทำร้ายพรรคฯ หรือพูดจาใดๆ ให้พรรคฯต้องเสียหายและเสียน้ำใจกัน

อย่างไรก็ดีผมก็ยังคงต่อต้านและปฏิเสธทั้งพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ใช้โวหารแบบปลิ้นปล้อน โกหกตอแหล ใส่ความ หลอกลวง หน้าอย่างหลังอย่างเป็นพวกเล่นการเมืองเพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ของชาติที่ควรจะเป็นผลประโยชน์สูงสุด เพราะผมเห็นว่า คนเช่นนี้ลงมาเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก โดยการอ้างชาติและประชาธิปไตยเพื่อเป็นการบังหน้าและให้ประชาชนหลงผิดในสาระสำคัญเท่านั้น

โดยเนื้อแท้แล้วคนเช่นนี้เป็นพวกที่พร้อมจะขายชาติเพื่อแลกเงินพร้อมจะทำลายและบิดเบือนคำสอนอันเป็นหัวใจของศาสนาต่างๆเพียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากคนที่โง่ๆ ตลอดจนเป็นพวกที่พร้อมจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ (ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง) เพื่อเปลี่ยนระบบการเมืองการปกครองของประเทศให้เป็นระบอบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขซึ่งเป็นระบบที่แสนจะไม่เหมาะกับบริบทและประวัติศาสตร์ของชาติไทยหากแต่จะนำมาซึ่งความแตกแยกที่รุนแรง  ศีลธรรมจะตกต่ำการไร้ยางอายในการทำชั่วจะมีมากขึ้นเหมือนอย่างหลายประเทศทั้งในเอเชียและในละตินอเมริกา

เพราะผมเห็นว่า #อธิปไตยและเอกราชของชาติอาจจะเกิดความเสียหายได้ ถ้าประเทศต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของนักการเมืองที่มีคุณสมบัติเลวๆดังกล่าวข้างต้นก็โดยที่นักการเมืองอย่างนั้นจะเป็นคนที่เห็นแก่ลาภ (เงิน) ยศ และสรรเสริญของตนเองและพรรคพวกมากกว่าเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะได้เห็นตัวอย่างมาแล้วว่าครั้งหนึ่งพวกเขาได้เคยแอบทำการตกลงลับๆที่จะอนุญาตให้มหาอำนาจบางประเทศ มาตั้งฐานทัพในประเทศเพื่อจะได้สะสมอาวุธไว้ข่มขู่บางประเทศที่พวกเขาแย่งชิงความยิ่งใหญ่ในการเป็นเจ้าโลกกันอยู่ในปัจจุบันนี้

ผลโพลชี้ชัด ‘คนใต้’ ยังเทใจให้ ‘ลุงตู่’ ส่วนพรรคในใจ ยังให้ ‘ประชาธิปัตย์’ ยืนหนึ่ง

ผลสำรวจของนิด้าโพล หัวข้อ ‘คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนใต้น่าสนใจยิ่งเกี่ยวกับพฤติกรรม และการตัดสินใจเลือกตั้งของคนปักษ์ใต้’ พบว่า ‘ลุงตู่-ประชาธิปัตย์’ ยังยืนเป็นหนึ่งอยู่ในใจของคนใต้ ด้วยเหตุเพราะทำให้บ้านเมืองสงบ

‘นิด้าโพล’ ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ทําการสํารวจระหว่างวันที่ 17-20 ตุลาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคใต้กระจายทุกระดับ การศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จํานวน 2,001 ตัวอย่าง เกี่ยวกับคนที่ใช่ พรรคที่ชอบของคนใต้การสํารวจ อาศัยการสุ่มตัวอย่าง โดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (  Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย ๆ  (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยกำหนดค่าความเชื่อมันมั่น ร้อยละ 97.0 การกำหนดค่าความเชื่อมั่นไว้ที่ 97 % อันเป็นการสะท้อนความน่าเชื่อถือของผลโพลที่ออกมา

ผลจากการสํารวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนใต้จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันนี้พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 23.94 ระบุว่าเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพราะ ซื่อสัตย์สุจริต มีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ ทําให้บ้านเมืองเกิดความสงบ และต้องการให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง

คะแนนอันดับ 2 ร้อยละ 13.24 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อ ไทย) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย นโยบายพรรคเพื่อไทยสามารถแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรได้ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบผลงานของตระกูลชินวัตรอันดับ 3 ร้อยละ12.79 ระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้

อันดับ 4 ร้อยละ 11.24 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ ต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศเป็น คนมีวิสัยทัศน์ ชื่นชอบนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคกาวไกลอันดับ 5 ร้อยละ 6.14 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) เพราะ เป็นคนตรงไปตรงมา มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทํางาน มีความซื่อสัตย์สุจริต และชื่นชอบวิธีการทํางาน อันดับ 6 ร้อยละ 5.95 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) เพราะ ชื่นชอบ ผลงานที่ผ่านมาและชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์อันดับ 7 ร้อยละ 5.30 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคชาติพัฒนากล้า) เพราะ มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และเป็นคนสุขุมรอบคอบ อันดับ 8 ร้อยละ 5.10 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทํางาน มีประสบการณ์ด้านการบริหาร ชื่นชอบนโยบายของพรรค ขณะที่บางส่วนระบุว่า ต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ อันดับ 9 ร้อยละ 4.00 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ ชื่นชอบนโยบาย ของพรรคภูมิใจไทย เป็นคนพูดจริงทําจริงและลงพื้นที่ดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่องอันดับ 10 ร้อยละ 2.90 ระบุว่าเป็น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) เพราะ เป็นคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง

เช็กชื่อ ส.ส.ล็อตใหญ่ จ่อโบกมือลาปชป. สถานีต่อไป ซบรวมไทยสร้างชาติ - เพื่อไทย

เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคปชป. จะเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช จำนวน 9 เขตของจังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 12 พ.ย.นี้

แต่เมื่อน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช แจ้งความประสงค์ต่อผู้บริหารพรรค จะไม่ไปร่วมงานดังกล่าว เนื่องจากจะย้ายพรรคไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) แล้ว ทำให้ประชาธิปัตย์ต้องหาคนใหม่มาแทนพิมพ์ภัทรา ทราบข่าวว่ากำลังทาบทามผู้หญิงคนหนึ่งมาลงแทน ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของนักการเมืองด้วย

นอกจากนี้ในพรรคปชป. ยังมีการพูดถึงชื่อส.ส.อีกหลายคนที่อาจจะย้ายพรรค อาทิ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่มีความสนิทสนม เป็นการส่วนตัวกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม และอดีตแนวร่วมกปปส. รวมถึงนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตส.ส.ตรัง ที่แจ้งความประสงค์จะลงเขตเลือกตั้งที่ 4 จ.ตรัง แต่แพ้ผลสำรวจความนิยมที่พรรคจัดทำท่ามกลางความเคลือบแคลง โดยมีรายงานว่าพรรครวมไทยสร้างชาติได้ทาบทามไว้แล้ว หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งลงเลือกตั้งครั้งหน้า ก็จะย้ายไปรทสช.

นอกจากนี้พัทลุงก็มีข่าวอื้ออึงว่า 'สุพัชรี ธรรมเพชร' ก็อาจจะตามคุณอา 'วิสุทธ์ ธรรมเพชร' ไปอยู่รวมไทยสร้างชาติเช่นกัน ซึ่งวิสุทธิ์ เดินนำหน้าไปนั่งเป็นกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติก่อนแล้ว ซึ่งถ้าสุพัชรีเดินออกไป ลูกสาวของ 'สานันท์ สุพรรณชนะบุรี' อดีต ส.ส.พัทลุง และอดีตนายกฯอบจ.พัทลุง 2 สมัย ก็พร้อมเสียบแทน

ข่าวแว่วมาแต่ไกลว่า 'กันตวรรณ ตันเถียร' ส.ส.พังงา ก็มีคนจีบอยู่เหมือนกัน เมื่อหลายคนเตรียมตีจาก กันตวรรณ ก็ต้องคิด

และยังมีชื่อ พ.ท.สินธพ แก้วพิจิตร ส.ส.นครปฐม เป็นอีกรายหนึ่งที่จะย้ายไปรวมไทยสร้างชาติด้วย เนื่องจากมีบิ๊กทหารเป็นคนเชื่อมประสานให้

ในส่วนของ น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ลูกสาวนายชุมพล กาญจนะ อดีตส.ส. และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ โดยก่อนหน้านี้ น.ส.วชิราภรณ์ ได้เปิดตัวว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าลงในนามประชาธิปัตย์ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีกระแสข่าวจะย้ายไปพรรคภูมิใจไทย แต่สุดท้ายไม่ได้ย้ายไปพรรคดังกล่าว เนื่องจากดีลไม่ลงตัว

นิพนธ์ มั่นใจ ประชาธิปัตย์ 4 จ.ชายแดนใต้ ได้ส.ส.เพิ่มแน่นอน หลังกระแสตอบรับดี ชี้อย่าตกใจคนเดินออกให้ดูอดีตที่มีคนเดินออกจากพรรคไม่มีใครได้กลับมาแม้แต่คนเดียว

นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และผอ.เลือกตั้งพรรคฯ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (13 พ.ย. 65) ตนได้ประชุมกับผู้สมัคร ส.ส. 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล ทั้งหมดมี 14 เขตเลือกตั้ง วันนี้ถือว่าทั้ง14 เขต พรรคฯมีสมัครครบทั้งหมดแล้ว และในวันที่ 20 พ.ย.นี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคฯ จะไปเปิดตัวผู้สมัครส.ส.ทั้ง 14 เขตที่จ.ยะลา อย่างไรก็ตามผู้สมัครทุกคนที่มาร่วมประชุม มีความมั่นใจเต็มที่ เพราะจากที่เดินในพื้นที่มา 3-4 เดือน พบว่ากระแสตอบรับดีตามลำดับจึงมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งผู้สมัครส่วนหนึ่งเป็นเลือดเก่า ที่กลับมาช่วยพรรค เช่นนายเจะอามิง โตะตาหยง และมีคนรุ่นใหม่ เช่นนายเมธี อรุณ หรือเมธีลาบานูน บางคนจบดอกเตอร์ก็มี หรือที่จ.สตูล มีผู้สมัครเป็นปลัดอำเภอ แต่มีความมุ่งมั่นอยากลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนรายชื่อทั้งหมดขอให้หัวหน้าพรรคฯเป็นคนเปิดในวันที่ 20 พ.ย. จึงมั่นใจว่าจะสามารถเอาที่นั่งกลับมาและเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน

นายนิพนธ์ ยังกล่าวถึงข่าวสมาชิกบางส่วนลาออกนั้น อาจทำให้ภายในพรรคฯว่า ได้พยายามชี้แจงไปหลายครั้งแล้วถึงการมีคนเดินออกไปจากปชป. ที่จริงกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) และผู้ใหญ่ในพรรคฯรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ถ้าพูดไปก็เหมือนขับไสไล่ส่งก็พูดไม่ได้ ต้องรอให้แต่ละคนแสดงตัวและตัดสินใจอนาคตของตัวเอง เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในอดีตก็มีคนออกจากปชป.โดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเราไม่เคยเห็นใครได้กลับมาในสภาได้เลยสักคน ดังนั้นบทเรียนเหล่านี้หวังว่าจะได้ไตร่ตรองกัน

‘จุรินทร์’ ควง นิพนธ์-นริศ เปิดตัว 12 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชายแดนใต้ ลั่นสู้ทุกเขตประกาศยุทธศาสตร์สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ก้าวข้ามความขัดแย้ง สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

20 พ.ย.2565-ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.จังหวัดพัทลุง และคณะ “จุรินทร์ ออนทัวร์ จังหวัดชายแดนใต้” เข้าร่วมงานประชุมสมาชิกพรรค “รวมพลังประชาธิปัตย์ ปลายด้ามขวาน” ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. 12 เขต ของจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนเดินทางมาร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องในจังหวัดชายแดนใต้อยู่บ่อยครั้งอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นสำหรับพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้กับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คนอื่นไกล เราเป็นพี่น้องกันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนไทย เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขพรรคการเมืองที่ชื่อว่า ประชาธิปัตย์ นับเนื่องมาอย่างยาวนาน

นายจุรินทร์กล่าวว่า ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องความมั่นคงยังมีอยู่ แต่ยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นซึ่งก็คือปัญหาเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ปากท้องของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชาธิปัตย์มีนโยบายพัฒนานำปืน เพราะการพัฒนาคือหัวใจ และการพัฒนาต้องทำในหลายมิติทั้งเรื่องการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเรื่องอาชีพความเป็นอยู่ ที่จะขับเคลื่อนจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องการเห็นพี่น้องประชาชนมีอาชีพ มีอนาคต ที่ตรงกับความต้องการของตลาดและจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ไม่ได้มีศักยภาพเฉพาะการประกอบอาชีพแล้วนำสินค้าออกมาขายในประเทศไทยเท่านั้น แต่พวกเราทุกคนมีศักยภาพที่จะผลิตสินค้า บริการ ส่งไปขายตลาดโลกได้ โดยเฉพาะทุเรียน ลองกอง มังคุด จะเป็นอนาคตของจังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะเรามีตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับทุเรียนจากประเทศไทย คือตลาดจีน

คิกออฟ ‘ฟัง-คิด-ทำ’ รับฟังเสียงปชช.ทุกพื้นที่ พร้อมกลั่นกรองทำนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

ประชาธิปัตย์ สะบัดธง! คิกออฟ กิจกรรม “ฟัง-คิด-ทำ” เปิดพื้นที่ทุกความเห็น  ชูแนวคิดทำนโยบายจากความต้องการประชาชน ย้ำ วันนี้พร้อมเปลี่ยน อย่างมีวุฒิภาวะและพร้อมนำพรรคสู่ความทันสมัย

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 65 ที่ลานกิจกรรมหน้าสามย่าน มิตรทาวน์ ทีมกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวกิจกรรม “ฟัง-คิด-ทำ” เพื่อเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศ เพื่อนำมาสังเคราะห์ต่อยอดจัดทำเป็นนโยบายของพรรคให้ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคภาค กทม. นายสุชัชวีย์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรม กทม. รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วม

นายองอาจ กล่าวว่า กิจกรรม ฟัง-คิด-ทำ นี้เป็นกิจกรรมที่พรรคประชาธิปัตย์ทำมาต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยการฟังประชาชน คิดร่วมกับประชาชน และทำเพื่อประชาชน ซึ่งจะเห็นว่านโยบายที่พรรคนำเสนอล้วนเกิดจากกระบวนการฟัง-คิด -ทำ มาต่อเนื่อง และนโยบายที่ออกมาเป็นผลผลิตของประชาชน เพราะพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ 

ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกคนทราบดีว่าชาว กทม. ไม่ได้ให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ในการทำงาน  เราถูกสั่งสอนและอบรม ถามว่ารู้สึกอย่างไร? ในฐานะคนทำงานเพื่อประชาชนย่อมรู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสในการทำงานให้กับประชาชน แต่ไม่ได้เสียกำลังใจ เพราะหลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการรับฟัง คิด และทำเพื่อประชาชนมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทั้งใน กทม. และทั่วประเทศ พรรคได้จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ และเยียวยาประชาชน จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเราได้ทำจากเสียงของประชาชน ดังนั้นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็เริ่มจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และเชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ทุกคนมีส่วนร่วม และเป็นที่ยอมรับของทุกคน 

“ที่ผ่านมาแม้ว่าชาว กทม.จะไม่ให้โอกาสเราได้ทำงาน แต่เชื่อมั่นว่าจากการที่เราทำงานหนัก ทุ่มเท มุ่งมั่นตั้งใจในการรับใช้ประชาชน พยายามฟังประชาชน คิดจากประชาชน เชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนชาว กทม. จะให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่าจะสามารถปักธงชัยอยู่ในใจประชาชน และเป็น ส.ส.ของ กทม. ได้อย่างแน่นอน” นายองอาจ กล่าว 

ด้านนายสุชัชวีร์ กล่าว ตนยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และมั่นใจเสมอว่าจากนี้ไปจะเป็นโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน และแน่นอนจากนี้ไปจะเป็นงานที่ยากและท้าทาย เนื่องจากโลกเปลี่ยน การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงความคิดของประชาชนเปลี่ยน กระบวนการฟัง คิด ทำ พรรคทำมาโดยตลอด จากนี้เราจะไปรับฟังทุกคนในทุกพื้นที่ แต่กระบวนการที่สำคัญจะกลั่นกรองเป็นนโยบาย ทั้งนี้ความคิดและมันสมองต่อจากนี้ของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่จากนี้จะเป็นความคิดของประชาชนทุกคน จึงขอเชิญชวนทุกคนมาช่วยกันคิด เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง และเชื่อมั่นว่าพรรคจะมุ่งหน้าฟัง คิดและทำเพื่อประชาชนชาว กทม. และคนไทยทั่วประเทศทุกคน  

ด้าน น.ส.วทันยา กล่าวย้ำถึงเหตุผลของการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นเพราะความเป็นสถาบันทางการเมือง การเป็นพรรคของประชาชนที่ไม่มีใครเจ้าของ และยังมีระบบโครงสร้างที่เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ภายในพรรค และเหตุผลของการรีบตัดสินใจลาออกแล้วมาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้น เพราะต้องการใช้เวลาลงไปรับฟัง พูดคุยกับประชาชนอย่างจริงจังว่าเขาต้องการอะไร ก่อนที่จะนำมาผลักดันเป็นนโยบาย เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นแต่นักการเมืองบอกว่า “อยากทำอะไร” แต่แทบไม่มีใครถามว่า “ประชาชนอยากได้อะไร” ด้วยการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็น สะท้อนปัญหา หรือบอกความต้องการ

น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า วันนี้ไทยแลนด์ แลนด์ ออฟ สไมล์ ยิ้มไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจแย่ นโยบายคลังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด แต่ก็ยังทำต่อไปเหมือนไม่ได้ยินเสียงคนระดับฐานรากที่กำลังล้มตายเพราะพิษเศรษฐกิจ ซึ่งจากข้อมูล Social Listen พบว่าประชาชนกำลังเผชิญกับปัญหาปากท้องและต้องการให้มีการแก้ไขเป็นอันดับแรก และยังมีปัญหาน้ำท่วม การจราจร การพนัน และยาเสพติด ที่อยู่คู่คนกรุงเทพฯมาช้านาน จนต้องหาทางปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง เพราะปัญหามันไม่เคยถูกรับฟังจากคนในพื้นที่และมีการแก้ไขอย่างตรงจุด และยิ่งไปกว่านี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวคุณหมอที่ยังหนุ่มใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ แต่กำลังจะเสียชีวิตจากมะเร็งปอด เพราะมลพิษที่เราทุกคนกำลังพูดกันอยู่ หลายประเทศเขาประกาศเลยว่า อากาศสะอาดคือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน แต่วันนี้นอกจากเราจะไม่มีสิทธินี้แล้ว เรายังได้โรคร้าย จากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษมาแทนอีกด้วย

รายงานพิเศษการไม่แต่งตั้ง 'นริศ ขำนุรักษ์' เป็น รัฐมนตรี ตามมติ พรรคประชาธิปัตย์ สุดท้ายผู้ที่เสียหาย อาจจะเป็น 'บิ๊กตู่' ที่ถูกมองว่า เล่นการเมือง ด้วยการเอาเปรียบพรรครวมรัฐบาล

การออกมาแสดงความอึดอัดของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์,รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีท่าทีที่จะปรับ ครม.เพื่อแต่งตั้งนายนริศ ขำนุรักษ์ สส.เขต 3 จ.พัทลุง เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ที่ได้ลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทย มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และพรรคประชาธิปัตย์ก็มีมติส่ง นายนริศ ขำนุรักษ์ เป็น รมช.มหาดไทยแทน ซึ่งตำแหน่ง รมช.มหาดไทย เป็นโควต้า ของพรรคประชาธิปัตย์ และนายจุรินทร์ ก็ได้นำมติพรรคไปแจ้งให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้รับทราบมติของพรรคฯ เพื่อให้มีการปรับ ครม.ในส่วนของโควต้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่เป็นโควต้าของพรรครวมรัฐบาลอื่น ๆ

แต่รอแล้วรอเล่า การปรับ ครม.ไม่ว่าจะเป็นทั้งคณะ หรือเป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่เป็นโควต้าของประชาธิปัตย์ก็ไม่เกิดขึ้น นริศ ขำนุรักษ์ กลายเป็น แม่สายบัว ที่แต่งตัวเก้อเพราะบิ๊กตู่ไม่มีท่าที่ในการปรับ ครม.ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งเดียว ที่เป็นของประชาธิปัตย์ หรือของพรรคอื่นๆ ที่ยังว่างอยู่ ทั้งโควต้าของ 'พลังประชารัฐ' และ 'ภูมิใจไทย' ซึ่งแน่นอนว่า เป็นความอึดอัดของคนในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย ย่อมมีความสำคัญในการขับเคลื่อนงานเพื่อ ช่วยประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนและการขับเคลื่อนงานในส่วนที่ 'นิพนธ์ บุญญามณี' ได้ดำเนินการไว้ แต่ไม่ได้รับการสานต่อซึ่งเป็นเรื่องของความเสียหายทั้งเรื่องของการบ้านและเรื่องของการเมือง โดยเฉพาะการเมืองที่เหลือวาระการเป็นรัฐบาลอีกไม่กี่เดือน ตำแหน่ง รมต.จึงเป็นตำแหน่งที่สามารถให้คุณกับพรรคในการเลือกตั้งที่จะมาถึง

หลังการเสร็จสิ้นการประชุมเอเปคจึงเห็น 'แกนนำ' และ สมาชิกของ 'ประชาธิปัตย์' จึงได้ชักแถวออกมาทวงถามกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม ในการที่จะมีการปรับครม.ในส่วนของประชาธิปัตย์เพราะรัฐบาลเหลือเวลาในการทำหน้าที่ไม่ถึง 4 เดือน และหากมีการยุบสภาก่อนครบวาระ ก็ยิ่งเหลือเวลาเพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่มีการตอบรับหรือมีสัญญาณจากบิ๊กตู่แต่อย่างใด

สิ่งที่เห็นจากบิ๊กตู่หลังเสร็จจากการประชุมเอเปคคือเรื่องของการเมืองในส่วนของการช่วงชิงความได้เปรียบของบิ๊กตู่ในการเตรียมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปในการเลือกตั้งสมัยหน้า ตั้งแต่การปิดบ้านให้แกนนำสายต่าง ๆ นำ สส. เข้าพบเพื่อทำการเช็คชื่อว่า จะมี สส.จากพรรคไหน กี่มากน้อย ที่จะเข้ามาสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เป็นพรรคการเมืองใหม่ ที่จะเป็นนั่งร้านในการส่ง พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็น นายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 ในการ เลือกตั้งในปี 2566 โดยที่มี พล.อ.ประยุทธจะมีตำแหน่งในพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่นเอง

วันนี้บิ๊กตู่กำลังช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง ในห้วงที่ใกล้ยุบสภาหรือใกล้หมดวาระการเป็นรัฐบาล เช่นการไปตรวจราชการที่ เพชรบูรณ์ และถือโอกาส ในการคิ๊กออฟจ่ายเงินประกันราคาข้าวที่เหมือกับเป็นการแย่งซีนจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ที่มีการ คิ๊กออฟจ่ายเงินประกันราคาข้าวให้ชาวนาในวันเดียวกัน

‘ประชาธิปัตย์’ รุกหนัก!! ใส่ใจชายแดนใต้ เรียกกระแส คืนศรัทธา ปูพื้นใหม่สู้ศึกเลือกตั้ง

การที่ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำทีมงานไปเยือนประเทศมาเลเซีย และได้พบกับกลุ่มเครือข่ายร้านอาหารต้มยำกุ้ง ในประเทศมาเลเซีย ถือเป็นการตอบโจทย์ทางการเมืองในการรุกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะกลุ่มนักธุรกิจร้านอาหารต้มยำกุ้ง 100% เป็นคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เคยทำธุรกิจประสบความสำเร็จส่งเงินกลับเข้ามายังประเทศไทยมหาศาล

ยิ่งเมื่อประชาธิปัตย์ตั้งธงว่า จะต้องทวงคืนสนามเลือกตั้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ด้วยแล้ว การลุยเข้าไปพบปะชาวไทยในมาเลเซีย จึงถือว่าเป็นการรุกที่ ‘เข้าเป้า’ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มคนจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขายังมีญาติพี่น้องอีกจำนวนมากอาศัยอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไปมาหาสู่กันอยู่ ถือว่าเป็นเครือข่ายใหญ่ที่มีศักยภาพ และในช่วงหลังขาดการเอาใจใส่ดูแล

ทั้งนี้ ร้านอาหารต้มยำกุ้ง นั้น ถือว่าประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ไม่แตกต่างจากที่อื่น ๆ ทั่วโลก และการที่ นิพนธ์ ได้ไปพบกับ Ukhuwah Mr. Johari Bin Ahmad รวมถึงกลุ่มเครือข่ายร้านอาหารต้มยำกุ้งในกรุงกัวลาลัมเปอร์พร้อมรับหนังสือร้องเรียน จนพบว่า ปัจจุบันการมาทำงานในประเทศมาเลเซียของกลุ่มคนไทยนั้นมีปัญหาหลายอย่างที่ต้องการให้รัฐบาลไทยได้เข้ามาช่วยเหลือแก้ไขเร่งด่วน เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานและการใช้ชีวิตของกลุ่มคนไทยที่มาทำงานที่นี่ โดยทาง กลุ่มฯ ได้ร้องขอให้ช่วยเหลือในเรื่องดังนี้...

- การแจ้งเกิด-แจ้งตายที่ปัจจุบันมีรายละเอียดและขั้นตอนการทํางานที่ยุ่งยาก และหลายขั้นตอน
- การอํานวยความสะดวกในการออกใบขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศมาเลเซีย
- การอำนวยความสะดวกในการออกหนังสือเดินทาง(Passport) ให้กับคนไทยที่เดินทาง มาทํางาน ให้สามารถต่ออายุ/ทำใหม่ได้ที่สถานทูตฯ 
- การกำหนดรายละเอียดการออกใบอนุญาตให้เข้ามาทํางานในประเทศมาเลเซีย (Work Permit) โดยกำหนดประเภทแรงงาน/ราคา
- การส่งเสริมกิจกรรมการแข่งขันกีฬา และกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ของคนไทยที่เดินทาง มาทํางานในประเทศมาเลเซีย 
- การจัดหาครูผู้สอนและสื่อการเรียนการสอนภาษาไทยให้กับเด็กที่ครอบครัวพามาพักอาศัย หรือ ที่แม่คนไทยคลอดในประเทศมาเลเซียด้วย ซึ่งปัจจุบันเด็กที่เดินทางมากับผู้ปกครองนั้นไม่สามารถสื่อสารและใช้ภาษาไทยได้ 

นิพนธ์ รับปากว่าจะหาช่องทางในการช่วยเหลือ โดยกล่าวว่า การร้องขอความช่วยเหลือดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเพราะกลุ่มคนที่ร้องขอมานั้นก็ถือเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน โดยรายละเอียดต่าง ๆ นั้น โดยส่วนตัวคิดว่าบางอย่างสามารถดำเนินการได้ทันที อย่างการจัดกิจกรรมกีฬาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์นั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้คนไทยในต่างแดนได้รู้จักกันมากขึ้น สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในเรื่องต่าง ๆ ส่วนในเรื่องพาสปอร์ต และใบอนุญาตการทำงานต้องมีการประสานกับกระทรวงต่างประเทศ และทางการมาเลเซีย ต่อไป ซึ่งจะรับไปดำเนินการต่อรวมทั้งประเด็นอื่น ๆ ตามที่กลุ่มฯ ได้ร้องขอมา ซึ่งต้องถือว่ากลุ่มคนเหล่านี้ได้ทำรายได้เข้าประเทศและหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนใต้ของเราส่วนหนึ่งด้วย

ถ้านิพนธ์ดำเนินการได้ตามที่รับปากไว้ กระแสแสปากต่อปากก็จะมาถึงหูของญาติพี่น้องในเมืองไทย และจะเป็นพลังดูดเสียงมาสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ได้ไม่น้อย

ทั้งนี้ หากกล่าวสำหรับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะถือเป็นการต่อสู้กันเข้มข้นระหว่างพรรคประชาชาติ ของวันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรค / พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยยึดครองสนามนี้มาก่อน พรรคพลังประชารัฐ / พรรคภูมิใจไทย โดยจะมีพรรคสร้างอนาคตไทย แทรกมาบ้างในเขตเลือกของ ‘วัชระ ยาวอหะซัน’ ที่ย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ ไปสังกัดพรรคสมคิด ซึ่งวัชระ เป็นทายาททางการเมืองของ ‘กูเซ็ง ยาวอหะซัน’ นายกฯอบจ.นราธิวาส


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top